ตอนที่ 4
ทั้งเจ็บทั้งน้อยใจจนน้ำตาไหลพราก อินตราพยายามดึงมือออกจากภูมินทร์ขอร้อง “พี่ภูปล่อยมนเถอะค่ะ มนเจ็บ”
“เรียกตัวเองว่ามนทำไม เธอคิดจะทำอะไรอยู่ หรือว่าที่ผ่านมาทุกคนยังเดือดร้อนเพราะเธอไม่มากพอใช่มั้ย” ภูมินทร์เสียงดังใส่
กุ๊กไก่ตามมาเห็นเหมือนภูมินทร์ทำร้ายอินตราก็เข้าไปเขย่าแขนภูมินทร์ให้ปล่อยอินตรา
“เปล่าจ้ะ อาไม่ได้ทำอะไร อาแค่คุยกับครูอินนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ไม่จริง กุ๊กไก่ไม่เชื่อ ถ้าอาภูไม่ได้ทำอะไรครูอิน แล้วครูอินร้องไห้ทำไม อาภูใจร้าย อาภูจะไล่ครูอินออกอย่างที่อายุบอกใช่ไหมคะ”
ภูมินทร์ชะงักมองกุ๊กไก่กับอินตราอย่างสงสัย...พอเจอยุวดีที่บ้านก็เค้นถามว่าทำไมพาอินตราไปเป็นครูที่โรงเรียน ลืมไปแล้วหรือว่าอินตราใจร้ายแค่ไหน ยุวดีตอบว่าไม่ลืม แต่ตนคิดว่าคนเราควรให้อภัย ตอนนี้อินตราเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้ว
“สำหรับพี่ พี่ให้อภัยคนที่คิดไม่ดีกับผู้หญิงที่พี่รักไม่ได้หรอก”
“ค่ะ ยุเข้าใจ แต่พี่ภูอย่าไปบอกเรื่องนี้กับมนชญานะ ยุไม่อยากขัดใจกับเพื่อน”
“แล้วยุแน่ใจเหรอว่าอินตราจะไม่สร้างปัญหาให้เสียชื่อที่ยุอุตส่าห์ฝากเข้าทำงานให้”
“ไม่หรอกค่ะ เห็นกุ๊กไก่บอกว่าพี่อินน่ารักมากๆเลยมีแต่เด็กๆรัก...ใช่มั้ยจ๊ะกุ๊กไก่”
“ใช่ค่ะอาภู กุ๊กไก่รักครูอิน อยากให้ครูอินสอนกุ๊กไก่ตลอดไป อาภูอย่าบอกอามนเลยนะคะ กุ๊กไก่ขอร้อง นะคะๆ”
ภูมินทร์จำต้องรับปากหลานสาว ไม่อยากทำร้ายจิตใจ ยุวดีกับกุ๊กไก่แอบตีมือยินดีกัน...ยุวดีออกไปหาอินตรากับนพดลที่คอนโดฯ เล่าเรื่องภูมินทร์ยอมลูกตื๊อของกุ๊กไก่ สัญญาไม่บอกมนชญาเรื่องที่อินตราไปเป็นครูที่โรงเรียน
“เธอแน่ใจเหรอยุ ปกติพี่ภูไม่เคยมีเรื่องอะไรปิดบังฉันเลยนะ”
“นั่นสิ แล้วยิ่งเป็นเรื่องของคนที่เคยคิดฆ่าคุณมนด้วย คุณภูอาจจะบอกให้ป้องกันตัวก็ได้นะครับ” นพดลเห็นด้วย
แต่ยุวดีมั่นใจว่า ภูมินทร์ไม่พูดเพราะเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น...ในขณะที่ภูมินทร์พามนชญาออกมาทานข้าวนอกบ้าน แม้เขาจะเอาใจตักอาหารให้เธอ แต่มนชญาก็รู้สึกได้ว่าภูมินทร์มีเรื่องอะไรในใจ ภูมินทร์อ้างว่าเครียดเรื่องงานไม่มีอะไรมาก แล้วลองตะล่อมถาม
“เออ มนจ๊ะ แล้วตอนนี้อินตรากลับมาวุ่นวายอะไรที่บ้านบ้างหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ถึงพี่อินจะหายหน้าไป แต่มนก็ยังไม่วางใจหรอกนะคะ เพราะมนเชื่อว่า พีิ่อินยังโกรธยังเกลียดมนไม่เลิก เฮ้อ...เมื่อไหร่พี่อินจะเปลี่ยนนิสัยสักทีก็ไม่รู้”
ภูมินทร์จึงเตือนให้ระวังตัวเอาไว้บ้าง เพราะอินตราเหมือนบัวใต้โคลนตม ไม่มีวันจะผุด อาจทำอะไรที่คาดไม่ถึงได้ มนชญาหน้าเจื่อนที่โดนด่า แต่ต้องฝืนยิ้ม พอภูมินทร์มาส่งบ้านยังเตือนซ้ำอีกว่า ถ้าอินตรามาสร้างความเดือดร้อน
ให้บอกเขาทันที มนชญารับปาก...ภูมินทร์กลับไป มนชญาสีหน้าเปลี่ยนเป็นแค้นทันที
“เกลียดฉันมากใช่ไหม ยิ่งคุณเกลียดฉันมากเท่าไหร่ นังมนก็จะได้รับความเกลียดจากคุณไปมากเท่านั้น” มนชญาโยนความแค้นให้อินตรา
