ตอนที่ 14
ปราณนต์วิ่งมาถึงบันไดหนีไฟ พอดีกับที่รุ้งลดาส่งข้อความมาบอกว่าองศามีปืนให้ระวัง เขายิ่งเป็นห่วงพริบพราวจับใจ จึงกลับไปสมทบกับลิปดาที่ทางเข้าด้านหน้า...ขณะเดียวกันองศาหันมาเห็นรุ้งลดากำลังส่งข้อความ จึงกระชากโทรศัพท์มาแล้วตบเธอล้มคว่ำ
องศาเค้นถามว่าส่งข้อความให้ใคร รุ้งลดาอึกอัก เขาจึงเข้าไปตบซ้ำ พริบพราวทนไม่ไหว โผนเข้ารั้งมือเขาไว้ ด่าว่าผู้ชายเฮงซวย ทำร้ายแม้กระทั่งคนรัก องศาตวาด...อย่ามาสาระแน แล้วผลักเธอล้มกระแทกโต๊ะจนมึน รุ้งลดาตกใจร้องลั่น พริบพราวรับรู้ถึงความห่วงใยของเธอ
พอลิปดาเจอกับปราณนต์ก็บอกเขาว่าองศาโทร.มาต้องการเอกสารแลกกับตัวพริบพราว ปราณนต์หันไปเห็นกองกระดาษจึงหยิบมาปึกหนึ่งใส่ซองบอกให้เอานี่แทนไปก่อน
“เดี๋ยวบอสเข้าทางประตูหน้านะครับ เมื่อกี้ผมไปสำรวจมาแล้ว มีทางหนีไฟที่ทะลุเข้าไปด้านในได้ ผมจะเข้าทางนั้น บอสดึงความสนใจองศาไว้ ผมจะหาจังหวะช่วยพราวเอง อ้อ...บอสระวังด้วยนะครับ รุ้งบอกว่าองศามีปืน”
ลิปดาทำมือโอเค ปราณนต์วิ่งกลับไปทางเดิม ลิปดากอดซองเอกสารพร้อมลุย...อวัศยาโทร.แจ้งตำรวจและรออยู่หน้าตึก...ด้านองศา ใช้เข็มขัดมัดมือรุ้งลดาติดไว้กับขาโต๊ะ เสียงลิปดาตะโกนเข้ามาว่าเอาเอกสารมาแล้ว องศาหันไปกระชากพริบพราวลุกขึ้น ใช้ปืนขู่ยืนรอลิปดา
สองคนเผชิญหน้ากัน องศาให้โยนซองเอกสารมา ระหว่างนั้น ปราณนต์วิ่งมาทางบันไดหนีไฟ หาทางเข้ามาในตัวตึก ลิปดาพยายามประวิงเวลารอให้ปราณนต์ โผล่มาก่อน...ปราณนต์เข้ามาได้เห็นรุ้งลดาถูกมัดอยู่ องศากำลังโกรธบังคับให้ลิปดาส่งเอกสารมาเร็วโดยนับหนึ่งถึงสาม ลิปดาเหลือบเห็นปราณนต์จึงบอกองศาไม่ต้องนับแล้วโยนซองเอกสารลงพื้นให้ พอองศาจะก้มเก็บ ลิปดาก็ร้องบอกพริบพราวให้หมอบ ปราณนต์เข้าชาร์จองศาจากด้านหลัง ปืนในมือลั่นเปรี้ยง...อวัศยาซึ่งอยู่ข้างนอกใจเสีย ตำรวจมาถึงพอดีเธอรีบนำเข้าไป
ทุกคนตั้งสติได้ พริบพราวร้องลั่น ปราณนต์ชกหน้าองศาปืนกระเด็น พริบพราวพุ่งไปจะเก็บปืน แต่รุ้งลดาหยิบได้ก่อนเอามาจ่อองศาบอกให้หยุด ทุกอย่างจบแล้ว องศาโวยวาย
“รุ้ง!ไม่!มันต้องไม่จบแบบนี้ ฉันต้องไม่แพ้...”
ตำรวจกรูเข้ารวบตัวองศา ปราณนต์เข้าประคองพริบพราว อวัศยาเมินหน้าไม่อยากมอง เห็นลิปดานอนฟุบจมกองเลือดก็ตกใจวิ่งเข้าหา “บอส!บอส!อย่าเป็นอะไรนะ บอส...”
