ตอนที่ 16
วิยะดาเสนอให้เอาเดือนหน้าเลยดีไหม ตนจะได้โทร.นัดญาติๆ ทุกคนให้เอง เตือนอาทิจว่าให้นัดทนายไว้เลย แล้วชวนแม่กลับ
ตกเย็น อาทิจพาดรุณีขึ้นไปกราบคุณย่า บอกกล่าวเรื่องตนกับดรุณี และขอให้คุณย่าอวยพรให้ตนทั้งสองอยู่เย็นเป็นสุขด้วย ระหว่างนั้นเขาเห็นดรุณีสีหน้าไม่สบายใจถามว่ามีอะไรหรือเปล่า
“ถ้าคุณย่าไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ณีเหมือนอย่างที่ทุกคนคิด พี่อาทิจจะยังรักณีเหมือนเดิมไหม”
“ทำไมพูดอย่างนั้น คุณย่าทิ้งสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดไว้ให้น้องณีจ้ะ สิ่งที่ท่านอบรมสั่งสอนจนหล่อหลอมอยู่ในชีวิตและจิตใจของน้องณี เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดซึ่งคนคนหนึ่งจะพึงให้กับอีกคนหนึ่งได้ รู้ไหม”
“พี่อาทิจ...ขอบคุณนะคะ” ดรุณีน้ำตาซึม
“ถึงเราสองคนจะไม่ได้อะไร พี่ก็เชื่อว่าเราจะสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยสองมือของเรา”
ดรุณีโผเข้ากอดอาทิจอย่างอบอุ่นใจ รู้สึกตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้ยืนเคียงข้างผู้ชายที่แสนดีคนนี้...
คืนนี้เอง น้าแก้วก็เจ้ากี้เจ้าการขนข้าวของเครื่องใช้และที่นอนของอาทิจมาไว้ในห้องนอนของดรุณี ที่สะดุดตาคือมีกระโปรงยาวถักแต่งด้วยลูกไม้สีขาวที่ตุ่นเคยสเกตช์ให้ดรุณีดูบอกว่าจะใส่ในวันแต่งงานกับอาทิจกลางสวนส้ม เธอหยิบจดหมายที่แนบไว้ขึ้นมาอ่านให้อาทิจฟังด้วยความซาบซึ้งใจว่า
“ชุดนี่ตุ่นเย็บเองกับมือ คิดว่ามันคงสวยและน่ารักมากเมื่อณีใส่และยืนเคียงข้างพี่อาทิจ ขอให้ณีกับพี่อาทิจมีความสุขมากๆนะจ๊ะ...รักณีและพี่อาทิจ”
ooooooo
เพื่อปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของคุณย่าที่ต้องการให้อาทิจและดรุณีดูแลและพัฒนาสวนคุณย่าให้เจริญเป็นที่พึ่งพิงแก่คนงานได้อย่างมั่นคงและอบอุ่น อยู่กันอย่างพี่น้อง อาทิจและดรุณีจึงลงแรงแข็งขันยิ่งกว่าเดิม
ดรุณีนำผลผลิตจากสวนแบ่งงานให้แม่บ้านแต่ละคนแต่ละกลุ่มค้นคว้าและทำกันอย่างจริงจัง ตุ๊ที่แต่ก่อนวันๆก็ดีแต่เตร่ไปนั่งบ้านโน้นบ้านนี้ไร้สาระก็ได้ทำแยมผลไม้เป็นอาชีพ ทำแล้วทั้งเพลินทั้งได้เงินจนไพฑูรมานั่งสะกิดตะแหง่วๆ ว่าลืมทำอย่างอื่นไปหรือเปล่า
ส่วนคำมากับ 2 ทองคือทองประสานและทองประสม ก็โขกน้ำพริกเห็ดกันลั่นบ้าน เพราะขายดิบขายดี นักท่องเที่ยวที่มาชมสวนคุณย่าซื้อแล้วติดใจสั่งซื้อกันมากมาย จากที่ตำส่งวันละ 30 กระปุก ดรุณีก็ขอเพิ่มเป็นวันละ 60 กระปุก
สิงห์ทองยังนั่งดวดเช้าดวดเย็น ดรุณีจึงเอาไวน์มะเกี๋ยงมาให้ชิม เพราะเป็นไวน์มีแอลกอฮอล์น้อยป้องกันและรักษาได้หลายโรคมาให้นักดื่มลองชิมดู สิงห์ทองทำเป็นไม่สนใจ แต่พอดรุณีไปแล้วก็แอบเหล่ ทดลองจิบดู ปรากฏว่าจิบแล้ววางไม่ลง จนสามแม่ลูกที่จับตาดูอยู่พากันอมยิ้ม
