ตอนที่ 15
สุพรรณิการ์นัดอรุณศรีไปพบที่ร้านกาแฟ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เพื่อนรักฟัง แต่แก้ตัวเขินๆว่าตนไม่เต็มใจ อรุณศรีมองหน้าติงว่า แต่ดูจากหน้าเธอตอนนี้ไม่ได้บอกเลยว่าไม่เต็มใจ
“จริง...” สุพรรณิการ์ก้มหน้าเขินๆ “ตอนแรกมันก็เริ่มจากความเมา มันรู้สึกตัวมั่งไม่รู้มั่ง เหมือนฝันๆแต่พอตื่นมาแล้วนึกๆอีกที มันก็...ดีเหมือนกัน”
อรุณศรีตกใจมาก ถามว่าพูดออกมาได้ยังไงไม่อายปาก สุพรรณิการ์บอกว่ามันเรื่องธรรมชาติธรรมดาของการสืบเผ่าพันธุ์ ทำไมจะพูดไม่ได้
“แต่คนที่แกไปยุ่งด้วยเขามีแฟนแล้ว และก็กำลังจะแต่งงานกัน”
“แต่ฉันว่าไม่ได้แต่งหรอก ทะเลาะกันขนาดนั้น เลิกชัวร์!”
“ไอ้ฝ้าย...” อรุณศรีเรียกเสียงดัง สุพรรณิการ์เรียก “ไอ้แอ๊ว...” เสียงดังพอกัน จนคนในร้านหันมอง สองสาวจึงรู้สึกตัว ลดเสียงเบาลงแต่ความตึงเครียดกลับเพิ่มมากขึ้น อรุณศรีถามว่า
“แกก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังจะมากวนอีกเหรอ พอได้แล้ว แกต้องเลิกยุ่งกับคุณวัช” สุพรรณิการ์โวยเบาๆว่าจะให้ตนเสียตัวฟรีรึไง “แล้วแกจะทำยังไง จะไปแย่งคุณวัชจากแฟนเขารึไง”
สุพรรณิการ์ลอยหน้าพูดอย่างมั่นใจว่าตนไม่ได้แย่งแต่ผู้ชายมาเองก็ช่วยไม่ได้ อรุณศรีเตือนสติว่า
“แกจะก๋ากั่นไปถึงไหน ช่วยสลดหน่อยได้ไหม เผื่อฉันจะเห็นใจแกบ้าง”
สุพรรณิการ์นิ่งไป คิดอย่างสงบก่อนระบายออกมาว่า
“แอ๊ว...ฉันก็ไม่ได้หน้าหนา ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่มันเกิดขึ้น เมื่อเช้าฉันอาละวาดจนห้องแทบพัง ทั้งโกรธ ทั้งอาย แต่ที่ฉันไม่ฟูมฟายร้องห่มร้องไห้กับแก เพราะฉันคิดว่ามันไม่มีประโยชน์”
สุพรรณิการ์พยายามสะกดอารมณ์ แต่ก็อดเสียงสั่นไม่ได้ จนอรุณศรีนิ่งฟัง มองเพื่อนอย่างเห็นใจ
“ต่อให้ฉันทุกข์ใจ ฉันก็เรียกสิ่งที่เสียไปกลับมาไม่ได้ ฉันเลือกที่จะเดินต่อไป นายวัชระจะต้องรับผิดชอบ! ส่วนแฟนเขาฉันไม่กลัวหรอก เขาแรงได้ฉันก็แรงได้ ก็ลองดูว่าใครจะแรงกว่ากัน!”
อรุณศรีถอนใจยาว พูดอย่างหนักใจว่า “ตอนนี้ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่า ควรจะสงสารใครดี ระหว่างแก คุณแหนม หรือว่าคุณวัช!”
ooooooo
ฝ่ายวัชระก็ถูกธีธัชกับกริชชัยเรียกไปสอบถามอย่างเคร่งเครียดที่ร้านอาหาร ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากฟังธีธัชแล้ววัชระยืดอกรับอย่างกล้าหาญว่า
“ใช่! สิ่งที่คุณกรเห็นเป็นความจริง”
เพื่อนทั้งสองทำท่าเหนื่อยใจ กริชชัยถามว่าสองคนไปไกลถึงขนาดนี้แล้วจะทำยังไงต่อไป วัชระตอบหนักแน่นจริงจังว่าตนจะเคลียร์ให้เรียบร้อย ธีธัชพูดอย่างไม่เชื่อว่า จะเคลียร์ยังไง ก็เห็นหนีกันมาเป็นเดือนแล้วไม่จบสักที
“เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน” วัชระพูดอย่างครุ่นคิด ธีธัชถามว่าไม่เหมือนยังไง เขาตอบอย่างมั่นใจว่า “ฉันคิดว่า...ฉันชอบฝ้ายว่ะ ความรู้สึกที่ฉันมีกับฝ้าย มันมาแบบไม่คาดหวัง เวลาอยู่กับเขาแล้วมันสบายใจดี ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก แต่มันก็พอจะเข้าใจกันได้ และที่สำคัญ...
