ตอนที่ 18
หลังจากรู้ใจตัวเองแล้ว ลำเภาชวนธีธัชไปถวายสังฆทาน เพราะรู้สึกว่าไม่สบายใจเหมือนตัวเองกำลังไปแย่งของรักของคนอื่น ธีธัชแซวว่ายอมเป็นแฟนตนแล้วใช่ไหม ลำเภาบอกว่ายัง เพราะยังต้องทำอีกสองอย่าง แต่ยังอำไว้ไม่บอก
จนเวลาผ่านไปจึงบอกให้เขาพาไปพบกรกนก เพื่อเคลียร์กันให้กระจ่างว่าตนไม่ได้แย่งเขาจากเธอ คำตอบของกรกนกทำให้ลำเภาเบาใจ กรกนกยืนยันว่าลำเภาไม่ได้แย่งแต่ธีธัชอยากไปเอง แล้วพูดให้ลำเภาสบายใจว่า
“เราเลิกกันเพราะเราไปต่อไม่ได้ ไม่ใช่เพราะคุณเข้ามา กรรู้ก่อนธีอีกค่ะว่าเขาชอบคุณ คุณเภาไม่ต้องเสียใจ เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรผิดชีวิตกรยังดีอยู่ค่ะ” ลำเภาชมว่าเธอเข้มแข็งจัง กรกนกตอบอย่างมั่นใจว่า “ถ้าเราทำตัวเปราะบางใจเสาะ เราก็อยู่ยากค่ะ เพราะว่าโลกไม่มีที่เหลือให้เรามัวแต่นั่งสงสารตัวเอง”
ธีธัชเร่งให้ทดสอบด่านที่สอง ลำเภาอำไว้อีกตามเคย บอกว่าถึงเวลาเมื่อไหร่จะบอกแต่ไม่ใช่ตอนนี้แล้วเดินไปเลย จนธีธัชเดินตามแทบไม่ทัน
ooooooo
เมื่อเจ๊เกียวได้ข้อมูลของอรุณศรีจากสายสืบแล้ว คืนนี้ไปดักพบเธอที่หน้าบ้าน ถามทันทีว่าเธอเป็นอะไรกับปรานต์ อรุณศรีตั้งสติตอบว่าเป็นแฟนแต่ตอนนี้เลิกกันนานแล้ว เจ๊เกียวถามว่าเมื่อไหร่ เธอโบ้ยให้ไปถามปรานต์เองดีกว่า บอกให้เจ๊สบายใจว่า ตนกับปรานต์ไม่ได้คุยไม่ได้ติดต่อกันมาพักใหญ่แล้ว
ครั้นอรุณศรีตัดบทขอเข้าบ้าน เจ๊ถามอีกว่าปรานต์เคยขอเธอแต่งงานหรือเปล่า อรุณศรีให้ไปถามปรานต์เองแล้วเดินเข้าบ้านไปเลย เจ๊เกียวทึกทักเอาว่าไม่ตอบแปลว่าไม่ปฏิเสธ
กลับมาที่คอนโดฯแล้วเจ๊ค้นหาแหวนแต่งงานวงนั้นมาดู เจอใบเสร็จราคาเกือบสองแสน ฉุกคิดถึงเงินที่เอาให้ปรานต์วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันเดียวกัน เจ๊กำมือแน่น ยิ่งคิดก็ยิ่งเข้าเค้า แต่ในความรู้สึกเห็นว่าอรุณศรีไม่น่ามีพิษมีภัย จึงพุ่งเป้าไปที่ปรานต์
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ๊บอกปรานต์ว่าตนไปเจอผู้หญิงที่ชื่ออรุณศรีมาแล้ว ดูๆ เธอก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ปรานต์บอก เมื่อปรานต์บอกว่าอรุณศรีสร้างภาพเก่งอยู่แล้ว เจ๊ถามเรื่องแหวนแต่งงานวงนั้นว่าเป็นของเขาเองหรือของเพื่อนกันแน่ เจ๊ไล่บี้จนปรานต์จนแต้ม ยอมรับว่าตนเอาเงินของเจ๊ไปซื้อแหวนวงนี้ แต่ก็ปั้นเรื่องโกหกว่า
“ผมบอกพี่แล้ว ผมต้องเอาเงินไปลงทุนเพิ่ม แต่ผมไม่มีผมก็ยืมเพื่อนไปก่อน พอพี่ให้เงินมาผมก็รีบเอาไปคืน มันก็เอาเงินไปซื้อแหวนและตอนนี้มันก็ไปเมืองนอกเลยฝากแหวนไว้กับผม ถ้ามันกลับมาเมื่อไหร่ จะรีบนัดให้พี่สอบปากคำทันที จะได้เลิกวุ่นวายกับไอ้เรื่องแหวนนี่เสียที”
ปรานต์ทำเป็นฉุนเฉียว แล้วชี้แจงเรื่องอรุณศรี ว่า เธอเป็นคนแสดงบทนี้เก่ง ตนยังถูกหลอกมาตั้งหลายปี ตนทุ่มเทให้ทุกอย่างแต่เธอก็ยังไม่พอใจ รวมหัวกับเพื่อนหลอกให้ตนทำสัญญาเงินกู้อีกสี่แสน ทุกวันนี้ตนยังไม่มีปัญญาหามาใช้คืนเลย
“สี่แสน!” เจ๊เกียวตกใจ ปรานต์พยักหน้าตีหน้าเศร้าจนน่าสงสารมาก
ปรานต์โอดครวญว่าเจ้าของเงินสี่แสนทำเป็นโทร.มาทวงเงินแล้วชวนไปทำอย่างอื่น ขนาดตนบอกว่ามีพี่แล้วก็ยังไม่ยอม เจ๊ถามว่าแล้วไปกับเขาหรือเปล่า ปรานต์บอกว่าตนมีพี่แล้วจะไปกับเขาได้ยังไง ตนไม่ใช่คนสำส่อนเหมือนอรุณศรีคบกับคนใหม่แล้วยังไม่ทิ้งคนเก่า ปรานต์พูดจนเจ๊ถามว่าถ้าคืนเงินสี่แสนแล้วเรื่องจะจบไหม ทำเอาปรานต์ ดีใจแทบช็อก...
ธีธัชเอาใจใส่ลําเภา ไปส่งที่คลินิกก็ซื้ออาหารมาให้ด้วย ใส่ใจจนเธอใจอ่อนยอมพาไปพิสูจน์ตัวเองในด่านสุดท้าย แต่เป็นด่านหินที่ธีธัชหนุ่มสําราญถึงกับยิ้มไม่ออก นั่นคือพาไปหาแม่!
