สมาชิก

สามหนุ่มเนื้อทอง

ตอนที่ 16

ความแค้นที่ถูกอรุณศรีบอกเลิก ทำให้วันนี้ ปรานต์ลงไปฟิตเนสที่อยู่ชั้นล่างของคอนโดฯ เขา

ซิตอัพจนเหงื่อแตกซิก ยิ่งคิดถึงคำบอกเลิกของอรุณ-ศรีก็ยิ่งฮึด เล่นจนเหนื่อยหอบ ปัดขวดน้ำข้างตัวกลิ้ง คำรามอย่างหงุดหงิด

“คิดจะทิ้งกัน...มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”

ส่วนเจ๊เกียวยังอยู่บนห้อง ออกจากห้องน้ำไม่เห็นปรานต์ก็ร้องเรียก จนไปเจอกระดาษโน้ตแปะที่ประตูเขียนว่า “ผมลงไปฟิตเนสข้างล่างนะครับ” อ่านแล้วเจ๊ยิ้มพึมพำอย่างหลงใหล...

“เมื่อคืนก็เกือบเช้า...ตื่นมายังมีแรงไปออกกำลังกาย...

ฟิตดีจริงๆฮิๆแบบนี้ต้องให้รางวัล”

คิดแล้วเจ๊หยิบกล่องนาฬิกาชั้นดีจากกระเป๋าถือออกมาหากระดาษห่อเพื่อเป็นรางวัลให้ปรานต์ แต่มองหาไม่มีจึงเปิดลิ้นชัก ค้นเจอกล่องพลาสติกเล็กๆที่ซุกอยู่มุมลิ้นชัก ในกล่องมีผ้ากำมะหยี่ห่ออะไรบางอย่างอยู่ เจ๊ดีใจเมื่อไม่มีกระดาษก็เอาผ้านี่แหละห่อแทน

ที่แท้ ผ้ากำมะหยี่นั้นห่อแหวนแต่งงานที่ปรานต์ซื้อเอาไปให้อรุณศรี พอเจ๊เอาผ้าออกจากกล่อง แหวนหล่นลงไป เจ๊หยิบดู พลันก็ตาโตด้วยความดีใจสุดๆเมื่อเห็นแหวนแต่งงานสวยสง่าน้ำเพชรงามส่องประกายวาววามวงนั้น

ooooooo

เมื่อปรานต์ขึ้นมากดออดที่หน้าห้อง อึดใจเดียวเจ๊เกียวก็เปิดประตูยืนสวยหน้าเด้งยิ้มหวานรอรับอยู่ เจ๊ยื่นกล่องของขวัญให้ พลางดัดเสียงใสน่ารักว่า

“เซอร์ไพรส์...” ปรานต์มองงงๆ ถามว่าอะไรหรือ เจ๊เอียงคอยิ้มหวานบอกว่า “ของขวัญพิเศษเนื่องในวัน...อยากให้”

ปรานต์ยิ้ม รับกล่องแล้วเดินเข้าข้างใน เจ๊รีบปิดประตูเดินตามมา พอปรานต์เปิดกล่องดูเจ๊ถามว่าชอบไหม ปรานต์ไม่ได้สนใจของขวัญแต่กลับถามว่าเอาผ้าที่ห่อนี้มาจากไหน เจ๊ยิ้มทำท่าแอ๊บแบ๊วชี้ไปที่ลิ้นชัก

“เอามาจากในลิ้นชักโน่น”

เจ๊จงใจ เอานิ้วที่ใส่แหวนเพชรวงนั้นชี้เพื่อเซอร์ไพรส์ปรานต์ที่ตนหาแหวนเจอ ปรานต์ตกใจถามว่าไปเอาแหวนมาใส่ได้ยังไง เจ๊เอียงคอทำท่าน่ารักถามว่า “แล้วทำไมพี่จะใส่ไม่ได้...หรือว่ามันไม่สมควรจะเป็นของพี่...และถ้ามันไม่ใช่ มันเป็นของใคร”

เมื่อเห็นอาการกระอักกระอ่วนอึกอักของปรานต์ เจ๊ไล่บี้ไปเรื่อย พอปรานต์รู้สึกตัวก็แถไปแบบเนียนๆอ้อนๆว่า

“คือ...มันเป็นแหวนของเพื่อนผมน่ะพี่ มันแอบซื้อจะเอาไปขอแฟนแต่งงานแต่พอดีแฟนมันไปต่างประเทศ บ้านมันก็โดนน้ำท่วมก็เลยต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น มันไม่อยากเอาแหวนไปด้วย ก็เลยเอาฝากผมไว้”

พูดแล้วเห็นเจ๊เกียวทำหน้าไม่เชื่อเลยทำใจกล้าท้าว่าถ้าไม่เชื่อเรียกเพื่อนมาให้สัมภาษณ์เลยก็ได้ ถามว่าจะเรียกมาตอนนี้เลยไหม เจ๊เลยเสียงอ่อนว่าไม่เป็นไร ไม่ต้อง พลางถอดแหวนคืนให้ด้วยความผิดหวัง พูดแก้เก้อว่า

“แค่เสียใจ เสียดายที่มันไม่ใช่ของพี่ ก็แค่นั้นเอง...”

ปรานต์ปะเหลาะว่าไม่ต้องเสียดาย ตนรวยเมื่อไหร่จะซื้อให้ เอาวงใหญ่กว่านี้แพงกว่านี้ด้วย เจ๊บอกว่าตนไม่ต้องการของแพงเพราะมีปัญญาซื้อเอง ย้ำอ้อนๆว่า “แต่สิ่งที่พี่ต้องการคือความรักความจริงใจ ต่อให้มันเป็นห่วงฝาโซดาพี่ก็ดีใจแล้ว”

ปรานต์รับแหวนไปยิ้มเจื่อนๆพอหันหลังให้ก็เบ้หน้านิดๆ ในใจคิดว่าจะมาไม้ไหนกันเนี่ย แต่ก็รีบเอาแหวนไปเก็บ ส่วนเจ๊เกียวมองนิ้วที่ว่างเปล่า คิดในใจว่าสักวันจะต้องได้ใส่แหวนของตัวเองจริงๆ

ooooooo

เย็นนี้ ขณะสุพรรณิการ์หยิบอุปกรณ์ตรวจครรภ์มาดู ผลตรวจเป็นลบ เธอถอนใจโล่งอก เดินไปเห็นเหล้าวางอยู่ตามชั้น เธอมองอย่างชิงชังแล้วเอาถังขยะมากวาดขวดเหล้าทั้งหมดทิ้ง บอกกับตัวเองว่า “มันจะต้องไม่มีครั้งที่สอง!!”

ทันใดนั้นกริ่งหน้าห้องดังขึ้น เธอลุกไปเปิดประตูอย่างสงสัย เจอวัชระยืนยิ้มเต็มหน้าอยู่ ถามว่าขอเข้าไปคุยหน่อยได้ไหม เธอตอบห้วนๆว่า “ได้ แต่ถ้าคิดจะลวนลาม ฉันฆ่านายแน่!”

