ตอนที่ 13
ไม่นานนัก ท้องทะเลก็กลับมาสงบเหมือนเดิม มือปืนทั้งสองกวาดตามองไม่เห็นอะไรจึงชวนกันกลับ เชื่อว่าทั้งสองคนคงจมลงก้นทะเลไปแล้ว
แต่พอมันหันเรือกลับ เพลิงกับน้ำฝนก็ทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ น้ำฝนอ่อนแรงมาก เพลิงให้กำลังใจเธอ บอกว่าจะพาขึ้นฝั่ง อดทนไว้อีกนิด เขาช่วยพยุงน้ำฝนไปเกาะซากเรือ บอกให้เกาะไว้แน่นๆ เดี๋ยวตนมา
เพลิงว่ายน้ำไปเอาชูชีพมาให้น้ำฝน เธอเป็นห่วงเห็นว่าเขาไม่มี
“ผมไม่เป็นไรหรอก ผมเกิดมากับทะเล”
น้ำฝนยิ้มรับ เธอเหนื่อยมากจนหลับไปทั้งที่ยังยิ้มค้างอยู่
ที่ท่าเรือ แม้นมาศ สิตา และชนนท์ ต่างเป็นห่วงน้ำฝนกับเพลิงมาก พวกเขาขอตามตำรวจน้ำไปช่วยทั้งสองด้วย แต่ตำรวจน้ำขอให้ไปรอฟังข่าวที่บ้านดีกว่าเพราะเรายังไม่รู้ว่าคนร้ายคือใครและมีจุดประสงค์อย่างไร
“คุณตำรวจคะ อย่าหาว่าพวกเราเรื่องมากเลยนะคะ แต่พวกเราเป็นห่วงคุณเพลิงกับน้ำฝนจริงๆ ขอให้พวกเราไปด้วยเถอะนะคะ” สิตาอ้อนวอน
ตำรวจน้ำจึงยอมให้ทั้งสามไปด้วยใช้เรือ 3 ลำ โดยให้สามคนอยู่ด้วยกันในเรือลำหนึ่ง เพื่ออีกสองลำคล่องตัวในการปฏิบัติการ
ooooooo
มือปืนทั้งสองขึ้นฝั่งแล้วแอบไปในที่ลับตาโทรศัพท์รายงานอาณัติ พออาณัติรู้ว่าฝ่ายโน้นตายทั้งคู่ก็โวยวายเพราะสั่งไว้แล้วว่าให้เก็บผู้ชายคนเดียว
“แล้วจะให้พวกผมทำยังไง พวกมันรู้ตัว แล้วตรงนั้นก็ดีที่สุด หลักฐานก็ไม่มี ดีไม่ดีหาศพกันไม่เจออีกด้วย” มือปืนคนหนึ่งชี้แจง
อาณัติขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เอามือกุมหน้าครวญเสียงเครือ “โธ่...น้ำฝน...”
เวลาเดียวกันนั้น เพลิงที่ช่วยประคองน้ำฝนอยู่กลางทะเล เขาเพ่งมองไปข้างหน้าบอกเธอว่ามีเกาะอยู่ไม่ไกล ขอให้เข้มแข็งไว้อีกนิดเดียว
แต่พอพาน้ำฝนในสภาพหมดสติไปถึงฝั่ง เพลิงเองก็แทบหมดแรง เขาภาวนาขอน้ำฝนอย่าเป็นอะไรแล้วตัดสินใจช่วยปั๊มหัวใจ แล้วบีบจมูกจะก้มลงผายปอด แต่ไม่ทันทำอะไร เพลิงเองก็หมดแรงเสียก่อน เขาฟุบหมดสติข้างๆน้ำฝนนั่นเอง...