เพราะจีบสาวคนไหนก็ไม่เคยเข้าหาผู้ใหญ่ ทําเอาธีธัชเครียด ไปปรึกษากริชชัย เพื่อนเห็นว่าเป็นเรื่องดี ชมว่า ลําเภาทําถูกต้องแล้ว เมื่อเห็นธีธัชเครียด เขาบอกว่า
“ป้าเขาเป็นคนดูคนออก แล้วก็เป็นคนใจดี ไม่ตัดสินคนด้วยอคติไม่ต้องห่วง สบายใจได้”
เมื่อลําเภาบอกแม่เรื่องจะพาธีธัชมาหา แม่ถามว่า ผู้ชายที่จะมาจีบลูกตาบอดหรือเปล่าหรือว่ามีปัญหาเรื่องเงิน ลําเภารับรองว่าธีธัชมาเพราะรักลูกสาวแม่ล้วนๆ ไม่ต้องห่วง
แม่ถามอีกว่าแล้วเขาทํางานอะไร?อายุเท่าไร? พ่อแม่เป็นใคร?พอลําเภาจะตอบ แม่บอกว่าไม่ต้องตอบเดี๋ยวแม่จะถามเจ้าตัวเขาเอง ถามว่าแล้วจะมาเมื่อไหร่ ลําเภาบอกว่าอาทิตย์หน้า
“ดี...แม่จะถ่ายวีดิโอไว้ด้วยนะ” ลําเภาตกใจถามว่าถ่ายไว้ทําไม “ก็เก็บเอาไว้ให้พ่อดู เพราะอาทิตย์หน้าคุณพ่อไปประชุมที่ออสเตรเลีย เกิดมายังไม่เคยมีผู้ชายกล้ามาจีบลูกสาว นานๆ จะหลงมาสักคน มันก็ต้องเต็มที่กันหน่อย ฮึๆๆ”
เสียงหัวเราะโหดๆของแม่ทำเอาลำเภาพึมพำอย่างหนาวแทนธีธัชว่า... “นายหมาใหญ่...ตายแน่ๆ!”
ooooooo
ธีธัชเครียดที่จะต้องไปพบแม่ของลําเภาคิดปรุงแต่งตัวเองตั้งแต่หัวจดเท้าเพื่อให้ดูดีหมายให้ผ่านด่านหินนี้ให้ได้ จนกริชชัยที่แต่งตัวสบายๆเตรียมออกข้างนอกบอกเพื่อนว่าให้ทําตัวปกติตามสไตล์ของ ตัวเองนั่นแหละเพราะป้าเขาไม่ถือ
วัชระเห็นด้วยแล้วโอดครวญว่าปัญหาของตัวเองน่ารันทดขนาดไหน อยู่ๆสุพรรณิการ์ก็มาขอให้ถอยกลับไป
เริ่มต้นกันใหม่บ่นออดว่า “ถอยมาซะไกลเลย สุดท้ายเขาจะคบกับฉันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เฮ้อ...”
กริชชัยสมนํ้าหน้าเพราะตัวไปทําข้ามขั้นตอนเอง
เธอให้โอกาสใหม่ก็บุญแล้ว
“เออ...ใครจะเจ้าระเบียบทําทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างทั่นประธานล่ะคร้าบบบ” วัชระประชดแล้วบรรยายอย่างหมั่นไส้ “เริ่มตั้งแต่แอบชอบ เฝ้ามอง สังเกตพฤติกรรมค่อยๆแสดงความรู้สึก ไม่เป็นมือที่สาม รอให้เขาเลิกกันเองแล้วค่อยจีบ...แล้วขั้นต่อไปอะไรครับท่าน”
“ขอแต่งงาน!!” กริชชัยตอบหนักแน่น พอเพื่อนทั้งสองตกใจ เขาบอกว่านัดสุพรรณิการ์ไว้ทีี่ร้านจะปรึกษาเรื่องขออรุณศรีแต่งงาน อยากทําเซอร์ไพรส์ไม่อยากขอแบบทื่อๆแล้วจะออกไปเพราะสุพรรณิการ์รออยู่
วัชระกับธีธัชขอตามไปด้วย ธีธัชจํ้าอ้าวตามไป ส่วนวัชระที่ขายังเจ็บอยู่ก็อุตส่าห์กระโดดหยองแหยงกะเผลกๆตามไป
ooooooo
เจ๊เกียวเอาเงินสี่แสนใส่ซองให้ปรานต์เอาไปใช้หนี้ บอกว่าให้จบเรื่องไปเลย ยํ้าเหมือนปรามว่า ตนไม่ชอบคนโกหก เลวซึ่งๆหน้าแค่ไหนก็รับได้ แต่ถ้ามาเลวลับหลัง รับไม่ได้
ปรานต์รับรองตัวเองว่าเป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง หอมแก้มเจ๊ทีหนึ่ง เอ่ยขอบคุณตาหวานฉํ่า เจ๊บอกว่าจะกลับไปรอที่คอนโดฯ เรียบร้อยแล้วเจอกัน ปรานต์รับคํายิ้มกว้างแล้ว ขับรถออกไป หารู้ไม่ว่าเจ๊รีบไปที่รถตัวเองขับตามไปอย่างเร็ว!
ปรานต์ขับรถไปที่ร้านสาดสุราฯ เห็นพวกกริชชัย
กําลังเดินเข้าไปในร้านก็สงสัยว่ากริชชัยมาทําอะไรที่นี่ แต่ที่ข้างหลังเขา เจ๊เกียวขับตามมาถึง มองอย่างสงสัยว่าปรานต์ มาทําอะไรที่นี่ พอเห็นชื่อร้านและเช็กกับประวัติของอรุณศรีที่นักสืบให้มาจึงรู้ว่าเป็นร้านเพื่อนสนิทของอรุณศรี สงสัยว่าคงเป็นเจ้าหนี้ของปรานต์ เลยเชื่อว่าคงจะเอาเงินมาใช้หนี้จริงๆ
ooooooo
สุพรรณิการ์รอกริชชัยอยู่ที่ระเบียงร้าน โอบบุญที่มาช่วยกรกนกที่ร้านถามกริชชัยอย่างรู้เรื่องดีว่าจะมาคุย “เรื่องนั้น” หรือ เชิญตามสบาย
ธีธัชเห็นโอบบุญกับกริชชัยทักทายกันอย่างคุ้นเคยก็ถามว่าเป็นใคร รู้จักกันด้วยหรือ พอกริชชัยบอกว่าโอบบุญกำลังจีบกรกนกอยู่ ดักคอว่าหึงหรือจะไปฟ้องลำเภา ธีธัชก็รีบปฏิเสธ
ทั้งสามพากันไปหาสุพรรณิการ์ที่ระเบียง หยอกล้อกันไปตามประสาหนุ่ม ปรานต์แอบดูพึมพำหน้าเครียดว่า
“ไอ้บ้าพวกนี้มันเล่นอะไรของมัน ไร้สาระฉิบ...”