“ผมไม่ใช่ไอ้บ้ากามสักหน่อย ตกลงเข้าไปได้หรือเปล่า”

สุพรรณิการ์ไม่ตอบแต่เปิดประตูกว้างให้เขาเข้า เธอปิดประตูแล้วเดินตามมา

วัชระมาเห็นเครื่องตรวจการตั้งครรภ์ เขาบอกเธอว่าเพิ่งมีอะไรกันวันเดียวตรวจไม่รู้หรอก ต้องรอให้ประจำเดือนไม่มาสักวันสองวันแล้วค่อยตรวจ เลยถูกพูดประชดว่า รู้ดี คงเมาแล้วปล้ำผู้หญิงบ่อยสิ

“ที่รู้เพราะแหนมเขาใช้” วัชระพลั้งปากแต่พอรู้ตัวก็แก้ตัวอ้อนๆว่า “แต่เมาแล้วทำอย่างนั้น ผมเป็นกับคุณคนเดียวนะ” แล้วพูดเหมือนปลอบใจว่า “ถ้าคุณท้องจริงๆ

ผมพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง คุณไม่ต้องกังวล”

สุพรรณิการ์ประชดว่าก่อนจะคิดไกลไปถึงรับผิดชอบลูกตน รับผิดชอบตนคนเดียวให้รอดก่อนเถอะ วัชระจึงตัดสินใจบอกเธอว่า ตนเลิกกับเนตรนภัสแล้ว งานแต่งงานก็ยกเลิกแล้ว มองหน้าเธอ จงใจบอกให้เธอรับรู้ว่า

“และผมก็บอกเขาว่าผมจะเริ่มต้นคบกับคุณ คุณรู้ตัวรึเปล่า...คุณเป็นแฟนผมแล้วนะ”

สุพรรณิการ์ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี รู้แต่ว่าแอบเขิน บ่นนิ่มๆว่า “ได้แฟนแบบไม่ตั้งใจแท้ๆนังฝ้าย”

“ถึงคุณไม่ตั้งใจ แต่ผมตั้งใจ” พูดแล้วทำเนียน จับมือเธอไปกุม ถูกตีมือเพียะปรามว่าอย่ามาทำเนียน วัชระทำเป็นร้องโอดโอย แล้วยื่นหน้าเข้าไปแหย่ว่า “ตีผมทำไม แค่จับมือเองนะ ยิ่งกว่านี้ผมยังเคยมาแล้ว”

คราวนี้เลยถูกดึงหนวดอย่างแรง บอกว่า “ครั้งนั้นฉันพลาด ถ้ายังไม่ได้อยู่กินกันเป็นเรื่องเป็นราว อย่าหวังเลยว่าจะได้แอ้ม!”

หลังจากต่อล้อต่อเถียงกันแบบหยอกเอินแล้ว สุพรรณิ–การ์ถามเขาว่า การที่เขาไปบอกเลิกเนตรนภัสนั้น คิดว่าเรื่องจะจบจริงหรือ คำถามนี้ทำเอาวัชระอึ้ง เพราะลึกๆแล้วเขารู้จักเนตรนภัสดีว่า เรื่องไม่จบแน่..
.
ooooooo

วัชระคิดไม่ผิด เพราะเย็นนี้เอง เนตรนภัสก็ลุยไปที่ร้านสาดสุราฯ เข้าไปถามกรกนกว่าสุพรรณิการ์ มาหรือยัง กรกนกบอกว่ายัง คาดว่าจะมาตอนสองทุ่ม เนตรนภัสนั่งปักหลักบอกว่าจะรอจนกว่าสุพรรณิการ์จะมาแล้วสั่งเครื่องดื่มอย่างเดิมสองที่

กรกนกรู้ว่าเหตุการณ์ไม่ปกติแน่ ระหว่างชงเครื่องดื่ม

ก็แอบส่งข้อความให้สุพรรณิการ์ว่า

“คุณแหนมรออยู่ที่ร้านนะคะ สถานการณ์ไม่ค่อยดี”

เนตรนภัสนั่งหน้าบึ้งตาขวางมือคอยคลำของบางอย่างในกระเป๋าถือที่วางอยู่ข้างๆ

สุพรรณิการ์ได้รับข้อความจากกรกนกก็บอกวัชระว่า “คุณแหนมรอฉันอยู่ที่ร้าน” วัชระบอกทันทีว่าอย่าไป เธอถามว่าทำไม ก็ไหนเขาบอกว่าเคลียร์กันแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมตนจะไปเจอไม่ได้
“ก็แหนมเขาคิดว่าคุณแย่งผมไปจากเขา” สุพรรณิการ์ แย้งทันทีว่าตนไม่ได้แย่งแต่เขามาหาตนเอง “ก็เขาไม่เข้าใจไง และเข

“อ๊าว...สรุปว่าฉันซวย...โอเค! ฉันจะไปบอกให้เขาเข้าใจเอง” เธอคว้ากระเป๋าจะไปจริงๆ

วัชระรีบเอาตัวกันห้ามเธอไว้ บอกว่าเนตรนภัสไม่มี วันเข้าใจ และเธอก็จะไม่มีวันฟังใครด้วย ครั้นสุพรรณิการ์ถามว่าแล้วจะให้ตนทำยังไง จะให้หลบหน้าเหมือนตนทำผิดอย่างนั้นหรือ วัชระชี้แจงว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่ตอนนี้อย่างเพิ่งไปเผชิญหน้าเลย รอให้เนตรนภัสเย็นลงกว่านี้ ถ้าไม่เจอกัน สถานการณ์มันอาจจะดีขึ้น

สุพรรณิการ์ยังไม่ยอม วัชระอ้อน ขอร้อง บอกว่าตนเป็นห่วง ทำให้เธอยอมวางกระเป๋าลง ถามเขาว่า ถ้าตนเจอเนตรนภัสจริงๆอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะมาตบตนเหมือนในละครหรือเปล่า

“มันอาจจะมากกว่านั้น” วัชระตอบสีหน้ากังวล

ooooooo

หลังจากคุยกันเป็นที่เข้าใจแล้ว วัชระจะกลับ เขาถามอย่างเป็นห่วงว่าอยู่คนเดียวได้แน่นะ สุพรรณิการ์ ย้อนถามว่าทำไมจะไม่ได้ในเมื่อตนก็อยู่แบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว ไล่ให้เขารีบไปทำงานเสีย กินเงินเดือนภาษีประชาชนก็ทำงานให้เต็มที่เต็มเวลาหน่อย

วัชระถือโอกาสขโมยหอมแก้มเธอทีหนึ่ง เลยโดนตบเพียะ จนเจ้าตัวร้องว่าเจ็บ ก็ถูกย้อนถามว่ารู้ว่าเจ็บแล้วทำทำไม มองอย่างหมั่นไส้ พูดเหน็บว่าเดี๋ยวนี้มีลูกเล่นแพรวพราวทะลึ่งตึงตังไม่เห็นหน้าอมทุกข์เหมือนเมื่อก่อน

“ก็เพราะคุณไง ขอบคุณที่ทำให้ผมกลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง”

ทั้งคู่หยอกเย้ากระเซ้าแหย่หัวเราะกันอย่างรื่นรมย์ใจ จนวัชระบอกว่าเสร็จงานแล้วจะโทร.หา ทำเอาสาวเจ้าเขิน ทำเสียง...อื้อ...แล้วปิดประตูเบาๆ วัชระยิ้มให้กับประตูอย่างมีความสุขก่อนเดินออกไป

ooooooo

ครู่เดียว อรุณศรีก็โทร.มาหาสุพรรณิการ์ เธอบอกเพื่อนรักว่ากำลังคิดถึงพอดี อรุณศรีถามว่าอยู่คอนโดฯหรือเปล่า ตอนนี้ตนอยู่บ้านเดี๋ยวจะไปหา สุพรรณิการ์เอะใจถามว่าทำไมไม่ไปทำงาน จึงรู้ว่าเธอเลิกกับปรานต์แล้ว เพิ่งบอกเลิกกันเมื่อวาน รู้สึกเซ็งๆเลยลาป่วยหนึ่งวัน