ส่วนทองประศรีอยู่กับบรรยงที่ย้ายไปอยู่ในเมือง วันนี้จึงมาขอรับตะวันไปเลี้ยง เพราะบรรยงเช่าห้องแถวไว้ให้ ทองประศรีขายของเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกนักเรียนและจะได้เลี้ยงตะวันไปด้วย ดรุณีทำท่าคิดหนักเพราะทั้งรักทั้งหลง ตะวันที่กำลังน่ารักช่างพูดช่างเอาใจ จนอาทิจสะกิดแขนพยักหน้าเบาๆ เธอจึงปล่อยตะวันให้ไปหาทองประศรี
ก่อนที่ทองประศรีกับบรรยงจะพาตะวันกลับไป หนูน้อยวิ่งอ้าแขนเข้ามากอดอาทิจไว้เรียกเสียงใส “พ่อทิจจจจจ...” อาทิจกอดหนูน้อยไว้ บอกให้เป็นเด็กดีคิดถึงพ่อทิจก็มาหา น้าแก้วมองตะวันที่เดินกลับไปหาทองประศรีรำพึงเบาๆ
“ยังไงเลือดมันก็ข้นกว่าน้ำ”
ooooooo
วันนัดเปิดพินัยกรรมฉบับที่ 2 ของคุณย่ามาถึงแล้ว บรรดาลูกหลานของคุณย่าพากันมานั่งฟังอย่างคับคั่ง เมื่อทนายเปิดอ่านพินัยกรรม ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องทนายความที่อ่านพินัยกรรมตาไม่กะพริบ
“ข้าพเจ้า ขอมอบทรัพย์สินในส่วนที่เป็นตึกแถวในเมืองซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 20 หลังให้กับลูกๆของข้าพเจ้าทั้ง 20 คน ตามรายละเอียดที่แนบมาด้านหลัง และขอมอบเงินสดในธนาคารให้แก่หลานทุกคนเพื่อเป็นทุนการศึกษาคนละ 2 แสนบาท”
บรรดาลูกหลานต่างพากันยิ้มแย้มยินดี แล้วเงียบกริบอีกเมื่อทนายความอ่านพินัยกรรมต่อ
คุณย่าให้อาทิจจัดแบ่งเงินในธนาคารให้คนงานที่มีอายุงานเกิน 5 ปี คนละ 2 หมื่นบาท เพื่อเป็นทุนทำอาชีพเสริม ให้แบ่งผลกำไรที่ได้จากการขายพืชผักในสวน ตั้งเป็นมูลนิธิฯเพื่อการศึกษาให้ลูกหลานคนงานปีละ 20% ของผลกำไร
พวกคนงานพากันปรบมือดีใจ บ้างถึงกับน้ำตาคลอที่คุณย่าเมตตาพวกตน วิไลลักษณ์กับลูกบางคนของคุณย่าแสดงท่าทีไม่พอใจนักที่คนงานได้ส่วนแบ่งไปด้วย แล้วทุกคนก็พากันแปลกใจเมื่อทนายอ่านพินัยกรรมว่า
“ทั้งนี้ นายอาทิจและ น.ส.ดรุณี จะไม่มีส่วนใดๆ ในทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่กล่าวมาแล้วข้างต้น”
วิไลลักษณ์ฟังแล้วชวนประเวทย์กับวิยะดากลับ ทนายบอกว่ายังไม่จบเพราะยังมีข้อความสำคัญในช่วงท้ายของพินัยกรรมอีก แล้วอ่านต่อ
“แต่นายอาทิจและ น.ส.ดรุณีจะได้รับมรดกเป็นที่ดินทั้งหมดที่ข้าพเจ้าถือครองคนละครึ่ง ถ้าแบ่งหรือตกลงกันไม่ได้ก็ให้ขายเอาเงินมาแบ่งกัน แต่ก่อนที่หลานทั้งสองจะขายทรัพย์สินใดๆ ขอให้นึกเสมอว่า ย่าสะสมมาด้วยความเหนื่อยยากก็เพื่อให้หลานได้อยู่อาศัยและใช้เป็นที่ ทำกินไปตลอดชีวิต”
เกิดอาการงันกับบรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งลูกทั้งหลานของคุณย่า เพราะที่ดินของคุณย่านั้นมีค่ามหาศาล ส่วนพวกคนงานพากันเฮด้วยความดีใจ ต่างลุกไปแสดงความยินดีและดีใจกับอาทิจและดรุณี
ดรุณีน้ำตาคลอคิดถึงคุณย่าจับใจ ที่ท่านเมตตาเด็กกำพร้าคนนี้มากมายเหลือเกิน...