ooooooo
หลินช่วยทำแผลให้ผ่องที่ถูกเศษกระเบื้องบาดมือ ทองตรามาเห็นถามว่าเป็นอะไร พอรู้ก็ถามว่าแผลลึกไหม ผ่องบอกว่าไม่ลึก ทำแผลแล้วไม่นานก็หาย หลินมองทอง-ตราหวาดๆ ถามว่าคุณย่าไม่โกรธที่ตนทำจานแตกเหรอ
“นี่...ฉันรู้น่าว่าจานกับคนอันไหนสำคัญกว่ากัน”ทองตรา
บอกหลินแล้วหันไปพูดกับผ่องว่า“เธอเองก็ระวังนะอย่าให้แผลโดนน้ำ ช่วงนี้ก็พักไปก่อน เอางานให้คนอื่นทำ”
ผ่องบอกว่าไม่เป็นไร อยู่ว่างๆยิ่งคิดมาก ทองตราถามว่ามีอะไรให้คิดมากมาย หลินสาระแนตามเคยว่า
“ก็คิดเรื่องพี่เพลิงน่ะสิคะ ป้าผ่องเขาชอบเชื่อโชคลางค่ะ พอจานบาดก็เลยคิดถึงพี่เพลิง”
ทองตราบอกว่าเป็นห่วงก็โทร.ไปหา นึกได้ถามว่าหรือเพลิงเอาโทรศัพท์ไว้ที่นี่อีก พอรู้ว่าเพลิงทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ผ่องจริงๆก็บอก“งั้นเดี๋ยวเขาก็โทร.มาเองแหละ”
แต่พอกลับเข้าห้อง ทองตราก็กดโทรศัพท์ไปหาผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกสายบอกว่าเลขหมายไม่สามารถติดต่อได้ขณะนี้ ทำให้ทองตราเป็นกังวลขึ้นมา พึมพำอย่างอดห่วงไม่ได้ว่า
“แปลก ทำไมไม่มีใครรับสาย ทั้งตานนท์ คุณแม้นมาศ สิตา น้ำฝน พากันหายไปไหนหมด”
ooooooo
ความเป็นห่วงน้ำฝน ทำให้แม้นมาศออกมายืนตากแดดคอยฟังข่าวและมองหาไปในทะเล เพราะแดดกล้ามากทำให้แม้นมาศหน้ามืดล้มลง สิตากับชนนท์ช่วยกันประคองเข้าในที่ร่มและปฐมพยาบาล
“ถ้าเป็นแบบนี้เราคงต้องให้คุณอาแม้นมาศกลับไปพักที่บ้านก่อน”ชนนท์เสนอ
สิตายังเป็นห่วงเพลิงกับน้ำฝน ตำรวจน้ำบอกว่าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงทางตำรวจจะหาผู้สูญหายอย่างเต็มที่เอง ชนนท์จึงตัดสินใจจะพาแม้นมาศกลับ ทันใดนั้น แม้นมาศก็เพ้อออกมาราวกับได้ยินว่า
“ไม่...แม่ไม่กลับ...แม่จะหาน้ำฝน...”
สิตากับชนนท์มองหน้ากันอย่างหนักใจ แต่ก็ต้องตัดสินใจพากลับขึ้นฝั่ง โดยตำรวจน้ำพาไปส่งถึงบ้านพักของแม้นมาศ ชนนท์ขอบคุณและขอร้องตำรวจว่าถ้าได้ความคืบหน้าอย่างไรให้โทร.บอกตนด้วย
ชนนท์เล่าให้สิตาฟังว่า คนร้ายที่ขโมยเรือของจิรายุไปนั้น มันเอาเรือไปทิ้งไว้บนฝั่งแล้วหนีไปได้ ส่วนน้ำฝนกับเพลิงนั้น ทางตำรวจยังค้นหากันอยู่
สิตาเอายาคลายเครียดให้แม้นมาศทานและหลับไปแล้ว เธอปรารภกับชนนท์เสียงเครือว่า แม้ตนจะปลอบใจคุณแม่แต่ตัวเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากคุณแม่เลย เป็นห่วงน้องกับเพลิงกลัวจะเกิดอะไรขึ้น เธอร้องไห้อย่างหมดความอดกลั้น ชนนท์ปลอบใจว่า
คุณสิตาต้องเข้มแข็งไว้นะครับ ตอนนี้เราคงทำได้แค่รอ รออย่างมีสติ ยังไงผมก็จะอยู่ข้างๆคุณ”เขาส่งผ้าเช็ดหน้าให้สิตาซับน้ำตา เธอขอบคุณรับปากว่าจะพยายามเข้มแข็ง ถามชนนท์อย่างหนักใจว่า
“แล้วนี่...คุณนนท์จะบอกที่บ้านไหมคะ”
ถามแล้วก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างหนักใจ...