“เยส!” สุพรรณิการ์ร้องอย่างดีใจบอกเพื่อนรักว่า “แกรีบมาเลย จะได้ฉลอง...” พูดแล้วนึกได้รีบแก้ว่า จะได้ปลอบใจแล้วเร่งให้รีบมาไวๆ

วางสายจากอรุณศรีแล้ว สุพรรณิการ์ถอนใจพูดออกมาอย่างโล่งใจว่า

“เยส...ในที่สุด ไอ้แอ๊วก็ตาสว่าง” พูดแล้วก็คิดถึงกริชชัยขึ้นมา ยกโทรศัพท์กดถึงเขาทันที

ooooooo

พอได้เวลาเลิกงาน ธีธัชก็ขับรถไปรอรับลำเภาที่หน้าคลินิกทันที ลำเภาแอบดูอยู่ที่หน้าต่าง พอเห็นเขามาก็ใจเต้นตึกตัก หลบไปหลังประตูริมหน้าต่าง พอธีธัชเปิดประตูคลินิกเข้ามา เธอก็รีดตัวออกทางหลังประตูหลบวูบไปทันที

ธีธัชเข้าไปถามเจ้าหน้าที่คลินิก เธอบอกว่าเมื่อกี้ยังเห็นลำเภาอยู่แว้บๆ แล้วมองออกไปเห็นลำเภาเดินอยู่หน้าคลินิกแล้วเธอชี้ให้ดูบอกว่า “นั่นไงคะ หมอลำเภาเดินออกไปโน่นแล้วค่ะ”

ธีธัชหันไปเห็น เขาขอบคุณเจ้าหน้าที่แล้วรีบวิ่งออกไป ปากก็ร้องเรียกลำเภาให้รอด้วย แต่ลำเภาที่ตั้งใจหนีเขาอยู่แล้วเรียกแท็กซี่ บอกสถานที่แล้วไปเลย ธีธัชวิ่งตามจนแท็กซี่ห่างไปทุกที เขาเลยหยุดยืนหอบอยู่ตรงนั้น...

ooooooo

เนตรนภัสรอสุพรรณิการ์อยู่ที่ร้านสาดสุราฯ ดื่มจนเมา สุพรรณิการ์ก็ยังไม่มา กรกนกเข้าไปบอกว่าดึกป่านนี้คงไม่มาแล้วอย่ารอเลย

เนตรนภัสในสภาพเมามากแล้ว ลุกขึ้นโวยวายว่า “มันไม่มา แสดงว่ามันคงจะกกอยู่กับวัชแน่ๆ วัชต้องอยู่กับมันแน่ๆ” ว่าแล้วก็ยืนเซๆหยิบเงินวางบนโต๊ะบอกว่าไม่ต้องทอนแล้วเดินออก บ่ายหน้าไปที่คอนโดฯของกริชชัยทันที

สุพรรณิการ์อยู่ที่ห้อง หลังจากรับโทรศัพท์ของอรุณศรีและโทร.หากริชชัยแล้ว ไม่นานนักกริชชัยก็มาถึง เธอถามอย่างอัศจรรย์ใจว่าทำไมถึงมาเร็วจัง อรุณศรียังไม่มาเลย กริชชัยเลยจะกลับไปรอที่ห้องของตัวเอง เธอบอกว่าไม่เป็นไร ให้รอที่นี่แหละตนมีข่าวดีจะบอกด้วย

เมื่อเข้ามาในห้อง สุพรรณิการ์บอกว่าอรุณศรีเลิกกับปรานต์แล้ว กริชชัยชะงัก ทั้งดีใจทั้งเป็นห่วงสับสนไปหมด จนเมื่อเธอถามว่าไม่ดีใจหรือ เขาตอบขรึมๆว่า

“ผมคงใช้คำว่า ดีใจ ไม่ได้เพราะการที่คนเราเลิกกันไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี...อย่างน้อยผมก็สบายใจที่จะจีบอรุณศรีอย่างเต็มที่...เพราะผมไม่ได้เป็นมือที่สามหรือแย่งคนรักของคนอื่น”

สุพรรณิการ์นิ่งอึ้งไปก่อนจะถามว่า “เหมือนที่บางคนคิดว่าฝ้ายทำใช่ไหมคะ”

“ผมไม่ได้หมายถึงคุณฝ้ายนะครับ กรณีของคุณฝ้ายมันไม่เหมือนกัน คุณไม่ได้แย่ง แต่ไอ้วัชมันเต็มใจมาเอง มันสารภาพกับพวกผมว่ามันชอบคุณ”

สุพรรณิการ์ฟังแล้วยิ้มออกมาอย่างสบายใจขึ้น พึมพำว่า “ถ้าคุณแหนมคิดเหมือนคุณก็คงดี” ซึ่งกริชชัยก็ได้แต่มองด้วยความเห็นใจ

ooooooo

เนตรนภัสขับรถมาจอดหน้าคอนโดฯของกริชชัย เธอก้มหยิบกระเป๋าที่มีปืนอยู่ในนั้นอย่างมาดร้าย เวลาไล่เลี่ยกัน รถแท็กซี่ที่อรุณศรีนั่งมาก็เข้ามาจอด อรุณศรีลงจากรถเดินเข้าคอนโดฯ เป็นจังหวะที่เนตรนภัสเงยหน้าเห็นพอดี เธอจำได้ว่าอรุณศรีเป็นเด็กของกริชชัย รีบลงจากรถเดินเซๆตามไป

อรุณศรีขึ้นไปกดออดหน้าห้องสุพรรณิการ์ เธอตกใจและแปลกใจที่เห็นกริชชัยมาเปิดประตู เขาเชิญเธอเข้าห้อง ขณะอรุณศรีเดินเข้าไปนั่นเอง เนตรนภัสตามมาเห็นพอดี มองอย่างสงสัยว่าทำไมอรุณศรีจึงมาเข้าห้องนี้ที่ไม่ใช่ห้องของกริชชัย คิดแล้วก็นึกออกว่า ต้องเป็นห้องของสุพรรณิการ์แน่ๆ!

ooooooo

เมื่อเข้าไปเจอสุพรรณิการ์ เพื่อนทักแซวๆว่าไล่ราหูออกไปแล้วหน้าตาสดใสเชียวนะ อรุณศรีไม่เล่นด้วยบอกว่าไม่ต้องมากลบเกลื่อน แล้วทำมือไปทางกริชชัยทำนองว่ามาได้ไงน่ะ

“อ๋อ...ก็ฉันเห็นแกเซ็งๆที่เลิกกับแฟน ฉันก็เลยชวนคุณกริชมาทานข้าวด้วยกัน แกจะได้มีเพื่อนคุยไม่เหงา”

กริชชัยเก้อๆทำตัวไม่ถูก อรุณศรีบ่นเพื่อนลอดไรฟันว่า “สาระแนจริงๆ” สุพรรณิการ์เลยเข้าไปกระซิบว่า สาระแนแต่เพื่อนได้คนดีๆมาเป็นแฟนฉันยอม แล้วหันไปพูดกับกริชชัยที่ยืนเก้อๆเขินๆอยู่ว่า

“เชิญคุณกริชตามสบายนะคะ เดี๋ยวฝ้ายกับแอ๊วทำอาหารให้ทานค่ะ” ว่าแล้วก็หันไปชวนเพื่อนเข้าครัว

ทันใดนั้น เสียงปิ๊ง...ป่อง...ดังขึ้น สุพรรณิการ์บอกว่าเดี๋ยวตนเปิดเอง แต่พอก้าวไปได้เพียงสองก้าว เสียงเกรี้ยวกราดจากหน้าห้องแหวกอากาศเข้ามาว่า

“นังฝ้ายยยยย นังหน้าด้าน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ออกมา!!”