ooooooo
วิไลลักษณ์ทำใจไม่ได้ที่พวกตนได้รับมรดกเทียบไม่ได้เลยกับส่วนที่อาทิจและดรุณีได้รับ วิยะดาปลอบใจแม่ว่า คุณย่าคงเห็นว่าใครจะทำอะไรได้เหมาะถึงได้แบ่งตึกแถวให้เรา
วิยะดาแนะให้แม่ปรับปรุงแล้วเปิดร้านขายสังฆภัณฑ์ เก๋ๆ ขายเสื้อผ้าแบรนด์เนมสีขาวสีครีมเพื่อคุณแม่และเพื่อนไฮโซจะได้ใส่ไปปฏิบัติธรรม ทำให้วิไลลักษณ์คลายความเครียดลงได้บ้าง
เมื่อไปที่ไร่สตรอเบอร์รี่ นายอ่องก็พาเด็กหญิง อารุณี ที่อาทิจและดรุณีทำคลอดให้มาสวัสดี บอกว่าตั้งชื่อลูกโดยเอาชื่ออาทิจกับดรุณีมารวมกัน ทั้งสองจับแก้มหนูน้อยอย่างเอ็นดู
วันนี้ ที่เนินฝังเถ้ากระดูกคุณย่า อาทิจใส่เสื้อ
ไหมพรมที่ดรุณีถักให้ ส่วนดรุณีใส่ชุดที่ตุ่นตัดเย็บเตรียมใส่ในงานแต่งงานของตัวเองและยกให้เป็นของขวัญดรุณี พากันไปกราบเถ้ากระดูกคุณย่า
“ขอบคุณคุณย่ามากนะครับที่รักและไว้ใจให้เราสองคนช่วยกันดูแลสวนที่คุณย่าสร้างมากับมือ”
“เราจะช่วยกันดูแลที่นี่อย่างดีที่สุด ให้สมกับที่คุณย่าไว้ใจนะคะ”
หลังจากไหว้เถ้ากระดูกคุณย่าแล้ว ดรุณีรำพึงถึงความหวังของคุณย่าว่า
“คุณย่าย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าคิดว่าแผ่นดินนี้เป็นของเรา เราทุกคนมีที่ดินไว้ก็เพื่ออาศัยทำกิน เพื่อเลี้ยงตัวเองเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น”
“แต่เวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามในชีวิตของเรา มันก็มากพอที่จะทำอะไรเพื่อเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนร่วมโลก นอกจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องแล้วก็ตัวเราเองด้วยจริงไหม”
“ค่ะ...เราต้องเริ่มเป็นตัวอย่างให้ลูกหลาน คนใกล้ตัว คนงานในสวนก่อน ทุกคนจะได้ช่วยกันขยายความคิดนี้ออกไป”
“คนใกล้ตัวมีเยอะ คนงานในสวนก็แยะ แต่ลูกหลานเรายังไม่มี มาช่วยกันคิดก่อนไหมว่าทำยังไงเราถึงจะมีลูกหลานเยอะๆ มาช่วยกันทำให้โลกใบนี้สวยงาม”
พูดแล้วอาทิจหันไปทางเถ้าคุณย่า “คุณย่าช่วยหน่อยสิครับ” เขานิ่งไปอึดใจจึงหันบอกดรุณีหน้าตายว่า “คุณย่าไม่ช่วย ท่านบอกให้เราช่วยตัวเอง รบกวนให้ความร่วมมือหน่อยได้ไหม คุณย่าน้อยคนดี...”
คำพูด น้ำเสียง และแววตาออดอ้อนของอาทิจ ทำให้ดรุณีเขินจนก้มหน้าหลบสายตาเขา ทำให้ดูยิ่งน่ารักน่ากอดน่าหอม อาทิจเชยคางเธอขึ้นหอมที่พวงแก้มแดงเรื่อ อย่างทะนุถนอมและรักสุดหัวใจ
ทั้งสองตระกองกอดกันข้างเถ้ากระดูกคุณย่า มองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้ากันอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง...
ooooooo
–อวสาน–