เดินเข้าบ้านมาเจอป้านวล มนชญาแกล้งถามถึงอินตรา เห็นว่าย้ายจากบ้านเช่าไปแล้ว ป้านวลไม่รู้จริงๆ มนชญาจึงฝากว่า ถ้าเจอบอกให้อินตรากลับมาอยู่บ้าน ป้านวลดีใจถามจริงหรือ
“จริงสิคะ เอาเป็นว่าถ้าป้านวลรู้ว่าพี่อินอยู่ที่ไหน ป้านวลบอกมนด้วยนะคะ มนขอเป็นคนไปรับพี่อินเอง”
“ได้เลยค่ะ คุณมน ป้าต้องขอบคุณแทนอินด้วยนะคะ งั้นป้าขอตัวก่อนนะคะ”
มนชญาเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีที่ป้านวลไม่รู้ เงยหน้าไปมองข้างบน “ฉันรู้แล้ว จะทำให้แกปรากฏตัวได้ยังไง”
มนชญามาที่ห้องไกรสร เห็นมะปรางกำลังอ่านหนังสือให้ฟังก็ไล่มะปรางไปอุ่นนมร้อนๆมา พอมะปรางออกไป มนชญาก็ขยับมาที่เตียง ไกรสรมองลูกสาวพยายามจะเปล่งเสียงพูด มนชญาดันตัวไกรสรไปชิดขอบเตียง เขามองพื้นห้องอย่างหวาดกลัว
“ถือซะว่าเราช่วยกันตามหาลูกสาวสุดที่รักของคุณพ่อก็แล้วกันนะคะ” มนชญาออกแรงจะผลักไกรสรให้หล่นจากเตียง ทันใด นพดลเปิดประตูเข้ามาถามว่าเธอทำอะไร
มนชญาสะดุ้งรีบดึงร่างไกรสรไว้ แล้วหันไปบอกนพดลว่าพ่อจะตกเตียง ก็เลยขยับให้นอนดีๆ มะปรางถือแก้วนมเข้ามา มนชญาทำทีเอ็ดมะปรางว่าวันหลังให้ดูแลดีๆ มะปรางงงเพราะก่อนจะออกไป ก็เห็นไกรสรนอนดีๆอยู่ นพดลไม่ว่าอะไร มองมนชญาอย่างไม่ไว้ใจ
คืนนั้น ภูมินทร์ครุ่นคิดเรื่องอินตรา แล้วเผลอนึกถึงตอนที่อินตราร้องไห้ สายตาเธอไม่เหมือนคนเลวร้ายอย่างแต่ก่อน
ooooooo
วันรุ่งขึ้น นพดลโทร.เล่าเรื่องที่มนชญาจะทำกับไกรสรให้อินตราฟัง อินตราไม่สบายใจอยากไปเยี่ยมพ่อมากๆ ขอร้องนพดลให้ช่วย ตนจะลางานไปตอนบ่าย นพดลกังวลว่ามนชญาออกมาทำงานหรือเปล่า จึงรีบไปดูที่ห้องทำงาน พบเธอกำลังนั่งเซ็นเอกสารอยู่ พอมนชญาถามว่ามีอะไร เขาอ้างว่าจะมาเตือนอีกสิบนาทีเข้าประชุม
“นพเข้าประชุมแทนมนไปเลยก็แล้วกัน มนจะออกไปหาพี่ภู”
“แต่ครั้งที่แล้วคุณมนก็ไม่ได้เข้าประชุม ครั้งนี้ถ้าคุณมนไม่เข้าอีก พนักงานคนอื่นๆจะมองไม่ดีแล้วก็จะไม่ให้ความเคารพในตัวคุณมนนะครับ”
“มนเป็นเจ้าของบริษัทนะ ใครจะกล้าไม่เคารพมนก็ให้มันรู้ไป” มนชญาปิดแฟ้มลุกไป...
คิดอยากจะจับผิด...มนชญามาหาภูมินทร์โดยไม่ได้นัด เปิดประตูเข้าไปเห็นกิ่งกาญจน์จงใจก้มให้เห็นร่องอก ชี้ให้ภูมินทร์เซ็นเอกสาร สองคนสะดุ้ง กิ่งกาญจน์หน้าเจื่อน ภูมินทร์ทัก
“อ้าว มน...จะมาไม่เห็นโทร.มาบอกพี่ก่อนล่ะจ๊ะ”
“มนอยากจะมาจับแมวขโมยน่ะค่ะ” มนชญาปรายตา มองกิ่งกาญจน์ พอเห็นภูมินทร์นิ่วหน้าไม่เข้าใจ เธอจึงเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มชวนไปทานข้าวกลางวัน
กิ่งกาญจน์รีบบอกว่า เที่ยงครึ่งจะมีประชุมสามสายกับลูกค้าฝรั่งเศสและญี่ปุ่น ภูมินทร์นึกได้จึงเกรงจะกลับมาไม่ทัน มนชญาไม่ยอมแพ้ ตาเขียวใส่กิ่งกาญจน์ ก่อนจะบอกว่า ตนจะโทร.สั่งอาหารมาแทน แล้วไม่วายแขวะกิ่งกาญจน์ ว่าจะสั่งต้มยำปลาแรดมาให้ เห็นว่าชอบ กิ่งกาญจน์มองโต้ตอบด้วยความเจ็บใจ มนชญาเดินออกมาจากห้อง เห็นกระเป๋าถือกิ่งกาญจน์วางอยู่บนโต๊ะทำงาน จึงแกล้งเทน้ำจากแก้วที่วางอยู่ลงไปในกระเป๋า แล้วยิ้มสะใจก่อนจะเดินไป...