กริชชัยจำได้ว่าเป็นเสียงเนตรนภัส อรุณศรีก็หันขวับมองเพื่อน ส่วนสุพรรณิการ์ยืนนิ่ง...คิด...

เสียงเนตรนภัสยังร้องด่าท้าทายไม่หยุด สุพรรณิการ์ยืนนิ่ง สีหน้าแววตามั่นคงหนักแน่น แต่พอจะก้าวไปอรุณศรีก็ดึงแขนไว้ กริชชัยก็เข้ามาขวาง บอกว่าอย่าเพิ่งไปเผชิญหน้ากับเนตรนภัสตอนนี้เลย

“ไม่ค่ะ ฝ้ายไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมฝ้ายต้องหลบหน้าด้วย”

“ถึงคุณไม่ผิด แต่แหนมคงไม่เชื่อ ฟังจากเสียง ผมว่าแหนมคงเมามา ถ้าเจอกันตอนนี้ไม่ดีแน่”

“จริง...คุณกริชพูดถูก ฉันว่าแกอย่าเพิ่งเจอกับคุณแหนมตอนนี้เลย คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง”

คำทักท้วงของกริชชัยและอรุณศรี ทำให้สุพรรณิการ์ ลังเล ระหว่างนั้นเสียงทุบประตูปึงปังดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงตะโกนด่าก็ถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น

“เปิดออกมาสิเว้ย...นังฝ้าย นังหมาลอบกัด ทีแย่งแฟนคนอื่นล่ะไม่กลัว แล้วจะมากลัวฉันทำไม? แน่จริงเปิดประตูมาสิเว้ยยยย...”

ภายในห้องยังตึงเครียด สุดท้ายเมื่อเนตรนภัสขู่ว่า “ถ้าแกไม่ยอมเปิดประตูให้ฉัน ฉันจะยิงประตูห้องแกให้กระจุยไปเลย และถ้าฉันเจอแก ลูกกระสุนที่เหลือ มันจะเป็นของแก! นังฝ้าย!!” ตะโกนขู่แล้วก็ควักปืนออกมาเล็ง แต่เพราะเมาเลยเล็งไม่ตรงเป้าสักที

กริชชัยตัดสินใจเป็นคนเปิดประตูออกไปเผชิญหน้าเนตรนภัส เข้าประชิดตัวและล็อกเธอไว้อย่างแข็งแรง หันมาร้องบอกอรุณศรีให้ปิดประตู แต่อรุณศรีหลบอยู่หลังประตูที่แง้มไว้

กริชชัยล็อกตัวเนตรนภัสไว้ บอกให้พอได้แล้ว ใจเย็นๆ

มีอะไรค่อยๆคุยกัน แต่เธอไม่ยอมหยุด ดิ้นร้องโวยวายจะเข้าไปหาสุพรรณิการ์ให้ได้ จนกริชชัยบอกว่าสุพรรณิการ์ไม่อยู่ และวัชระก็ไม่อยู่ที่นี่

เนตรนภัสหาว่ากริชชัยโกหกเพราะตนเพิ่งมาจากร้านสาดสุราฯ สุพรรณิการ์ยังไม่เข้าไป หาว่ากริชชัยพยายามปิดบังเพื่อช่วยทั้งสองคน กริชชัยบอกว่าตนไม่ได้อยู่ฝั่งไหนทั้งนั้น ทำไมถึงพูดแบบนี้ เนตรนภัสก็เปลี่ยนเป็นคร่ำครวญน่าเวทนาว่า

“เพราะแหนมไม่เหลือใครแล้ว แหนมเหมือนตัวคนเดียว ถอยมาจนหลังชิดกำแพง...แหนมต้องลุกขึ้นสู้ วัชทำกับแหนมเกินไป ทำเหมือนแหนมไม่ใช่คน นึกอยากจะเลิกก็เลิกอยากจะทิ้งก็ทิ้ง เขาเห็นแหนมเป็นอะไร...ทำไม...ทำไมทำแบบนี้...”

เนตรนภัสร้องไห้อย่างหนัก กริชชัยค่อยๆดึงเธอเข้าไปกอดด้วยความสงสาร เธอด่าวัชระว่านอกใจ หักหลังตน แล้วร้องไห้โฮๆ กริชชัยปลอบว่า “แหนม...ถ้าร้องแล้วมันสบายใจ ก็ร้องออกมา...”

เนตรนภัสร้องไห้ หันไปกอดกริชชัยไว้ราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิต อรุณศรีแอบดูอยู่ในห้องอดอึ้งไม่ได้กับการกอดกันของทั้งสอง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ...อารมณ์บอกไม่ถูก...

เนตรนภัสยังคร่ำครวญด้วยความผิดหวังเสียใจ กริชชัยบอกว่าให้กลับบ้านไปก่อนดีกว่า ตอนนี้เธอทั้งเมาทั้งเหนื่อย ถ้าร้องไห้มากไปกว่านี้ไม่ดีแน่ หว่านล้อมอย่างอ่อนโยนว่า

“กลับบ้านนะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”

เนตรนภัสปาดน้ำตา ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ กริชชัยแอบส่งสายตามาทางอรุณศรีทำนองว่าให้ปิดประตูเสียเดี๋ยวตนมา

อรุณศรียืนนิ่งอยู่หลังประตู ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ...ยังไม่เข้าใจอารมณ์ตัวเองอยู่ดี...

ooooooo

กริชชัยประคองเนตรนภัสมาถึงรถ เขาเปิดประตูรถด้านที่นั่งคู่กับคนขับให้เธอขึ้นนั่ง เนตรนภัสในสภาพเมานั่งเบลอๆเสร็จแล้ว กริชชัยเดินไปที่คนขับ ระหว่างนั้นก็แอบกดส่งข้อความอย่างเร็ว

ในจังหวะอันรวดเร็วนั้น กริชชัยเปิดประตูรถด้านหลังสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดลายมือตัวเองก่อนวางปืนไว้ที่เสียบช่องที่ค่อนข้างปลอดภัย แล้วมาขึ้นนั่งที่คนขับ ขับรถออกไป

เนตรนภัสยังนั่งเบลอๆคออ่อนโอนเอนเพราะความเมา...

กริชชัยพาเนตรนภัสไปแล้ว ภายในห้องจึงเหลือแต่อรุณศรีกับสุพรรณิการ์ อรุณศรีเปิดข้อความจากกริชชัยอ่าน ขณะนั้นสุพรรณิการ์เดินซึมๆมา ถามเพื่อนเสียงเครียด สีหน้าแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดว่า

“แกคิดว่า...มันเป็นความผิดของฉันหรือเปล่า...?”

อรุณศรีนิ่งอึ้ง...ตอบไม่ถูกเหมือนกัน...

ooooooo
กริชชัยขับรถของเนตรนภัสไปในความมืด เนตรนภัสยังอยู่ในอาการมึนเมา เธอหันมองกริชชัยที่ขับรถอยู่ ถามเสียงเมาๆว่า ตกลงเขาอยู่ฝั่งไหนแน่ ระหว่างสุพรรณิการ์กับตน เลือกข้างไหน

กริชชัยยังยืนยันความเป็นกลาง แต่เธอไม่ยอม จับแขนเขาเขย่าอย่างแรง พูดอ้อแอ้งอแง...