เราชอบอะไรที่คล้ายๆกัน มีระดับการใช้ชีวิตที่มันเสมอกัน”
ธีธัชถามว่าระดับการใช้ชีวิตหมายถึงอะไร วัชระชี้แจงว่า “ก็เขาไม่ไฮโซเกินไปสำหรับฉัน และฉันก็ไม่โลโซเกินไปสำหรับเขา...มันแบบ...พอดี...พอดี อยู่ด้วยกันแล้วไม่อึดอัด ไม่ลำบากใจ มันสุขแบบลึกๆไม่ปรี๊ดปร๊าด แต่มันก็รู้สึกดี...พูดแล้วคิดถึงว่ะ”
ธีธัชทำหน้าหมั่นไส้ด่าว่าเว่อร์ไปแล้ว แต่กริชชัยที่ฟังเงียบๆอยู่นานกลับพูดเหมือนเจอสิ่งที่ค้นหาว่า
“ไอ้วัชพูดถูก...ฉันก็รู้สึกแบบนี้กับอรุณศรี” วัชระถามอย่างตื่นเต้นว่าใช่ไหม กริชชัยตอบอย่างตื่นเต้นพอกันว่า “ใช่...มันแบบยิ้มเวลาคิดถึงเขา ถึงเขาไม่ค่อยสนฉัน แต่มีความสุขเวลาที่ได้คิดถึง”
“ถูก...” วัชระทำเสียงดังอย่างถูกใจ จนธีธัชมองเหวอหาว่าเพื่อนสองคนพร่ำเพ้ออะไรกัน วัชระสวนไปว่า “ไอ้ธี แกไม่เคยรักใคร แกไม่เข้าใจหรอก”
ธีธัชสะอึกเหมือนถูกแทงใจดำ วัชระบรรยายความรู้สึกราวกับเป็นกูรูเรื่องความรักว่า
“แกหาเรื่องสนุกกับสาวไปวันๆ แกไม่รู้หรอกว่า ‘ความสุข’ จริงๆมันเป็นยังไง ความสนุกกับความสุข มันคล้ายกันแต่มันไม่เหมือนกัน... ถ้าวันไหนแกเจอผู้หญิงที่ทำให้แกมีความสุขได้เหมือนฉันสองคน แกก็จะเข้าใจเอง...”
กริชชัยพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนธีธัชนิ่งอึ้งทำเป็นไม่ยอมรับแต่ใจแอบคิดแว้บๆว่า หรือว่าตนไม่เคยรักใครจริงๆ
ระหว่างขับรถกลับบนถนนโล่งๆนั้น ธีธัชปล่อยความคิดตัวเอง คิดถึงคำพูดของวัชระกับกริชชัยเมื่อครู่นี้ แล้วก็เบรกรถกะทันหันเมื่อคิดอะไรแว้บๆขึ้นมา พึมพำอึ้งๆอย่างไม่รู้ตัว “ยัยหนูตะเภา...”
ooooooo
จากความจริงที่เห็นและการปฏิบัติต่อตนตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันกับธีธัช ทำให้กรกนกตัดสินใจที่จะไปจากเขา เธอเก็บของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋า หันมองรอบห้องเหมือนจะบอกลา อดน้ำตาคลอไม่ได้กับคืนหวานวันสุขที่เคยมีด้วยกัน
กรกนกหยิบกระดาษที่เขียนข้อความสั้นๆของมาริลีน มอนโรที่เขียนไว้ว่า “ผู้หญิงฉลาด...จูบแต่ไม่รัก...ฟังแต่ไม่เชื่อ...และบอกลาก่อนจะโดนบอกเลิก” ขึ้นมาดูเอาไปวางไว้บนโต๊ะพร้อมกุญแจห้อง ก่อนเดินออกไปอย่างมั่นใจ...มั่นคง...
ธีธัชกลับมาพบกระดาษแผ่นนั้น เขาหยิบอ่านด้วยใบหน้านิ่งขรึม หยิบกุญแจห้องกำแน่น มองไปรอบห้องด้วยความเศร้า...แต่ก็เข้าใจและรู้สึกโล่งอกอยู่ลึกๆ...
ooooooo
โอบบุญ ได้อ่านข้อความเดียวกันในเฟซบุ๊ก เขาอ่านแล้วยิ้มออกมาอย่างชอบใจ อรุณศรีถามพี่ชายว่ายิ้มอะไร เขาบอกว่ากำลังจีบหญิงอยู่ แต่พอถามว่าใคร เขาทำเป็นอำ บอกว่าเดี๋ยวก็รู้ แล้วเปลี่ยนเรื่องถามน้องว่าทำไมไม่ไปทำงาน
อรุณศรีบอกว่าเจ้านายให้พนักงานที่ไปช่วยงานในวันหยุดได้หยุดพักกัน แล้วจู่ๆโอบบุญก็ถามน้องว่าตกลงเป็นแฟนกับเจ้านายแล้วหรือ
“ยัง!ไม่ได้เป็น!” อรุณศรีปฏิเสธเสียงสูงอย่างตกใจ โอบบุญจึงบอกว่าปรานต์โทร.มาบอกว่าเย็นนี้จะมาหาตนเพื่อปรึกษาเรื่องของเธอ อรุณศรีพึมพำอย่างไม่ชอบใจว่า “นี่กะจะเข้าทางพี่โอบเหรอ...” แล้วถามพี่ชายว่า “การที่เราแอบสืบหรือละลาบละล้วงเรื่องของแฟนเราบ้าง มันน่าเกลียดหรือเปล่า”
โอบบุญหันมาคุยจริงจังขึ้นว่า “ถ้ารู้เพื่อไม่ให้โดนหลอก มันก็ดี แต่ถ้ารู้เพื่อไประรานเขามันก็ไม่ดี” พูดแล้วมองหน้าน้องถามว่า “นี่ถามหน่อย แกเคยเปิดดูโทรศัพท์มือถือไอ้ปรานต์บ้างหรือเปล่า” พอน้องส่ายหน้าก็ถามว่า เฟซบุ๊กล่ะ...เช็กอีเมล์ล่ะ...ไปที่ทำงานบ้างไหม? ปรากฏว่าอรุณศรีส่ายหน้าทุกคำถาม โอบบุญพูดปลงๆว่า “เจริญแล้ว...”
อรุณศรีบอกว่าตนไว้ใจเลยไม่อยากวุ่นวาย โอบบุญถามเหมือนสะกิดให้คิดว่า แล้วตอนนี้ยังไว้ใจอยู่รึเปล่า...
คำถามนี้ทำให้เธอชะงัก ฉุกคิดว่า...นั่นสิ?
ooooooo
ดังนั้น วันนี้อรุณศรีจึงไปที่ร้านเครื่องเสียงของปรานต์เลยได้พบภาพบาดตา เมื่อเห็นปรานต์เดินกะหนุงกะหนิงออกมากับเจ๊เกียวที่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาเต็มที่ ทั้งคู่นั่งรถออกไปกันอย่างรื่นรมย์ เธอตัวเย็นวาบเมื่อตระหนักชัดว่า ถูกปรานต์หักหลังแล้วจริงๆ
ปรานต์ขับรถของตัวเองพาเจ๊เกียวออกไป ระหว่างติดไฟแดง เขาถอดแว่นดำที่ใส่อำพรางรอยฟกช้ำออก บอกเจ๊ว่า เย็นนี้ตนจะไปพบลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท จ๊อบนี้ใหญ่มาก ถ้าเห็นตนขับรถคันนี้ไปเขาอาจจะไม่ไว้ใจ จึงขอยืมรถเจ๊ไปได้ไหม
เจ๊เกียวยินดี แต่ขอให้เขาไปส่งตนที่สปาก่อน เสร็จแล้วก็ให้มารับด้วย ปรานต์กุมมือเจ๊ไว้พูดอย่างซาบซึ้งว่า
“ขอบคุณครับพี่...พี่เกียวดีกับผมจริงๆ”
“ก็ปรานต์เป็นแฟนพี่ มากกว่านี้พี่ก็ให้ได้” เจ๊ยินดี เต็มใจ มองรอยช้ำที่หน้าปรานต์ถามว่าโจรที่งัดรถและทำร้ายเขานั้นแน่ใจหรือว่าจะไม่แจ้งความ บอกว่าตนมีเพื่อนเป็นตำรวจเผื่อจะช่วยได้
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่อยากเอาเรื่องไอ้พวกโจรกระจอก ลดตัวไปยุ่งกับมันเสียศักดิ์ศรี” ปากพูดถึงโจรแต่ใจนึกแค้นกริชชัยที่ฝากรอยฟกช้ำไว้จนต้องสร้างเรื่องโกหกเจ๊
ขณะนั้นเอง มีโทรศัพท์เข้า ปรานต์ปล่อยมือจากเจ๊เกียวหยิบโทรศัพท์ดู ปรากฏชื่อ “แอ๊ว” เขากดทิ้งทันที เจ๊ถามว่าทำไมไม่รับ เขาโกหกอย่างสนิทเนียนเอาตัวรอดได้และยังได้ใจเจ๊ด้วยว่า
“หุ้นส่วนที่บริษัทน่ะ เดี๋ยวค่อยโทร.กลับ ตอนนี้เวลาพักกลางวัน ยังไม่อยากคุยเรื่องงาน”
เจ๊เอื้อมมือมาบิดจมูกเขาเบาๆพูดอย่างมันเขี้ยวว่า “น่ารักที่สุด...”
ปรานต์ยิ้มหวานให้เจ๊ แต่ใจแอบกังวลที่ไม่รับสายอรุณศรี ซึ่งอรุณศรีก็เอะใจว่าทำไมเขาไม่รับสาย อึดใจหนึ่งเธอจึงกดโทร.ออกอีกครั้ง
ooooooo
สุพรรณิการ์กำลังไปเลือกซื้อชุดตรวจครรภ์อยู่ที่ร้านขายยา ได้รับโทรศัพท์จากอรุณศรี เพื่อนพูดทันทีอย่างกำลังอยู่ในอารมณ์ปั่นป่วนกดดันว่า
“ฉันเห็นปรานต์อยู่กับผู้หญิงคนอื่น!!”
สุพรรณิการ์ตกใจมาก ถามว่าจริงหรือ อรุณศรีจึงพรั่งพรูความอัดอั้นออกมาด้วยอารมณ์รุนแรง บอกว่าตนเคยถามปรานต์ครั้งหนึ่งขณะเขาคุยโทรศัพท์กับผู้หญิง เขาบอกว่าเป็นลูกค้า แต่ที่เห็นวันนี้ทั้งคู่เกาะกันแจอย่างมีความสุขมาก
สุพรรณิการ์ฟังแล้วบอกเพื่อนให้ใจเย็นๆ อรุณศรีถามว่าจะทำอย่างไรดี ตามไปด่าเลยดีไหม สุพรรณิการ์บอกว่า
“ตอนนี้เธอมีหลักฐานเหนือกว่า อย่าเพิ่งวู่วาม ค่อยๆคิด” แล้วนัดให้อรุณศรีไปรอที่ร้านอาหารใกล้คอนโดฯของตนเดี๋ยวจะรีบไปหา ย้ำอย่างกังวลกับอารมณ์ของเพื่อนขณะนี้ว่า
“ตอนนี้ แกห้ามทำอะไรทั้งนั้น และห้ามติดต่อไอ้ปรานต์ด้วย ถ้ามันโทร.กลับมาก็ไม่ต้องรับรู้เปล่า”
เมื่อเพื่อนรับปากว่าจะพยายามแล้ว สุพรรณิการ์โทร.ถึงกริชชัยให้เขารีบไปหาอรุณศรีที่ร้านอาหารข้างคอนโดฯไม่นานกริชชัยก็เข้าไปหาอรุณศรีที่นั่งรอสุพรรณิการ์อยู่ บอกเธอว่า
“คุณฝ้ายโทร.บอกให้ผมมาดูแลคุณ เขากำลังเดินทางมา ผมอยู่ใกล้กว่าก็เลยถึงก่อน” พูดแล้วส่งถุงเล็กๆให้ บอกว่าเป็นเจลปิดตา ใช้ได้ทั้งร้อนทั้งเย็น เอาไว้ประคบหลังจากร้องไห้ ตาจะได้ไม่บวม
เมื่ออรุณศรีเล่าเรื่องที่เห็นปรานต์ไปกับผู้หญิงคนนั้นให้ฟัง กริชชัยสรุปว่าปรานต์ไม่ได้มีเธอคนเดียวแน่ๆ แล้วถามถึงรูปร่างลักษณะของผู้หญิงคนนั้นว่า
“ผู้หญิงที่คุณเห็น ผมสั้นๆ ขาวๆ อวบๆ ดูรวยๆ แล้วก็อายุมากกว่าแฟนคุณรึเปล่า” อรุณศรีบอกว่าใช่ ถามว่าเขารู้ได้ยังไง “ผมเคยเห็นเขาสองคนเดินด้วยกันในห้างฯ”
อรุณศรีนิ่งไป กริชชัยถามว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไป เธอได้แต่นิ่ง พอดีสุพรรณิการ์มาถึง เธอขอบคุณกริชชัยที่มาอยู่เป็นเพื่อนอรุณศรี แล้วหันถามเพื่อนอย่างเป็นห่วงว่าเป็นยังไงบ้าง พออรุณศรีบอกว่าดีขึ้นนิดหน่อย เธอบอกให้เล่ามาอย่างละเอียดเลยว่า เห็นสองคนนั้นที่ไหน ยังไง
พออรุณศรีจะเล่าก็นึกได้ว่ากริชชัยนั่งอยู่ด้วย ชายหนุ่มมองอย่างเข้าใจ ขอตัวอย่างมีมารยาทบอกว่าถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรอีกโทร.หาตนได้ตลอดเวลา ก่อนกริช–ชัยจะเดินไป อรุณศรีขอบคุณเขาที่ซื้อเจลปิดตามาให้ และขอบคุณที่มานั่งเป็น “เพื่อน” ด้วย
พอเดินออกมาไม่นาน เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากธีธัช ฟังปลายสายอย่างตกใจ แล้วรีบไปหาธีธัชที่คอนโดฯ
ooooooo
ไปถึงคอนโดฯของธีธัช กริชชัยอ่านกระดาษโน้ตที่กรกนกเขียนทิ้งไว้ว่า “เวลาของเราหมดแล้ว ของที่เหลือจะเข้ามาเก็บอาทิตย์หน้า โชคดี กรกนก”
กริชชัยถามธีธัชว่ากรกนกงอนหรือเปล่า ธีธัชบอกว่าคนอย่างกรกนกไม่เคยงอน ครั้นเพื่อนบอกให้ไปง้อ เขาพูดอย่างรู้นิสัยกรกนกดีว่า เธอคงทิ้งตนไปจริงๆแล้ว กริชชัยมองหน้าตั้งข้อสังเกตว่า “ดูท่าทางแกไม่ค่อยเสียใจ”
“ฉันทำใจมาตั้งนานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันต้องมีวันนี้ ฉันกับกรไปไม่ได้ไกลกว่านี้”
กริชชัยติงว่าตนก็เห็นกรกนกตามใจเขาทุกอย่าง ธีธัชพูดอย่างครุ่นคิดว่า
“บางที...เราก็ไม่ได้ต้องการคนที่ยอมเราทุกอย่าง...ขัดๆ กันบ้าง บางทีก็ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่เราคิดไม่ถึง”
ฟังแล้วกริชชัยแอบระแวงว่าธีธัชหมายถึงลำเภาหรือเปล่า พอดีธีธัชเก็บของส่วนตัวเสร็จบอกกริชชัยว่า ขอย้ายไปอยู่คอนโดฯของเขาตอนที่กรกนกมาเก็บของ เธอจะได้ไม่ลำบากใจ กริชชัยพยักหน้า มองเพื่อนพูดอย่างเห็นใจ...เข้าใจว่า
“ฉันเพิ่งรู้...การเลิกทั้งที่ไม่ได้เกลียดกัน...มันยากจริงๆ”
ooooooo
ในที่สุด วัชระก็ตัดสินใจไปหาเนตรนภัสที่บ้าน สีรุ้งให้ไปนั่งรอที่สวนหน้าบ้าน เพื่อทั้งคู่จะได้คุยกันสะดวกใจ
ทันทีที่เนตรนภัสลงไปเจอหน้า เธอวีนใส่เขาทันทีเรื่องที่เขาพาสุพรรณิการ์ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน เรื่องไม่รับโทรศัพท์ของตน เรื่องเปลี่ยนเบอร์โทร.จนตามไม่เจอ จนกระทั่งเรื่องการ์ดแต่งงานที่เอาไปให้ดูนานแล้วก็ยังไม่บอกว่าจะเอาอย่างไร ตนจะได้เอาไปให้เขาจัดพิมพ์
วัชระนิ่งฟัง จนเนตรนภัสพูดจบ เขาบอกเธออย่างไม่อ้อมค้อมว่า “แหนม...ผมมีคนใหม่แล้ว...งานแต่งงานของเราคงต้องยกเลิก”
เนตรนภัสหน้าแดงก่ำ ช็อกไปอึดใจ ก็อาละวาดเสียงดังลั่น ถามว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร!
“ฝ้าย...ผมกำลังจะคบกับเขา”
เนตรนภัสโต้อย่างตระหนกว่าไม่เป็นความจริง และตนจะไม่มีวันยอมเลิก ถ้าเลิกตนจะเอาหน้าไปไว้ไหน
“แหนม...ใครเขาจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา คุณรู้ตัวหรือเปล่า ตั้งแต่คุณหมกมุ่นเรื่องการแต่งงาน คุณไม่มีความสุขเลย ถ้าการแต่งงานทำให้คุณเป็นทุกข์แบบนี้ คุณจะแต่งไปทำไม” วัชระเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ถึงไม่มีความสุข แหนมก็จะแต่ง!” เธอตะโกนใส่หน้าเขา จนวัชระผงะ หน้ายุ่งอย่างลำบากใจ
นรีวรรณกับสีรุ้งที่คอยสังเกตการณ์อยู่ ได้ยินเสียงของเนตรนภัส ก็พากันลุกพรวดขึ้นอย่างเป็นห่วง...
ooooooo
ที่สวนหน้าบ้าน บรรยากาศตึงเครียดจนน่ากลัว เนตรนภัสยืนกรานว่าการแต่งงานไม่ใช่เป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของการเข้าสังคม มีหลายคู่ที่ไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่เขาก็อยู่ด้วยกันเพราะความเหมาะสม
วัชระย้อนถามว่าแล้วตนกับเธอเหมาะสมกันตรงไหน ทุกอย่างเราต่างกันราวฟ้ากับดิน ถูกเธอหาว่าเพราะเขาจะทิ้งเลยพาลจนดูอะไรๆแย่ไปหมด
“ผมไม่ได้พาล ผมพูดด้วยเหตุผล คุณอาจจะแต่งงานทั้งที่ไม่รักได้...แต่ผมทำไม่ได้...ผมแต่งงานกับคุณไม่ได้จริงๆ... หยุดตามหาผม...ถ้าเราห่างกันสักพัก คุณจะรู้ว่าสิ่งที่ผมพูด มันเป็นความจริง!”
พูดแล้ววัชระเดินออกไปทันที เนตรนภัสแผดเสียงเรียกให้เขากลับมา เธอร้องไห้วิ่งตามไปจะจับตัวเขาไว้ สีรุ้งกับนรีวรรณคอยดูอยู่แล้ว ช่วยกันมาจับตัวเธอ สีรุ้งบอกลูกสาวว่าปล่อยเขาไป นรีวรรณก็ถามพี่สาวอย่างรับไม่ได้ว่า ผู้ชายห่วยๆแบบนี้จะเอาไว้ทำไม พอได้แล้ว
“ไม่...ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมเป็นคนโดนทิ้ง ได้ยินไหม ฉันไม่ยอม...ทำไมต้องเป็นฉัน...ทำไม...” เนตรนภัสร้องไห้ฟูมฟายอย่างรับความจริงไม่ได้...
วัชระเดินไปถึงหน้าบ้าน เขาหันกลับมองไปที่ตัวบ้าน ด้วยแววตาที่เศร้าและรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ แต่ก็ตัดใจ หันหลังเดินจากไปทั้งที่เศร้า...
ooooooo
หลังจากคุยกันเสร็จ อรุณศรีไม่ให้สุพรรณิการ์ขับรถไปส่งที่บ้าน เพราะโอบบุญบอกไว้แล้วว่า ปรานต์ โทร.มาบอกว่าเย็นนี้จะมาคุยกับเขาที่บ้าน ถ้าปรานต์เห็นเธอขับรถมาส่งเขาอาจไหวตัว
สุพรรณิการ์เป็นห่วงจะจอดรถรออยู่แถวหน้าบ้าน อรุณศรีบอกว่าอย่าเลย ตนขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ลงจากรถสุพรรณิการ์แล้ว อรุณศรีเดินมาหน้าบ้านเห็นรถสปอร์ตคันหรูของเจ๊เกียวจอดอยู่ เธอมองนิ่งหน้าเครียด
ใจระส่ำพยายามเตือนตัวเองให้ใจเย็นๆ เธอยังไม่เข้าบ้านเพราะเห็นโอบบุญนั่งคุยกับปรานต์อยู่ในห้องรับแขก
ปรานต์เล่นบทอ้อนสุดๆ ขอบคุณโอบบุญที่ยอมเสียเวลามานั่งคุยกับตน ตนเองก็จนปัญญาจริงๆ ไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้ว โอบบุญมองไปที่หน้าบ้านถามว่าไปเอารถใครมาหรือว่าเปลี่ยนรถใหม่แล้ว
ปรานต์ยิ้มอย่างภูมิใจบอกว่ารถของตนเอง ตนเพิ่งได้เงินปันผลครึ่งปีมานิดหน่อย โอบบุญพยักหน้ารับรู้แต่ในใจอดคิดไม่ได้ว่ามีเงินขนาดนี้แล้วมายืมน้องตนทำไม
อรุณศรีเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ปรานต์พูดอย่างถือดีว่าตนเห็นกิ๊กของอรุณศรีเอารถสปอร์ตมารับเธอ ก็เลยอยากทำให้เธอเห็นว่าตนก็มีได้เหมือนกัน ไม่เห็นจะยาก แล้วตำหนิเนียนๆว่า
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ แอ๊วสนใจมันได้ยังไง หน้าตาก็บื้อๆ เก๊กๆ บุคลิกก็เหมือนเกย์ ถ้ามันไม่รวย มันไม่มีอะไรดีสักอย่าง”
โอบบุญตัดบทว่าให้เข้าเรื่องเลยดีกว่าอย่าเสียเวลาเลย ปรานต์ใส่ไคล้ทันทีว่า อรุณศรีกำลังถูกหลอก เพราะกริชชัยไม่คิดจริงจังอะไรกับเธอแน่ คงเห็นว่าเธอเป็นแค่พนักงานในบริษัทพอได้แล้วก็คงทิ้ง
กรุยทางมาถึงตรงนี้แล้ว ปรานต์ฟันธงว่าป่านนี้อรุณศรีคงมีอะไรกับมันแล้ว เห็นโอบบุญไม่พูดอะไร ปรานต์ย่ามใจ ใส่ไคล้ต่ออย่างเมามันว่า
“ผมพยายามเตือนแล้ว แต่แอ๊วไม่ฟัง ถ้าพี่โอบเป็นห่วงแอ๊ว ต้องบอกให้เขาระวังตัว อยู่ห่างๆไอ้กริชชัยได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี หรือถ้าพี่ไม่อยากให้แอ๊วต้องเสียตัวฟรี ก็ให้ลาออกเสียก่อน ก่อนที่จะเสียอะไรมากกว่านี้...”
“พอได้แล้วปรานต์!” อรุณศรีพรวดเข้าไปอย่างสุดทน “หยุดโกหกเอาดีใส่ตัวโยนความชั่วให้คนอื่นได้แล้ว!”
ปรานต์ตกใจหน้าเสีย คาดไม่ถึงว่าอรุณศรีจะมาตอนนี้ โอบบุญเห็นน้องมาแล้ว จึงขอตัวไปข้างนอก มีอะไรให้เรียกก็แล้วกัน ปรายตาไปทางปรานต์อย่างไม่วางใจก่อนเดินออกไปนั่งที่หน้าบ้าน ใจยังกังวลเป็นห่วงน้องมาก
ปรานต์เผชิญหน้ากับอรุณศรี เขาหน้าเสียแต่ยังพยายามปั้นหน้ารักษาฟอร์ม
ooooooo
พออยู่กันตามลำพัง ปรานต์อ้อนอรุณศรีอย่าโกรธตนเลย ตนพูดทุกอย่างด้วยความหวังดีไม่อยากให้เธอเสียใจภายหลัง อรุณศรีย้อนถามว่า ถ้ากลัวเสียใจแล้วมาโกหกตนทำไม ปรานต์ทำไขสือถามว่าโกหกเรื่องอะไร?
“โกหกเยอะมากกก! โกหกต่อหน้าคนอื่นว่าเรามีอะไรกัน โกหกพี่โอบว่าแอ๊วมีอะไรกับคุณกริช แล้วก็โกหกแอ๊วว่าไม่มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น!!”
ฟังแล้วปรานต์ก็ยังทำหน้าซื่อถามว่า “ผู้หญิงคนไหน ปรานต์ไม่รู้เรื่อง”
“คนที่เป็นเจ้าของเบนซ์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน คนที่ออกไปกินข้าวด้วยกันเมื่อกลางวัน! รู้หรือยังว่าผู้หญิงคนไหน!”
ถูกจับได้จนขนาดนี้ ปรานต์ที่กะล่อนจนจับไม่ติดก็ถึงกับเหวอ...อึ้ง แต่ก็ยังแก้ตัวว่าเธอเข้าใจผิด ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน โทษว่าต้องมีคนใส่ร้ายตนแน่ๆ ถามว่ามันเป็นใคร “ไอ้กริชชัย หรือว่านังฝ้าย หรือทั้งสองคน”
อรุณศรีบอกว่าไม่มีใครใส่ร้ายเขา ตนเห็นทุกอย่างกับตา แล้วบรรยายรูปร่างลักษณะกระทั่งเสื้อผ้าที่เจ๊เกียวใส่วันนี้ได้อย่างถูกต้อง ย้ำเมื่อเห็นปรานต์อึ้งเถียงไม่ออกว่า
“เคยบอกแล้วไง เรื่องอื่นพอทนได้ แต่เรื่องมีคนอื่น รับไม่ได้จริงๆ” จนแต้มเข้าปรานต์ก็อ้อนขอโทษ ถูกเธอสวนไปอย่างรู้ทันว่า “ไม่ได้รู้สึกผิด จะขอโทษทำไม ถ้ารู้สึกผิดสักนิด มันไม่คิดจะทำตั้งแต่แรกแล้ว” พูดแล้วสูดหายใจลึกๆ อย่างตัดใจแล้ว บอกปรานต์ด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “มันถึงเวลาแล้ว เราควรจะเลิกกันได้สักที!!”
ปรานต์ช็อกไปครู่หนึ่ง พอได้สติก็ตะโกนเหมือนคนเสียสติว่า “ไม่...ไม่มีทางหรอก เราคบกันมาตั้งหลายปี ปรานต์ดีกับแอ๊วมาตลอด อยู่ๆมาเลิกกันง่ายๆเนี่ยเหรอ ปรานต์ไม่ยอม...ไม่ว่ายังไงปรานต์ก็ไม่เลิก!”
โอบบุญได้ยินเสียงปรานต์ตะโกนอย่างบ้าคลั่งลุกขึ้นยืนดูด้วยความเป็นห่วงน้อง
ooooooo
อรุณศรีกำมือแน่นยังเผชิญหน้าปรานต์ที่ตกใจ โกรธจนแทบเสียสติ เธอยืนยันว่า เราสองคนเดินมา
ถึงทางตันแล้ว อย่าทนอยู่เพื่อจะเกลียดกันให้มากไปกว่านี้เลย ปรานต์อ้อนเสียงอ่อนลงว่าตนไม่มีวันเกลียดเธอ เคยรักยังไง วันนี้ก็ยังรักเหมือนเดิม
“พอเหอะ ไม่อยากฟัง เพราะมันไม่จริง ต่อจากนี้ เราไม่มีอะไรต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง...มีแค่เรื่องเดียวที่อยากให้รับผิดชอบ...เรื่องเงินของฝ้าย สี่แสนที่ยืมไป อยากให้จ่ายคืนให้ครบ ถึงเราจะเลิกกันแต่หนี้ก้อนนี้ยังคงอยู่”
ถูกบอกเลิกแล้วยังถูกทวงหนี้อีก ปรานต์ด่าอรุณศรีว่าหน้าเงิน ตั้งแต่ไปคบกับเศรษฐีหายใจเข้าออกเป็นเงินไปหมด แล้วพูดหน้าด้านๆว่า
“ไปบอกไอ้บื้อมันสิ ให้มันจ่ายมาสี่แสนเป็นค่าตัวที่มันแย่งแอ๊วไปได้สำเร็จ” อรุณศรีโต้ว่าเรื่องนี้กริชชัยไม่เกี่ยวอย่าพาล “มันน่ะเกี่ยวเต็มๆ ถ้ามันไม่เข้ามาแอ๊วก็ไม่เป็นแบบนี้ บอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงจะเลิกกัน ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุข แอ๊วทำปรานต์เจ็บแอ๊วจะต้องเจ็บยิ่งกว่า!”
โอบบุญสุดที่จะทนกับความก้าวร้าวบ้าคลั่งของปรานต์ได้ เดินเข้าไปไล่ให้ออกจากบ้านนี้ได้แล้ว ปรานต์หันไปชี้หน้าอรุณศรีขู่อาฆาตทิ้งท้ายก่อนหุนหันออกไปว่า “จำไว้!”
อรุณศรีทรุดนั่งน้ำตาคลอพูดกับพี่ชายด้วยความเสียใจว่า “ไม่นึกว่าปรานต์จะเป็นคนแบบนี้...นึกไม่ถึงเลยจริงๆ”
“เอาน่า...ถือเสียว่าโชคยังดีที่ได้เห็นตอนนี้ ดีกว่าไปเห็นหลังแต่งงานกันแล้ว ถ้าไปรู้ตอนนั้น...กรรมหนักกว่านี้แน่” โอบบุญกอดน้องไว้อย่างปลอบใจ อรุณศรีกอดพี่ชายร้องไห้อย่างสุดที่จะกลั้นไว้ต่อไป...
เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเช่นนั้น อรุณศรีหยิบรูปที่ถ่ายคู่กับปรานต์สมัยเรียนหนังสือและรักกันใหม่ๆ ทุกรูปสดใสมีความสุข เธอเก็บรูปเหล่านี้ใส่ในกล่องที่เตรียมไว้สำหรับเก็บความทรงจำเก่าๆ
โอบบุญมองน้อง แล้วคิดถึงที่นักเขียนนิรนามท่านหนึ่ง เขียนไว้อย่างลึกซึ้งว่า...
“การลาจาก...เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์...ถ้าคิดจะเริ่มต้นรัก ควรเผื่อใจสำหรับการเลิก...และทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุด อย่างน้อย เมื่อต้องแยกทาง ยังมีสิ่งดีๆหลงเหลืออยู่ในความทรงจำ...”
อรุณศรีเก็บภาพเก่าๆใส่กล่องแห่งความทรงจำที่มีทั้งปลื้ม ทั้งสุข ทั้งทุกข์ และลงเอยด้วยความเจ็บปวด...เธอหย่อนรูปสุดท้ายลงในกล่อง...ปิดกล่อง เอากระดาษกาวติดไว้อย่างไม่คิดที่จะเปิดมันออกมาอีกแล้ว...
ooooooo
ที่คอนโดฯของกริชชัย ลำเภาถือไม้กวาดเข้าไปในห้องนอนของธีธัช เห็นเขานอนคว่ำอยู่บนเตียง นอกจากผ้าผืนเล็กที่ปิดส่วนสำคัญที่ใต้สะดือเล็กน้อยแล้ว ทั้งบนและล่างเปลือยเปล่า
ลำเภาเอาไม้กวาดจิ้มจึ้กๆที่ตัวเขา ปลุกให้ตื่น ธีธัชขยับตัวนิดๆทำเสียง อือ...อือ...ในคอแล้วสะบัดผ้าที่คลุมออก ลำเภาตาโตทำเสียงอื้อฮือ...แล้วใช้ด้ามไม้กวาดเขี่ยแรงๆ จนธีธัชลุกขึ้นมา พอเห็นลำเภาเท่านั้นเขาตกใจคว้าผ้ามาปิดตรงเป้าโวยวายลั่น ถามว่ามาตั้งแต่เมื่อไร เห็นอะไรบ้าง
“ฉันเดินเข้ามา ตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว และฉันก็...เห็น-หมด-เลย”
ธีธัชเอ็ดว่าหน้าไม่อาย เห็นแล้วยังยืนมองอยู่ได้ ถูกลำเภาด่าคืนว่าตนหน้าไม่อาย แต่นายหน้าด้าน มานอนแก้ผ้าในบ้านคนอื่นได้ไง
ลำเภาบอกว่าตนมาปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาทำหน้าที่แฟน ตนเตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว กินเสร็จก็ไปส่งตนที่ทำงานด้วย ธีธัชทำท่าจะแย้ง ถูกลำเภาตัดบทเร่งให้รีบลุกก่อนที่ตนจะเอาคลิปที่แอบถ่ายตอนเขานอนโป๊ไปโพสต์ในยูทูป ขู่แล้วไปเลย
ธีธัชเจอเข้าสองดอกก็เป็นอันมึนร้องตะโกนให้กลับมาก่อน เอาคลิปมาดูก่อนว่าถ่ายอะไรตนไว้บ้าง
ooooooo
ลำเภาเดินอ้าวมาถึงโต๊ะอาหาร มีไส้กรอกหลายขนาดวางอยู่ในจานจัดอย่างสวยงามหน้าตาเป็นอาหารเช้าที่มีระดับ กริชชัยเดินออกมาในชุดเตรียมไปทำงาน เจอลำเภาเดินยิ้มกริ่มมือถือไม้กวาดมา ธีธัชเดินอ้าวตามมาในชุดกางเกงนอนท่อนบนเปลือยร้องบอกลำเภาให้เอาคลิปมาให้ดูเดี๋ยวนี้
กริชชัยเห็นคู่กัดเดินตามกันมาก็ถามว่าลำเภาไปแกล้งอะไรธีธัชแต่เช้า ธีธัชขยับจะฟ้องแต่ไม่ทันลำเภา เธอเอาไม้กวาดชี้ธีธัชฟ้องฉอดๆว่าธีธัชทำอุบาทว์นอนแก้ผ้าไม่อายฟ้าอายดิน พูดหน้าตาเฉยว่า
“ดีนะที่เภาเรียนอนาโตมี่มาบ้างก็เลยไม่ตกใจ คนอะไรไม่มียางอาย ไม่ได้จะใหญ่โตพออวดได้” พูดแล้วเอาไม้กวาดชี้ไปที่ไส้กรอกในจานของกริชชัยบอกว่า “เล็กกว่าพวกนี้อีก!!”
กริชชัยพะอืดพะอมกินไส้กรอกไม่ลงเลย ปรามลำเภาว่าบอกแล้วว่าธีธัชกับวัชระไม่เหมือนตน จะทำกับพวกเขาเหมือนทำกับตนไม่ได้
ธีธัชได้ทีรีบเห็นด้วย สั่งลำเภาว่าถ่ายคลิปอะไรไว้เอามาให้ดูเดี๋ยวนี้เลย ลำเภาเฉไฉว่า จะให้ดูก็ได้แต่เขาต้อง อาบน้ำ แล้วไปส่งตนก่อน
กริชชัยถามว่าคลิปอะไรหรือ ธีธัชอ้อมแอ้มว่าให้ถามลำเภาดูเอาเอง ตนจะรีบไปอาบน้ำแล้วส่งเธอไปทำงานก่อนที่จะทะเลาะกันมากไปกว่านี้
ลำเภายิ้มสมใจที่ธีธัชต้องทำตามความต้องการของตน ส่วนกริชชัยก็ยิ่งงงว่ามันเรื่องอะไรกัน
ขณะนั้นเอง วัชระเดินงัวเงียออกมาถามง่วงๆว่า ลำเภากับธีธัชทะเลาะอะไรกันอีกแล้วหรือ เหลือบเห็นไส้กรอกบนโต๊ะก็ตรงรี่เข้าไปถามว่าไส้กรอกของใคร น่ากินจัง ขอนะ พลางหยิบไส้กรอกกัดกร้วมๆอย่างเอร็ดอร่อย
กริชชัยเบือนหน้าหนีอย่างพะอืดพะอม เมื่อนึกถึงสิ่งที่ลำเภาเปรียบเทียบไว้เมื่อกี้นี้
ooooooo
ธีธัชขับรถไปส่งลำเภาที่คลินิกรักษาสัตว์ พอรถธีธัชเข้าไปจอด เขาถามว่าทำไมมาทำงานที่นี่ ไม่ทำที่โรงพยาบาลแล้วหรือ ลำเภาบอกว่าเพื่อนเปิดคลินิกใหม่เลยให้มาช่วย อยู่ประจำสักสามเดือนแรก แล้วชี้ให้ดูเพื่อนที่เดินมาเปิดกระจกเรียก
“วินนี่...”
วินนี่หันมา เป็นหนุ่มหล่อมาดเท่ เมื่อเขาหันมายิ้มให้ลำเภายิ่งหล่อเก๋จนน่าหลงใหล ลำเภาร้องบอกว่าเดี๋ยวตามไป แล้วหันมาบอกธีธัชว่า “ไปก่อนนะขอบใจมากที่มาส่ง”
ธีธัชหึงขึ้นมาไม่รู้ตัว เรียกลำเภาไว้ พอเธอหันมาเขาถามคำถามที่ทำให้เธอประหลาดใจมากว่า
“วันนี้เลิกงานกี่โมง” เธอบอกสามทุ่ม ถามทำไม เขาบอกว่า “เดี๋ยวมารับ”
ลำเภาทำหน้างงถามว่ามารับทำไม ธีธัชอ้างหน้าตาเฉยว่า “ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ มาส่งแล้วก็ต้องมารับด้วยสิ ถึงจะเป็นแฟนที่ดี” พูดแล้วยิ้มแฉ่งจนน่าหมั่นไส้
ลำเภาเหวอ อึ้ง พูดไม่ออก เดาไม่ได้ว่าธีธัชจะมามุกไหน ธีธัชตัดสินใจบอกเธอว่า เขากับกรกนกเลิกกันแล้ว ลำเภาถามว่าแล้วมาบอกตนทำไม
“บอกให้เธอรับผิดชอบไง” ธีธัชยิ้มเต็มหน้า พอลำเภาถามว่ารับผิดชอบอะไร เขาตอบยิ้มยิ่งกว่าเก่าว่า “ก็...รับผิดชอบด้วยการเป็นแฟนฉันตามที่เธอต้องการไง”
ลำเภาตกใจหน้าเหลือสองนิ้ว เปิดประตูรถลงไปดื้อๆเลย ธีธัชโวยวายรีบตามไป
ooooooo
ลำเภาเดินอ้าวไปหน้าคลินิกใจเต้นรัวหูอื้ออึงหน้าร้อนผ่าวทำตัวไม่ถูก ในขณะที่ธีธัชไล่ตามมาติดๆ
ร้องถามว่าเดินหนีทำไม เธอจึงหันไปพูดทั้งที่ยังเดินไม่หยุดว่า
“ฉันไม่ได้อยากได้นายมาเป็นแฟนจริงๆสักหน่อย ฉันก็แค่เล่นๆแกล้งให้มันสะใจ นายเลิกกับคุณกรทำไม ไม่สงสารเขาหรือไงหา!”
“ก็สงสาร แต่เขาก็อยากเลิกกับฉันอยู่แล้ว เราเลิกกันด้วยดี...ไม่มีปัญหา”
ลำเภาหยุดเดินหันโวยใส่ “ถึงไม่มีปัญหา ฉันก็เป็นแฟนกับนายจริงๆไม่ได้ ฉันแค่อยากเป็นแฟนเล่นๆแค่เอาชนะเฉยๆตอนนี้ฉันก็ชนะแล้ว เพราะฉะนั้นฉันขอยกเลิกการท้าทายทั้งหมด จบเกม!”
คราวนี้ ธีธัชเป็นฝ่ายโวยวายว่าจบไม่ได้ ตนอยากเป็นแฟนกับเธอจริงๆ ทันใดนั้นลำเภาคว้าหูฟังขนาดใหญ่ครอบหู เปิดเพลงลั่น จนไม่ได้ยินเสียงโวยวายของธีธัช ในขณะที่ธีธัชก็ยังคงตะโกนอย่างลืมตัวว่า...
“เภา...ฉันชอบเธอจริงๆนะฉันไม่ได้พูดเล่น แล้วฉันก็ไม่ได้เล่นเกม ฉันชอบเธอ มันคือความจริง”
ลำเภาทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงเดินดุ่มๆเข้าไปในคลินิก ส่วนธีธัชก็เดินตามพลางตะโกนไล่หลังว่า “เภา...เภา...ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันชอบเธอจริงๆ”
ธีธัชตะโกนจนหอบ พอลำเภาเดินหายเข้าในคลินิกแล้ว ธีธัชจึงรู้ตัวว่า ผู้คนแถวนั้นพากันมองเขาด้วยสายตาแปลกๆจนเขารู้สึกอาย หันกลับเดินก้มหน้างุดๆออกไป
ส่วนลำเภาหนีเข้าในคลินิกแล้วก็ดึงหูฟังออก หน้าตายังตระหนกกับคำสารภาพรักขอเป็นแฟนเธอจริงๆของธีธัช คิดแล้วก็ใจเต้นตึกตักตูมตามด้วยความตื่นเต้นที่สุดในชีวิต...
ooooooo