ผ่านมามุมหนึ่งของบริษัท เห็นยุวดียืนคุยโทรศัพท์อยู่ มนชญาไม่ตั้งใจจะแอบฟัง เผอิญได้ยินยุวดีเรียกชื่อมน ก็สะดุดหูสงสัย พอดี
พนักงานถือแฟ้มเอกสารมาให้เซ็น ยุวดีจึงกดวางสาย แล้ววางมือถือลงบนโต๊ะไม่ห่าง หันไปเซ็นงาน มนชญาถือโอกาสแอบหยิบมือถือยุวดีมากดดูชื่อเบอร์ที่โทร.ล่าสุด เห็นชื่อ...นภมน...ก็ถอนใจ ยุวดีหันมาเห็น มนชญารีบบอกว่าเห็นมือถือจะตกจึงจับไว้ให้แล้วส่งคืน ยุวดีสงสัยนิดหน่อย ทักทายมนชญาพอเป็นพิธีแล้วขอตัวไปทำงาน
“บุญนะเนี่ยที่เราเมมเบอร์ยัยมนในชื่ออื่น...” ยุวดีเดินพึมพำโล่งอกกับตัวเอง
มนชญาไม่ติดใจ โทร.สั่งอาหารแล้วกลับไปที่ห้องทำงานภูมินทร์ เห็นกิ่งกาญจน์กำลังรื้อของออกจากกระเป๋าถืออย่างหงุดหงิด ก็ยิ้มเยาะ กิ่งกาญจน์เงยหน้ามาเห็น รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือเธอ
“อย่ามากล่าวหากันสิคะคุณกิ่งกาญจน์ ใครเขาอยากจะไปยุ่งกับกระเป๋าใบละร้อยเก้าๆของคุณล่ะคะ เออนี่...เดี๋ยวจะช่วยบอกให้พี่ภูขึ้นเงินเดือนให้ก็แล้วกันนะ เธอจะได้ไปซื้อของจริงมาใช้ เป็นถึงเลขาฯพี่ภู ใช้แต่ของก๊อบ อายเขาตายเลย” มนชญาหัวเราะก่อนจะเดินเข้าห้อง
ooooooo
ด้วยความเป็นห่วงพ่อ อินตรานั่งรออยู่หน้าบ้าน เป็นชั่วโมงๆจนป้านวลหิ้วถุงขยะออกมาทิ้ง อินตรารีบวิ่งไปหายกมือไหว้ ป้านวลรับไหว้แทบไม่ทัน ดีใจไม่เคยเห็นหลานเคารพตน อินตราขอร้องขอเข้าไปเยี่ยมไกรสร ป้านวลเห็นว่า มนชญาเคยสั่งให้บอกอินตรากลับมาอยู่บ้านได้ จึงคิดว่าไม่เป็นไรที่จะให้อินตราเข้าไป
ป้านวลบอกเรื่องที่มนชญาอยากให้อินตรากลับมาอยู่บ้าน อินตราไม่อยากเชื่อจึงขอเยี่ยมพ่อก่อน นิดเห็นป้านวลเดินนำอินตราเข้ามา รีบแล่นไปฟ้องกัลยาณี...อินตราเข้ามาในห้องไกรสร มะปรางซึ่งเฝ้าอยู่ตกใจกลัวอินตราทำร้ายท่าน
“ไม่ต้องกลัวหรอกจ้ะมะปราง อินแค่อยากจะมากราบคุณพ่อ เสร็จแล้วอินจะรีบไป” อินตรานั่งลงกราบเท้าไกรสร ทั้งน้ำตา “คุณพ่อขา มน...เอ่อ อินคิดถึงคุณพ่อที่สุดเลยค่ะ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงลูกคนนี้ ก็ยังเป็นลูกของคุณพ่อคนเดิมนะคะ”
ไกรสรมองอินตรา กะพริบตาถี่ๆเห็นเหมือนมีร่างมนชญาซ้อนอยู่ ก็คิดว่าตัวเองตาฝาดไม่อาจเปล่งเสียงถามได้...พอกัลยาณีรู้ว่าอินตรามาที่บ้าน ก็เดินฉับๆตรงไปยังห้องไกรสร เปิดประตูผลัวะเข้าไป ในห้องมีแต่ป้านวลกับมะปรางเฝ้าอยู่ ไม่มีเงาของอินตราเลย จึงหันมาเอ็ดตะโรใส่นิด หาว่าตาฝาด
ห่างออกมาจากห้องไกรสร นพดลกับอินตราแอบอยู่ ทั้งสองโล่งใจที่รอดสายตากัลยาณีมาได้ นพดลเล่าว่า เขาเห็นนิดยืนมองตอนอินตราเข้ามาในบ้านแล้ววิ่งไปที่ห้องกัลยาณี อินตราขอบใจนพดล แล้วมองไปยังห้องไกรสรอย่างอาลัยอาวรณ์...
ขณะที่มนชญากำลังทานกลางวันกับภูมินทร์ กัลยาณีโทร.เล่าว่านิดเห็นอินตรามาบ้าน แต่เธอไปดูแล้วไม่เห็นมี มนชญาโกรธมากบอกว่าเย็นนี้จะกลับไปซักถามเอง ภูมินทร์ถามว่ามีเรื่องอะไร มนชญาปั้นหน้าเศร้า กลัวอินตรามาทำร้ายไกรสรอีก ภูมินทร์นิ่วหน้าไม่พอใจ
ตกเย็น เขามาที่โรงเรียนกุ๊กไก่ เห็นอินตรายืนส่งนักเรียนกลับจนหมด จึงเข้าไปกระชากแขนเธอถามว่าวันนี้ไปทำอะไรที่บ้านไกรสร อินตราตกใจที่เขารู้ จึงยอมรับว่าตนไปเยี่ยม ได้ข่าวว่าท่านไม่สบาย ภูมินทร์ไม่เชื่อ
“คนอย่างคุณห่วงใครเป็นด้วยเหรอ เมื่อก่อนคุณไม่เคยสนใจไยดีคุณอาสักนิด แล้วนี่นึกอะไรขึ้นมา หรือว่าคุณคิดจะทำอะไรอยู่”
“ก็แล้วแต่พี่ภูจะคิดเถอะค่ะ เพราะมน...เอ้อ อินพูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ อินขอตัวนะคะ” อินตราจะเดินหนี ภูมินทร์ตาม
พอดีกุ๊กไก่วิ่งเข้ามา ภูมินทร์จึงต้องชะงักหันมาหาหลานสาว แต่สายตามองตามอินตราไปอย่างเสียดาย...อินตราเข้ามาเก็บของที่โต๊ะเพื่อกลับบ้าน น้ำตาไหลรินด้วยความเสียใจ ขณะที่ภูมินทร์กำลังหากุญแจรถ กุ๊กไก่พูดจ้อยๆถึงครูอินตราที่ตนรัก พอดีสายกระติกน้ำขาด กระติกกลิ้งไปกลางถนน กุ๊กไก่วิ่งไปเก็บ รถคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว อินตราเดินมาเห็นตกใจวิ่งเข้าไปกอดกุ๊กไก่แล้วหันตัวรับรถคันนั้นแทน รถเบรก อย่างแรงแต่ยังกระแทกเข้าที่ขาเธอล้มลง ภูมินทร์ตกใจไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่อง
ooooooo