“คุณกริชต้องเลือก จะทำตัวเป็นนกสองหัวไม่ได้ แหนมไม่ยอม...คุณกริชต้องเลือกแหนมนะ...คุณกริชต้องช่วยแหนม...” พูดแล้วหักพวงมาลัยจนกริชชัยตกใจร้องลั่น พยายามยื้อพวงมาลัยไว้ ชะลอความเร็วแล้วเหยียบเบรกในระยะกระชั้นชิด จนรถจอดเอี๊ยดดดด!

เนตรนภัสตัวเอียงกระเท่เร่ตามแรงเบรก เซมาเบียดกระแทกที่ไหล่เขา กริชชัยตกใจปล่อยมือจากพวงมาลัยประคองเธอไว้ถามว่าเจ็บหรือเปล่า

หญิงสาวเงยหน้าขึ้น เห็นสีหน้าแววตาที่อ่อนโยนและห่วงใยของชายหนุ่มในระยะใกล้ก็ถึงกับระทวย ยิ้มปลื้มชมว่า

“จะว่าไป คุณกริชก็หล่อเหมือนกันนะ...นิสัยก็ดี รวยก็รวย ดีกว่าวัชทุกอย่าง...แถมยังโสดอีกต่างหาก” เธอไล้ที่แขนเขาเบาๆ พูดเคลิ้ม... “แหนมว่า...คุณกริชตัดใจจากนังพนักงานระดับล่างจะดีกว่า มันไม่คู่ควรกับคุณสักนิด”

กริชชัยก้มมองหน้าเธออย่างระแวงระวังไม่วางใจทั้งไม่พอใจที่เธอพูดดูถูกอรุณศรี แต่เนตรนภัสก็ยังคงพร่ำเพ้อ เธอไล้นิ้วไปตามริมฝีปากเขา อ่อยเมาๆ

“ผู้ชายอย่างคุณกริช ต้องได้ผู้หญิงที่ดีกว่ามัน...

อย่างแหนมเป็นต้น เราสองคน เหมาะสมกันที่สุด...

แหนมอยากรู้จริงๆว่าถ้าวัชรู้ว่า เราสองคนมีอะไรกัน จะเจ็บปวดมากแค่ไหน...”

เนตรนภัสโน้มหน้ากริชชัยลงมา เผยอริมฝีปากรอจูบจากเขา แต่รอเก้อเพราะกริชชัยเบือนหน้าหนีทั้งยังปัดมือเธอออกพูดเสียงไร้อารมณ์ว่า

“พอได้แล้วแหนม...อย่าทำให้ตัวเองตกต่ำมากไปกว่านี้เลย!”

“กรี๊ด...” เนตรนภัสหลุดจากความรัญจวนเป็นเกรี้ยวกราดทันที “คุณกริชพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง! ถ้าสิ่งที่แหนมทำมันต่ำ แล้วสิ่งที่วัชทำมันสูงส่งนักรึไง ทำไม...ทำไมไม่ไปด่าเพื่อนตัวเองบ้าง! สันดานผู้ชาย มันเลวเหมือนกันหมด ถ้าไม่เลวมันก็โง่ ให้ฟรีๆยังไม่เอา ไอ้โง่! ไอ้บื้อ!!” เธอแผดเสียงด่าเป็นชุด

กริชชัยเห็นทีจะรับไม่ไหว บอกเธอว่า “อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านแล้ว ขับเข้าไปเองแล้วกัน ผมส่งคุณได้แค่นี้” พูดแล้วเปิดประตูลงจากรถไปเลย

เนตรนภัสแทบหายเมา ร้องตะโกนเรียกเขากลับมา แต่กริชชัยไม่สนใจ เขาเดินต่อไปไม่แม้แต่จะชะงักฟัง

เมื่อกรี๊ดจนคอแทบแตกก็ไม่ได้รับความสนใจ เนตรนภัสหยุดหายใจเหนื่อยหอบ ใจเต้นแรง สมองหมุนติ้ว สติสัมปชัญญะแตกกระเจิง สะบัดหน้ามองกริชชัยที่เดินไปอีกครั้ง สายตาเหลือบเห็นปืนที่เขาซุกไว้ เธอพุ่งไปหยิบมันขึ้นมา มองด้วยแววตาเคียดแค้นก่อนจะเก็บมันใส่ในกระเป๋าถือเหมือนเดิม และพร้อมที่จะใช้มัน!

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงจากนาฬิกามือถือปลุกอรุณศรีตื่นเมื่อ 08.00 น. เธอมองไปข้างที่นอนไม่เห็นสุพรรณิการ์ ลุกเดินหาเจอเพื่อนรักนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น หน้าตาทรุดโทรมเหมือนอดนอนมาทั้งคืน อรุณศรีเดินเข้าไปถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“เมื่อคืนแกได้นอนหรือเปล่าเนี่ย?” สุพรรณิการ์ ส่ายหน้าบอกว่านอนไม่หลับ “เฮ้อ...แกหยุดคิดบ้างเถอะ คิดมากไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น”

“แต่ถ้าฉันไม่คิดเลย แกว่า...อะไรๆมันจะดีขึ้นเหรอ?” ถามแล้วเห็นเพื่อนอึ้ง สุพรรณิการ์พูดต่ออย่าง

มุ่งมั่นว่า “ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เหตุการณ์แบบเมื่อคืนมันเกิดขึ้นอีก ผู้หญิงสองคนไม่ควรมาทะเลาะกันเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว...คนที่ทำให้เกิดปัญหา...จะต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้”

สุพรรณิการ์พูดอย่างหนักแน่น จริงจัง จิกตามองไปเหมือนเห็นหน้าวัชระลอยอยู่ข้างหน้า

ooooooo

กริชชัยกลับมาถึงห้องพัก เล่าให้วัชระกับธีธัชฟังถึงเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่ตนเผชิญเมื่อคืนนี้ วัชระอุทานอย่างตกใจว่า “แหนมมาหาฝ้ายพร้อมกับปืน!”

“เออ! ฉันต้องเสี่ยงชีวิตเข้าชาร์จ แล้วก็ลากออกจากคอนโดฯไป ดีนะที่ไม่มีใครโทร.เรียก รปภ.ไม่งั้นได้ซวยกันหมดแน่”

วัชระถึงกับกุมขมับเครียดจัด ธีธัชเอะใจถามว่า “แหนมเอาปืนมาจากไหนวะ”

“ปืนฉันเอง” วัชระตอบเซ็งๆ แต่เพื่อนทั้งสองตกใจมาก

“ปืนแกไปอยู่กับแหนมได้ยังไง?” ธีธัชถาม

“นั่นสิ ปกติแกไม่พลาดเรื่องแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น แล้วแหนมเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”

วัชระถอนใจหนักหน่วง มองหน้าเพื่อนทั้งสอง แล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นให้ฟังเครียดๆว่า

เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน ขณะเขากำลังเดินเข้าห้องทำงานเครียดๆเพลียๆนั้น ลูกน้องมาตามบอกว่าท่านรองให้ไปพบ

เขาพยักหน้า ล้วงปืนพกออกมาจากที่เก็บวางไว้ในลิ้นชักแล้วปิด แต่ปิดไม่สนิทดี พลันลูกน้องคนเดิมก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาบอกว่า

“ผู้กองครับ แฟนผู้กองกำลังเดินมาครับ”

วัชระตกใจถามว่าจริงหรือ พอลูกน้องบอกว่าจริงและกำลังจะมาถึงแล้ว เขารีบสั่งลูกน้องว่า

“ถ้าแหนมถาม บอกว่าฉันไม่อยู่นะ” แล้วก้าวพรวดไปที่หน้าต่าง ปีนหนีออกไปอย่างชำนาญหลบแผล็วไปทันที

ooooooo

เพียงวัชระโดดแผล็วลงหน้าต่างไปเท่านั้น เนตรนภัสก็พรวดเข้ามา เธอหยุดยืนกลางห้องกวาดตามองไปรอบๆแล้วหันถามลูกน้องเขาว่า

“วัชหายไปไหน?”