ปรานต์แอบฟังพวกกริชชัยคุยกับสุพรรณิการ์ พอรู้ว่ากริชชัยมาปรึกษาสุพรรณิการ์เรื่องจะแต่งงานกับอรุณศรี สุพรรณิการ์แสดงความยินดีและดีใจกับเพื่อนที่ตกนรกกับ
ปรานต์มานานจะได้มีความสุขเสียที ทำให้ปรานต์แค้นขึ้นมาเปลี่ยนใจไม่คืนเงินให้ หันหลังเดินออกไปทันที
เจ๊เกียวที่ซุ่มดูอยู่แปลกใจที่เห็นปรานต์ถือซองเงินออกมาแล้วขับรถออกไป เอะใจว่าปรานต์จะไปไหนรีบตามต่อ
ooooooo
หลังจากคุยกับสุพรรณิการ์แล้ว กริชชัยชวนไปหาอรุณศรีด้วยกันเลย อีกสองหนุ่มขอตามไปด้วย เลยไปกันเป็นพรวน
ปรานต์ไปที่บ้านอรุณศรีโทร.เข้าไปเช็กก่อนว่าอยู่หรือเปล่า อรุณศรีไม่รับสายเลยล่อด้วยการบอกว่าจะเอาเงินมาคืน เธอจึงบอกว่าอยู่บ้านให้มาได้เลย ปรานต์ยิ้มสะใจ
หารู้ไม่ว่าหายนะกำลังคืบคลานมา
สุพรรณิการ์โทร.ถามอรุณศรีว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เธอบอกว่าถึงแล้วให้รีบมาเลยเพราะปรานต์กำลังจะเอาเงินมาคืน
“ไอ้ปรานต์เนี่ยนะจะเอาเงินมาคืน มุกไหนวะ” สุพรรณิการ์สังหรณ์ใจ รีบเร่งเครื่องไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
รถของปรานต์ปราดเข้าไปจอดที่หน้าบ้านอรุณศรี เห็นรถป้ายแดงจอดอยู่ในบ้านก็ถามว่ารถใคร พอรู้ว่ากริชชัยให้ยืมใช้ก็ยิ่งแค้นด่าว่าเธอคงบริการได้ถึงใจเขาถึงได้ทุ่มให้ขนาดนี้ ทำให้เธอลืมความรักความทรงจำกับตน
อรุณศรีตัดบทว่ารีบส่งเงินมาแล้วกลับไปได้แล้ว ด่าว่าความเลวของเขาต่างหากที่ลบความทรงจำดีๆ ของตนไปปรานต์แค้นจัดพุ่งเข้ากอดซุกไซ้เธออย่างบ้าดีเดือด เธอดิ้นจนเซไปกระแทกเหล็กรั้วหมดสติไป ปรานต์ฉวยโอกาสนั้นอุ้มขึ้นรถขับออกไปอย่างเร็ว เจ๊เกียวที่ตามมาเห็นรถปรานต์ สวนออกไปโดยมีอรุณศรีนั่งอยู่แต่ดูไม่ชัดว่าเธอหมดสติแล้ว เจ๊แค้นจัดขับตามไปทันที
ปรานต์ขับรถไปอย่างรีบร้อนจนเกือบชนกับรถของสุพรรณิการ์ที่รีบมา สุพรรณิการ์จำได้ว่าเป็นรถของปรานต์และเห็นอรุณศรีนั่งอยู่ข้างๆ ก็รีบขับไล่ตามไป พลางโทร.บอกกริชชัยกับเพื่อนๆให้รีบตามตนไป
กลายเป็นรถสี่คัน ขับไล่ตามรถของปรานต์ไปโดยเจ้าตัวไม่รู้
ooooooo
แม้จะตามทันบ้างไม่ทันบ้าง บางครั้งรถของปรานต์ก็หลุดหายไปจากสายตา แต่ธีธัชรู้ดีว่าแถวนี้มีม่านรูดจึงบอกให้เพื่อนขับเข้าไป เจ๊เกียวที่ตามมาอย่างไม่ให้คลาดสายตาเห็นรถของปรานต์เลี้ยวเข้าม่านรูด คำรามอย่างแค้นใจว่า
“มึงเอาเงินกูจ่ายค่าโรงแรมเนี่ยนะ...” พลางคลำกระเป๋าที่มีปืนอยู่ในนั้น กัดฟันกรอดๆ
กริชชัยขับรถเข้าไปในม่านรูด ธีธัชกับวัชระช่วยกันมองหารถของปรานต์ ใช้วิธีวนไปรอบๆจนกระทั่งเห็นเจ๊เกียวลงจากรถ มือถือกระเป๋าอย่างน่าสงสัย กริชชัยจำเจ๊ได้เลยมั่นใจว่าปรานต์ต้องพาอรุณศรีมาที่นี่แน่ๆ
ปรานต์พาอรุณศรีในสภาพที่ยังไม่ได้สติเข้าไปในห้องลงมือถอดเสื้อผ้าตัวเองอย่างรวดเร็ว พูดอย่างสะใจว่า
“ไอ้บื้ออย่างแก รอรับของเหลือเดนจากฉันก็แล้วกัน”
พวกกริชชัยแยกย้ายกันมองหาเจ๊เกียวที่เดินหายไป เจ้าหน้าที่ม่านรูดเดินมา พอวัชระโชว์บัตรตำรวจเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เปิดแน่บไปเลย
ขณะที่สามหนุ่มกำลังเดินตามหาเจ๊เกียวตามห้องต่างๆและรูดม่านดูรถที่จอดอยู่นั่นเอง เสียงปืนดังกัมปนาทขึ้นหนึ่งนัด
ฝีมือเจ๊เกียวยิงประตูห้องที่ปรานต์พาอรุณศรีเข้าไปนั่นเอง ปรานต์ในสภาพเปลือยท่อนบนผงะ พริบตานั้นประตูเปิดผลัวะ เจ๊เกียวถือปืนจังก้า ปรานต์พยายามจะชี้แจง แต่เจ๊ไม่มีเวลาฟัง พูดอย่างแค้นใจว่า
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าโกหก ฉันไม่ใช่อีโง่ที่จะมาให้ผู้ชายอย่างแกหลอก...ไอ้ชั่ว!!”
สิ้นเสียงเจ๊ลั่นกระสุนทันที เพียงนัดเดียวปรานต์ก็หงายผลึ่งตกเตียงจมกองเลือด ขณะที่เจ๊หันกระบอกปืนไปทางอรุณศรีหมายจะให้ตายไปด้วยกันนั้น พวกกริชชัยกรูกันเข้ามาล็อกตัวเจ๊ไว้ กริชชัยรีบเดินไปดูอรุณศรี เธอยังสะลึมสะลืออยู่ เขาพลิกหน้าเธอดูเห็นเลือดไหลจากไรผม
กริชชัยบอกธีธัชกับวัชระว่าตนจะพาอรุณศรีไปโรงพยาบาลก่อน ธีธัชบอกให้เรียกรถเก็บศพมาด้วยก็ดี แล้วก้มมองศพปรานต์พึมพำ “คาที่ว่ะ”
กริชชัยเดินมาลูบเปลือกตาปรานต์ที่เบิกโพลงให้ปิดลง แล้วอุ้มอรุณศรีออกไป...
ธีธัชกับวัชระมองร่างปรานต์ที่แน่นิ่งเหมือนปิดฉากชีวิตที่มีแต่ความโลภ ริษยา และอาฆาตแค้นของเขาโดยสิ้นเชิง...
ooooooo
อรุณศรีรู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ถามกริชชัยและสุพรรณิการ์ที่เฝ้าอยู่ว่าตนมาที่นี่ได้อย่างไร กริชชัยบอกให้ถามสุพรรณิการ์เธอจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง ส่วนเขาขอตัวไปบอกหมอว่าเธอรู้สึกตัวแล้ว
อรุณศรีนิ่งอึ้งเมื่อเพื่อนรักบอกว่าปรานต์ตายแล้ว เธอถอนใจเบาๆขณะฟังสุพรรณิการ์เล่าเรื่องทั้งหมด...ด้วยใจหดหู่...
ในงานศพของปรานต์ที่จัดอย่างเรียบง่าย อรุณศรีวางดอกไม้จันทน์บอกกล่าวปรานต์เศร้าๆว่า
“ไปดีนะปรานต์...เราไม่มีอะไรติดค้างกัน แอ๊วอโหสิกรรมให้ทุกอย่าง”
“ส่ีแสนของฉัน...ฉันยกให้” สุพรรณิการ์พูดต่อ โอบบุญกับกริชชัยที่เดินตามมา วางดอกไม้จันทน์ ถอนใจอย่างโล่งอกก่อนเดินลงจากเมรุไป
เมื่อลงมายืนดูควันอ่อนๆที่ลอยจากปล่องเมรุอยู่ข้างล่าง อรุณศรีคุยกับกริชชัย บอกเขาตามตรงว่า ตลอดเวลาที่คบกับปรานต์ตนไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาพูดอะไรก็เชื่อหมดแม้แต่วันสุดท้ายที่เขามาบอกว่าจะเอาเงินมาคืนฝ้ายตนก็เชื่อ
กริชชัยพูดให้กำลังใจว่าเป็นธรรมดาที่โง่ย่อมมาก่อนฉลาด พอดีโอบบุญที่คุยอยู่กับสุพรรณิการ์ มองมาเห็นกริชชัยกับอรุณศรีคุยกันอย่างอารมณ์ดี สุพรรณิการ์บอกโอบบุญว่าบอก “เรื่องนั้น” กับอรุณศรีได้เลย เชื่อว่าเพื่อนรับได้ไม่ต้องห่วง
โอบบุญจึงบอกอรุณศรีว่าตนจะเดินทางไปทำงานที่ญี่ปุ่น 4 ปี โดยจะออกเดินทางวันจันทร์หน้า แต่ตนก็สบายใจและวางใจ เชื่อว่าน้องมีผู้ดูแลที่ดีแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง กระนั้นอรุณศรีก็ใจหายพึมพำ...พี่โอบบุญจะไปจริงๆแล้วหรือเนี่ย?
ooooooo
วันนี้นรีวรรณคะยั้นคะยอขอร้องแกมบังคับให้เนตรนภัสไปงานผู้ปกครองกับตน เพราะสีรุ้งติดงานเลี้ยงรุ่นสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ สีรุ้งช่วยหว่านล้อมให้เนตรนภัสไปกับน้องถือว่าช่วยแม่ก็แล้วกัน
เนตรนภัสตัดสินใจยอมไปแต่ต้องขอเวลาทำสวยสักสองชั่วโมง นรีวรรณดีใจมากบอกว่าจะกี่ชั่วโมงตนก็รอได้
“โอเค ได้เวลาสวยแล้ว” เนตรนภัสลุกขึ้น นรีวรรณร้องเชียร์พี่สาวสุดๆ สีรุ้งมองลูกทั้งสองแล้วก็ยิ้มปลื้มกับความรักกันและกัน มองเนตรนภัสแล้วยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนจะบอกว่าลูกทำถูกแล้ว
เมื่อไปงานเลี้ยง แม้เนตรนภัสจะรู้สึกเบื่อๆกับงานที่เป็นทางการและมีแต่ผู้ใหญ่ แต่เธอก็อดทนทำเพื่อน้อง จนกระทั่งมาร์ค พี่ชายของนักเรียนคนหนึ่งเดินมาทักว่า “เบื่อไหมครับ”
เนตรนภัสตอบตามตรงว่าเบื่อแต่ยังไม่มาก เขาถามว่ามาเป็นเพื่อนน้องสาวหรือ ชมว่าใจดีจังที่ทนเบื่อเพื่อน้องสาว
ทักทายพูดคุยกันไม่กี่คำ แต่ด้วยความเป็นคนพูดตรงไปตรงมาเปิดเผยของเนตรนภัส ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว มาร์คสานไมตรีด้วยการให้นามบัตรของตน บอกว่านี่เป็นเบอร์ส่วนตัว ยินดีที่รู้จัก
เมื่อถึงเวลางานเลี้ยง นรีวรรณถามพี่สาวว่า พี่แมทเขามาคุยกับพี่หรือ บอกพี่สาวว่า
“พี่แมทดังจะตาย เป็นพี่ชายของเพื่อนนุ้ยเอง ทั้งหล่อทั้งรวยแถมยังเก่งอีกต่างหาก สาวๆไฮโซรุมจีบตรึม แต่พี่แมทไม่ค่อยสนใจ...แล้วเมื่อกี้เขามาคุยอะไรกับพี่แหนมมั่ง”
เนตรนภัสบอกว่าให้เบอร์แล้วชวนไปกินข้าว นรีวรรณตื่นเต้นมาก บอกว่าพี่แมทไม่เคยทำแบบนี้เลย ขนาดผู้หญิงมาอ่อยถึงบ้านยังไม่สนเลย ยุพี่สาวว่า
“แสดงว่าเขาต้องชอบพี่แหนมจริงเลยอ่ะ โทร.เลย...คนนี้นุ้ยเชียร์”
เนตรนภัสดูนามบัตร นิ่งคิด แล้วเดินไปหามาร์ค ท่ามกลางสายตาและลุ้นสุดตัวของนรีวรรณ
ที่แท้เธอเอานามบัตรไปคืนเขา ขอบคุณที่มีน้ำใจชวนไปทานข้าวด้วยกัน แต่ตนคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเขาเป็นฝ่ายโทร.มาหา ส่วนเบอร์โทร.ของตนนั้น เธอบอกว่า “ถ้าคุณอยากเจอกับฉันจริงๆ มันคงไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ”
ทั้งยังบอกว่า ถ้าเราจะไปทานข้าวกันจริงๆ ตนคงต้องพาน้องสาวกับคุณแม่ไปด้วย ซึ่งมาร์คก็เต็มใจและยินดี...
บรรยากาศปาร์ตี้สดใส เหมือนชีวิตของเนตรนภัสที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่อย่างสดชื่น ดั่งที่วิคเตอร์ ฮิวโก้ นักเขียนชาวฝรั่งเศสเขียนไว้ว่า...
“ความสุขสูงสุดของชีวิตคือการได้รับความรักและการถูกรักโดยไม่มีเงื่อนไข”
ooooooo
ที่บ้านลำเภา...วันนี้เป็นวันที่ธีธัชต้องผ่านเงื่อนไขข้อสุดท้ายที่เขากังวลจนเหงื่อแตกพลั่กขณะนั่งรอคุณแม่ของเธอ
“รอนิดรอหน่อย เหงื่อตกเลยรึไง” เสียงทักดังขึ้น ทำเอาธีธัชสะดุ้งรีบปฏิเสธ ลำเภาบอกเขาว่านั่นคุณแม่ตนเอง
ธีธัชรีบยกมือไหว้ ลำเภาแนะนำแก่คุณแม่ว่านี่คือธีธัช ได้รับคำชมว่าชื่อเพราะดีแปลว่าอะไร เขาบอกว่าแปลว่าผู้มีปัญญาเป็นธงชัย
“เหรอ...แล้วจริงๆน่ะมีไหม” คำถามนี้ทำเอาธีธัชเลิกคิ้ว แม่เลยขยายความว่า “ปัญญา...สมองน่ะมีรึเปล่า”
ธีธัชยิ้มแหะๆแห้งๆบอกว่าก็มีอยู่บ้าง...ไม่เยอะมาก ตอบแล้วก็ทำตัวไม่ถูก มือไม้เกะกะเก้งก้างขึ้นมาซะงั้น เลยตักอาหารให้ลำเภาแก้เก้อ ถูกเบรกว่าไม่ต้อง เป็นแขกให้อยู่เฉยๆ ให้ลำเภาเขาทำ ย้ำว่า “เธอ...ต้องคุยกับฉัน”
ธีธัชหดมือกลับแทบไม่ทัน ลำเภาตักข้าวไปก็แอบมองขำๆไป
ครู่เดียวก็เจอคำถามเป็นชุดว่า “พ่อแม่ของเธอเป็นใคร? ทำงานอะไร? อยู่ที่ไหน?”