เอ็นข้อเท้าฉีก ฟกช้ำตามร่างกาย หมอดูอาการแล้วให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ พยาบาลเข็นรถเข็นอินตราออกมา กุ๊กไก่กับภูมินทร์เข้าไปรับ อินตราถามกุ๊กไก่ด้วยความห่วงใยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ภูมินทร์ซาบซึ้งใจปนสงสัย แต่ก็ขอบคุณที่เธอช่วยชีวิตกุ๊กไก่
ภูมินทร์จะไปส่งอินตราที่บ้าน อินตราลังเลขอกลับเอง กุ๊กไก่ไม่ยอมตื๊อจะไปส่ง พอภูมินทร์กำลังประคองอินตราไปขึ้นรถ รถของนพดลแล่นเข้ามา เขาลงจากรถหน้าตื่นตระหนก
“คุณมะ...อินตราเป็นยังไงบ้าง พอคุณโทร.ไปบอก ผมก็รีบมาที่นี่ทันทีเลย”
อินตรายิ้มบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แล้วหันไปขอบคุณภูมินทร์ นพดลพยุงอินตราไปขึ้นรถขับออกไป ภูมินทร์มองตามด้วยความแปลกใจ...พอยุวดีกับคนที่บ้านรู้เรื่องก็ตกใจ ยุวดีอุทาน
“ว้าย...แล้วมน เอ๊ย ครูอินเป็นอะไรมากรึเปล่าคะพี่ภู”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว เออยุ...มานี่กับพี่หน่อย พี่มีเรื่องจะถาม”
ยุวดีนิ่วหน้าสงสัย พอภูมินทร์ถามว่ารู้ไหมว่านพดลติดต่อกับอินตรา ดูท่าจะสนิทสนมกันมาก ยุวดีรีบบอกว่า ก็สองคนนี้โตมาด้วยกัน และเป็นลูกกำพร้าเหมือนกันก็ต้องเข้าใจกันเป็นธรรมดา ขนาดตนยังใจอ่อนเลย ภูมินทร์นิ่งคิด ยุวดีได้ทียุ
“แล้วพี่ภูล่ะคะ ถ้าเกิดพี่อินปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น สำนึกผิดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา พี่ภูจะให้อภัยพี่อินบ้างไม่ได้เชียวเหรอคะ”
“ยุเป็นอะไร ทำไมถึงอยากจะให้พี่ให้อภัยอินตรานักหนา”
“ก็เพราะว่าพี่อินเป็น...” ยุวดีเกือบหลุดความจริงออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นพูดว่า อินตราเป็นพี่สาวของมนชญา ภูมินทร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
เมื่อคิดอย่างที่ยุวดีพูด ภูมินทร์จึงสั่งดอกไม้จะเอาไปขอบคุณอินตราที่ช่วยกุ๊กไก่ กิ่งกาญจน์รับดอกไม้จากพนักงานที่เอามาส่งแล้วแปลกใจว่า ภูมินทร์จะเอาไปให้ใคร เพราะปกติถ้าสั่งให้ลูกค้า ภูมินทร์จะต้องให้ตนจัดการ ด้วยความอยากรู้จึงโทร.ไปหยั่งเชิงมนชญา ถามว่าป่วยหรือ มนชญาไม่พอใจหาว่ากิ่งกาญจน์แช่ง
“อย่าเพิ่งโมโหสิคะคุณมน ที่กิ่งโทร.มาถามก็เพราะเป็นห่วงคุณหรอกนะ ก็กิ่งเห็นคุณภูสั่งดอกไม้ช่อเบ้อเร่อ ก็เลยคิดว่าคุณมนคงไม่สบายนี่คะ อ้าว...คุณภูไม่ได้สั่งให้คุณหรอกเหรอ อุ๊บ ทำความลับเจ้านายแตกแล้วเรา” กิ่งกาญจน์แกล้งทำเป็นตกใจ มนชญาโกรธกระแทกหูโครม
กิ่งกาญจน์สะใจ ภาวนาให้มนชญาอาละวาดมากๆ ภูมินทร์จะได้เห็นธาตุแท้เสียที...
ooooooo
หลังเลิกงาน ภูมินทร์หอบช่อดอกไม้มาเคาะห้องอินตรา พอเธอเปิดประตูมาเจอภูมินทร์ก็ตกใจ รู้ได้ อย่างไรว่าตนอยู่ที่นี่ ภูมินทร์อ้างนพดลเป็นคนบอก และส่งดอกไม้ให้บอกว่ากุ๊กไก่ฝากมา อินตราอมยิ้มดีใจ สบตาภูมินทร์ เขาเห็นแววตาสดใสของเธอเหมือนโดนมนตร์สะกด พลันได้กลิ่นไหม้โชยมา ทั้งสองทำจมูกฟุดฟิด อินตรานึกได้ว่าตั้งหม้อไว้บนเตา รีบกะเผลกเข้าไปแต่ไปไม่ไหวจะล้ม ภูมินทร์เข้าประคองให้ตั้งหลักแล้ววิ่งไปที่ครัวเอง
เห็นไฟไหม้ในหม้อก็รีบเอาผ้าตบๆให้ไฟดับ อินตราโขยกเขยกเข้ามาเห็นหน้าตาภูมินทร์ดำเป็นแถบก็หัวเราะขำชี้ที่หน้าเขา ภูมินทร์หันไปมองกระจกก็เคืองแกล้งเอามือป้ายหน้าอินตราบ้าง “นี่ หน้าดำเหมือนกัน จะได้หยุดหัวเราะคนอื่นสักที”
หน้าคอนโดฯ ยุวดีหิ้วของกินพะรุงพะรังเดินมากับนพดล เหลือบเห็นรถภูมินทร์จอดอยู่ก็ชะงักดึงนพดลชวนไปซื้อของเพิ่ม นพดลแปลกใจจะซื้ออะไรนักหนา ยุวดีอ้างว่า อินตรา
เดินไม่ถนัดจะทำอะไรกินเองได้ ต้องซื้อตุนไว้มากๆ แต่แล้วพอเดินไป เปลี่ยนใจชวนเขากินข้าวก่อน ไม่ทันจะเดินเข้าร้าน มีโจรมากระชากกระเป๋ายุวดี นพดลตามไปแย่งคืน จึงต่อสู้กัน นพดลพลาดโดนมีดปาดที่แขน ยุวดีวิ่งตามมาร้องให้คนช่วย โจรเห็นท่าไม่ดีวิ่งหนีไป
ยุวดีรีบพานพดลไปทำแผลที่คลินิกแถวนั้น โชคดีที่แผลไม่ลึก จึงโล่งใจ “ดีนะที่นายไม่เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้น ฉันต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ๆ ถ้านายเป็นอะไรไป”
“ถ้าผมเป็นอะไรไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย คุณเป็นห่วงผมเหรอ”
“เปล่า...ฉันว่าเรากลับห้องยัยมนกันได้แล้วล่ะ ป่านนี้พี่ภูคงกลับแล้ว” ยุวดีรีบปิดปากตัวเองที่เผลอหลุดปาก
“อ๋อ...ที่แท้คุณก็ไม่ได้ลืมซื้อของ แค่อยากเปิดโอกาสให้คุณมนกับคุณภูใช่ไหม”
ยุวดียิ้มแหะๆ นพดลส่ายหน้ากับความเจ้าแผนการของเธอ...