“ผู้กองยังไม่มาครับ”

“ไม่จริง! ก็ฉันเห็นรถจอดอยู่ข้างหน้า”

“อ๋อ...รถนั่นจอดไว้นานแล้วครับ แต่วันนี้ผู้กอง

ยังไม่มาเลยครับผม...ขอตัวก่อนนะครับ”

ลูกน้องวัชระเลี่ยงไปเนียนๆ ปล่อยเนตรนภัสยืนสบถหัวฟัดหัวเหวี่ยง “บ้าจริงๆ หายไปไหนนะ!”

แต่เธอไม่ยอมแพ้ เดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา วางกระเป๋าถือปัง แล้วกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ปึง กวาดตามองไปที่ลิ้นชักเห็นปืนที่วางอยู่ในนั้น เธอมองนิ่ง...คิด...

นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน วัชระเล่าว่า หลังจากเขาประชุมกับเจ้านายเสร็จ กลับมาที่โต๊ะ ปืนก็หายไปแล้ว!

“แกนี่มันกลัวแหนมจนเสียสติจริงๆ” ธีธัชส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“ก็ตอนนั้นฉันยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้านี่หว่า มันก็ต้องรีบหนีไปก่อน”

“ถ้าแหนมเอาปืนไปยิงคนอื่นแกตายแน่” ธีธัชกังวล วัชระฟังแล้วเสียงดังอย่างหงุดหงิดว่ารู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ

กริชชัยที่ฟังอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้นอย่างเสียดายว่า “ถ้าฉันรู้ว่าปืนกระบอกนั้นเป็นของแก เมื่อคืนจะได้เก็บไว้ให้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยวางไว้ในรถ ไม่อยากโดนข้อหาพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต”

“ฉันเข้าใจ ถ้าไม่จำเป็นฉันก็ไม่อยากหยิบปืนคนอื่นเหมือนกัน”

“แต่ฉันว่าแหนมไม่คิดแบบนั้นแน่ และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าคุณฝ้ายทำงานที่ไหน พักอยู่ที่ไหน เกิดแหนมบ้าเลือดขึ้นมาไล่ยิงคุณฝ้าย แล้วก็พาลมาไล่ยิงพวกฉันต่อ แกจะว่าไงหา!” ธีธัชถามสีหน้ากังวล

วัชระเครียดขึ้นมา เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรดี

ทันใดนั้น เสียงออดหน้าห้องดังขึ้น สามหนุ่มมองขวับ แอบหวั่นๆว่า “ใครวะ?”

ooooooo

วัชระแข็งใจไปเปิดประตู พอประตูเปิดผลัวะ เขาถอนใจโล่งอก เมื่อเห็นสุพรรณิการ์กับอรุณศรียืนอยู่หน้าห้อง

“ฝ้าย...” วัชระอุทานเสียงอ่อย

“เราต้องคุยกัน จะคุยที่นี่หรือจะคุยที่ห้องฉัน เลือกมา!” สุพรรณิการ์หน้าตึง เสียงเฉียบขาด ทำเอาวัชระหน้าเสียอึกอัก กริชชัยจึงเดินมาตอบแทนเพื่อนว่า

“คุยที่นี่แหละครับ เดี๋ยวพวกผมออกไปข้างนอกเอง เชิญครับ” พูดแล้วกริชชัยก็เดินเลี่ยงออกไปนอกห้อง เห็นธีธัชยังนั่งแช่อยู่ เลยหันมาเรียกดุๆ “ไอ้ธี!”

ธีธัชสะดุ้ง หัวเราะแหะๆ บอกสองสาวว่าตามสบายครับ แล้วเดินตัวลีบออกไปอีกคน สุพรรณิการ์ก้าวฉับๆเข้าไปทันที อรุณศรียังยืนอยู่ที่เดิม ร้องบอกเพื่อนเบาๆว่า “ฝ้าย... ใจเย็นๆค่อยๆคุย รู้เรื่องเปล่า?”

สุพรรณิการ์พยักหน้าให้แบบว่า “เหอะน่า...” อรุณศรีหันไปพูดกับวัชระว่า “ฝากฝ้ายด้วยนะคะคุณวัช”

สุพรรณิการ์เหล่ๆเพื่อน แล้วเอามั่ง ร้องบอกกริช– ชัยที่ยืนอยู่กับธีธัชว่า

“คุณกริชคะ พอดีแอ๊วกำลังจะกลับบ้าน ฝากแอ๊วด้วยนะคะ”

“ครับ” กริชชัยรับฝากด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง ส่วนอรุณศรีมองหน้าเพื่อนงงๆ แต่หันมาเห็นกริชชัยมองอยู่ เลยสบตากันเก้อๆ เขินๆ

อรุณศรีตัดสินใจเดินนำไป กริชชัยยิ้มกริ่มรีบตาม ธีธัชเลยยืนเด๋ออยู่คนเดียว พลันก็สะดุ้งเมื่อสุพรรณิการ์ปิดประตูปัง! เขารู้สึกเหมือนเหลือตัวคนเดียวในโลก ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดฝากข้อความ

“ว่างหรือเปล่า...อยากเจอ...” แล้วกดส่งไปที่

กรกนก จากนั้นก็คอยลุ้นว่าเธอจะมาหรือไม่...

ooooooo

การเจรจาระหว่างสุพรรณิการ์ผู้หญิงห้าวกับวัชระผู้ชายแหยเป็นไปอย่างตึงเครียด สุพรรณิ- การ์ตบโต๊ะปังประกาศว่าตนจะไม่ยอมตายด้วยเรื่องไร้สาระเด็ดขาด วัชระเสียงอ่อยว่าตนก็ไม่อยากให้เธอตาย

“แต่เมื่อคืน ถ้าคุณกริชกับแอ๊วไม่อยู่กับฉัน ฉันอาจจะตายไปแล้ว”

“ผมขอโทษ...ผมขอโทษจริงๆ นะฝ้าย ผมไม่คิดว่าแหนมจะทำแบบนี้” วัชระเสียงอ่อย พอเธอถามว่าแล้วไงต่อ เขากลับย้อนถามงงๆ ว่า “แล้วไง...อะไร??”

“ก็ขอโทษแล้วยังไงต่อ!” สุพรรณณิการ์เสียงดังอย่างเหลืออด “ที่ฉันมาคุยไม่ได้อยากได้ยินคำว่าขอโทษ อยากรู้ว่าคุณจะแก้ปัญหายังไง! ฉันไม่ยอมอยู่อย่างขวัญผวาแบบนี้หรอกนะ”

วัชระนิ่งไปอึดใจ พอเขาขยับปากจะพูด สุพรรณิการ์ฟังอย่างตั้งใจว่าเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร ปรากฏว่า เขาตอบอ่อยๆว่า

“ผมบอกตรงๆ นะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...”

“อ๊าวววววว! คุณไม่รู้แล้วใครจะรู้? แล้วชีวิตฉันต้องแขวนอยู่บนความไม่รู้ของคุณเนี่ยนะ!”