ooooooo
ที่ชายฝั่งบนเกาะ น้ำฝนรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนหัน มองเห็นเพลิงนอนหมดสติอยู่ เธอนึกว่าหลับพยายามปลุกเขาก็ไม่รู้สึกตัว เอามือรอจมูกค่อยใจชื้นที่เขายังไม่ตาย คิดหาทางช่วย นึกได้ว่าต้องผายปอด บีบจมูกประกบปากครั้งหนึ่งยังไม่ได้ผล พอจะทำซ้ำ เพลิงก็รู้สึกตัวพอดี
เพลิงถามว่าเธอจะทำอะไร น้ำฝนบอกว่ากำลังจะช่วยชีวิตเขา เพลิงทำเสียงเข้มแข็งอวดว่าตนแค่ช่วยเธอแล้วเหนื่อยไปหน่อยเท่านั้น บอกว่าเธอเองนั่นแหละที่สลบ น้ำฝนโล่งใจ เห็นเขามีแผล เพลิงบอกว่าโดนเศษเรือฟาดตอนระเบิดแต่ไม่เป็นไร
น้ำฝนตัดสินใจฉีกชายเสื้อตัวเองพันแผลให้อย่างตั้งอกตั้งใจ แต่พอเงยหน้าก็เจอเพลิงมองอยู่ทำเอาเขิน รีบกลบเกลื่อนถามว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน
“ไม่รู้สิ คงจะเป็นเกาะที่ไหนสักแห่ง”
น้ำฝนล้วงมือถือออกมาจะโทร.บอกทุกคน ปรากฏว่าโทรศัพท์ฉ่ำน้ำจอดับสนิท
ขณะน้ำฝนหงุดหงิดไม่รู้จะแจ้งข่าวแม่กับพี่อย่างไรนั่นเอง เพลิงก็ลุกเดินไป เธอตกใจถามว่าจะไปไหน เพลิงบอกว่าจะไปเดินสำรวจเกาะเผื่อเจอบ้านคน น้ำฝนไม่กล้าอยู่คนเดียวขอตามไปด้วย แต่เธอเหนื่อยและเจ็บเท้าเดินไม่ไหว เพลิงเลยต้องเอาแบกขึ้นบ่าพาไปด้วย
ooooooo
เพลิงแบกน้ำฝนบ้างปล่อยเดินบ้างสำรวจไปจนรอบเกาะก็ไม่เจอบ้านคนเลย น้ำฝนใจไม่ดีบอกว่าอยากกลับบ้าน เพลิงปลอบใจว่าไม่ต้องห่วงเชื่อว่าต้องมีคนมาช่วยเรา
แล้วเพลิงก็ก่อไฟใช้ควันส่งสัญญาณ นอกจากนั้นยังไปเขียนอักษร เอสโอเอส ตัวมหึมาที่พื้นทราย
“นี่นายคิดว่าจะมีเครื่องบินผ่านมาเห็นเหรอ แล้วถ้าเห็นเขาจะลงมายังไง รันเวย์ก็ไม่มี นายนี่คิดได้เนอะ”น้ำฝนพูดขำๆทั้งที่หัวเราะไม่ออก
“ได้ไม่ได้ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมมีปัญญาคิด ดีกว่าคนไม่คิดอะไรเลย”
นอกจากนั้น เพลิงยังเหลาไม้แหลมๆเพื่อแทงปลา เขาหายไปครู่ใหญ่ก็ได้ปลามาสมใจ เอามาย่างจนหอม ทำเอาน้ำฝนน้ำลายสอขึ้นมาทันที
เพลิงแก้ปัญหาการดำรงชีวิตเฉพาะหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากหาปลาแล้วเขายังหามะพร้าวมาให้น้ำฝนดื่มแก้กระหายน้ำด้วย แต่พอจะดื่มลูกที่สองน้ำฝนปอกเองไม่ได้ เพลิงจึงช่วยปอกให้ แซวขำๆว่า
“ถ้าคุณอยู่คนเดียวจะรอดไหมเนี่ย”
“ไม่รู้ซิ รู้แต่ว่าถ้ามีนายอยู่ ฉันก็อยู่ได้”พูดแล้วน้ำฝนก็ชะงัก เธอหลบตาเพลิง ยกมะพร้าวขึ้นดื่มน้ำทำไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนเพลิงฟังแล้วมองอึ้งกับคำพูดตรงๆที่ไม่ต้องตีความหมายของเธอ
ooooooo
เมื่อชนนท์เข้าห้องนอนแล้ว เขาโทรศัพท์บอกนิรุต ถูกพ่อตำหนิที่เกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ทำไมเพิ่งจะโทร.มาบอก
“คือตอนแรกผมคิดว่าเราจะหาพี่เพลิงกับน้ำฝนเจอ เลยไม่อยากบอกให้ทุกคนเป็นห่วงและตอนนี้ตำรวจกำลังตามหากันอยู่”
“ถ้ามีข่าวอะไรต้องบอกพ่อก่อนนะ ห้ามบอกคุณย่า พ่อกลัวคุณย่าจะไม่สบายใจ”นิรุตกำชับ
ครู่เดียวนิรุตก็กลับไปที่บ้าน ทองตราแปลกใจที่วันนี้เขากลับมาเร็ว ท่าทางร้อนรนพิกล พอนิรุตรู้ว่าผ่องอยู่ในครัว เขารีบไปหาทันที หลินรู้สึกแปลกๆเหมือนทองตราจึงอาสาจะไปสืบให้