ภูมินทร์กำลังลากลับ อินตราฝากกล่องคุกกี้ที่ทำเองไปให้กุ๊กไก่ด้วย ภูมินทร์แปลกใจว่าคนอย่างอินตราทำของ พวกนี้เป็น ภูมินทร์เตือนให้อินตราทำอะไรระวังให้มาก อย่าให้เกิดอุบัติเหตุอีก...อินตรานั่งอมยิ้มมองช่อดอกไม้ด้วยหัวใจพองโต ยุวดีกับนพดลเข้ามา
“อุ๊ย ดอกไม้ใครเอ่ย สวยจังเลย” ยุวดีแซว
“พี่ภูเอามาให้เมื่อตะกี้นี้เอง ดีนะ ที่เธอสองคนยังมาไม่ถึง ไม่อย่างนั้นพี่ภูได้สงสัยแน่”
พอเห็นว่านพดลมีผ้าพันแผลที่แขน อินตราก็ตกใจ ยุวดีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง นพดลบอกว่าอย่าเพิ่งห่วงเขาเลย ห่วงว่าถ้ามนชญารู้ว่าภูมินทร์มาที่นี่จะเดือดร้อนแน่ อินตรากลัดกลุ้ม
เย็นวันนั้น มนชญามารอถามภูมินทร์ที่บ้านว่าเอาดอกไม้ไปให้ใคร ภูมินทร์แปลกใจว่ารู้ได้อย่างไร แต่ก็พยายามปลอบให้มนชญาใจเย็น “เอาเป็นว่ามนไม่ต้องรู้หรอกนะ มันไม่มีอะไร ยังไงพี่ก็รักและซื่อสัตย์กับมนคนเดียว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าพี่ภูไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก เอา เป็นว่าถ้าพี่ภูทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะนะคะ มนรู้ตัวแล้วค่ะว่ามนไม่ได้สำคัญพอที่จะมีสิทธิ์เข้าไปยุ่งชีวิตของพี่ภู” มนชญาน้อยใจร้องไห้กลับไป
ภูมินทร์เหนื่อยใจไม่ได้ตาม มนชญายิ่งเคือง ขับรถออกไปด้วยความหงุดหงิด มานั่งดื่มคนเดียวในผับประจำ วายุมาเห็นเข้าไปพูดคุยด้วย แต่มนชญาแสดงความรังเกียจอย่างออกนอกหน้า จนเขาไม่พอใจ แอบใส่ยาในเครื่องดื่มหวังพิชิตตัวเธอ...ดึกแล้ว กัลยาณีเป็นห่วงที่มนชญายังไม่กลับบ้าน จึงโทร.ไปถามภูมินทร์ เขาจึงรีบออกไปตามหา
วายุกำลังประคองมนชญามาที่รถ ขับออกไป เขาลูบไล้ต้นขาเธออย่างหื่นกาม ระหว่างทางเจอด่านตำรวจ วายุ รีบจอดรถข้างทาง มองไปไม่มีทางอื่นให้ไป ล้วงหยิบห่อยาในกระเป๋ากางเกงออกมาดู พึมพำ “เอาไงดีวะเนี่ย ไม่เสี่ยงดีกว่า เกิดโดนจับขึ้นมา ได้ไม่คุ้มเสีย”
วายุลงจากรถหนีไปปล่อยให้มนชญานอนไร้สติอยู่ในรถ ไม่นาน ตำรวจมาส่องไฟเข้าที่หน้ามนชญาแล้วเคาะเรียก เธอรู้สึกตัวขึ้นมาตกใจถามตำรวจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผมต้องถามคุณมากกว่า คุณมานอนทำอะไรตรงนี้”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ งั้นก็ช่างมันเถอะ ฉันกลับล่ะ” มนชญาเดินอ้อมจะไปด้านคนขับ
ตำรวจได้กลิ่นเหล้าจึงรั้งมนชญาไว้ “ผมว่าคุณอย่าขับรถกลับเลยครับ โทร.เรียกใครมารับไปดีกว่า”
มนชญาโวยวายใส่และทำร้ายเจ้าหน้าที่ แล้วยังท้าทายไม่รู้หรืออย่างไรว่าตนเป็นลูกใคร ตำรวจไม่พอใจรวบตัวมนชญาไปโรงพักเพื่อให้สร่างเมา...พอกัลยาณีได้รับแจ้งจากตำรวจก็รีบโทร.บอกภูมินทร์แล้วไปโรงพักกับนพดล มาถึงก็ได้กลิ่นเหล้าจากตัวมนชญาจนต้องเมินหน้าหนี มนชญาฟ้องกัลยาณีว่าตำรวจจับตนมาทั้งที่ไม่ผิดอะไร นพดลเห็นแล้วส่ายหน้าหนักใจ กัลยาณีให้เขาไปจัดการเสียค่าปรับ มนชญายังร้องไห้ขอร้องกัลยาณีอย่าบอกใครเรื่องนี้
“เอ่อ...คือว่า...” กัลยาณีหน้าเสีย กำลังจะบอก ภูมินทร์โผล่เข้ามาเสียก่อน
“มนเกิดอะไรขึ้น ทำไมตำรวจต้องพามนมาที่นี่ด้วย”
นพดลเดินกลับมา บอกว่า “ข้อหาเมาแล้วทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ครับ”
ภูมินทร์อึ้ง มนชญาเข้ามาเกาะแขนแก้ตัวว่าเธอไม่รู้เรื่อง ภูมินทร์ได้กลิ่นเหล้าถึงกับผงะ ถามว่าเธอดื่มหนักขนาดนี้เชียวหรือ มนชญาไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ได้แต่ร้องไห้ออดอ้อนว่าตนเสียใจที่เขานอกใจ
“พี่ไม่เคยนอกใจมน...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ” ภูมินทร์ไหว้กัลยาณีแล้วกลับออกไปทันที
มนชญาจะตาม กัลยาณีรั้งไว้ “ปล่อยตาภูไปก่อนเถอะจ้ะ ตาภูกำลังโกรธ พูดอะไรไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์”
มนชญาได้แต่มองตามหลังภูมินทร์ไปอย่างอาลัยอาวรณ์ นพดลเห็นแล้วหน่ายใจ
ooooooo
วันรุ่งขึ้น มนชญาพยายามโทร.หาภูมินทร์ แต่เขาปิดเครื่อง ทำให้เธอหงุดหงิดที่เรื่องแค่นี้ต้องโกรธมากมาย กัลยาณีมาปลอบว่า ไม่ต้องทำอะไรแค่ให้ทำตัวน่ารักๆ ให้ภูมินทร์เห็นว่าสำนึกผิดแล้วจริงๆ แค่นั้นภูมินทร์ก็จะให้อภัยเอง มนชญานิ่งคิดตาม
ตัดสินใจมารอภูมินทร์ที่บ้าน มนชญากราบขอโทษดุสิตกับวารี ที่ตนทำตัวให้ผิดหวัง วารีเข้าใจว่าเพราะเธอเสียใจมากไปหน่อย และเชื่อว่าเธอเป็นเด็กดีคงไม่ทำอะไรเสื่อมเสียแน่ ดุสิตชวนให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน พอดีสาวใช้เข้ามารายงานว่า ภูมินทร์กับยุวดีติดประชุมด่วน ให้คนรถที่บ้านไปรับกุ๊กไก่ที มนชญาได้ยินจึงอาสาไปรับแทน
ทั้งที่ไม่เต็มใจ แต่มนชญาต้องทำเพื่อเอาใจภูมินทร์...
กุ๊กไก่กำลังเรียนพิเศษกับอินตราอยู่ ขณะที่อินตราออกไปเอาหนังสือห้องอื่น มนชญาเข้ามาเรียก
“กุ๊กไก่ขา คุณอามารับกลับบ้าน วันนี้อาภูไม่ว่าง คุณอามนจึงมารับแทน เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ” มนชญาดึงมือกุ๊กไก่
“กุ๊กไก่ยังกลับไม่ได้ค่ะ กุ๊กไก่ต้องไปบอกครูก่อน”
“คุณครูไม่กล้าว่าอะไรหรอกค่ะ ไปเถอะค่ะ อาอยากกลับบ้านแล้ว” มนชญาเริ่มรำคาญ
กุ๊กไก่สะบัดมือออก “ไม่ค่ะ กุ๊กไก่จะรอคุณครูอิน”
“คุณครูกุ๊กไก่ชื่ออะไรนะคะ”
กุ๊กไก่ไม่ทันตอบ อินตราเดินถือหนังสือเข้ามาต้องตกตะลึง มนชญาตั้งสติได้ปราดเข้ากระชากแขนอินตรา “เธอกล้าดียังไงถึงมาสอนที่นี่ หรือว่าเธออยากจะให้คนอื่นๆรู้ความจริงเรื่องของเรา”
“มนเปล่านะคะพี่อิน มนก็แค่ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวก็เท่านั้นเอง”
มนชญาไม่เชื่อผลักอินตราอย่างแรงล้มลง กุ๊กไก่โผเข้าผลักมนชญาบ้างและว่าจะฟ้องภูมินทร์ มนชญารีบกลบเกลื่อนว่าเป็นอุบัติเหตุ แล้วส่งสายตาขู่อินตรา ทำให้อินตราลุกขึ้นยืนแล้วบอกกุ๊กไก่ว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆ และตนก็ไม่เป็นอะไร มนชญาดึงกุ๊กไก่
“ถ้าคุณครูไม่เป็นอะไรแล้ว งั้นเรากลับบ้านกันเถอะนะคะ ป่านนี้อาภูคอยแย่แล้ว” มนชญาคว้ากระเป๋าและน้องลูกเจี๊ยบของกุ๊กไก่ออกไป แต่ไม่วายเหลียวมามองอย่างอาฆาต อินตราทรุดนั่งอย่างไม่สบายใจ...