วัชระรู้สึกผิดมากแต่คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำอย่างไร อึกอักเอ้ออ้านั่งบิดไปบิดมา จนสุพรรณิการ์ฉุนขาดส่ายหน้าพูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ว่า

“ฉันไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงร้ายๆ ที่จะลุกขึ้นมาตบตีกับใครเพื่อแย่งผู้ชาย แต่ถ้าคนกลางมันไม่ทำอะไร ผู้หญิงอย่างฉันก็ต้องลุกขึ้นมาป้องกันตัว”

“ฝ้ายยยยย...” วัชระเสียงอ่อนจับมือเธอมองอ้อน สุพรรณิการ์ดึงมือออก พูดเสียงเข้มว่า

“ฉันไม่ต้องการความเห็นใจ แต่ฉันต้องการความมั่นใจ ที่ผ่านมา คุณวิ่งหนีจนปัญหามันทับถมมากเกินกว่าจะแก้ไข คุณตัดปัญหาด้วยการบอกเลิกเพียงคำเดียวถ้าฉันเป็นคุณแหนม ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน”

วัชระหน้าจ๋อย กลืนน้ำลายฝืดคอ พูดอะไรไม่ออก

“ฉันหวังว่าคุณจะรู้ว่าควรทำอะไร ก่อนที่ฉันหรือใครสักคนต้องตาย!” พูดแล้วเธอลุกหยิบกระเป๋าเดินออกไปเลย

“ฝ้าย...ฝ้ายยยยย...” วัชระได้แต่เรียกเสียงอ่อย เว้าวอน แต่สุพรรณิการ์ไม่สนใจ ออกไปแล้วปิดประตูทันที

วัชระยืนคว้างอยู่กลางห้อง ถอนหายใจหนักหน่วง สมองตื้อ...มืดแปดด้าน...

ตรงกันข้าม เมื่อสุพรรณิการ์กลับเข้าห้องตัวเอง เธอทรุดนั่งตรงประตู ปาดน้ำตาจนแห้ง สูดลมหายใจเต็มปอด เชิดหน้า แววตากร้าว...ฮึดสู้เต็มที่!

ooooooo

กริชชัยทำหน้าที่ที่สุพรรณิการ์ฝากไว้อย่างดีเยี่ยม ขับรถไปส่งอรุณศรีถึงหน้าบ้าน เธอหันขอบคุณเขาก่อนลงจากรถ แต่พอเธอลงไปแล้ว เขารีบเปิดประตูรถ เรียกอย่างตื่นเต้น

“อรุณศรี...”

เมื่อเธอหยุดหันมอง เขารีบลงจากรถเดินไปหา มองเก้อๆ อยู่นานก่อนจะเอ่ยเขินๆ ว่า

“ผม...มีเรื่องอยากจะบอก คุณจะได้...เตรียมตัว”

อรุณศรีใจไม่ดีมองงงๆ ถามอย่างกังวลว่า “เรื่องอะไรเหรอคะ? เรื่องงานหรือเปล่า??”

“ไม่ใช่...เรื่องส่วนตัว...” พูดแล้วก็หน้าแดง อรุณ–ศรีเองก็ใจเต้นตึ้กตั้กมองลุ้น “ผม...เอ้อ...ผมจะจีบคุณจริงจังนะ”

อรุณศรีกลั้นขำไม่อยู่ หัวเราะออกมาเบาๆ เขาทำหน้าตื่นถามเด๋อๆ ว่า “ตลก...เหรอ...”

“มันก็...ไม่ตลกหรอกค่ะ” อรุณศรีพยายามกลั้น หัวเราะ เขาถามว่าแล้วขำทำไม เธอพูดกลั้วหัวเราะอย่างกลั้นไม่ได้จริงๆ ว่า “ก็คุณพูดอย่างกับว่ามันเป็นแถลงการณ์ระดับชาติ...จริงจังไปรึเปล่าคะ...”

“ใช่ ก็ผมจริงจัง ผมก็ต้องพูดจริงจังสิ เดี๋ยวคุณจะคิดว่าผมจีบคุณเล่นๆ” กริชชัยยังคงทำหน้าขรึม

อรุณศรีมองหน้าเขา ถามว่า สุพรรณิการ์บอกเขาว่าตนกับปรานต์เลิกกันแล้วใช่ไหม เขาตอบอย่างเป็นทางการมากว่าใช่ เพราะเธอเลิกกับปรานต์แล้วตนถึงได้กล้าจีบ อรุณศรีมองอย่างชั่งใจก่อนถามอีกว่า

“แล้วคุณไม่กลัวว่า ฉันจะกลับไปคืนดีกับเขาเหรอคะ”

“ไม่กลัว ผมรับได้ทุกอย่าง” ตอบเข้มแข็งเหมือนนักเรียนตอบครู

ความจริงจังมากๆ ของกริชชัย ทำให้อรุณศรีหวั่นไหวจนเบือนหน้ากลบเกลื่อน เดินเลี่ยงไปที่รั้ว เธอเดินไปพูดไปไม่กล้าหันมาเผชิญหน้าสบตาเขาว่า

“ตอนนี้ ชีวิตฉันเหมือนเพิ่งผ่านช่วงฝุ่นตลบ อะไรๆที่ฉันเห็น มันก็ฟุ้งๆ ยังไม่ชัดเจน ฉันอยากรอให้ฝุ่นมันหายไปเสียก่อน ก่อนจะเริ่มต้นใหม่”

พูดแล้วหันมองกริชชัยที่เดินตามมา เขาตอบทันทีอย่างหนักแน่น มั่นใจว่า

“ไม่เป็นไร ผมรอได้ ผมไม่รีบ...ถ้าฝุ่นหายไปเมื่อไหร่ เดี๋ยวคุณก็เห็นผมเอง...” เขาพูดซื่อๆ ด้วยรอยยิ้มจริงใจ แล้วเดินกลับไปที่รถ

อรุณศรีหายเขิน กลายเป็นมองตามอึ้งๆ คิดในใจว่า

คนอะไร...ประหลาด แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ กริชชัยหันมาพอดี เธอหุบยิ้มแทบไม่ทัน อายจนรีบเดินเข้าบ้านไป

กริชชัยอมยิ้ม...มองเธอเผลอพึมพำ...น่ารักอ่ะ...แล้วยิ้มเต็มหน้าด้วยหัวใจที่พองโต...

ooooooo

ฝากข้อความนัดกรกนกให้มาพบแล้ว ธีธัชกลับไปที่คอนโดฯของตัวเอง ระหว่างทางก็ใจคอไม่ดีไม่รู้ว่าเธอจะมาหรือไม่ จนถึงหน้าห้อง ยืนกลัวๆ กล้าๆไม่รู้ว่าเปิดประตูเข้าไปแล้วจะเจออะไร สุดท้ายตัดสินใจผลักประตูเข้าไป!

ธีธัชมองอึ้ง เมื่อเห็นกรกนกกำลังเก็บของส่วนที่เหลือของตัวเองใส่กระเป๋า เขาทักเสียงไม่สนิทปากนักว่า

“นึกว่าจะไม่มา”

“ถ้าคิดว่าจะไม่มา แล้วนัดมาทำไมคะ?” เธอถามทำหน้าล้อๆทำให้ธีธัชคลายกังวลไปมาก เรียกอ้อนๆ “กรอ่ะ...” แล้วเดินเข้าหา ถูกกรกนกเอากระเป๋ามากั้นไว้ ปรามเสียงอ่อนๆว่า

“อย่ามาทำเสียงออดอ้อนเลยค่ะ มันไม่ได้ผลหรอก นัดมามีอะไรคะ?”