“คุณพ่อคุณแม่ผมเคยเปิดร้านขายอะไหล่รถอยู่ในเวิ้ง แถวบ้านหม้อ แต่ตอนนี้ท่านเสียแล้ว ผมก็เลยขายกิจการให้น้าๆที่เขาอยากทำต่อน่ะครับ”
“ขายทำไม ทำไมไม่ทำต่อ”
“คือผมไม่ชอบทำงานค้าขายพวกอะไหล่น่ะครับ” เลยถูกถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ “คือ...ตอนนี้ผมก็มีลงทุนทำร้านอาหารกับเพื่อนๆบ้าง แต่งานหลักๆคือ ดูแลพวกอพาร์ตเมนต์ ห้องพัก คอนโดฯ บ้านเช่า ที่พ่อแม่เคยซื้อไว้น่ะครับ”
“สมบัติเก่าของพ่อแม่ว่าอย่างนั้นเถอะ”
“ก็...ทำนองนั้นน่ะครับ” ธีธัชหน้าจ๋อยๆ รู้สึกตะขิด ตะขวงใจกับงานที่ไม่น่าอวดเลย ลำเภาแอบมองเขาด้วยความสงสาร
ooooooo
หลังจากนั้น เขาได้รับคำชมว่าหน้าตาดีทำให้ธีธัชรู้สึกดีขึ้น แต่แล้วก็สลดวูบเมื่อถูกถามว่ามีแฟนมากี่คนแล้ว ลำเภามองอย่างสมน้ำหน้าที่ถูกแม่สะกิดแผล พอธีธัชอึกอักก็ถูกดักคอว่า “เยอะจนนับไม่ถูกเลยน่ะสิ”
พอธีธัชยอมรับ ถูกถามอีกว่าแล้วคิดยังไงถึงได้มาคบกับลำเภา คราวนี้เขาตอบทันทีอย่างมั่นใจว่า
“คิดอยากจะหยุดน่ะครับ” พอถูกถามว่าจะหยุดได้จริงหรือเปล่า เขาสาธยายยืดยาวว่า “เมื่อก่อนใช่ครับ แต่ตอนนี้ไม่ยากแล้ว เพราะผมชอบของแปลกครับ แปลกๆอยู่ด้วยแล้วไม่เบื่อ ผมว่าเภาเนี่ยแปลกสุดแล้ว ผมคงหาแปลกกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“ถ้ามั่นใจแบบนั้นก็ฟังเอาไว้...ฉันมีลูกสาวคนเดียว คงไม่ต้องให้บอกว่าฉันรักเขามากแค่ไหน...แต่กินข้าวกันวันเดียวยังดูไม่ออกหรอก ถ้าคุณจริงใจก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ถ้าคิดจะมาเล่นๆก็ไปซะ มาทางไหนก็ไปทางนั้น เข้าใจรึเปล่า”
ลำเภาจ้องเขม็งรอคำตอบ ธีธัชตอบอย่างหนักแน่นว่า “เข้าใจครับ”
ต่างนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อได้ยินคุณแม่บอกว่า “ก่อนจะไป หันไปทักคุณพ่อที่โน่นหน่อย”
ธีธัชหันไปมอง มันเป็นกล้องวีดิโอ เขาถามพลางเหลือบมองลำเภาว่า
“คุณพ่อ...พ่อเธอเป็นกล้องวีดิโอเหรอ?”
“บ้าเหรอ...พอดีตอนนี้พ่อไปประชุมที่เมืองนอก แม่เขาก็เลยถ่ายวีดิโอไว้ให้พ่อดูน่ะ” ธีธัชมองขวับพูดเบาๆ...ถามจริง? ได้รับคำยืนยันว่า “ตอบตรง กล้องอยู่ทางโน้น ยิ้มทักทายหน่อย” แล้วตัวเธอก็โบกมือทัก “สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
ธีธัชพึมพำแบบไม่กล้าให้ใครได้ยิน “โหย...แปลกทั้งบ้านเลย...” แล้วยิ้มขำๆยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณพ่อ...”
แล้วทั้งลำเภา แม่ และธีธัชก็โบกมือทักทายกับกล้องวีดิโออย่างสนุกสนาน...กันยกใหญ่...เฮ้อ...
ooooooo
ในที่สุด ธีธัชก็สอบผ่านขั้นตอนสุดหินสำหรับเขา ธีธัชเสนอตัวเข้าประจำการเต็มขั้น ทีแรกก็แอบ หอมแก้มทีหนึ่งก่อน ถูกปรามว่าแค่แฟนไม่ใช่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ ขืนรุ่มร่ามจะโดนลดระดับความน่าเชื่อถือ
ธีธัชทำหน้าทะเล้นรีบขอโทษสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรก่อนได้รับอนุญาต แต่ถ้าได้รับอนุญาตเมื่อไรรับรองจัดเต็ม! แล้วเสนอตัวเข้าประจำการหน้าที่แฟนว่า พรุ่งนี้จะมารับไปส่งที่ทำงาน ลำเภาที่ยังเขินๆ อยู่มีแต่ทำเสียง อือ...อือ...ในลำคอ
เมื่อธีธัชจะกลับก็ฝากฝันถึงตนด้วย เธอไล่ให้กลับๆไปเสียที ร่ำลาอยู่ได้ เมื่อเขาไปจริงๆ ก็ทำเก๊กบอก
“ขับรถดีๆล่ะ ถึงคอนโดฯแล้วก็...ส่งข้อความมาบอกด้วย” พูดแล้วก้มหน้าเขินๆ ส่วนธีธัชดีใจจนเนื้อเต้น
ooooooo
เมื่อต้องไปอยู่ญี่ปุ่นนานถึง 4 ปี โอบบุญตัดสินใจขอกรกนกแต่งงาน เพื่อจะได้ไปด้วยกัน เพราะถ้าเธอไปในฐานะภรรยาจะได้รับสวัสดิการเหมือนตนทุกอย่าง ตั๋วเครื่องบินกินอยู่ฟรีหมด กล่อมเธอว่า แค่จดทะเบียนกันถ้าเธอยังไม่พร้อมไปถึงที่โน่นเราดูใจศึกษากันต่ออีกระยะหนึ่งก็ได้
เธอทำทีขอเวลาคิด แต่ผ่านไปแค่ชั่วอึดใจก็ตอบตกลงเร็วราวกับกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ โอบบุญบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปจดทะเบียนกัน จะเชิญแขกไปร่วมเป็นสักขีพยาน 3 คนเท่านั้น ครั้นเธอถามว่าใครบ้าง ก็อำไว้ไม่ยอมบอก
จนเมื่อไปที่ทำการเขต จึงรู้ว่า สักขีพยาน 3 คนนั้น คือ อรุณศรี กริชชัย และสุพรรณิการ์ ซึ่งล้วนเป็นคนใกล้ชิด
ทั้งสิ้น ส่วนงานปาร์ตี้คืนนี้ที่ร้านสาดสุราฯ สุพรรณิการ์ฝากให้อรุณศรีดูแลแทน เพราะตนมีเดท
“แกเนี่ยนะ มีเดท?!” อรุณศรีอุทานราวกับได้ยินเรื่องมหัศจรรย์
ooooooo
ข้างฝ่ายธีธัช หลังจากผ่านบททดสอบโดยเฉพาะกับคุณแม่ของลำเภาที่ซักถามรายละเอียดมากมาย ทำให้เขาเริ่มได้คิด วันนี้เขาบอกลำเภาว่าอยากทำงาน ลำเภาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ถามเสียงดัง “ว่าไงนะ???”