รถพยาบาลมารับตัวลิปดา อวัศยาเดินตามขึ้นรถพยาบาลไปด้วยแบบไม่รู้ตัว ปราณนต์เห็นความห่วงใยที่เธอมีต่อลิปดาก็ชักสงสัย
เวลาผ่านไป ครอบครัวพริบพราวรับเธอกลับบ้าน เธอดูเปลี้ยๆมีรอยฟกช้ำตามร่างกาย แววเอ็ดที่ทำอะไรเสี่ยงแบบนี้ พริบพราวกราบขอโทษแม่แล้วขอโทร.ถามอาการลิปดาจากนิดา...คืนนั้น ลิปดานอนกระสับกระส่ายในโรงพยาบาล จนเช้า ลิปดาเพ้อเรียกอวัศยาแล้วค่อยรู้สึกตัว เห็นเงาลางๆใครบางคน พอกะพริบตาถี่ก็เห็นชัดว่าเป็นปราณนต์ ลิปดาจะลุกขึ้น
“ใจเย็นครับบอส หมอบอกว่าแผลที่ผ่าเอากระสุนออกจะอักเสบระบมไปอีกสักพัก”
ลิปดามองไปรอบๆพอรู้ว่าตัวเองนอนอยู่โรงพยาบาลก็ถามถึงอวัศยากับพริบพราว ปราณนต์จึงเล่าว่า องศาถูกจับไปดำเนินคดีแล้วพร้อมหลักฐานเพียบ พริบพราวให้ปากคำแล้วคุณแม่มารับกลับบ้าน อวัศยาดูแลเขาทั้งคืนเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ ลิปดาอมยิ้มปลื้มไม่อยากเชื่อ
“บอสมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ปะ...เปล่าๆ ไม่มีอะไร ไม่มี้...”
ปราณนต์แอบยิ้มแล้วบอกว่าวันนี้พวกนารากรจะมาเยี่ยม ไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงคนเข้ามา ปรากฏว่าเป็นพริบพราวถือกระเช้าของเยี่ยมเข้ามา ปราณนต์กับพริบพราวสบตากันอึ้งๆ ลิปดาเห็นจึงแกล้งหลับกรนคร่อกๆ... พริบพราวเห็นเช่นนั้นจึงฝากของเยี่ยมแล้วจะกลับเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับปราณนต์ เขาเรียกเธอไว้จะขอโทษก็พอดีนิดานำทีมนารากรเข้ามาเสียงเจี๊ยวจ๊าว
ลิปดาถอนใจจะมาทำไมตอนนี้ แล้วจึงทำทีตื่นขึ้นมาทักทายกับทุกคน ทุกคนแสดงความห่วงใย พริบพราวรู้สึกตัวเองเป็นส่วนเกินจะถอยหนี แสนดีจดๆจ้องๆอยากขอโทษ พริบพราวตัดสินใจบอกลาลิปดา แสนดีโพล่งขึ้น
“เดี๋ยวค่ะน้องพราว เอ่อ...คือ พี่แสนดีอยากจะขอโทษ เอ่อ...พี่ขอโทษที่โยนความผิดเรื่องถ่ายเอกสารประวัติลูกค้าให้น้องพราว แต่พี่สารภาพความจริงไปหมดแล้วนะ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าน้องพราวไม่ได้เป็นคนทำ” ทุกคนพยักหน้าสำทับ “เอ้อ อีกอย่าง พี่ต้องขอบคุณน้องพราวเรื่องที่ช่วยพี่จากนายองศา แล้วยังพูดให้บอสรู้ว่าพี่โดนหลอก ทำให้พี่ไม่โดนไล่ออก แถมยังเสียสละตำแหน่งมาร์ฯให้พี่ แต่พี่บอกบอสไปแล้ว พี่ขอคืนแล้วกลับไปทำงานเอกสารเหมือนเดิม พี่รู้ตัวแล้วว่าพี่ชอบงานเอกสารมากกว่า พี่ขอบคุณมากๆขอบคุณจริงๆ” แสนดีโผกอดพริบพราว