นิรุตเล่าเรื่องที่เกิดกับเพลิงและน้ำฝนให้ผ่องฟัง ผ่องตกใจสุดขีด ปฏิเสธอย่างขวัญเสียว่าไม่จริงเป็นไปได้ยังไง นิรุตเล่ารายละเอียดว่า ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าพวกนั้นตามล่าใครแต่ทั้งเพลิงและน้ำฝนหายไปตำรวจกำลังเร่งระดมกำลังออกตามหากันอยู่เต็มที่
เล่าแล้วนิรุตกำชับผ่องว่าอย่าเพิ่งบอกใครโดยเฉพาะคุณแม่ เกรงท่านจะเสียใจจนไม่สบาย
หลินตะลึงอึ้งมือสั่นทำอะไรไม่ถูก และเมื่อกลับมาที่ห้องทำงานของทองตรา ก็เอาแต่นั่งเหม่อใจลอย ทองตราถามว่าผ่องตั้งโต๊ะหรือยังและไปตามนิรุตมาหรือเปล่า
หลินควบคุมตัวเองไม่ได้ ร้องไห้ออกมา จนทองตราถาม จึงพูดกลัวๆกล้าๆว่า
“หลินไม่รู้จะพูดยังไง คุณรุตบอกป้าผ่องว่าถ้าคุณย่ารู้คุณย่าจะป่วย”
“ตกลงมันมีเรื่องอะไรกัน”ทองตราวางหนังสือในมือปัง ถามเสียงเข้ม ในที่สุดหลินก็เล่าทั้งหมดที่ได้ยินมาให้ทองตราฟัง นิรุตถูกเรียกตัวมาทันที ตำหนิว่ามีเรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังจะปิดแม่อีกหรือ
นิรุตพยายามชี้แจงถึงความเป็นห่วงกลัวแม่จะไม่สบาย ปลอบแม่ให้ใจเย็นๆ บางทีเพลิงกับน้ำฝนอาจไม่เป็นอะไรก็ได้
ระหว่างนั้นบุษกลกับนาฎนรีกลับมา เห็นรถนิรุตจอดอยู่ก็เอะใจ คิดว่านิรุตคงมาประจบทองตราหวังเอาสมบัติเรียกนาฎนรีให้ไปหาคุณแม่กับตน แต่พอหันไปปรากฏว่าลูกสาวหายไปแล้ว บุษกลจึงเดินลิ่วไปคนเดียว
บุษกลเข้าไปถึงห้องรับแขก ร้องทักพลางกวาดตามอง อย่างจับผิดว่า
“อยู่กันพร้อมหน้า มีข่าวดีอะไรเหรอคะ แว่วๆว่าไอ้เพลิงหายไปเหรอ”เมื่อนิรุตเล่าให้ฟังบุษกลไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อย แต่กลับบอกผ่องว่า“ป่านนี้ถ้าหาตัวไม่เจอคงตายไปหมดแล้วมั้ง คนตายแล้ว ก็ตายไปอย่าคิดมากนะ”
ไม่เพียงเท่านั้น บุษกลยังพูดล่วงหน้าไปด้วยว่า เมื่อลูกชายตายไปแล้ว ผ่องก็ไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป ทองตราสวนไปทันทีว่า
“แต่ฉันคิดว่าโอกาสที่จะเจอเพลิงยังมีอยู่มาก และ ผ่องแผ้วก็อยู่ที่นี่ได้ ถ้ามันเป็นความต้องการของฉัน”
บุษกลลุกสะบัดพรืดออกไป ทองตรามองแล้วถอนใจกับลูกสาวที่ทำหนักข้อขึ้นทุกวัน เมื่อเครียดอาการโรคหัวใจก็กำเริบ เริ่มหอบ ทุกคนมองอย่างเป็นห่วง แต่ทองตราโบกมือให้รู้ว่าตนไม่เป็นอะไร
ooooooo
บุษกลไปบอกนาฎนรีที่นั่งเหม่ออยู่ห้องรับแขกว่าเพลิงตายไปแล้ว แต่นาฎนรีไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว บอกแม่ว่าไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น บุษกลเอ็ดลูกว่าเป็นอะไร ทำตัวแปลกๆขึ้นทุกวัน ไม่ดีใจหรือที่จะได้หุ้นของเพลิง
นาฎนรีลุกเดินปึงปังออกไป บุษกลตามไปอย่างมุ่งมั่นที่จะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมนาฎนรีถึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้
พอนาฎนรีเข้าห้องนอนก็ได้รับโทรศัพท์จากไพโรจน์สั่งให้ไปหา เธอตวาดไปว่าไม่ไป ถูกไพโรจน์ขู่ก่อนวางสายว่า“อย่าให้รอนาน!”