“ฉันอยากทำงาน อยากมีอาชีพที่มั่นคงมากกว่าเก็บค่าเช่า กินสมบัติเก่าของพ่อแม่”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้ละเมอ” ลำเภาถามอย่างไม่แน่ใจว่าเขาละเมอหรือตัวเองฝันไป
“พูดจริง...แล้วฉันก็รู้แล้วด้วยว่าฉันอยากทำอะไร”
ลำเภาถามว่างานอะไร เขาไม่บอก แต่หลายวันต่อมา เขาเอาแบบบ้านหมาที่ร่างไว้คร่าวๆ มาให้ลำเภาดู พลางอธิบายอย่างภูมิใจว่า
“นี่คือบ้านสำหรับน้องหมา เป็นบ้านที่ทำขึ้นเพื่อเขาโดยเฉพาะ เราจะต้องทำการวัดขนาดและศึกษาพฤติกรรมของเขาก่อนแล้วจึงจะออกแบบเพื่อให้เข้ากับนิสัย และที่สำคัญ เรามีบ้านลอยน้ำ สำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต่ำ เสี่ยงต่อน้ำท่วม ถ้าน้ำมาเมื่อไหร่ บ้านจะกลายเป็นเรือสำหรับน้องหมาทันที”
ลำเภาทึ่งในความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเขา ธีธัชถามว่าคิดไม่ถึงใช่ไหมว่าจะทำได้ อวดว่าตนจบสถาปัตย์มานะแค่นี้สบายอยู่แล้ว ลำเภาถามว่า มีฝีมือขนาดนี้ทำไมไม่ทำการทำงาน
“ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้ ก็ไม่รู้จะทำงานไปทำไม แต่พอคบกับเภา อยู่ๆมันก็อยากทำอะไรที่เป็น เรื่องเป็นราวขึ้นมา อยากทำให้เภามั่นใจว่าเราจะดูแลเภาได้”
ลำเภารู้สึกดี บอกเขาว่าถ้าทำแล้วรู้สึกว่าไม่ฝืนก็ทำ ตนจะเป็นที่ปรึกษาและเป็นกำลังใจให้
“ขอบใจมากนะเภา ขอบใจจริงๆ ที่ทำให้เราอยากเป็นผู้เป็นคนกับเขาสักที ขอบใจมาก”
ทั้งสองมองหน้าอย่างเข้าใจและให้กำลังใจกัน ธีธัชหยิบแบบบ้านหมาขึ้นมาดูทำท่าตัดสินใจแบบว่า...“เอาวะ...ลุยสักที!”
ooooooo
ส่วนสุพรรณิการ์กลับไปคุยกับวัชระนัดออกเดทกับเขา ทำให้เหมือนคู่อื่นๆ ที่ไปเที่ยวเล่นก่อนจะเป็นแฟนกัน วัชระเสนอว่า เราก็ไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง แล้วถ้าหิวก็กินข้าวอีกรอบ สุพรรณิการ์บอกว่าแบบนั้นน่าเบื่อ เสนอว่า
“ทำอะไรที่คุณชอบทำ ฉันจะทำด้วยเพราะฉันอยากรู้ว่า ฉันจะชอบสิ่งที่คุณชอบหรือเปล่า”
“จะรู้ไปทำไม”
“คนเราจะใช้ชีวิตด้วยกัน มันมีอะไรตั้งหลายอย่างต้องทำด้วยกัน ถ้ามันไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย มันจะอยู่ ด้วยกันได้ยังไง” วัชระฟังแล้วเห็นด้วย เธอจึงเสนอว่า “ฉันให้เวลาคุณครึ่งเช้า ส่วนครึ่งบ่าย คุณก็ต้องทำในสิ่งที่ฉันชอบ โอไม่โอ?”
“โอเค! ได้ แปดโมงเจอกัน” วัชระตอบแบบเอาไงเอากัน (วะ...)
ooooooo
รุ่งขึ้นสุพรรณิการ์เลือกชุดมา 4—5 ชุด กะเอาชุดที่คิดว่าจะประทับใจวัชระที่สุด แต่หลังจากคิดๆแล้วก็เลือกเอาชุดที่เหมาะกับตัวเองที่สุดแทน
ส่วนวัชระคิดจะทำให้สุพรรณิการ์ประทับใจที่สุด เพราะตั้งแต่รู้จักกันตนก็ทำตัวซกมกมาตลอด คราวนี้คิดจะโกนหนวด แต่งหล่อ ทำเซอร์ไพรส์ แต่พอลงมือจะโกนหนวดก็ชะงัก รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง สุดท้ายเปลี่ยนแต่งชุดที่เหมาะกับตัวเองและหนวดเคราก็ยังปล่อยให้รกอยู่บนหน้าเหมือนเดิม
เมื่อไปเจอกัน สุพรรณิการ์อยู่ในชุดห้าวๆ ส่วนวัชระก็ยังคงซกมกเหมือนเดิม
“ที่จริงแต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักดีนะ” วัชระเอ่ย
“คุณก็...เป็นตัวของตัวเองดี ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ เหมือนเดิมเป๊ะ...”
ทั้งสองต่างยอมรับในความเป็นตัวตนของอีกฝ่ายอย่างสบายใจ สุพรรณิการ์บอกให้เริ่มกันเลยดีกว่า โดยครึ่งเช้าให้เป็นหน้าที่ของเขา ส่วนครึ่งบ่ายตนรับผิดชอบเอง
ปรากฏว่า วัชระพาเธอไปที่โรงยิม สอนเธอชกมวยกับกระสอบทราย สุพรรณิการ์ทำได้อย่างทะมัดทะแมงจนเขาชมว่า
“ใช้ได้เลย...ใช่เลย...แบบนี้เลย! สุดยอด!!”
จากนั้นพาไปปีนหน้าผา ยิงปืน ทุกอย่าง สุพรรณิการ์ร่วมด้วยอย่างสนุกสนาน และฝึกได้อย่างรวดเร็ว จนวัชระมองแบบนึกในใจว่า “โคตรใช่เลย...”
ส่วนตอนบ่ายเป็นหน้าที่ของสุพรรณิการ์ เธอพาเขาเข้าไปในโรงเรียนลีลาศ...วัชระที่เคยแต่ห่ามๆ ห้าวๆ ถามว่าเอาจริงหรือ สุพรรณิการ์ปรามเชิงให้กำลังใจว่า
“อย่ามาทำใจเสาะ ฉันให้ครูเขาเตรียมสอนเพลงของสุนทราภรณ์ไว้ด้วยนะ ต่อไปตอนฟังเพลงเราจะได้เต้นรำตามไปด้วยไง”
วัชระเริ่มเห็นด้วย สุพรรณิการ์ดึงเขาเข้าไปในโรงเรียน เริ่มเพลงแรก...เพลงต่อไป...และต่อไป ทั้งคู่เต้นรำกันจากไม่เป็นจนคล่อง ตระกองกอดกันพลิ้วไปตามจังหวะเพลงอย่างสวยงาม
ooooooo
กลับมาถึงร้านสาดสุราฯ สุพรรณิการ์ก็ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดสภาพ บ่นว่าเมื่อยขามาก ถามว่าขาจะหลุดไหมเนี่ย วัชระถามว่าเข็ดหรือยัง เธอบอกว่า คนอย่างตนไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก ว่าแต่เขาเถอะกล้าไปรอบสองหรือเปล่า วัชระหัวเราะร่าบอกว่าแค่นี้ชิลล์ๆขำๆเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง เนตรนภัสเปิดประตูเข้ามา ทั้งสองหยุดหัวเราะกึก เนตรนภัสเดินเข้าหา ถามวัชระว่าขาหายแล้วหรือ เขาบอกว่าหายแล้ว ถามไม่เต็มเสียงว่า มาเที่ยวหรือ
“เปล่า แหนมตั้งใจมาหาวัช”
สุพรรณิการ์ขอตัวอย่างรู้หน้าที่ เนตรนภัสพูดเรียบๆว่า “ฉันขอคุยกับแฟนคุณไม่นานค่ะ คุยจบแล้วฉันจะคืนให้” สุพรรณิการ์ยิ้มแบบเชิญตามสบาย แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานตัวเอง แต่อดแอบกังวลนิดๆไม่ได้
ที่แท้ เนตรนภัสต้องการมาเคลียร์ปัญหาทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อจะได้แล้วต่อกันเสีย เธอบอกวัชระว่าตัดสินใจอยู่นานว่าจะมาดีหรือไม่มาดี สุดท้ายก็มาเพราะไม่อยากมีชีวิตอยู่โดยมีความเกลียดชังอยู่ในใจ เธอพูดอย่างสงบเยือกเย็นว่า
“แหนมมาเพื่อจะบอกว่าถึงเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้”
“ใช่...เรามีความทรงจำดีๆด้วยกัน ถึงวันนี้ไม่ได้เป็นแฟนกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน ผมเองก็อยากเห็นแหนมมีความสุข อยากให้แหนมได้เจอคนดี และเหมาะสมกับแหนมมากกว่าผม”
“เขาชื่อมาร์คค่ะ เราไปกินข้าวด้วยกันครั้งสองครั้งแล้ว คุณแม่กับนุ้ยก็ไปด้วย เขาก็น่ารักดีนะ”
วัชระถามว่าแล้วเขาดีกับเธอหรือเปล่า เมื่อเธอบอกว่าดี เขาทุ่มเทดี วัชระจึงขอเอาใจช่วย
“ขอบใจมาก ตลกดีนะ ตอนคบกันทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่พอเลิกกันกลับพูดกันดีกว่าเดิม”
“ผมเสียใจที่เราต้องจากกัน แต่ชีวิตเรายังต้องดำเนินต่อไป และอาจจะดีกว่าเดิม โดยเฉพาะแหนม”
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างจริงใจ และจากกันด้วยความประทับใจดีๆต่อกัน
เมื่อออกมาเจอสุพรรณิการ์ข้างนอก เนตรนภัสบอกว่าตนคุยกับวัชระเสร็จแล้ว บอกสุพรรณิการ์ว่าเธอทำให้วัชระมีความสุขขึ้นมาก ตนไม่เห็นเขามีความสุขแบบนี้มานานแล้ว อวยพร “ขอให้โชคดี” ก่อนจากกันไป
เมื่อสุพรรณิการ์เข้ามาอีกครั้ง วัชระถามว่าไม่อยากรู้หรือว่าแหนมมาคุยอะไร เธอบอกว่าถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ตนไว้ใจ วัชระดึงมือเธอไปกุมไว้ นับวันก็ยิ่งรู้สึกว่า ตนเลือกคนไม่ผิดจริงๆ
ooooooo
ส่วนธีธัชก็แสดงความยินดีกับกรกนกที่ได้จดทะเบียนสมรสกับโอบบุญและจะไปญี่ปุ่นด้วยกัน อวยพรให้เธอโชคดี กรกนกเองก็อวยพรให้เขามีความสุขกับคนที่ตัวเองได้เลือกแล้ว
ในวันไปส่งโอบบุญที่สนามบินนั้น โอบบุญเตือนอรุณศรีว่า เมื่อเรื่องต่างๆคลี่คลายแล้วก็ควรเอารถไปคืนกริชชัยเสีย เขาย้ำแล้วย้ำอีกก่อนจากกัน จนอรุณศรีเอะใจว่าพี่ชายมีแผนอะไรหรือเปล่า
เมื่อเธอเอารถไปคืน เห็นห้องกริชชัยที่จัดเตรียมไว้ก็ถึงกับอึ้ง เมื่อทั้งห้องเต็มไปด้วยภาพวาดตัวเธอจากฝีมือของเขา วาดตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จนปัจจุบัน เขาบอกว่า ตกหลุมรักเธอตั้งแต่วันแรกที่เจอ บรรยายถึงความรักที่ผูกพัน ที่อยากอยู่ใกล้เธอ คอยดูแลเธอ คอยปกป้องและทำให้เธอมีความสุข แล้วเขาก็บอกรักและขอแต่งงาน
“ถ้าคุณคิดว่าฉันมีค่าขนาดนั้น ฉันก็ไม่รังเกียจค่ะ”
“คุณมีค่าสำหรับผมเสมอ” กริชชัยยิ้มกว้าง จริงใจ ดึงเธอเข้าไปกอด อรุณศรียิ้มออกมาทั้งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ...
ooooooo
พอวัชระกับธีธัชรู้ว่าอรุณศรีจะแต่งงานกับกริช-ชัย ทั้งคู่ก็กระสันขึ้นมาอยากจะแต่งบ้าง ธีธัชอ้างว่า สุพรรณิการ์เป็นเพื่อนสนิทของอรุณศรีเธอคงไม่ยอม วัชระนึกได้เอาบ้างว่า ลำเภาก็สนิทกับกริชชัยไม่ยอมเหมือนกัน ทั้งคู่จะแต่งพร้อมกริชชัยให้ได้ จนกริชชัยมองเพื่อนบ่นอย่างอ่อนใจว่า “แกสองคนนี่มันบ้าจริงๆ ลอกกันเห็นๆ”
ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วจะไปบอกสองสาวอย่างไรให้ยอมแต่งงานพร้อมกัน?
ธีธัชคิดออกด้วยการขอแรงขนมจีบกับซาลาเปา ตัวหนึ่งเอาช่อดอกไม้ผูกที่หัว มีการ์ดเขียนว่า “แต่งงานกับผมนะเภา” อีกตัวเอากล่องแหวนมัดไว้ที่หัวเช่นกัน แล้วให้ทั้งสองวิ่งไปหาลำเภาเพื่อเซอร์ไพรส์เธอ โดยตัวเองซุ่มดูอยู่
ปรากฏว่า ลำเภาหยิบช่อดอกไม้อ่านข้อความ แล้วจะหยิบกล่องแหวนที่หัวซาลาเปา ซาลาเปาเกิดพยศขึ้นมาวิ่งหนีเอาดื้อๆ ธีธัชตกใจร้องเรียกซาลาเปาเสียงหลง ลำเภาก็วิ่งไล่ตามซาลาเปาชุลมุน ทั้งสองชนกันเข้าอย่างจัง ซาลาเปาเลยหันมาเห่าสมน้ำหน้า ธีธัชร้องบอกซาลาเปาให้เอาแหวนมา บอกว่า “แหวนแพงนะเว้ย”
ลำเภาถามว่าเท่าไร พอเขาบอกว่าสองล้านเท่านั้น เธอก็วิ่งตะครุบเจ้าซาลาเปาเอาเป็นเอาตาย ธีธัชจับซาลาเปาได้ เอาแหวนออกมาแล้วมาจับสวมนิ้วลำเภาเลย
ลำเภาโวยวายว่าตนยังไม่โอเคเลยนะ ธีธัชมองหน้าเป๋งพูดอำๆว่า
“วิ่งตามแหวนซะขนาดนั้นก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้วล่ะ... เนียนๆกันไปนะ” พูดแล้วยิ้มแฉ่งเต็มหน้า
ลำเภาทำเฉไฉยกนิ้วดูชมเขินๆว่า “แหวนสวยดี...แต่งก็ได้!”
“เย้...” ธีธัชร้องแล้วโผเข้ากอดลำเภาแน่น หอมแก้มฟอดๆท่ามกลางเหล่าน้องหมาที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ooooooo
เมื่อลำเภาตกลงแล้ว จึงเหลือแต่สุพรรณิการ์ วัชระคิดหนักว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ตกกลุ่มเพื่อน สุดท้ายเซอร์ไพรส์ตามแบบของตน จัดวงดนตรีชุดใหญ่นัดสุพรรณิการ์ไปพบในสวนดอกไม้ บรรเลงเพลง “พรหมลิขิต” ของสุนทราภรณ์เป็นสื่อใจแล้วจึงปรากฏตัวตรงหน้าเธอ เอ่ยอย่างตั้งใจว่า
“ฝ้าย...ผมรู้ว่าคุณต้องการให้เราเริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่ผมก็รู้ว่าเวลาที่เราเรียนรู้กันมันอาจจะไม่ได้นานมาก แต่มันทำให้ผมรู้ว่าคุณคือคนที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไป”
วัชระกำลังจะเอ่ยขอแต่งงาน สุพรรณิการ์ก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “แต่งค่ะ...แต่งเสียก่อนแล้วค่อยไปเรียนรู้กันหลังแต่งก็ได้ คนเราเรียนรู้กันได้ตลอดชีวิต”
วัชระรีบดึงเธอเข้าไปกอดเหมือนกลัวจะเปลี่ยนใจ ทั้งสองกอดกันท่ามกลางดนตรีที่บรรเลงเพลงของสุนทราภรณ์อย่างเพราะพริ้ง
ooooooo
เมื่อทุกคู่ลงเอยแล้ว งานแต่งก็ถูกกำหนดขึ้น แต่เพราะสามคู่ต่างมีรสนิยม วิถีชีวิต ความชอบที่ต่างกันและต่างก็ต้องการจัดงานแต่งตามแบบของคู่ตน ดังนั้นจึงต้องวางแผนกันอยู่นาน ในที่สุดก็ลงตัว
งานแต่งจัดขึ้นที่ลานน้ำพุกลางสวนดอกไม้ วงดนตรีบรรเลงเพลง “พรหมลิขิต” อย่างเพราะพริ้ง มีเบญลี่เป็นพิธีกรในงาน เธอบรรยายการจัดงานว่า เป็นงานแต่งในรูปแบบบูรณาการ วัน สต๊อป เวดดิ้ง มาที่เดียวได้สามงาน
ที่กลางสนามหญ้า จัดเป็นจุดรม รอบๆเป็นงานแต่งของสามคู่ โดยคู่แรกของกริชชัยกับอรุณศรีนั้นอยู่ในชุดหรูหราไฮโซ ลำเภากับธีธัชแต่งน่ารักกะหนุงกะหนิง ส่วนสุพรรณิการ์กับวัชระแต่งไม่หรูไม่หวาน แต่เก๋เท่
กริชชัยต้องการแสดงเอกลักษณ์ของตน สั่งรถมาเป็นของขวัญให้อรุณศรีในวันแต่ง และยังมีรูปวาดของอรุณศรีที่เขาวาดไว้มากมาย เอามาโชว์เรียงรายอย่างสวยงาม
ลำเภากับธีธัชพาลูกๆสมาชิกในครอบครัวมาร่วมฉลอง บรรดาหมาๆทั้งน้อยใหญ่พากันวิ่งพล่านอย่างสนุกสนานในงาน
คู่ที่ครึกครื้นที่สุดคือ สุพรรณิการ์กับวัชระ ที่ออกมาในลีลาแทงโก้กันอย่างสุดเหวี่ยง
แขกที่มาในงานต่างเลือกชมบรรยากาศของแต่ละคู่ กันตามอัธยาศัย
นอกจากนี้ ยังมีการเล่นเกมกันของสามคู่ด้วยคำถามที่ว่าใครรักใครก่อน เรียกเสียงหัวเราะจากแขกเป็นที่ครื้นเครง โดยเฉพาะคู่ของกริชชัยและอรุณศรี เมื่อเบญลี่ถามว่า
“อยากรู้จริงๆเลยว่า ระหว่างบอสกริชชัยและน้องอรุณ ใครเป็นฝ่ายเริ่มรักก่อน ตอบค่ะ”
กริชชัยชูป้ายว่า “ผมครับ” ส่วนอรุณศรีชูป้าย “เขาคน เดียว” แขกในงานพากันกรี๊ดอย่างถูกใจ เบญลี่ถามว่ามันยังไงคะท่านประธาน กริชชัยเล่าอย่างยิ้มแย้มมีความสุขว่า
“ผมเริ่มก่อนเลยครับ แอบรักมานานแล้ว รักโดยที่ไม่รู้ด้วยว่าเขารักหรือเปล่า แต่ผมแน่ใจว่าผมรักอรุณศรีแน่ๆและจะรักตลอดไป”
เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีก อรุณศรียิ้มอย่างเขินอาย ซึ้งจนน้ำตาซึม กริชชัยซับน้ำตาให้ และหอมแก้มอย่างน่ารัก เสียงกรี๊ดกันอย่างยาวนาน เสียงปรบมือดังกึกก้อง
วัชระไม่ยอม หาว่ากริชชัยขโมยซีน แบบนี้ต้องแชร์ แล้วพุ่งเข้าไปหอมแก้มสุพรรณิการ์อย่างไม่ทันให้รู้ตัว สุพรรณิการ์ ตกใจตีเขาเบาๆด้วยความเขินอาย
ธีธัชหันบอกลำเภาว่า “เขาหอมกันหมดเลย ขอมั่งดิ” แล้วพุ่งเข้าหอมบ้าง ลำเภาสะดุ้งมองเขายิ้มโหดคำราม
“เนี่ยนะ...แบบนี้ต้องเอาคืน” พูดแล้วก็กระหน่ำหอมธีธัชจนฝ่ายนั้นตั้งรับแทบไม่ทัน
“โอ้ยยยยย หอมทีเดียว เอาคืนเยอะจัง” ธีธัชโวย แล้วแกล้งกันไปมาหัวเราะกันคิกคักอย่างสนุกสนาน
ครู่หนึ่ง กริชชัยจับมืออรุณศรีลุกยืน หันมาทางแขกในงาน ทั้งสามคู่ออกมายืนเคียงกัน เสียงอรุณศรีดังขึ้นอย่างอ่อนหวาน เธอบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ และกริชชัยบรรยายเป็นภาษาไทยว่า...
“ถ้าคนยิ่งมาก ความรู้สึกยิ่งหลากหลาย หัวใจยิ่งมากมาย ความรักยิ่งหลากหลายรูปแบบ”
...เอโล ตอลสตอย นักคิดนักเขียนผู้ทรงอิทธิพลแห่งรัสเซีย...
ooooooo
-อวสาน-