ทุกคนน้ำตาปริ่มด้วยความซาบซึ้ง...บรรยากาศดีขึ้น ลิปดาถามใครอยากจะเคลียร์อะไรอีก ลิลลี่จึงกล่าวขอโทษพริบพราวบ้าง ที่คิดอิจฉาริษยาเธอมาตลอด ต่อไปตนจะไม่คิดร้ายอีก รุจน์เข้าโอบไหล่ลิลลี่ “ใช่ครับ...ที่น้องลิลลี่คิดแบบนี้ก็เพราะลูกของเรา”
ทุกคนตะลึงหันมาสนใจ รุจน์ยิ้มกริ่มบอกอาการออกจะชัดที่ลิลลี่อาเจียนตลอดเวลา นิดานึกได้ ถึงได้เหม็นกลิ่นรุจน์ทุกครั้งที่เข้ามาใกล้ ลิลลี่ยังมีท่าทีเคืองๆ รุจน์จึงคุกเข่าสารภาพรักและหยิบแหวนออกมาสวมให้ ลิลลี่น้ำตาร่วงใจอ่อนยวบ
พริบพราวเห็นภาพหวานซึ้งก็น้ำตาคลอเบ้าเลี่ยงหนีออกไปจากห้อง ลิปดาเห็น สะกิดบอกปราณนต์ให้ตามไป แต่ปราณนต์วิ่งตามไม่ทัน พริบพราวหนีขึ้นรถออกไป
เขาจึงกดโทรศัพท์หา เธอก็ไม่รับ เขาจึงส่งข้อความ “พราว... ผมรู้ว่าผมเข้าใจผิด ผมอยากขอโทษ...” พริบพราวอ่านแล้วไม่ตอบกลับ ปล่อยให้ปราณนต์เฝ้ารออย่างค้างคาใจ
ooooooo
ในคอนโดศรันยู อวัศยาดูซีดเซียวไม่แต่งตัวไปเยี่ยมลิปดา ศรันยูคะยั้นคะยอให้ไปด้วยกันก็ไม่ยอม ศรันยูติงว่าตอนเธอเฝ้าลิปดายังไม่ฟื้น ตอนนี้ฟื้นแล้ว
“ไม่ไป...แกไปเหอะ เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เป็นไร”
ศรันยูอ่อนใจเดินออกไป อวัศยานอนครุ่นคิดถึงความห่วงใยที่ปราณนต์มีต่อพริบพราว ทันใด ศรันยูกลับเข้ามาบอกว่าให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างเอาของเยี่ยมไปส่งแทน “ที่ฉันกลับมาเพราะจะมาจับเข่าคุยกับแก สรุปแกเป็นอะไร บอกมาให้หมด เอาให้เคลียร์”
อวัศยาอึกอักอยู่พักใหญ่กว่าจะเล่าออกไป ศรันยูฟังแล้วถาม “แกคิดว่าปราณนต์ยังรักพริบพราวอยู่ และเขาไม่ได้มีความสุขเวลาที่คบกับแก...งั้นฉันถามกลับแล้วแกรักปราณนต์รึเปล่า หรือว่าแกยังตัดใจจากบอสไม่ได้ แล้วแก...มีความสุขหรือเปล่า เวลาที่คบกับปราณนต์”
อวัศยาสะอึกกับคำถามชุดใหญ่ของเพื่อน ศรันยูแย็บ ตอบไม่ได้หรือไม่อยากตอบ
อัลบั้ม: เรื่องราวความรักของหนุ่มสาวสี่คน ใน "แอบรักออนไลน์"
“แกจะรู้ใจฉันมากไปแล้ว...” อวัศยาจิกตาใส่
“งั้นก็ไม่ต้องตอบฉัน แต่เธอต้องตอบตัวเองให้ได้ ตอนนี้หยุดหาคำตอบเกี่ยวกับความรู้สึกของปราณนต์ แล้วกลับมาหาความรู้สึกของตัวเอง ถ้าคำตอบที่ได้คือ... เธอยังรักบอส และไม่มีความสุขเวลาที่อยู่กับปราณนต์ เธอก็จะรู้เองว่าควรทำยังไงต่อไป จะไปต่อหรือจะหยุดแค่นี้”
อวัศยาครุ่นคิดจากที่ศรันยูทิ้งท้ายอย่างคมคาย...ด้านลิปดา นอนคิดถึงที่ปราณนต์บอกว่าอวัศยาเฝ้าตนอยู่จนเช้า แล้วถอนใจ
“เฝ้าข้ามคืนแต่ฟื้นแล้วไม่คิดจะมาเยี่ยม คุณจะแกล้งผมหรือไงศยา...”
พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขายิ้มตื่นเต้น แต่คนที่เปิดเข้ามาคือจารวี สีหน้าลิปดาผิดหวังจนเธอแขวะ “โห...หน้าตาผิดหวังแบบนี้ ต้องคิดว่าเป็นคนอื่นแน่ คิดว่าเป็นคุณศยาแน่เลย”
“เขาไม่มาเยี่ยมผมหรอก แค่มาเฝ้าตอนผมหลับ พอตื่นก็ให้แฟนมาดูแลแทน” ลิปดาเศร้า
“ลิป...อีกไม่กี่วันแจนจะย้ายไปอังกฤษกับแมทแล้ว แน่ใจนะว่าจะไม่ให้แจนไปเคลียร์กับคุณศยา เรื่องที่เราไม่ได้มีอะไรกันและลิปไม่ได้เป็นพ่อน้องเจมส์ คุณศยาจะได้เข้าใจ”
“ความจริงไม่ได้ทำให้เขาหันมารักผม บอกไปก็ไม่มีประโยชน์”...จารวีอ่อนใจที่ลิปดาดื้อ
คืนนั้น ทั้งสี่คนอยู่กับความเข้าใจผิดจากมุมมองของตน อวัศยาทบทวนที่ผ่านมาท่าทางปราณนต์เหมือนฝืนใจคบกับตน ดูเขาเป็นห่วงพริบพราวมาก ถึงขนาดบุกไปช่วยเธอไม่คิดชีวิต ส่วนปราณนต์ชักสงสัยเห็นอวัศยาวิ่งเข้าไปดูลิปดาอย่างห่วงใยตอนโดนยิง และตอนลิปดาฟื้นยังเรียกหาเธอ ส่วนลิปดานอนเศร้าเหงาในโรงพยาบาล นึกถึงความหมางเมินที่อวัศยามีให้ และเธอกำลังจะไปเที่ยวพักผ่อนกับปราณนต์ในฐานะคนรัก ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า สำหรับพริบพราวเช็กพาสปอร์ต จดหมายเรียกสัมภาษณ์งาน แล้วให้คิดถึงปราณนต์ที่มีอวัศยาคอยห่วงใย ตัดสินใจลบรูปเขาทิ้ง
ทันใด มีข้อความส่งเข้ามาถึงทั้งสี่คน เป็นการ์ดเชิญร่วมงานแต่งงานของลิลลี่กับรุจน์ ทั้งสี่คนครุ่นคิดจะไปดีหรือไม่
ooooooo
สุดท้าย ก็ถึงวันงานแต่งงานของลิลลี่กับรุจน์ เป็นงานเล็กๆจัดในสวนน่ารักๆ บ่าวสาวยืนต้อนรับเพื่อนๆ นารากร แสนดีเดินเข้ามาแซว ไม่อยากเชื่อว่าความรักจะทำให้รสนิยมคนเราลดลง เมื่อก่อนเห็นเกลียดอย่างกับเชื้ออีโบลา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าชายในสายตาไปเสียแล้ว
บ่าวสาวหัวเราะกันคิกคัก พีระ นิดาทยอยตามเข้ามา นิดามอบซองที่ลิปดาฝากมาให้ บอกว่าเขายังไม่หาย ทั้งรุจน์และลิลลี่ตื่นเต้นจนต้องขอแอบดูว่าใส่มาเท่าไหร่ แล้วลิลลี่ก็ตาโต
ปราณนต์ขับรถให้อวัศยาเข้ามา ทั้งสองควงกันเดินเข้างาน เธอแย็บ เพิ่งรู้ว่าเขาขับรถเป็น
“เป็นครับ แต่ไม่ค่อยได้ขับ เลยไม่ค่อยมีคนรู้ จะมีแต่คนสนิทๆที่รู้” อวัศยาสะอึกแล้วอย่างตนไม่สนิทหรือ “เอ่อ...ผมไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนิทกันนะครับ เพียงแต่...เราอาจจะไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ก็เลยไม่รู้ แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วก็ถือว่าเราสนิทกันแล้ว” ปราณนต์รีบแก้ตัว
“อ่อ...โอเค...ฉันเข้าใจ” อวัศยาตอบเก้อๆ
ปราณนต์ตัดบทชวนเข้างาน อวัศยาตัดสินใจถามอีกที ตั้งแต่วันที่ไปช่วยพริบพราว หลังจากนั้นได้เจอกันบ้างหรือเปล่า เขาพยักหน้า “เจอครับ...วันที่พี่ศยาให้ผมเฝ้าบอส วันนั้นพราวแวะมาเยี่ยม มาแป๊บเดียวแล้วก็กลับ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยครับ พี่ศยามีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆถึงได้ถามเรื่องพราว”
“เอ่อ...ก็ เห็นมีเรื่องเข้าใจผิดกัน เลยอยากรู้ว่าเคลียร์กันหรือยัง”
“ยังครับ เหมือนเขาหนีหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แล้วพี่ศยาล่ะครับเคลียร์กับบอสรึยัง”
อวัศยาสะอึกเหมือนโดนถามจี้ใจดำ “เคลียร์อะไรทำไมต้องเคลียร์ ไปได้ยินอะไรมาฮะ!”