บุษกลยืนเคาะประตูห้องนาฎนรีอยู่นาน จนเมื่อเธอเปิดประตูออกมา ถูกแม่ถามประชดว่าออกมาได้แล้วหรือแม่ตัวดี นาฎนรีไม่สนใจ บอกขณะเดินผ่านแม่ว่า “นรีไปข้างนอกนะคะ” บุษกลโกรธจนปากสั่นจะด่าก็ด่าไม่ออก เลยแผดเสียงกรี๊ดๆออกมา
ooooooo
ตำรวจน้ำออกตระเวนค้นหาเพลิงกับน้ำฝนจนค่ำจำต้องยุติการค้นหา จะเริ่มใหม่อีกทีในวันพรุ่งนี้ แม้นมาศเป็นห่วงลูกกับเพลิงจนแทบอยู่ไม่ติด ทำใจไม่ได้ที่ตำรวจยุติการค้นหา จนชนนท์ต้องชี้แจงว่า พรุ่งนี้ตำรวจจะออกค้นหาต่อแต่เช้า แม้นมาศก็เอาแต่ร้องไห้ จนสิตาต้องเข้าไปกอดปลอบใจ
ที่ชายหาดบนเกาะ...น้ำฝนเองก็ทุกข์ใจแสนสาหัสทั้งกลัวทั้งเป็นห่วงคนที่บ้านที่คงเป็นห่วงตนจะติดต่อก็ติดต่อไม่ได้
เมื่อนั่งคุยกัน น้ำฝนถามเพลิงว่า พวกนั้นเป็นใครถึงได้พยายามมาฆ่าเรา
“ผมว่าไม่ใช่เรา บางทีอาจจะเป็นผมคนเดียว” เพลิงเชื่อเช่นนั้น เมื่อน้ำฝนคาดว่าคงเป็นฝีมือของอาณัติ เพลิงขอร้องเธออย่าเอ่ยชื่อคนนี้ เพราะถ้าคุณย่าได้ยินจะไม่สบายใจ
จากการต้องผจญภัยเป็นตายด้วยกัน แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่น้ำฝนก็ประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษและการพยายามช่วยเหลือดูแลตนที่เพลิงทำอย่างสม่ำเสมอ จริงใจ ทั้งยังรู้สึกตัวเองผิดที่เคยมองเพลิงในแง่ไม่ดี
จากการเปิดใจคุยกัน น้ำฝนเล่าให้เพลิงฟังถึงเรื่องที่ได้ยินบุษกลพูดถึงเรื่องที่เขาขายหัวใจพ่อให้ย่า จากเรื่องนี้และหลายเรื่องที่อาณัติหาเรื่องเขา ทำให้เพลิงรู้ว่าทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าตนเป็นคนเลว และกลัวตนจะแย่งน้ำฝนไป
ฟังความจริงจากเพลิงแล้ว น้ำฝนตำหนิตัวเองว่าโง่มาก เพราะถ้าเพลิงกับผ่องเลวขนาดขายหัวใจพ่อได้ ก็คงเอาหุ้นทั้งหมดขายแล้วหอบเงินกลับไปไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหาต่างๆให้เพชรไทยอย่างทุกวันนี้
“อาบุษกับพี่ณัตินี่ร้ายจริงๆฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เงินจะครอบงำจิตใจคนได้ขนาดนี้”
“แต่ผมก็ดีใจนะที่อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้บอกความจริงกับคุณ” เพลิงพูดอย่างสบายใจขึ้นมาก ทั้งยังบอกน้ำฝนว่า “หลังจากที่ผมทำกำไรให้กับเพชรไทยตามที่สัญญาไว้กับคุณย่าแล้ว ผมก็จะพาแม่กลับระนอง ผมตั้งใจว่าจะสร้างบ้านหลังเล็กๆสีฟ้าริมทะเล แล้วก็จะใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างเดิม”
น้ำฝนบอกว่าตนก็อยากมีชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน อยู่บ้านหลังเล็กๆ ทำงานแค่พอเลี้ยงตัว ไม่ต้องมานั่งคิดว่าปีนี้บริษัทจะทำกำไรเท่าไหร่ เข้าเป้าหรือเปล่า
เพลิงติงว่าเธอเติบโตมาบนกองเงินกองทองไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้ แต่น้ำฝนยืนยันว่า ตอนนี้อยู่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยตนยังอยู่ได้ ฉะนั้นเชื่อว่าต้องอยู่แบบนั้นได้
ทั้งสองคุยกันอย่างเปิดใจ ถูกคอ จากที่จิกกัดกัน ก็กลายเป็นเย้าแหย่หัวเราะกันริมหาดท่ามกลางเสียงคลื่นและหมู่ดาวที่พราวฟ้า...
ooooooo
เพียงตะวันตกดิน ทั่วทั้งบริเวณก็มืดจนดูวังเวง น้ำฝนคิดหนักว่าจะนอนอย่างไร ไล่เพลิงให้ไปนอนห่างๆ ตนกลัวถูกปล้ำ พอเพลิงห่างออกไปก็เกิดกลัวขึ้นมาอีกดึงเพลิงไว้ไม่ให้นอน ถามว่าจะทิ้งให้ตนอยู่คนเดียวได้ยังไง
ใจหนึ่งกลัวเพลิงปล้ำ อีกใจก็กลัวความมืดความวังเวง เลยแอบเอายานอนหลับใส่น้ำมะพร้าว คะยั้นคะยอให้เขาดื่ม แต่พอเพลิงดื่มเข้าไปครู่หนึ่งก็หลับเป็นตาย คราวนี้น้ำฝนยิ่งคิดหนัก
“โธ่...อย่างนี้ก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ โฮ้ย...ไม่น่าวางยาเพลิงเลย เกิดผีมาทำไงเนี่ย” ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ปลุกเพลิงก็ไม่ยอมตื่น ตัวเองกลัวแล้วยังต้องนั่งเฝ้าเพลิงอีก
สุดท้ายน้ำฝนไม่ยอมเสียเปรียบ กินยานอนหลับเข้าไปบ้างจะได้หลับไปด้วยกันเลย
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น ตำรวจน้ำเตรียมออกตามหาเพลิงกับน้ำฝนต่อ ตำรวจส่องกล้องดูเห็นเศษเรือลอยอยู่ วิเคราะห์ว่าเรืออาจจะชนอะไรแตกอยู่แถวนั้นก็เป็นได้
เมื่อข่าวนี้รู้ถึงชนนท์ เขาเล่าให้สิตาฟัง คาดคะเนอย่างมีความหวังว่า ไม่ไกลจากบริเวณที่พบเศษเรือมีเกาะอยู่ วันนี้ตำรวจจะไปค้นที่เกาะนั่น ตนขอตำรวจไปด้วย ถามสิตากับแม้นมาศว่าจะไปด้วยไหม
“ไปสิคะ” สิตาตอบทันที
ชนนท์โทร.บอกนิรุต เมื่อทองตราได้ข่าวนี้ถามอย่างเป็นห่วงว่า พบเศษเรือแล้วหมายความว่ายังไง นิรุตบอกตามตรงว่า สภาพเหมือนเรือระเบิด แต่นักประดาน้ำก็ยังไม่พบร่างใครแถวนั้น แสดงว่าเรายังพอมีความหวังอยู่
ผ่องยกมือภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเพลิงกับน้ำฝนด้วย เป็นห่วงทั้งสองคนจนร้องไห้ไม่หยุด ทองตราได้แต่เอามือลูบหัวผ่องปลอบโยน
ooooooo
ตำรวจน้ำ ชนนท์ แม้นมาศและสิตา พากันลงเรือมีนักข่าวตามไปทำข่าวด้วยสองคน สิตาไม่อยากให้นักข่าวไป ตำรวจบอกว่าห้ามไม่ได้ แต่ถ้าไม่น่าสนใจ เขาก็ไม่น่าเอาไปลงเองแหละ แม้นมาศร้อนใจ อยากออกเดินทางเร็วๆ ตัดบทว่า
“ช่างเถอะสิตา ตอนนี้แม่อยากเจอน้ำฝนเต็มทีแล้ว เรื่องอื่นแม่ไม่อยากสนใจ”
เมื่อเรือตำรวจน้ำเข้าไปใกล้เกาะ ตำรวจเชื่อว่าผู้สูญหายอาจรอดชีวิตและอยู่บนเกาะนั้น ยังไงเราก็ต้องขึ้นไปค้นหาให้ทั่วก่อน
เมื่อขึ้นเกาะกระจายกำลังกันออกค้นหา ครู่เดียวก็มีเสียงตำรวจรายงานว่าพบคนแล้ว นอนอยู่ริมหาด
ทุกคนวิ่งกรูไปทางนั้น ภาพที่เห็น คือ น้ำฝนนอนกอดเพลิงที่ไม่ใส่เสื้อเพราะถอดห่มให้เธอต่างนอนสลบไสลอยู่ที่ชายหาด
นักข่าวระดมกดชัตเตอร์ทุกเหลี่ยมทุกมุม แม้นมาศกับสิตาและชนนท์มองอึ้ง แม้นมาศได้สติก่อนพุ่งเข้าไปขอร้องนักข่าวอย่าเพิ่งถ่ายรูป แต่ไม่มีอะไรหยุดความกระหายของเหยี่ยวข่าวได้ ถ่ายจนพอใจแล้วจึงหยุด
เสียงอึกทึกครึกโครมขนาดนั้น น้ำฝนกับเพลิงยังหลับไม่รู้เรื่อง แม้นมาศเข้าไปดึงตัวน้ำฝนออกมาส่วนชนนท์เข้าไปจับเพลิงลุกขึ้น ท่ามกลางความงงงันของทุกคน
ระหว่างนั่งเรือกลับ นักข่าวพยายามสัมภาษณ์เพลิงกับน้ำฝน ถามเรื่องสาเหตุการลอบสังหารใครคือเป้าหมาย เป็นเรื่องธุรกิจหรือส่วนตัว
น้ำฝนบอกว่าตนไม่รู้เรื่องจริงๆเพราะไม่เคยมีความขัดแย้งกับใคร ส่วนเพลิงก็เบนให้เป็นเรื่องยิงผิดตัว จนกระทั่งแม้นมาศเข้ามาขอร้องนักข่าวว่า ถึงถามอะไรตอนนี้ทั้งสองคนก็ยังตอบไม่ได้ เอาไว้ตำรวจได้ความคืบหน้าอย่างไรค่อยถามตำรวจดีกว่า แล้วพาน้ำฝนไปพักผ่อน บอกเพลิงที่จะลุกตามไปว่า
“เพลิงไปอยู่กับนนท์แล้วกันนะ อาอยากคุยกับลูกๆ”
เมื่อเพลิงรอชนนท์ไปด้วยกัน ชนนท์บอกว่าถึงฝั่งแล้วตนจะรีบโทร.บอกที่บ้านเพราะป้าผ่องเป็นห่วงเพลิงมาก
ooooooo
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านพักของแม้นมาศ ชนนท์โทร.แจ้งข่าวดีแก่นิรุตทันที พอผ่องรู้ก็อยากคุยกับลูกชายแต่เพลิงต้องให้ปากคำตำรวจจึงขอผลัดไปก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้ว่าลูกปลอดภัยดิฉันก็ดีใจแล้ว” ผ่องน้ำตาไหลด้วยความปีติ
“ฉันดีใจด้วยนะ ที่เพลิงเขาปลอดภัย” ทองตราเอ่ยกับผ่อง ยิ้มให้กำลังใจอย่างเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่
ฝ่ายบุษกล พอรู้ว่าเพลิงยังไม่ตายก็เรียกนาฎนรีมาบอกข่าวร้ายนี้ ยุว่าเพลิงกำลังจะกลับมาแย่งสมบัติคืน แต่นาฎนรีไม่อยากสนใจอะไรแล้ว บอกแม่ว่า
“คุณแม่คะ พวกเราทุกข์เพราะไอ้สมบัติบ้าๆของเพลิงมาเยอะแล้ว นรีอยากมีความสุข คุณแม่เลิกคิดเอาสมบัติส่วนนั้นได้ไหมคะ”
เมื่อบุษกลไม่ยอม นาฎนรีบอกแม่ว่าถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณแม่แย่งชิงต่อไปเถอะ ว่าแล้วก็เดินหนีไป บุษกลโกรธแทบจะคลั่ง ตะโกนเรียกก็ไม่กลับ เด็กรับใช้ได้ยินเสียงเอะอะวิ่งเข้ามาดูก็ถูกไล่ตะเพิด พอเด็กออกจากห้องไปแล้ว บุษกลคร่ำครวญ
“ตาณัติ แม่จะทำยังไงดี ไอ้เพลิงมันยังไม่ตาย โอ๊ยยยย แม่อยากจะบ้า...”
พออาณัติรู้ว่าเพลิงยังไม่ตายก็แค้นคุขึ้นมาอีก ทั้งด่าทั้งเตะเก้าอี้ระบายอารมณ์จากนั้นโทร.ไปด่ามือปืนทั้งสอง เรียกให้ไปพบกันที่ศาลาริมทางถนนชานเมือง ชกมันระบายความแค้นแล้วขู่ว่า ตอนนี้เพลิงกลับมาแล้ว และก็จะเอามันสองคนเข้าคุกด้วย มือปืนคนหนึ่งถามว่าจะให้ย้อนกลับไปเก็บเพลิงไหม
“ไอ้โง่! ไปให้ตำรวจมันรู้เหรอ ตอนนี้พวกแกหลบไปก่อน ไปให้มันไกลๆยิ่งดี” ว่าแล้วโยนเงินให้ปึกหนึ่ง มือปืนทั้งสองรับเงินแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปทันที อาณัติยืนเครียดกับเหตุการณ์ที่พลิกผันจนตั้งตัวไม่ทัน
ooooooo
แม้นมาศค้างคาใจกับภาพที่เห็นน้ำฝนนอนกอดกับเพลิงที่ชายหาด พานโกรธเพลิง สั่งให้เพลิงกับชนนท์ไปหามิสเตอร์ลี ส่วนตัวเองคาดคั้นถามความจริงกับน้ำฝน
พอน้ำฝนได้ฟังแม่พูดว่าเห็นเธอนอนกอดกับเพลิงที่ชายหาดในสภาพที่เพลิงเองก็ไม่ได้ใส่เสื้อ น้ำฝนตกใจและที่สำคัญเป็นห่วงความรู้สึกของสิตาไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
น้ำฝนวิ่งไปหาสิตา แม้นมาศวิ่งตามไปแทบเป็นลม พอทันกันที่ระเบียงห้องสิตา เธอบอกพี่สาวว่า
“น้ำฝนจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณแม่กับพี่สิตาฟัง”
เมื่อฟังความจริงจากปากน้ำฝนแล้ว ทั้งแม้นมาศและสิตาต่างตกใจที่เธอวางยาเพลิงทั้งที่เพลิงเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้
แม้นมาศยังไม่แล้วใจ ถามว่าเมื่อน้ำฝนวางยาเพลิงแล้วทำไมตัวเองถึงไปนอนกอดเพลิงอยู่ที่ริมหาด แล้วข้ามกองไฟไปนอนกอดเพลิงได้ยังไง
“เรื่องนี้น้ำฝนก็ไม่รู้จะตอบยังไงค่ะ เพราะน้ำฝนก็หลับสนิท เพลิงก็หลับสนิท แต่รับรองได้ว่าน้ำฝนไม่ได้บุบสลายใดๆทั้งสิ้น”
“มิน่า...เพลิงก็คงไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เพราะตอนไปปลุกแม่ก็เห็นเขาหลับสนิทเลยนะ ไม่ได้แล้ว ตอนเพลิงกลับมาแม่ต้องขอโทษเขา”
เมื่อหายห่วงเรื่องน้ำฝนแล้ว แม้นมาศกลับหน้าเครียดกังวลกลัวข่าวจะกระฉ่อนไปในวงกว้าง
ส่วนน้ำฝน เมื่อเล่าความจริงจนแม่เบาใจแล้ว เธอกลับเป็นห่วงความรู้สึกของพี่สาว ยืนยันว่าตนไม่มีอะไรกับเพลิง และพร้อมที่จะเชียร์สิตากับเพลิงสุดตัวเลยทีเดียว สิตายิ้มอย่างเอ็นดูขอบใจน้อง แต่พอน้ำฝนพูดกับสิตาแล้ว ตัวเองกลับรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
ooooooo
คืนนี้เป็นคืนที่ทุกคนสบายใจโล่งใจที่เพลิงกับน้ำฝนกลับมาอย่างปลอดภัย ทองตราเองก็ดีใจจนบอกผ่องว่าถึงจะยังโกรธผ่องที่พรากพิภัชไปจากตนแต่พอเห็นเพลิงกลับมาก็อดดีใจด้วยไม่ได้
“สำหรับอิฉัน เพลิงคือทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สินเงินทองมากมายแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับการได้อยู่กับลูกในบั้นปลายของชีวิต เพียงเท่านี้ดิฉันก็พอใจแล้ว”
“เธอพูดจริงเหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนที่ไม่ชอบเงิน ในเมื่อคนทั้งโลกทำทุกอย่างเพื่อจะมีเงิน”
“ดิฉันก็เคยคิดว่าเงินสำคัญที่สุดค่ะ แต่เมื่อมาเจอคุณพิภัช ความคิดของดิฉันก็เปลี่ยนไป ตอนนี้ดิฉันกลับคิดว่าเงินมีเท่าไหร่ถึงจะพอ ถึงจะเรียกว่าสุข ครอบครัวอบอุ่นต่างหากที่ทำให้ดิฉันมีความสุข”
ทองตราฟังแล้วนิ่งไปก่อนจะบอกผ่องว่ามีอะไรก็ไปทำเสียเถอะ ผ่องบอกว่าเอายาวางไว้ให้แล้วอย่าลืมทาน แล้วลุกเดินออกไป ทองตรามองตามหลังผ่องไปก่อนจะพึมพำ
“นี่ละมั้ง ที่ทำให้พิภัชรักเธอจนถึงกับทิ้งทุกอย่าง...เพื่อไปพบกับความสุข...”
ooooooo