รถมนชญาแล่นมาจอดหน้าตึก กุ๊กไก่วิ่งลงจากรถหน้างอ ยุวดีกับภูมินทร์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ยุวดีวิ่งตามกุ๊กไก่ไป ภูมินทร์เดินเข้ามาหามนชญา เธอทำเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อว่า
“มนรู้แล้วนะคะว่าพี่อินเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนกุ๊กไก่ ทำไมพี่ภูทำอย่างนี้คะ พี่ภูปิดบังมนเรื่องพี่อินทำไม”
“พี่ไม่อยากให้มนไม่สบายใจ”
“แล้วทำไมพี่ภูไม่คิดบ้างคะว่า ถ้ามนรู้เรื่องด้วยตัวเองมนจะไม่สบายใจยิ่งกว่า แล้วยิ่งถ้าพี่อินมาสร้างความเดือดร้อนให้มนอีก มนจะทำยังไงคะ”
“แต่ที่ผ่านมาพี่ว่าอินตราปรับปรุงตัวดีขึ้นนะมน บางทีเขาอาจจะสำนึกผิดแล้วจริงๆก็ได้”
มนชญาไม่พอใจหาว่าภูมินทร์ลืมไปแล้วว่าอินตราจะฆ่าตน ภูมินทร์ตอบว่าไม่ลืม และขอให้ปล่อยให้อินตราใช้ชีวิตไป โดยไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้ก็น่าจะพอ มนชญากำมือแน่นเจ็บใจ ที่เห็นทุกคนหันไปดีกับอินตรา
ooooooo
ทั้งยุวดีและนพดลเป็นห่วงอินตรา รีบมาดูว่าเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า โชคดีที่มีองครักษ์ตัวน้อยอย่างกุ๊กไก่อยู่ด้วย มนชญาจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรง ยุวดีบอกให้รู้ว่า แม้แต่เด็กอย่างกุ๊กไก่ยังไม่ชอบมนชญาแล้วเลย บ่นแต่ว่านิสัยไม่ดี นพดลเตือนให้ระวังตัวมากๆ เพราะเชื่อว่ามนชญาไม่หยุดแค่นี้แน่
และจริงอย่างที่นพดลคิด มนชญาแค้นใจ เก็บน้องลูกเจี๊ยบของกุ๊กไก่ที่ทำหล่นไว้ มาล่อให้กุ๊กไก่ออกจากห้องเรียนตอนเย็น ระหว่างที่อินตราออกไปรับโทรศัพท์ที่ห้องพักครู... กุ๊กไก่เห็นตุ๊กตาตัวเองวางอยู่ริมสระน้ำ ก็วิ่งจะไปเก็บ มนชญาออกมาผลักกุ๊กไก่ตกน้ำ
อินตรามารับโทรศัพท์ ทางนั้นวางสายไปแล้ว ก็แปลกใจเดินกลับออกมา ได้ยินเสียงคนร้องว่าเด็กตกน้ำ จึงวิ่งไปดู... มนชญาเห็นคนเริ่มมาจึงโดดลงไปช่วยกุ๊กไก่ที่ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ อินตรามาถึงเห็นมนชญาอุ้มกุ๊กไก่ขึ้นมาในสภาพหมดสติ ก็ตกใจสุดขีด...
อินตราเกาะขอบเตียงที่เข็นกุ๊กไก่เข้าห้องฉุกเฉิน ปิติเจ้าของโรงเรียนและมนชญาวิ่งตามมา ภูมินทร์กับครอบครัวมาถึงพอดี มนชญาโผกอดภูมินทร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมกุ๊กไก่ถึงตกน้ำได้” ดุสิตถามมนชญา
“มนก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พอมนไปถึงโรงเรียนก็เห็นกุ๊กไก่วิ่งไปทางสระว่ายน้ำคนเดียว มนก็เลยตามไป ถึงได้เห็นกุ๊กไก่พลัดตกน้ำไป มนขอโทษนะคะ มนน่าจะวิ่งตามแกไปให้เร็วกว่านี้ กุ๊กไก่จะได้ไม่ต้อง...”
“อย่าโทษตัวเองสิจ๊ะมน มันไม่ใช่ความผิดของมนสักหน่อย”
“ใช่จ้ะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของหนูมน คุณพี่ปิติคะ เวลานี้ยัยกุ๊กไก่ต้องเรียนพิเศษอยู่ ไม่ทราบว่าใครเป็นครูที่สอนยัยกุ๊กไก่คะ ทำไมถึงปล่อยให้เด็กไปตกน้ำได้” วารีสงสัย
ปิติเรียกอินตรา อินตราหันมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน ดุสิตกับวารีเห็นอินตราก็ตกใจ ปิติบอกว่าอินตราคือครูประจำชั้นของกุ๊กไก่
“ถ้ายังงั้นดิฉันไม่แปลกใจแล้วล่ะค่ะ ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องไม่ดีกับยัยกุ๊กไก่”
อินตรายกมือไหว้ขอโทษดุสิตกับวารีที่ปล่อยให้เกิดเรื่องกับกุ๊กไก่ วารีเมินหน้าหนี หันไปพูดกับปิติ “คุณพี่คะ เรื่องนี้ดิฉันยอมไม่ได้นะคะ คุณพี่ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด เพราะถ้าที่โรงเรียนของคุณพี่ ยังมีครูที่ไม่มีความรับผิดชอบอยู่ล่ะก็ เห็นทีว่าดิฉันคงต้องให้หลานออกไปเรียนที่อื่น”
“ครับ เกิดเรื่องไม่ดีกับเด็กนักเรียนขนาดนี้ พี่ก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน หนูยุคงไม่ว่าอะไรนะจ๊ะ ถ้าลุงจะไล่ครูอินตราออก” ปิติหันมาถามยุวดี
ดุสิต วารี และมนชญาหันขวับไปมองยุวดีเป็นตาเดียว...
กลับถึงบ้าน ยุวดีถูกซักฟอกขนานใหญ่ ดุสิตตำหนิที่ทำอะไรไม่ปรึกษากันบ้าง จะฝากงานใครก็น่าจะดูให้ดีก่อน ยุวดีหน้าเจื่อน บอกว่าตนสงสารอินตราที่ไม่มีงานทำ วารีเอ็ดให้บ้าง ว่าสงสารคนอย่างอินตราแล้วเป็นอย่างไร ลืมไปแล้วหรือว่าอินตราร้ายกาจขนาดไหน
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้พี่อินเปลี่ยนไปแล้วนะคะ” ยุวดียังแก้ตัวแทน
“เป็นคนอื่นแม่ยังพอเชื่อ แต่เป็นอินตรา แม่เชื่อว่าคนอย่างนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยเดิมได้แน่นอน”
ยุวดีถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน มองภูมินทร์ที่เอาแต่หน้าเครียด...ในขณะที่มนชญายิ้มสะใจอยู่ที่บ้านตัวเอง ที่ทำให้ภูมินทร์กลับมาเกลียดอินตราได้เหมือนเดิม แต่ฉุกใจสงสัยว่า ทำไมยุวดีเป็นคนฝากงานให้อินตรา
ooooooo
ยังคงเสียใจไม่ไปไหน อินตราเกาะหน้าห้องที่กุ๊กไก่นอนพักฟื้นอยู่ เฝ้าดูน้ำตาไหลรินด้วยความเป็นห่วงทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น มนชญาไปหายุวดีที่บ้าน ถามตรงๆว่าทำไมหางานให้อินตราทำแล้วไม่บอกตน
“ทำไมจ๊ะ อย่าบอกนะว่าเธอจะห้ามฉันไม่ให้ความช่วยเหลือกับพี่อิน เพราะเธอเคยบอกฉันเองนะมนว่าพี่อินก็เป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆของเธอ ต่อให้พี่อินจะเลวใส่เธอแค่ไหน เธอก็จะให้อภัย อย่าบอกนะว่าเธอจำไม่ได้”
เล่นเอามนชญาพูดไม่ออก ยุวดีแอบหัวเราะ รีบมาเล่าให้อินตรากับนพดลฟังที่คอนโดฯ
“ฉันนะอยากให้เธอสองคนเห็นหน้ายัยพี่อินตอนที่ถูกฉันหลอกด่าชะมัด หน้างี้เจื่อนไปเลย” พอเห็นสีหน้าอินตราเศร้าก็เข้ามาโอบไหล่ถาม “เธอยังกลุ้มใจเรื่องกุ๊กไก่อยู่เหรอมน”
“ฉันรู้สึกผิด ฉันน่าจะดูแลกุ๊กไก่ให้ดีกว่านี้”
นพดลว่าเป็นเหตุสุดวิสัย อย่าโทษตัวเองเลย ยุวดีเอะใจ อินตราเล่าว่า ตอนที่สอนพิเศษกุ๊กไก่อยู่ มีคนโทร.มาหา พอตนไปรับสาย เขาก็วางไปแล้ว กลับมาก็เกิดเรื่องขึ้น ยุวดีฟังแล้วรู้สึกเหมือนมีคนวางแผนไว้ นพดลติงว่าไม่มีหลักฐานอย่าเพิ่งกล่าวหาใคร ยุวดีเคือง
“อย่ามาเข้าข้างพี่อินหน่อยเลย ลองคิดกันดูสิว่า ทำไมทุกอย่างมันถึงได้ประจวบเหมาะกันนัก ไหนจะเรื่องโทรศัพท์ ไหนจะเรื่องยัยพี่อินไปช่วยกุ๊กไก่พอดี๊พอดี และที่สำคัญ พวกเธอก็รู้จักกุ๊กไก่ดี ยัยกุ๊กไก่ไม่ใช่เด็กซนที่จะวิ่งเล่นไปเรื่อย จริงมั้ย”
“แล้วอินตราจะแกล้งน้องกุ๊กไก่ทำไม” นพดลสงสัย
“ก็เพราะอยากจะไล่ยัยมนออกจากโรงเรียนน่ะสิ คนอย่างยัยพี่อินทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่สนใจชีวิตใครทั้งนั้น”
อินตราหน้าเครียดเป็นกังวล “ยุ...นพ...เราจะทำยังไงกันดี เพราะถ้าขืนพี่อินยังอยู่ในร่างฉันต่อไปอย่างนี้ ฉันกลัวว่าจะมีใครต้องเดือดร้อนอีก”
“งั้นเราก็ต้องหาทางให้มนกลับคืนร่างเดิมให้เร็วที่สุด”
“แต่แม่ชีจันบอกว่า ฉันกับพี่อินจะมีโอกาสกลับคืนร่างได้ ก็ต่อเมื่อวันที่เกิดสุริยุปราคา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่”
“ถ้างั้นเราก็ต้องหาทางรู้ให้ได้ครับ ผมรู้จักนักดาราศาสตร์อยู่คนหนึ่ง เขาอาจจะช่วยได้”
อินตรามีความหวังขึ้นมา...เมื่อสามคนมานั่งฟังนักดาราศาสตร์อธิบายว่า เท่าที่พยากรณ์กันเอาไว้ ก็ประมาณอีกปีหนึ่งกว่าจะเกิดสุริยุปราคาอีกครั้ง ทุกคนตกใจทำไมนานขนาดนั้น
“แล้วจะไม่มีโอกาสที่มันจะเกิดก่อนหน้านี้หรือครับ”
“มันก็มีโอกาสนะ เพราะปีๆหนึ่ง สามารถเกิดสุริยุปราคาได้อย่างน้อยสองครั้ง แต่ไม่เกินห้าครั้ง มันก็ขึ้นอยู่กับว่า จะเกิดสุริยุปราคาแบบไหน แบบเต็มดวงหรือแบบไม่เต็มดวง ว่าแต่พวกคุณอยากรู้กันไปทำไมเหรอ”...สามคนมองหน้ากันไปมาด้วยความหนักใจ
ในระหว่างนั้น ภูมินทร์มาอยู่เป็นเพื่อนกุ๊กไก่ที่โรงพยาบาล กุ๊กไก่ถามหาอินตรา ภูมินทร์ชะงักก่อนจะตอบว่า “คุณครูคงยุ่งอยู่น่ะจ้ะ...เอ กุ๊กไก่จ๊ะ กุ๊กไก่จำได้มั้ยว่า วันนั้นเกิดอะไรขึ้น ทำไมกุ๊กไก่ถึงตกน้ำไปได้”
“ตอนครูอินออกไปรับโทรศัพท์ กุ๊กไก่เห็นน้องลูกเจี๊ยบอยู่แถวๆสระว่ายน้ำค่ะ”
“แต่กุ๊กไก่ทำน้องลูกเจี๊ยบหายไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว
ไม่ใช่เหรอจ๊ะ กุ๊กไก่คิดถึงน้องลูกเจี๊ยบมากจนตาฝาดหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ กุ๊กไก่เห็นน้องลูกเจี๊ยบจริงๆ กุ๊กไก่จะไปเก็บ แล้วก็เหมือนมีใครไม่รู้มาผลัก”
“ผลัก...ใครจะผลักกุ๊กไก่” ภูมินทร์ตกใจไม่อยากจะเชื่อ...
ooooooo