ท่าทางอวัศยาร้อนตัวจนปราณนต์งง “ผมไม่รู้อะไรเลย แต่รู้ว่าที่โรงพยาบาล ตอนบอสยังไม่รู้สึกตัว เขาเพ้อชื่อพี่ด้วยนะครับ ตอนที่พี่ศยาย้ายไปอยู่กับบอส ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับคุณรัน มันมีอะไรรึเปล่าครับ”
อวัศยาใจเต้นเมินหน้าหนี พยายามเปลี่ยนเรื่อง มีอะไรค่อยคุยกันใหม่วันหลัง ตอนนี้เข้างานก่อน พูดจบก็เดินนำไป ปราณนต์มองตามงงๆ รู้สึกไม่ชอบมาพากล ท่าทางอวัศยาทำอะไรไม่ถูกเหมือนผู้ร้ายโดนจับได้ว่าทำผิดบางอย่าง ความผิดที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร... ปราณนต์เดินรี่มาเคียงคู่ ตั้งแขนให้เธอคล้อง อวัศยาดึงสติกลับมาควงแขนเขาเดินเข้างาน
นิดาชี้ให้ดูอวัศยากับปราณนต์ควงกันเข้ามาอย่างสวยหล่อ ลิลลี่ควานมือถือมาถ่ายภาพเก็บไว้ รุจน์กระเซ้าปราณนต์หล่อมาก ถ้าวันนี้ไม่มีตนก็หล่อที่สุดในงาน ทุกคนทำท่าคะย้อน อวัศยาขำเผลอมองหาลิปดา นิดารีบบอกว่ายังไม่หาย อวัศยาเสบอกว่ามองหาศรันยู
ไม่ทันไรเขาโผล่มา ควงโจนาธานนายแบบหล่อล่ำสไตล์เกาหลีมาแบบเปิดตัว ทุกคนหงายเงิบ
“โอ้ว...ควงกันมาแบบนี้ไม่มีข้อข้องใจ แกรนด์โอเพนนิ่งกันเลยงานนี้ พี่รันของเราสงสัยต้องเปลี่ยนจากนายศรันยูเป็นคุณศรัญญ่านับจากวันนี้” ทุกคนขำคำพูดแสนดี
พลันพริบพราวเดินสวยสดใสเข้ามา ปราณนต์ตะลึง อวัศยามองปราณนต์ยิ่งปักใจว่าเขามีใจให้พริบพราวมากกว่าตน จึงถอยไปมุมหนึ่งสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง คิดถึงลิปดาขึ้นมา เห็นเด็กเสิร์ฟเดินผ่าน จึงคว้าแก้วแชมเปญมาสองแก้วแล้วหาที่หลบมุม...พอปราณนต์รู้สึกตัวก็เดินตามหาอวัศยา พริบพราวมอบของขวัญให้บ่าวสาวหวั่นใจมองหน้าปราณนต์ไม่ติด ศรันยูแนะนำคู่ควงแก่ทุกคนแล้วจูงเข้างานไม่เสวนามากความ
ปราณนต์เดินหาอวัศยาไม่เจอจึงถามศรันยู เขากำลังป้อนค็อกเทลให้โจนาธาน ศรันยูบอกไม่เห็นเธอมากับเขาไม่ใช่หรือ ปราณนต์รับว่าใช่ แต่จู่ๆก็หายตัวไป
“พี่ไม่เห็นนะ เดี๋ยวจะลองโทร.ถามให้แล้วกัน”
“ครับ ผมจะเดินหาอีกรอบนะครับ”
ศรันยูแปลกใจที่อวัศยาปิดเครื่อง พลันเห็นพริบพราวเดินมา รู้สึกเธอสวยมากจึงเริ่มเป็นห่วงอวัศยา ส่งข้อความถาม “ศยาแกอยู่ไหน รายงานตัวด่วน”
ระหว่างนั้น ปราณนต์เดินตามหาอวัศยา ไม่ทันระวังชนเข้ากับพริบพราวอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งสองตกใจตะลึงมองกัน
ooooooo
มุมหนึ่งในเต็นท์จัดงาน อวัศยานั่งกระดกแก้วแชมเปญ อาการกรึ่มๆตามประสาคนไม่ค่อยดื่ม...
เกิดลมพัดแรงทำให้ด้านหน้าเต็นท์ ข้าวของจะปลิว ลิลลี่กับรุจน์กอดกล่องใส่ซองเกรงจะปลิว แสนดีร้องบอกรูปจะล้มแล้วช่วยกันจับไว้ ทุกคนช่วยกันขนของเข้าไปในเต็นท์
ปราณนต์กับพริบพราวยืนอยู่มุมหนึ่งในเต็นท์ ลมแรงขึ้นจนทั้งสองรู้สึกได้ แต่ปราณนต์ไม่สนใจบอกพริบพราวว่าตนมีเรื่องอยากคุยด้วย พริบพราวปัดไม่มีอะไรคุย แล้วจะเดินหนี ทันใดลมพัดเต็นท์เปิดออก ของในเต็นท์กระจาย แขกในงานร้องวี้ดว้าย พริบพราวเซจะล้ม ปราณนต์เข้าประคอง ทั้งสองสบตากันนิ่งอึ้ง ใจเต้นโครมคราม พอได้สติ พริบพราวเด้งตัวออก
เสียงรุจน์ตะโกนขึ้น “ตอนนี้ลมแรงมาก ขอเชิญทุกท่านเข้าไปในอาคารจัดเลี้ยงด้านขวามือนะครับ ผมจัดโต๊ะสำรองไว้แล้ว ขอเชิญทุกท่านย้ายไปที่ตึกได้เลยครับ ขอบคุณครับ”
รุจน์ประคองลิลลี่เดินอย่างระมัดระวัง พริบพราวจะไปช่วยคนอื่นๆขนของ ปราณนต์จำต้องตามไปช่วย แขกในงานเดินกันอย่างโกลาหล...ระหว่างนั้น ลิปดานอนอยู่ที่โรงพยาบาล ดูไอจีที่ลิลลี่ส่งมาให้ดูความสนุกสนานของงาน แล้วได้เห็นภาพอวัศยาควงแขนปราณนต์ก็เศร้า
ด้านอวัศยาซึ่งกรึ่มๆอยู่ เริ่มได้ยินเสียงโกลาหล จึงลุกจากที่เดินออกมาแต่เซล้มไปชนโต๊ะคว่ำมาบังตัวเองไว้ ไม่ทันไร ลมเริ่มแรงขึ้นโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด พริบพราวกับปราณนต์ช่วยกันเก็บรูปที่ติดประดับในงาน แล้วทั้งสองก็ไม่ทันมองหยิบรูปเดียวกันเงยสบตา จึงรู้ว่าเหลืออยู่เพียงสองคน พริบพราวจะเดินหนี เขาเอามือกัน
“ยังไปไม่ได้ ผมไม่ให้ไปจนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่อง”
อวัศยาชะโงกหน้ามองสองคนด้วยความรู้สึกใจสั่นระรัว ไม่กล้าเคลื่อนไหวไปไหน ปราณนต์เปิดฉาก “คุณเกลียดผมใช่ไหม คุณเกลียดโกรธที่ผมไปต่อว่าคุณ ในสิ่งที่คุณไม่ได้ทำ คุณถึงได้หลบหน้า ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่โทร.กลับ ผมส่งข้อความไป อ่านแต่ก็ไม่ตอบ ถ้าผมทำอะไรให้คุณเกลียดผมต้องขอโทษ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง”
“ฉันไม่ได้เกลียด...ไม่ได้โกรธคุณ...”
“ไม่ แล้วทำไมต้องหลบหน้า ต้องทำเหมือนไม่ อยากเจอ ไม่อยากคุย ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า” ปราณนต์ใส่ยิบ อวัศยาฟังอึ้งๆแม้จะมึนๆอยู่บ้าง
“ที่ฉันทำแบบนั้น เพราะ...เพราะฉันกลัว กลัวว่าถ้าเจอกัน ถ้าได้คุย ถ้าได้เห็นหน้า ฉันจะตัดใจจากนายไม่ได้” พริบพราวพยายามกลั้นน้ำตา “ฉันเลยไม่อยากเจอ ไม่อยากคุย เพื่อให้เรื่องของเรามันจบลงจริงๆ ตอนนี้เราเดินมาไกลเกินกว่าจะมาตั้งคำถามว่า ทำไมไม่อยากเจอ... แต่เรา...ไม่ควรจะเจอกัน ไม่ควรจะคุยกัน”
“ไม่แม้แต่จะเป็นเพื่อนกันเหรอ...”
“เคยได้ยินไหม นักจิตวิทยาบอกว่า คนที่เคยเป็นแฟนกัน และยังเป็นเพื่อนกันอยู่ มีสองเหตุผลคือ พวกเขาไม่เคยรักกัน หรือพวกเขายังรักกันอยู่ สำหรับฉัน มันคือเหตุผลหลัง...เพราะฉะนั้น อย่าเจอ อย่าคุย และอย่าเป็นเพื่อนเลยดีกว่า พี่ศยาคือคนที่ดีที่สุดสำหรับนาย”
พริบพราวพูดทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินไป น้ำตาเธอร่วงพรู เธอปาดทิ้งแล้วเชิดหน้าคอตั้งเดินไป ปราณนต์ทรุดนั่งหมดแรงสับสนในใจ อวัศยาอึ้งไม่ต่างจากเขา
ooooooo
ในอาคารยังมีความโกลาหลวุ่นวายของแขกที่ทยอยเข้ามา ปราณนต์เดินเศร้าตามมา เขามองหาอวัศยา เจอศรันยูจึงถามเห็นเธอไหม เขาส่ายหน้า ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้หายไปไหน พลัน
“พี่ศยาส่งข้อความมาแล้วครับ!” ปราณนต์ดีใจกดอ่าน
ปราณนต์เดินรี่ออกมาหาอวัศยาที่รถ ต่อว่าหายไปไหนตนตามหาตั้งนาน อวัศยาหน้าแดงกร่ำ ยืนเซไปมาเพราะแรงลม เธอบอกว่าอยากกลับบ้าน ปราณนต์จะเข้าประคอง เธอยกมือห้าม
“ไม่ต้อง...เดินเองได้ ฉันอยากกลับ พาฉันกลับหน่อย” อวัศยาเดินเซๆขึ้นรถ
ปราณนต์มองแล้วคิดแอบตัดสินใจอะไรบางอย่างในใจ...ด้านพริบพราว เมื่อปลดปล่อยความอัดอั้นให้ปราณนต์ฟังจนหมดก็ค่อยสบายใจแต่ยังเศร้า
ปราณนต์จอดรถหน้าคอนโดศรันยู ต่างคนต่างเงียบ จนอวัศยาถามขึ้น “ถามตรงๆนะ เวลาคุยกันตอนฉันเป็นแอบรัก กับเวลาที่คบกันตอนที่ฉันเป็นศยา มันต่างกันไหม”
“อืม...ตอบตรงๆนะครับ...มันไม่เหมือนกัน”
“ตรงไหน”
“เวลาที่คบกันตอนพี่เป็นศยา ใจพี่ไม่ได้อยู่ที่ผม พี่มีกำแพงไม่เป็นธรรมชาติ พอพี่เกร็งผมก็เกร็งไปด้วย ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเหมือนพี่คิดถึงคนอื่นตลอดเวลา” ปราณนต์ตัดสินใจพูด
“ไม่จริง! ฉันไม่ได้คิดถึงใครเลย ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น ใจฉันไม่ได้ไปไหน ใจฉันอยู่ที่ณนต์ตลอด” อวัศยาเถียงไม่ยอมรับ ปราณนต์จึงพุ่งเข้าจูบริมฝีปากเธอ
อวัศยาตกใจ ด้วยสัญชาตญาณก็ออกแรงผลักเขาอย่างแรงไปกระแทกประตูรถแล้วตบฉาดโวย เขาทำบ้าอะไร ปราณนต์หน้าชาและเจ็บแขน หันกลับมายิ้มนิดๆกล่าว
“ถ้าใจพี่อยู่ที่ผมพี่คงไม่ตบผม ไม่ด่าผมแบบนี้... พี่ไม่เหมือนแอบรักคนที่ผมเคยรู้จักเพราะใจพี่เปลี่ยนไป ใจพี่ไม่ได้อยู่ที่ผมแล้ว ส่วนมันไปอยู่ที่ใคร ผมคิดว่าพี่เองก็น่าจะรู้คำตอบดี”
อวัศยาหันหน้าหนี ไม่กล้ายอมรับความจริง ไม่รู้จะพูดอะไรรู้แต่ว่าอยากร้องไห้ จึงเปิดประตูรถลงไปเลย ปราณนต์ตามลงไปด้วยความเป็นห่วง ร้องเรียก
“ไม่ต้องตามมา! ฉันอยากอยู่คนเดียว” อวัศยาเดินเข้าคอนโด ปราณนต์ได้แต่มองตามอย่างจนใจเข้ามาในห้อง อวัศยาทรุดนั่งครุ่นคิดถึงที่พริบพราวพูดกับปราณนต์ ที่ว่า “อย่าเจอ อย่าคุย และอย่าเป็นเพื่อนเลยดีกว่า พี่ศยาคือคนที่ดีที่สุดสำหรับนาย”
ภาพความสุขสนุกตอนที่อยู่กับลิปดาผุดขึ้น พร้อมกับคำพูดของปราณนต์ ที่ว่า “ใจพี่ไม่ได้อยู่กับผม พี่มีกำแพงไม่เป็นธรรมชาติ พอพี่เกร็งผมก็เกร็งไปด้วย ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเหมือนพี่คิดถึงคนอื่นตลอดเวลา พี่ไม่เหมือนแอบรักคนที่ผมรู้จัก เพราะใจพี่เปลี่ยนไป ใจพี่ไม่ได้อยู่ที่ผมแล้ว ส่วนมันไปอยู่ที่ใคร ผมคิดว่าพี่เองก็น่าจะรู้คำตอบดี”
น้ำตาอวัศยาไหลพรากเมื่อค้นพบคำตอบแล้วว่า ตนรักใคร...
ooooooo
วันต่อมา พริบพราวกำลังจะเดินทาง พจน์ แววและภูมิยืนส่งขึ้นรถ ต่างอวยพรให้เดินทางปลอดภัย เมื่อถึงที่โน่นแล้วให้ส่งข่าว ภูมิบอกว่าพักร้อนหน้าตนจะตามไปเยี่ยม พริบพราวรับคำ สวัสดีพ่อแม่และพี่...รถตู้แล่นออกจากบ้าน พริบพราวอดไม่ได้ที่จะคิดถึงปราณนต์
ลิปดาออกจากโรงพยาบาลกลับมาที่คอนโด เขามองรอบห้องด้วยคิดถึงอวัศยา เสียงเคาะประตูดังขึ้น ลิปดาเปิดประตูต้องแปลกใจที่เป็นปราณนต์มา...ปราณนต์บอกว่าจะแต่งงานกับอวัศยา ลิปดาช็อกตกใจ
“ใช่ครับ เราเพิ่งคุยกันเมื่อกี้นี้เอง ที่ผมมาวันนี้ เพราะอยากเชิญบอสเป็นประธานในงาน เพราะบอสคือคนที่เราสองคนนับถือ”
“เอ่อ...ผมว่ามันจะไม่เหมาะ คุณไปหาคนอื่นดีกว่า”
“ผมไม่มีพ่อ พี่ศยาก็ไม่มี ผมก็ไม่รู้เหมือนกันจะไป หาใคร...พูดตรงๆนะครับ ผมว่างานแต่งงานครั้งนี้มันเริ่มต้น ด้วยความไม่พร้อม ไม่รู้ว่าเราสองคนจะไปกันรอดรึเปล่า”
ลิปดาไม่พอใจคำพูดของปราณนต์ “แปลว่าอะไร รอด ไม่รอด...”
“ก็อย่างที่บอสรู้ พี่ศยาเขา...แก่...กว่าผมหลายปี แก่กว่าพี่สาวผมอีก ตอนนี้มันก็พอรับได้ แต่ถ้าผมอายุห้าสิบ พี่ศยาก็ต้องแก่นำไปเป็นเกือบหกสิบ มันเยอะนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าผมจะรับได้หรือเปล่า”
“ถ้านายรักศยาที่ตัวเขาข้างใน รักความเป็นเขา ไม่ว่าร่างกายเขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน นายก็จะยังรักเขาอยู่” ลิปดาเริ่มโกรธ พยายามระงับไว้
“นั่นแหละครับปัญหาเลย ผมไม่ได้รักพี่ศยา... โอเค ตอนแรกก็ชอบๆ ตอนที่แชตเป็นแอบรัก แต่พอเปิดตัว บอกตรงๆผมก็อึ้ง ผิดหวังไม่คิดว่าเป็นเขา แต่ก็ต้องคบกันไปตามหน้าที่ ตอนนี้พี่เขาอยากแต่ง ผมก็คงต้องแต่ง เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน...บอสก็รู้ว่าพี่ศยาใหญ่รองจากบอส ถ้าผมปฏิเสธผมก็ซวย แต่ถ้าผมยอมๆ หลับหูหลับตาแต่งไป ผมก็อาจจะรวย”
ลิปดาทนไม่ไหว เหวี่ยงหมัดใส่หน้าปราณนต์อย่างแรง ล้มคว่ำแล้วชี้หน้า “ถ้าคุณจะแต่งเพราะความคิด ชั่วๆแบบนี้ อย่าแต่ง...ความรักของศยามีค่ามากกว่าความคิดต่ำๆของคุณ”
ปราณนต์กุมแผลมุมปาก ยิ้มดีใจ “ผู้ชายคนนั้น คือบอสจริงๆด้วย!”...ลิปดางง
ในขณะที่อวัศยาตัดสินใจบางอย่าง ศรันยูฟังแล้วตกใจ “แกแน่ใจเหรอว่าจะทำแบบนี้จริงๆ”
“จริง...แกเป็นคนบอกเองว่าให้ฉันถามใจตัวเองและฉันก็รู้ใจตัวเองแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ” อวัศยาตอบด้วยความมั่นใจ
จากนั้นไม่นานอวัศยาเก็บข้าวของใส่รถ ศรันยูยืนส่ง “โชคดีนะศยา ว่างๆจะแวะไปเยี่ยม เฮ้อ...ใจหายอ่ะ ต่อจากนี้ไปฉันจะไม่ได้ทำงานกับแกแล้วเหรอเนี่ย”
อวัศยาหันมากอด “ขอบใจแกมากนะรัน ขอบใจสำหรับทุกอย่าง แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เอ่อ...จะว่าไปฉันก็มีแกอยู่คนเดียว” ทั้งสองหัวเราะพร้อมกัน
“ศรันยูถามย้ำไม่เปลี่ยนใจแน่หรือ อวัศยาพยักหน้า “ไม่...ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันไม่เปลี่ยนใจและไม่เสียใจ”
“แกเก่งมากนะศยา แกสามารถลาออก และบอกเลิกปราณนต์ได้ภายในวันเดียว ฉันนับถือแกจริงๆ ฉันเข้าออฟฟิศบ่ายนี้ รับรองฮือฮาทั้งบริษัทแน่”...อวัศยารับคำชมอย่างขมขื่นใจ
ooooooo