“ผมก็แค่...เป็นห่วง มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” ตอบเฉไฉแก้เขินแต่มองหน้าไม่สนิทตา

“ไม่มีค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่กร...สบายดีค่ะ” กรกนกตอบด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็ง จนธีธัชพูดไม่ออก สุดท้ายก็พูดออกมาตรงๆว่า

“กร...บอกตรงๆนะ ยิ่งคุณนิ่ง ผมยิ่งรู้สึกแย่ คุณไม่คิดจะตบหรือถีบผมบ้างหรือ...ถ้าคุณอยากทำ ก็ทำได้เลยนะ ผมพร้อม”

กรกนกยิ้มขำๆพูดสบายๆว่า “อย่าเลยค่ะ ทำแบบนั้น คนอย่างคุณไม่รู้สึกหรอก เสียแรงเปล่าๆ”

ธีธัชสะอึกอึ้ง เจ็บจี๊ดในอก แต่กรกนกก็ยังคงพูดต่อเรียบๆว่า

“ต้องปล่อยให้คุณเภาเป็นคนดัดนิสัย มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”

ธีธัชยิ่งอึ้ง ถามว่า “คุณรู้ได้ไง”

“ฉลาดไงคะ” กรกนกตอบยิ้มอย่างรู้ทัน พลางรูดซิปกระเป๋าที่เก็บของเสร็จแล้ว ธีธัชเองก็อดยิ้มไม่ได้ ทั้งที่ยังเครียดๆอยู่ กรกนกพูดไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นความรู้สึกที่ตกผลึกแล้วว่า “คุณเภาเธอเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก แล้วก็หายากมาก ฉันพูดแค่นี้ คุณคงรู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป”

ธีธัชฟังแล้วจุก อึ้งเป็นระยะกับคำพูดที่แสดงถึงความหลักแหลมและใจกว้างของเธอ เมื่อเธอพูดเสร็จก็หิ้วกระเป๋าเดินออกไปจากห้อง

“กร...” ธีธัชเรียกเสียงอ้อน เมื่อเธอหันมา เขาเดินเขาไปกอดเธอไว้...เป็นกอดที่บริสุทธิ์สวยงาม และอบอุ่นกรกนกซบหน้ากับไหล่กว้างของเขา น้ำตาซึม ต่างกอดกันนิ่ง... เหมือนกอดลา...

ทั้งสองกอดกันอยู่นานมาก...จนกระทั่งกรกนกยันตัวเอง ออกมา ธีธัชยอมคลายมือ ต่างมองหน้ากันนิ่ง

“โชคดีนะคะ...”

“คุณก็เหมือนกัน...”

ต่างยิ้มให้กันอย่างจริงใจ ปรารถนาดี กรกนกค่อยๆ ถอยออกไป...เป็นการจากกันอย่างสวยงาม...

เมื่ออยู่คนเดียว ธีธัชถอนใจเบาๆ เป็นความสบายใจที่เจือด้วยความเหงา...

ooooooo

จู่ๆลำเภาก็ขนของพร้อมทั้งลูกรักทั้งสองกลับไปอยู่บ้านแม่ ยังความแปลกใจแก่จามรีผู้เป็นแม่มาก ถามว่ายอมย้ายกลับมาอยู่กับแม่แล้วหรือ ก็ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า “ค่ะแม่” เจ้าขนมจีบกับซาลาเปาก็ช่วยกันเห่า บ๊อกๆ

“แน้...นังขนมจีบ ซาลาเปา เห่ารับเลยนะ จะมาอยู่กับยายหรือไงหา...” จามรีถามสองหมาอย่างเอ็นดู ก็ได้รับเสียงเห่าตอบอีกสองสามบ๊อก จนจามรียิ้มอย่างเอ็นดู

หยอกหมาแล้ว จามรีหันมาถามลูกว่า

“ทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจกลับมาอยู่กับแม่ เมื่อก่อนไม่ให้ไปอยู่ที่บ้านสวนก็ไม่ยอมเชื่อ จะไปอยู่ให้ได้...” มองลูกอย่างพินิจพิจารณาแล้วถามว่า “หนีใครมาหรือเปล่า”

“เภาก็แค่ไม่อยากอยู่คนเดียว คุณกริชก็ย้ายออกไปแล้ว อยู่คนเดียวเซ็งๆอีกอย่าง ขนมจีบกับซาลาเปาก็บ่นคิดถึงคุณแม่ด้วย เราก็เลยย้ายกันออกมาซะเลย จะได้หายคิดถึง”

“จริงเร้อ...เหตุผลฟังดูแปลกนะ ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ” จามรีหยอก

“จริ๊งงงงง...ไม่เชื่อถามขนมจีบกับซาลาเปาก็ได้นะคะ” ทำเสียงสูงยืนยันแล้วกลบเกลื่อนขอเอาของไปเก็บ เพื่อให้พ้นจากสถานการณ์นั้นเสีย

จามรีมองตามลำเภาไปอย่างสงสัย พึมพำอย่างติดใจ...อยากรู้ว่า

“ลูกฉันวันนี้แปลกๆ...ต้องมีอะไรแน่ๆ...”

ooooooo

ที่บ้านเนตรนภัส...

สีรุ้งเฝ้าสังเกตเนตรนภัสด้วยความเป็นห่วง แล้ววันนี้ก็ตกใจสุดๆ เมื่อเข้าไปในห้อง เห็นเนตรนภัสกำลังดื่มอย่างหนัก ดื่มจนเมาแล้วก็ยิ่งดื่มอย่างเมามัน

“แหนม...แหนม...พอได้แล้วลูก” สีรุ้งเข้าไปร้องห้าม คว้าแก้วเหล้าจากมือลูก “หยุดดื่มได้แล้ว พอ...พอ...พอกันที...” พลางเอาถังขยะมากวาดขวดเหล้าทิ้งหมด

“คุณแม่...คุณแม่ทิ้งทำไม...ทิ้ง...ทาม...มายยยย”

“แล้วเราจะกินมันทำไม! เหล้าพวกนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะลูก มันยิ่งทำให้แหนมแย่ลง แม่ขอร้อง...พอเถอะนะลูก” สีรุ้งมองลูกอย่างเจ็บปวดน้ำตาคลอ

“แค่เหล้า...มันไม่ทำให้แหนมแย่ไปกว่านี้หรอกค่ะแม่...แหนมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...”

“ทำไมจะไม่เหลือ...แหนมยังเหลือแม่...เหลือน้อง... แหนมยังเหลือครอบครัวที่เป็นห่วงแหนมนะลูก...แค่ผู้ชายคนเดียวตัดใจให้ได้ อย่าปล่อยให้เขาทำลายชีวิตลูกแบบนี้...”

“ไม่...แหนมไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ถ้าแหนมไม่มีความสุข อย่าหวังว่าใครจะมีความสุข ทั้งวัช ทั้งนังฝ้าย มันต้องตายให้หมด!” สีรุ้งตกใจถามว่าลูกพูดอะไรออกมารู้หรือเปล่า “พูดความจริงไงคะแม่ วัชกล้าหักหลังแหนม...เขาทำให้แหนมเจ็บ! เขาก็ต้องเจ็บเหมือนกัน!!” เนตรนภัสร้องไห้ไปพูดไปด้วยความอาฆาต

สีรุ้งมองลูกด้วยความเป็นห่วง ร้อนรุ่มใจ เจ็บปวดที่เห็นลูกตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว

เมื่อออกจากห้องเนตรนภัส สีรุ้งตรงมาที่เครื่องโทรศัพท์ หยิบขึ้นมา นิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจกดโทร.ออก รอจนปลายสายมีคนรับ สีรุ้งพูดเสียงเครียดไปทันทีว่า

“ฉันเอง...ฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับเธอโดยเร็วที่สุด...”

ooooooo

สามหนุ่มเนื้อทอง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด