สมาชิก

เสือสมิง

ตอนที่ 1

ภราดร นายแพทย์หนุ่มเพิ่งย้ายมาประจำสถานีอนามัยเล็กๆแถบชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน อนามัยแห่งนี้มีระรินกับเดือนเป็นพยาบาล และประเดิมเป็นคนขับรถ

วันหนึ่งขณะออกพื้นที่ ประเดิมขับรถผ่านบ้านสาง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆในป่าแถบเชิงเขาและกันดาร ขณะนั้นกำลังมีพิธีกลืนบาปหรือการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยตามความเชื่อของชาวบ้าน โดยมีแม่ผีฟ้าหน้าทองเป็นผู้ประกอบพิธี และเบื้องหลังหน้ากากทองที่สวมใส่ไว้ก็คือใบหน้าอันสวยงามของกินรี ผู้สืบทอดการรักษามาจากบรรพบุรุษ โดยมียายแม่หมอกับน้องชายชื่อพะอูเป็น

ผู้ช่วย รวมทั้งอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว พะอูเป็นเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาอัปลักษณ์และพูดไม่ได้ จึงไม่มีใครเล่นด้วยนอกจากมะค่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน

ภราดรสนใจพิธีกลืนบาปจึงให้ประเดิมพาเข้าไปดู แต่ระรินที่นั่งมาในรถด้วยกันทำสีหน้าเบื่อๆ แอบบ่นกับประเดิมอย่างไม่เชื่อถือว่า พิธีลวงโลกแบบนี้ไม่เห็นจะน่าดูตรงไหน

ในพิธีมีชาวบ้านมารับการรักษาเป็นจำนวนมาก เพราะชาวบ้านต่างเชื่อและศรัทธาพิธีกลืนบาปมากกว่าการแพทย์สมัยใหม่ ประเดิมเป็นคนพื้นเพที่นี่ เขาแนะนำให้ภราดรรู้จักกับผู้ใหญ่สนและหมวดสมรักษ์ที่พาลูกน้องจำนวนหนึ่งมาด้วย เหตุผลที่หมวดสมรักษ์นำกำลังตำรวจมาก็เพราะสืบทราบมาว่าพวกเสือใจกำลังจะผ่านมาทางนี้

จริงอย่างที่สายข่าวแจ้งมา เสือใจกับเสือทศพาเสือเข้มลูกน้องที่ถูกพิษจากลูกดอกปลอมตัวมารักษา การรักษาเป็นไปอย่างน่าอัศจรรย์จนภราดรแทบไม่เชื่อ ผู้ป่วยทุกคนหายจากอาการป่วยเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งเสือเข้มด้วย แต่กินรีก็เสียพลังไปมากจนเป็นลมล้มพับ ภราดรรีบเข้าไปช่วยด้วยสัญชาตญาณของหมอ แล้วถอดหน้ากากของกินรีออกโดยพลการ...ใบหน้าสวยงามภายใต้หน้ากากนั้นทำให้ภราดรตกตะลึง และเผลอทำสิ่งที่ผิดมหันต์นั่นคือทำหน้ากากหล่นลงพื้น แม่หมอตกใจมาก เพราะมีคำทำนายมาแต่ครั้งโบราณว่าหากหน้ากากทองหล่นลงพื้นดินจะเกิดอาเพศครั้งใหญ่ จึงไล่ภราดรออกจากพิธีไปด้วยความไม่พอใจ

ฝ่ายหมวดสมรักษ์ก็จับได้ว่าเสือใจนำลูกน้องมารักษาจริงๆ จึงออกไล่ล่าและยิงปะทะกัน แต่เสือใจ เสือทศ และลูกน้องทั้งหมดหนีรอดไปได้

ooooooo

หลังเสร็จพิธีกลืนบาปแล้ว กินรีนำหม้อดินที่มีเลือดสดๆที่ตนเองสำรอกออกมาตอนเป็นร่างทรงผีฟ้าไปฝังดิน โดยมีพะอูถือไฟฉายเดินนำไปทางหลังบ้าน และไม่คิดว่าจะเจอภราดรที่หลบประเดิมกับระรินออกมาขณะพากันเดินกลับไปที่รถ

สองพี่น้องหยุดชะงัก มองหมอหนุ่มอย่างแปลกใจ พะอูมีท่าทีไม่ชอบใจขึ้นมาทันที เหมือนกับมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง

“คุณครับ เมื่อสักครู่เห็นคุณเป็นลม ตอนนี้สบายดีแล้วหรือครับ” ภราดรเอ่ยปากอย่างห่วงใย

กินรีไม่พูดอะไร ชายหนุ่มมองเห็นแค่เพียงสายตาที่เป็นมิตร พะอูมองดูพี่สาวอย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนที่จะดึงแขนเธอแล้วทำเสียงอืออาในลำคอทำนองให้เดินต่อ กินรีจึงหันหลังกลับทำท่าจะเดินตามน้องชายไป

“เดี๋ยว...ผมมาขอโทษเรื่องที่ผมทำหน้ากากคุณหล่นพื้นน่ะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มีคนบอกว่ามันเป็นความเชื่อของคนที่นี่ว่ามันเป็นลางร้าย”

“ช่างมันเถอะค่ะ” ตอบแล้วกินรีหันกลับ...ภราดรรีบคว้าแขนเธอไว้ พะอูเห็นหมอหนุ่มแตะต้องพี่สาวก็โมโห ถลันตัวเข้ามาขวาง ชักมีดเหน็บออกมาชูหราเพื่อขับไล่เขาให้ถอยออกไป พร้อมกับส่งเสียงคำรามขู่

ใบหน้าอัปลักษณ์บิดเบี้ยวน่ากลัวของพะอู อารมณ์เต็มไปด้วยความรู้สึกเกลียดชัง ทำให้ภราดรเสียวสันหลังวาบ ผงะถอยออกไปจนล้มหงายหลังลงกับพื้น พะอูฉวยจังหวะนี้จะจ้วงแทงเขา แต่กินรีร้องห้ามเสียงหลงพร้อมๆกับประเดิมและระรินวิ่งเข้ามาพอดี

ประเดิมรีบประคองภราดรให้ลุกขึ้น ถามเขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พลางมองไปทางกินรีกับพะอูด้วยสีหน้าไม่วางใจ ภราดรไม่ตอบ สายตามองไปที่กินรีและพะอูแบบงุนงงสงสัย ส่วนระรินหน้าบึ้ง ทำตาเขียวใส่สองพี่น้อง

“อะไรกันเนี่ย ถึงกับจะฆ่ากันให้ตายเลยเหรอ...เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะหมอ”

กินรีมองดูภราดรกับระรินอยู่อึดใจหนึ่ง คล้ายจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วเปลี่ยนใจหันหลังเดินจากไป พะอูยังมองดูภราดรและพรรคพวกด้วยสายตาเกลียดชัง

“ไปเลยนะไอ้พวกป่าเถื่อน ไอ้หน้าผี” ระรินแว้ดใส่ พะอูไม่พอใจส่งเสียงคำราม พลางทำท่าหลอกเหมือนจะกระโจนเข้าหา “ว้าย!” ระรินหลุดเสียงร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ พลางหลบไปอยู่ข้างหลังหมอภราดร

พะอูลอยหน้าลอยตาหัวเราะล้อเลียนก่อนจะหันหลังกลับวิ่งตามพี่สาวไป โดยมีเสียงตะโกนด่าของระรินดังไล่หลัง

“ไอ้บ้า...ไอ้หน้าผี”

ภราดรมองตามสองพี่น้องแล้วทำท่าจะก้าวตาม แต่ประเดิมรั้งห้ามไว้อย่างไม่เห็นด้วย...ขณะนั่งรถออกจากหมู่บ้านเพื่อกลับอนามัย ภราดรนิ่งเหม่อตลอดทางจนประเดิมสังเกตด้วยความสงสัย

“หมอเป็นอะไรหรือครับ นั่งมาไม่พูดไม่จาเลย ยังตกใจอยู่หรือครับ”

“เปล่า ผมรู้สึกว่าผมเหมือนเคยเจอผู้หญิงที่ชื่อกินรีมาก่อน”

“หมอคงจำผิดแล้วมั้งคะ ผู้หญิงบ้านป่าจะไปเสนอหน้าให้หมอเคยเห็นได้ยังไง วันๆก็อยู่แต่ในป่าในดง อย่าไปสนใจเลยค่ะ คนดีๆน่ารักๆยังมีอีกเยอะ ใกล้ๆนี่ก็มีนะคะ”

ระรินจีบปากจีบคอใส่หมอหนุ่ม ประเดิมเห็นแล้วอดสัพยอกไม่ได้ว่า สงสัยตนต้องให้หมอสั่งยาแก้คลื่นไส้สักหน่อยแล้ว ภราดรไม่สนใจคำพูดของทั้งคู่เหม่อมองออกไปนอกรถอย่างค้างคาใจกับผู้หญิงที่ชื่อกินรี!

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น สมรกับเสน เมียและลูกชายของผู้ใหญ่สนออกไปเก็บหน่อไม้และเห็ดในป่าแล้วรุกล้ำเข้าไปในเขตหวงห้ามที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นเขตของวิญญาณบรรพบุรุษ แล้วสมรถูกเสือสมิงกัดตาย ส่วนลูกชายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหาทางกลับบ้าน โดยมีคนรูสองผัวเมียแอบมองไม่วางตา

ในเวลาเดียวกัน ภราดรตื่นนอนกำลังจะแปรงฟัน แต่ฉับพลันมองเห็นใบหน้าของใครคนหนึ่งในกระจกเงา เขาตกใจทำแก้วหล่นแตกเพล้ง ประเดิมได้ยินเสียงรีบวิ่งเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ภราดรเหมือนจะบอกแต่จู่ๆ เปลี่ยนใจไม่พูดดีกว่า

“ไม่มีอะไรหรอก ไปทำงานเถอะ” หมอหนุ่มตัดบท แต่สีหน้ายังครุ่นคิดกังวล...

เมื่อพร้อมทำงานแล้ว ภราดรออกจากบ้านพักเดินมาอนามัยที่อยู่ใกล้กัน ระรินกับเดือนพาหมอหนุ่มเดินดูสถานที่ทำงานซึ่งมีเพียงแค่ห้องตรวจรักษาพยาบาล ห้องทำงานหมอ ห้องจ่ายยา และโถงกว้างสำหรับให้คนไข้มาติดต่อเท่านั้น โดยเช้านี้มีคนไข้สองสามคนนั่งรออยู่บนเก้าอี้ยาว

“สถานีอนามัยของเรามีเท่านี้แหละค่ะ นั่นห้องทำงานของคุณหมอ แล้วนั่นก็ที่ทำงานของรินกับเดือน”

“ปกติแล้วเดือนจะเป็นคนจ่ายยาค่ะ ส่วนระรินก็จะตรวจรักษาพยาบาล พี่ประเดิมก็จะทำทุกอย่างตั้งแต่ทำความสะอาดที่นี่ ไปจนถึงขับรถเข้าเมืองไปเบิกเวชภัณฑ์”

“แล้วที่นี่ไม่มีหมอมาประจำหรือครับ”

“แต่ก่อนมีค่ะ แต่ว่ามาอยู่ได้ไม่นาน หมอเขาก็ขอย้ายไปอยู่ที่อื่น”

“อ้าว...ทำไมล่ะครับ”

“ก็ชาวบ้านที่นี่น่ะสิคะ ปกติแล้วเขาไม่ค่อยมาหาหมอกันนักหรอก”

“แสดงว่าที่นี่มีคนป่วยไม่มาก”

“ไม่ใช่ค่ะ ที่นี่มีคนป่วยเยอะ แต่ชาวบ้านเขาไม่ค่อยมารักษากับอนามัย ส่วนใหญ่พวกเขาจะไปที่อื่นกัน”

“ที่นี่มีโรงพยาบาลหรือคลินิกอื่นด้วยหรือครับ”

“ไม่ใช่คลินิกหรอกค่ะ ที่คุณหมอเห็นเมื่อคืนไงคะ จำไม่ได้เหรอ พวกแม่มดหมอผีที่อวดอ้างเป็นผู้วิเศษหลอกลวงชาวบ้านไง แล้วคนที่นี่ก็โง้โง่นะคะ คือรินหมายถึง...แบบว่าพวกชาวบ้านเชื่ออะไรง่ายๆน่ะค่ะ”

“ชาวบ้านไปรักษากันเยอะไหมครับ”

“ส่วนใหญ่ก็ไปที่นั่นกันเกือบหมด”

“ไปรักษากับผู้หญิงที่ชื่อกินรีน่ะหรือ” ภราดรนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วหันไปมองดูคนป่วยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ก่อนหันกลับมาที่สองสาว “แล้วนั่นไม่ใช่คนป่วยมารักษากับเราหรือครับ”

“ใช่ค่ะ เขามารอรักษากับเรา” เดือนตอบ

“อ้าว...แล้วทำไมไม่เรียกเขามาดูอาการล่ะครับ”

“ก็ยังไม่ถึงเวลานี่คะ อนามัยเราเปิดสามโมงเช้าค่ะ ตอนนี้แค่สองโมงเช้าเอง”

ภราดรไม่ค่อยพอใจนัก มองระรินด้วยสายตาตำหนิจนหญิงสาวหน้าเจื่อนไป

“จะกี่โมงก็ตาม ถ้าเขามาถึงแล้ว และเราอยู่บนอนามัยแล้ว ก็ไม่ควรให้ชาวบ้านเขารอนาน หน้าที่เราคือหมอ เราต้องรักษาเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”

เขาพูดจบก็ผละไปที่ชาวบ้านซึ่งกำลังนั่งรออยู่ ทิ้งให้สองสาวหันมาสบตากันไป ระรินยักไหล่เบะปากเหมือนไม่ใส่ใจ ในขณะที่เดือนมีสายตาแปลกๆ

ooooooo

เสน...ลูกชายผู้ใหญ่สนวิ่งหนีออกจากป่ามาได้ในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่น ส่งเสียงเรียกพ่อปากคอสั่นมาตลอดทาง!!

ผู้ใหญ่สนกำลังนั่งอาบน้ำให้ไก่ชนอยู่หน้าบ้าน ในขณะที่จ่อยกับลูกบ้านที่เหลือนั่งคุยกันอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้าน ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พอเห็นเสนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมเพรียง

“ไอ้เสน เป็นอะไรไปลูก แล้วนี่แม่เอ็งไปไหน บอกพ่อมาสิ แม่เอ็งอยู่ไหน”

เสนหมดแรงทรุดลงกับพื้นร้องไห้โฮ พูดแทบไม่เป็นภาษา จนผู้ใหญ่สนต้องถามย้ำอีกครั้ง

“แม่เอ็งล่ะลูก แม่เอ็งอยู่ไหน บอกพ่อสิ”

“แม่ตายแล้ว...แม่ตายแล้ว เสือกัดตายแล้ว”

ผู้ใหญ่สนคว้าร่างลูกชายขึ้นมาเขย่าอย่างแรงด้วยความตกใจ “ตาย...ตายที่ไหน...เสืออะไร...เสือที่ไหน”

แต่เสนไม่สามารถรับรู้อะไรอีกแล้ว เด็กชายตีอกชกหัว พร่ำบ่นเหมือนคนเสียสติด้วยความตื่นกลัวว่าเสือกัดแม่ตายแล้ว...

“ไอ้เสนมันคงกลัวจนช็อกไปแล้ว ผู้ใหญ่ก็อย่าไปคาดคั้นอะไรมันเลย”

ฟังจ่อยแล้วผู้ใหญ่สนนิ่งไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง เขาผลุนผลันขึ้นเรือนแล้วกลับลงมาพร้อมปืนลูกซองยาวในมือ

“ผู้ใหญ่จะไปไหน” จ่อยถามพรวด

“ข้าจะไปตามเมียข้า...เมื่อเช้ามันบอกว่าจะเข้าไปเก็บหน่อไม้ในป่า”

“แล้วผู้ใหญ่จะรู้หรือว่าแม่สมรมันไปหาของป่าแถวไหน”

“ข้าไม่รู้หรอก แต่ก็ต้องไปตามหามัน”

“งั้นผู้ใหญ่รอประเดี๋ยว พวกข้าจะกลับไปเอาปืนที่บ้าน แล้วเราไปตามหาแม่สมรกัน”

จ่อยกับชาวบ้านรีบกลับไปเอาอาวุธ สีหน้าผู้ใหญ่สน ไม่สู้ดีนัก มองลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่ที่พื้นอย่างเวทนา...

จ่อยกับชาวบ้านเดินส่งเสียงโล้งเล้งผ่านมาทางร้านกาแฟประจำหมู่บ้าน

“เร็วโว้ย...ใครมีปืนเอาปืนมา ใครมีมีดมีพร้าก็เหน็บมาด้วย ช่วยผู้ใหญ่แกหน่อยโว้ย”

เจ้าของร้านที่อยู่ในกลุ่มของจ่อยเดินเข้ามาหาเมียที่กำลังชงกาแฟขาย จ่าชิตนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านในร้องถามเจ้าของร้านที่เดินหน้าตื่นเข้ามา

“มีเรื่องอะไรกันเหรอ”

“เสือน่ะสิ...ไอ้เสนมันวิ่งมาจากป่าบอกว่าเสือกัดแม่มันตาย”

“เสือ!!” จ่าชิตตื่นตัวทันที แววตาแข็งกร้าวราวกับมีความหลังอะไรบางอย่างกับสิ่งที่ตัวเองอุทานออกไป

ooooooo

ขณะที่กลุ่มของผู้ใหญ่สนกำลังตระเตรียมอาวุธ... คนรูสองผัวเมียในป่ายืนจ้องศพสมรที่จมกองเลือดด้วยแววตาประหลาด ต่างพยักพเยิดส่งภาษากันไปมาก่อนที่ฝ่ายเมียจะวิ่งออกไปดูต้นทาง...

เมื่อกลุ่มผู้ใหญ่สนวิ่งผ่านมาทางบ้านแม่หมอ ที่แกเพิ่งทำแจกันบนโต๊ะหมู่บูชาหล่นแตก และบอกกินรีว่า “ในที่สุด...ทุกอย่างก็มาถึงจนได้”

เสียงฮือฮาของชาวบ้านทำให้ยายหลานตกใจ ไม่ทันที่กินรีจะซักถามอะไรยายถึงสิ่งที่แกพูด ก็ต้องลุกไปชะโงกหน้าดูคนกลุ่มนั้น

“มีเรื่องอะไรกันหรือผู้ใหญ่” กินรีร้องถาม

“เสือโคร่งมันออกอาละวาดไล่กัดเมียข้าที่ในป่าริมภูเขา โชคดีที่ไอ้เสนมันหนีรอดมาได้ นี่พวกข้าก็กำลังจะเข้าไปดูแม่มันว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

“เสือเหรอ?”

“ใช่...พวกข้าต้องไปก่อนล่ะ เดี๋ยวจะช่วยนังหมอนมันไม่ทัน”

แม่หมอปรามทุกคนด้วยสายตาคมกริบ “พวกเอ็งเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ป่านนี้นังหมอนมันคงไม่หายใจแล้วล่ะ”

เด็กชายเสนที่มาด้วยร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ปากพร่ำพูดแต่ว่าแม่ตายแล้ว เสือกัดแม่ตายแล้ว...

“อย่าเข้าไปเลยเชื่อข้าสิ เอ็งก็รู้ว่าที่นั่นมัน...” แม่หมอชะงักไม่อยากพูดต่อ...แต่กระนั้นทุกคนก็หันมองหน้าอย่างรู้กัน

“แม่หมอจะให้พวกข้าทำอย่างไร ถึงป่านั่นจะน่ากลัวแค่ไหน ข้าก็จะไม่ทิ้งให้นังหมอนมันนอนเน่าตายอยู่ในนั้นได้หรอก”

เมื่อผู้ใหญ่สนยืนกรานอย่างนั้น แม่หมอได้แต่บ่นพึมพำว่าเวรกรรมจริงๆ

“ไปเถอะพวกเรา เดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน”

ผู้ใหญ่สนนำขบวนออกไปแล้ว แม่หอมหันกลับเข้าเรือนพร้อมเสียงบ่น “หรือคำสาปแช่งนั่นมันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว”

แม่หมอทรุดกายลงนั่ง สีหน้าบ่งบอกความหวั่นวิตกอย่างเห็นได้ชัด จนกินรีที่เดินตามเข้ามารู้สึกสงสัย...

ooooooo

ชายป่าแถบชุมโจร...จงใจลูกสาวของเสือใจกำลังดักจับไก่ป่าเพื่อเอาไปเลี้ยง แต่เสือทศซึ่งเป็นลูกเลี้ยงเสือใจนึกว่าเธอจะเอาไปกิน จึงยิงให้สองตัว สาวเจ้าเลยงอนตุ๊บป่อง รีบกลับไปหาพ่อเสือที่เดินทางกลับมาแล้ว

“พ่อเสือ...จงใจคิดถึงจังเลย” สาวน้อยวิ่งเข้ามาออดอ้อนเสือใจ โดยมีแก้วกับหินน้องต่างมารดาหิ้วไก่ตามหลัง และรั้งท้ายด้วยทศอีกคน

“อะไรกัน พ่อเสือไปบ้านสางคืนเดียวทำอย่างกับไม่ได้เจอมาเป็นปี” แววแม่ของหินและแก้วแซวยิ้มๆ

“น้าแววก็...ก็พ่อเสือเคยออกจากชุมโจรซะเมื่อไหร่ล่ะ”

หินเข้ามากระแซะแม่แวว กำชับให้ทำแกงป่าไก่ แววรับคำอย่างประชดประชันว่าหินเป็นลูกบังเกิดเกล้า...

เสือใจหัวเราะน้อยๆ มองเด็กทั้งสามอย่างเอ็นดู

“นี่ออกไปเที่ยวเล่นในป่าอีกแล้วสิ พ่อสั่งแล้วไงจงใจว่าไม่ให้ออกไปจากเขตชุมโจรเรา มันอันตราย”

“แหมพ่อเสือก็...จงใจอยากไปเที่ยวเล่นบ้างนี่ จงใจโตแล้วนะ”

“ไปช่วยน้าแววทำกับข้าวไป พ่อมีเรื่องจะคุยกับพี่ทศเขาหน่อย”

เด็กๆลุกตามแววออกไปอย่างว่าง่าย พอทุกคนคล้อยหลัง เสือใจก็ถามทศอย่างจริงจัง

“เรื่องมันเป็นยังไงไอ้ทศ พวกเอ็งออกไปไหนมา ไอ้เข้มถึงได้โดนลูกดอกปางตายแบบนี้”

ดำกับชินได้ยินอย่างนั้นก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ ทศเริ่มลำดับเหตุการณ์ว่าเมื่อวานตนกับเข้ม ดำ และชินพากันเดินผ่านป่าตีนเขาใกล้หมู่บ้านสางเพื่อจะไปปล้นอีกหมู่บ้านหนึ่ง แต่ดำกับชินเห็นว่าได้เวลาพอดี ก็เลยแนะนำให้ปล้นที่หมู่บ้านสาง

“ทำไมต้องไปปล้นที่นั่นด้วย หมู่บ้านบ้านสางใกล้ๆนี่ก็พอ”

“ชื่อมันไม่เป็นมงคลว่ะ มันเหมือนหมู่บ้านผีสิงยังไงก็ไม่รู้ หมู่บ้านอะไรวะ ชื่อบ้านสาง แล้วสางมันก็คือผี ที่นี่มันแปลกว่ะ ข้าไม่อยากเหยียบเข้าไปเลย” ทศคัดค้าน

“ที่นั่นเราจะได้อะไรบ้างพี่” เข้มซักอีก

“ม้า...น้ำมันก๊าด น้ำมันเตา และอาจจะมีปืนติดไม้ติดมือมาคนละกระบอกสองกระบอก”

เข้มพยักหน้าอย่างพอใจ ออกเดินกันต่อไป แต่สักครู่ดำทำจมูกฟุดฟิดสูดอากาศแล้วถามทุกคนว่าได้กลิ่นเหม็นอะไรบ้างไหม

“ข้าได้กลิ่นเหมือนกัน ตอนแรกยังคิดเลยว่ากลิ่นอะไรตายที่ไหน ชวนอ้วกชะมัดเลย” ชินพูดพร้อมกับเหลียวหน้าเหลียวหลังหาต้นตอ

แต่ไม่เห็นคนรูสองผัวเมียที่หลบซ่อนตัวมิดชิดในโพรงไม้...แต่แล้วไม่นานนัก ลูกดอกก็พุ่งเข้าใส่คอเข้มอย่างเต็มรัก เข้มร้องลั่นทิ้งข้าวของและปืนในมือขึ้นไปกุมคอเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะล้มตึงลงกับพื้น ชินกับดำกระโจนเข้าหลบหลังพุ่มไม้ ระดมยิงอย่างสะเปะสะปะด้วยความตกใจ

เสียงปืนดังหลายนัดติดกัน ผสมผสานเสียงของดำที่ร้องท้าทายให้หมาลอบกัดปรากฏตัว คนรูสองผัวเมียซ่อนตัวเงียบรอจังหวะคลานล่าถอยออกมาจากโพรงไม้ ก่อนที่จะแฝงตัวหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญเส้นทาง

ดำกับชินยิงจนหมดกระสุน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบโต้จากอีกฝ่าย นานจนรู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว จึงออกมาจากที่หลบซ่อน แล้วช่วยกันพาเข้มกลับไปยังชุมโจร

เมื่อฟังทศเล่าจบลง เสือใจไม่ค่อยพอใจนัก ตำหนิขึ้นว่า

“ข้าสั่งแล้วไงว่าห้ามทุกคนออกไปเกินพื้นที่ที่ข้ากำหนดเอาไว้ ถ้าตำรวจรู้ว่าเราอยู่ที่นี่มันจะเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างนะ ชุมเสือของเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปปล้นใครอีก เราทำไร่ทำนาเลี้ยงสัตว์ก่อร่างสร้างตัวมาเป็นสิบปี แค่นี้ก็พออยู่พอกินแล้ว อย่าออกไปหาความเดือดร้อนเข้ามาเลย”

“แต่เราเป็นเสือนะพ่อ เคยปล้นมาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว ค่าหัวพวกเราแพงลิบ ถึงไม่ปล้นตำรวจก็ ตามล่าเราอยู่ดี”

“เราจะปล้นต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น...พวกเอ็งไปได้แล้วจะไปทำอะไรก็ไป...แต่เดี๋ยวไอ้ทศ เอ็งยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเอ็งจะไปปล้นที่ไหน”

“ปางช้างเสี่ยรงค์” พูดแล้วทศเดินออกไปพร้อมดำกับชิน ทิ้งเสือใจนั่งหน้าขรึมเข้ม เหมือนมีอะไรในใจเมื่อได้ยินชื่อเสี่ยรงค์!

ooooooo

ขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่สนพากันเข้าป่าเพื่อค้นหาศพสมร จ่าชิตเองก็มีอาวุธครบมือมุ่งหน้าไปเหมือนกัน ส่วนหมวดสมรักษ์ออกตรวจท้องที่และทราบข่าว เขาให้ลูกน้องแวะมารับภราดรเผื่อมีอะไรที่หมออาจช่วยได้... พอดีกำลังจะออกรถจากหน้าอนามัย ประเดิมเอาข้าวกลางวันมาส่ง ภราดรจึงชวนเขาขึ้นรถไปด้วยอีกคน

ระหว่างทางเกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับภราดรโดยที่คนอื่นไม่รู้เห็น...หมอหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆมีใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของชายในชุดโบราณปรากฏประชิดหน้าตัวเอง

“เฮ้ย!!” ภราดรร้องลั่นจนทุกคนในรถตกใจหันมองเขาเป็นตาเดียว

ประเดิมกับสมรักษ์สงสัยว่าหมอเป็นอะไร ทำไมหน้าซีด ภราดรตั้งสติเหลียวมองรอบตัวอีกทีแต่ไม่เห็นชายผู้นั้นแล้ว จึงบอกทุกคนว่าไม่มีอะไร ตนไม่ได้เป็นอะไร...

ในป่า...จ่าชิตเจอศพสมรเป็นคนแรก โดยไม่ทันเห็นคนรูสองผัวเมียที่หลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิด...ไม่กี่อึดใจต่อมา กลุ่มผู้ใหญ่สนก็มาถึง ทุกคนโศกสลดกับสภาพศพของสมรที่แขนขาขาดหาย ผู้ใหญ่สนทำใจไม่ได้ถึงกับร้องไห้โฮกอดศพเมีย โดยมีลูกชายร่ำไห้กระซิกอยู่ข้างๆ

เวลาเดียวกันนั้นที่เรือนแม่หมอ กินรีกับยายกำลังจะกินข้าวเย็น ยายไม่เห็นพะอูจึงถามหา กินรีบอกว่าตนก็ไม่เห็นเหมือนกัน จะให้มันช่วยตัดใบตองเอามาทำบายศรีไว้รอทำพิธีสักหน่อย

“ดูแลมันดีๆละกัน สงสารมัน เกิดมามีกรรม หน้าตาก็ไม่เหมือนชาวบ้านเขา”

“หมู่นี้พะอูมันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ ตั้งแต่มันลงมาจากเขาแล้วก็ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว เหมือนมีอะไรในใจ”

“เตือนมันหลายหนแล้วว่าอย่าขึ้นไปบนภูเขา ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลย”

“ยายก็อย่าไปว่าอะไรมันเลยจ้ะ อยู่ที่นี่มันก็ไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว มีแต่คนรังเกียจมัน มันก็ต้องเข้าป่า ขึ้นเขาไปตามประสานั่นแหละ”

ทันใดมีเสียงโครมครามที่หน้าบันไดบ้าน สองยายหลานรีบลุกออกมา เห็นมะค่าประคองพะอูในสภาพมอมแมมเสื้อผ้าขาดวิ่น ท่าทางเหมือนคนอ่อนล้าเต็มที กินรีตกใจรีบลงมาช่วยพยุงขึ้นเรือนแล้วเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อตัวให้น้องที่นอนราบกับพื้น

“เกิดอะไรขึ้นมะค่า”

“ไม่รู้สิ หนูกำลังจะไปเก็บฟืน พอดีเห็นพะอูนอนสลบอยู่ที่ชายป่า หนูก็เลยพามาส่งนี่แหละ”

“เหมือนไปถูกอะไรฟัดมา” กินรีสันนิษฐาน

แม่หมอมองดูสภาพของหลานชายที่นอนลืมตาโพลงอย่างเวทนา มือที่เหี่ยวย่นลูบไล้ไปบนใบหน้าและเส้นผมของพะอูอย่างอ่อนโยน ปลุกปลอบว่าไม่ต้องกลัว ยายอยู่ที่นี่แล้ว พะอูตัวเนื้อสั่นด้วยความหวาดกลัว ซึ่งกินรีไม่เคยเห็นมาก่อน

“เอ็งคิดว่าน้องเอ็งไปเจออะไรมาล่ะ มันถึงได้เป็นอย่างนี้”

ขาดคำแม่หมอ พะอูชันตัวลุกขึ้นนั่งถอยหลังไปพิงฝา ส่งสัญญาณมือว่าตนโดนสัตว์ไล่ทำร้าย กินรีเข้าใจ เพราะความคุ้นชินที่อยู่ด้วยกันมานาน

“ผมกำลังจะไปตัดใบกล้วยที่ริมห้วย แต่มีตัวอะไรไม่รู้มันกระโจนเข้าใส่ ผมก็เลยวิ่งหนีจนหมดแรง”

เมื่อได้ยินกินรีว่ามาอย่างนั้น มะค่าฟันธงทันทีว่าคงจะเป็นเสือที่กัดแม่ไอ้เสนตายแน่ๆเลย...สองยายหลานตกใจ ถามเป็นเสียงเดียวกันว่าเอ็งรู้ได้อย่างไรว่าแม่ไอ้เสนตายแล้ว

“โธ่...เขารู้กันทั้งหมู่บ้านแล้วล่ะ ว่าเสือมันกัดแม่ไอ้เสนตาย ตอนนี้ทั้งตำรวจทั้งชาวบ้านเขาไปดูกันเต็มเลย”

แม่หมอหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ...ในใจคิดถึงอะไรบางอย่าง และขออย่าให้เป็นอย่างที่แกคิดเลย

ooooooo

เวลานั้นที่ลานหน้าบ้านผู้ใหญ่สน ชาวบ้านยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์พลางมองดูศพสมรที่คลุมผ้าขาว อยู่บนเสื่อ หมอภราดรกำลังตรวจดูบาดแผลอย่างพินิจ โดยมีผู้ใหญ่สนนั่งหมดอาลัยตายอยากมองศพเมียอย่างแสนเศร้า ส่วนลูกชายยังสะอึกสะอื้นไม่หยุดหย่อน

ภราดรชันสูตรศพสีหน้าหนักใจ สมรักษ์สังเกตเห็นเดินเข้ามาถาม ซึ่งหมอยืนยันว่าศพโดนเสือกัดจริงๆ

“โธ่หมอ...ใครดูก็รู้แล้วว่าเมียผมมันโดนเสือกัด”

“แต่เสือตัวนี้ท่าทางมันไม่ธรรมดา” เสียงจ่าชิตดังขึ้น ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว พอเขาเดินมาใกล้ หมวดสมรักษ์ถึงกับเบ้หน้าเหม็นกลิ่นเหล้า ก่อนจะถามเขาว่ามันไม่ธรรมดายังไง?
จ่าชิตวิเคราะห์ว่าจากบาดแผลที่เห็นสมรโดนเสือกัดตายแน่ๆ แต่เสือไม่ได้กินศพ มันไม่ได้กินเนื้อคนตายเข้าไปสักชิ้น มันแค่ฆ่าให้ตายเท่านั้น

“อ้าว...แล้วที่เนื้อมันแหว่งหายไปนั่นล่ะ ไม่ใช่เสือมันกินเหรอ” ผู้ใหญ่สนสงสัย เช่นเดียวกับหมวดสมรักษ์ที่แปลกใจว่าแขนขากับเนื้อตรงหน้าอกหายไปไหน ถ้าไม่ใช่เสือกัดเอาไปกิน

“บาดแผลที่แขนกับขามันไม่ใช่ขาดเพราะเสือกระชากเอาไปกิน แต่มันขาดเหมือนโดนอะไรตัดเอาไปมากกว่า”

“หมายความว่าไงหมอ” สมรักษ์ถามหน้าเคร่ง

“คมเขี้ยวเสือกับของมีคมมันแตกต่างกันนะครับ รอยขย้ำของเสือมีแค่รอยเดียว และผมเข้าใจว่าแผลนี้ทำให้คุณสมรเสียชีวิต”

จ่าชิตเสริมคำพูดภราดรและบอกในสิ่งที่เห็น “เสือตัวนั้นไม่ได้แตะศพเลย แต่มีอะไรบางอย่างในป่านั่นมาเอาเนื้อมันไปกิน”

ผู้ใหญ่สนแปลกใจว่าในป่านั่นยังมีตัวอะไรอีก จ่าชิตไม่แน่ใจจึงไม่กล้าระบุ รู้แต่ว่ามันเป็นตัวประหลาดแต่ไม่กล้าตามไป หมวดสมรักษ์ไม่ค่อยพอใจคำตอบคลุม เครือของจ่าชิต เลยพาลตำหนิว่าก่อนหน้านี้ทำไมไม่รายงานตนก่อน ตนจะได้จัดกำลังออกไป

“คราวหน้าผมจะทำเป็นลายลักษณ์อักษรเลย ดูซิว่าไอ้ตัวที่วิ่งพล่านกันอยู่ในป่าน่ะมันจะรอให้หมวดไปจับ ไหม” จ่าชิตตอบประชด ยิ่งทำให้หมวดสมรักษ์ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่จ่าเดินหนีอย่างไม่สนใจ

เมื่อผู้ใหญ่สนถามว่าเราจะออกล่ามันเมื่อไหร่ สมรักษ์บอกว่าต้องล่ามันแน่ แต่เราต้องมั่นใจเสียก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ใหญ่พาลูกบ้านเข้าป่าไปพบกับอันตราย เราเองยังไม่รู้เลยว่าเสือตัวนั้นมันใหญ่แค่ไหน จ่าชิตได้จังหวะหันมาเย้ยอย่างทะนงตัว

“อย่าเลยหมวด มือหมวดยังไม่ถึงหรอก ดูจากแผลที่มันกัด ผมบอกได้เลยว่ามันลากควายทั้งตัวไปกินได้อย่างสบาย อย่าไปรนหาที่เลย ปล่อยให้เป็นเรื่องของผมดีกว่า”

“จ่าชิต!” สมรักษ์ตวาดดังลั่นด้วยความโกรธ จ่าชิตกลับมองหน้าเขาอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วเดินจากไป ส่วนสมรักษ์หันมาหาภราดรที่เรียกให้มาดูบางอย่างที่ศพ

“หมวดจะแปลกใจไหม ถ้าผมจะบอกว่าศพนี้ถูกควักหัวใจออกไปด้วย”

สมรักษ์ตะลึงงัน มองหน้าภราดรอย่างสงสัยและครุ่นคิด...นี่มันอะไรกัน!!

ooooooo

ที่แท้หัวใจสมรถูกคนรูสองผัวเมียซึ่งเป็นครึ่งคนครึ่งอสูรควักไปให้ “งะดินเด” ผู้เฒ่าจอมขมังเวทอายุกว่า 800 ปี ที่ถูกอาคมกักขังเอาไว้ในถ้ำ...

งะดินเดนั่งนิ่งไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้นอยู่บนแท่นหิน ผมขาวยาวสยาย ใบหน้าเหี่ยวย่น เล็บยาวสกปรก หนวดเคราสีเงินยวงห้อยเป็นพวงรุงรังลงมาจนถึงหน้าอก เมื่อคนรูสองผัวเมียคืบคลานเข้ามาพร้อมหัวใจมนุษย์ ดวงตาที่ปิดสนิทของผู้เฒ่าค่อยๆลืมขึ้น แววตานั้นแข็งกระด้างไร้แววของคนมีชีวิต หากแต่เต็มไปด้วยแววอาฆาตแค้นน่าสะพรึงกลัว

เมื่อผู้เฒ่าได้สัมผัสดูดซับเลือดและกลิ่นอายวิญญาณมนุษย์เข้าไปในปาก ก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง รอยเหี่ยวย่นเลือนหายไป แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็ทำให้ร่างกายนั้นดูมีพละกำลังแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างทันตาเห็น สองผัวเมียตื่นตะลึง ส่งเสียงร้องฟืดฟาดอยู่ในลำคอ

“ขอบใจเอ็งทั้งสองมาก ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะตายไม่ได้...จนกว่าจะถึงวันนั้น”

งะดินเดประกาศกร้าวแล้วส่งเสียงหัวเราะก้องทั้งป่า จากนั้นโยนเศษหัวใจที่ไร้พลังให้คนรูสองผัวเมียเอาไปกิน แล้วก้าวเดินออกไปหน้าถ้ำ แต่ฉับพลันก็มีไฟบรรลัยกัลป์วูบขึ้นมาจากพื้นดินจนเขาผงะและต้องถอยกลับเข้ามาอย่างเดิม พร้อมเสียงคำรามด้วยความเคียดแค้นว่า...วันหนึ่งข้าจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้!

ในเวลาเดียวกันนั้น แม่หมอเหมือนสัมผัสได้กับสิ่งเร้นลับบางอย่างที่เกิดขึ้น นางกำลังร้อยมาลัยทำบายศรี โดนเข็มตำมือจนเลือดซึม พร้อมกันนั้นนอกบ้านปรากฏมีพายุพัดอย่างแรง ต้นไม้โอนเอนไปมาทั้งๆที่ไม่มีเค้าฝน

มะค่ายังไม่ได้กลับบ้านตัวเองหลังจากพาพะอูมาส่ง เธอรีบลงไปช่วยกินรีเก็บข้าวของก่อนที่จะโดนลมพัดปลิวไปหมด พะอูทำท่าจะตามไปด้วยแต่กินรีร้องห้ามเพราะเห็นว่าน้องชายยังบาดเจ็บอยู่ พอสองสาวลับกาย แม่หมอก็ผลุบเข้าในห้องบูชาผีฟ้า นั่งลงหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีพระพุทธรูปและรูปปั้นของเจ้าแม่หน้าทองชะเวมะรัตกับชะเวโบ สองพี่น้องซึ่งติดทองเหลืองอร่ามอยู่ท่ามกลางดอกดาวเรืองสีเหลือง

แม่หมอจุดธูปหนึ่งดอกยกขึ้นจดหน้าผากแล้วร่ายคาถาขมุบขมิบเพื่อบอกกล่าวกับเจ้าแม่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียวในบ้าน ก่อนจะปักลงกระถาง ก้มกราบแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องไปที่รูปปั้นสองพี่น้อง

“ท่านคงรู้แล้ว...มันห้ามอะไรไม่ได้แล้ว ทุกอย่างต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม...กรรมที่ลิขิตมานานแสนนานเหลือเกิน”

สิ้นคำแม่หมอ พายุพัดกระโชกรุนแรง...กลุ่มผู้ใหญ่สนที่อยู่หน้าลานบ้านพากันตกใจและแปลกใจที่จู่ๆลมฝนมาไม่มีปี่มีขลุ่ย จึงเร่งรีบย้ายศพสมรขึ้นบ้าน และชวนทุกคนขึ้นไปหลบฝนที่เริ่มลงเม็ดแล้ว

ด้านมะค่าที่อยู่บ้านแม่หมอก็ยังกลับบ้านตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยที่นี่ไปก่อน ซึ่งกินรีรับปากว่าถ้าฝนหยุดจะเดินไปส่งเพราะมืดค่ำแล้ว

ฝนตกนานและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผู้ใหญ่สนจึงชวนภราดรกับสมรักษ์ค้างที่บ้านของตน ด้วยเกรงว่าทั้งพายุทั้งฝนหนักขนาดนี้ กลับไปอาจเจอน้ำป่าหรือไม่ก็ถนนขาด ภราดรจะปฏิเสธเพราะเกรงใจ แต่พอผู้ใหญ่สนวานช่วยดูอาการลูกชายให้ด้วย เขาจึงตอบตกลง

ขณะที่ภราดรเข้าไปดูอาการเสน สมรักษ์เดินตามไปด้วย ส่วนลูกน้องของสมรักษ์นั่งกินเหล้ากับประเดิมอีกมุมหนึ่ง...เสนยังมีอาการหวาดผวา พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าแม่ตายแล้ว ถูกเสือกัดตาย สมรักษ์ร้อนใจอยากได้ข้อมูลจึงซักเด็กชายไปมา แต่นั่นยิ่งทำให้เสนผวาจนคลั่ง ผู้ใหญ่สนต้องเข้ามาปลอบลูก ขณะที่ภราดรรีบปรามสมรักษ์ต้องใจเย็น เด็กไม่ใช่ผู้ต้องหา

เมื่อเสนสงบลง ภราดรใช้อุปกรณ์หมอตรวจร่างกายและพบว่าหัวใจเต้นปกติ ประสาทตายังตอบสนองกับแสงอยู่ ถึงไม่มากแต่ก็พอรักษาได้ ซึ่งต้องใช้เวลาและพยายามอย่าให้เขากระทบกระเทือนจิตใจอีก ผู้ใหญ่สนฟังแล้วยิ้มมีความหวัง รับปากว่าพรุ่งนี้จะไปเอายาบำรุงสมองให้ลูกตามที่หมอบอก

ฝนหยุดแล้ว แม่หมอยอมให้กินรีไปส่งมะค่าทั้งที่เป็นห่วงหลานสาว...ด้านภราดรกับสมรักษ์ออกมาเดินเล่นหน้าบ้านผู้ใหญ่สน สองหนุ่มคุยกันด้วยเรื่องผู้คนในหมู่บ้านนี้ สมรักษ์บอกว่าเบื่อคนที่นี่ อยากขอย้ายวันละหลายครั้ง เพราะพวกเขาเข้าใจยาก เข้าถึงก็ยาก

“ก็จริงนะ แต่อาจจะเป็นเพราะที่นี่มีประเพณีและวัฒนธรรมที่ซับซ้อน เราเลยเข้าถึงผู้คนได้ยาก”

“คงเป็นอย่างที่หมอพูดนั่นแหละ เข้าถึงยาก ที่ เห็นๆก็น่าจะมียายแม่หมอผีฟ้าหน้าทองอะไรนั่นแหละที่ดูชาวบ้านจะศรัทธาและไว้วางใจ”

ภราดรสีหน้าเห็นด้วยกับสมรักษ์ แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันต่อ ผู้ใหญ่สนเข้ามาขัดจังหวะบอกว่าตนเตรียมที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว สมรักษ์กำลังง่วงจึงรีบไปนอน แต่ภราดรยังอยากเดินเล่นอีกสักพัก...

เวลานั้นที่บ้านจ่าชิตไฟยังเปิดสว่าง เจ้าของบ้านจุดธูปไหว้พระที่หิ้ง ข้างๆกันมีรูปเมียที่ตายไปแล้วแขวนไว้หลั่นลงมา...ไหว้พระเสร็จแล้วเขาจุดธูปอีกหนึ่งดอก พูดกับรูปเมียด้วยสีหน้าหม่นเศร้า

“14 ปีแล้วสินะ พี่ยังจับคนที่ฆ่าเธอกับลูกไม่ได้เลย”

จ่าชิตถอนหายใจแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะซึ่งมีปืนยาวและสั้น กระสุน รวมทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดปืน ถัดมามีขวดเหล้าและกับแกล้มเล็กน้อย เขารินเหล้าใส่แก้วยกขึ้นสาดลงคอรวดเดียวหมด แล้วเปิดลิ้นชักหยิบรูปถ่ายของเขากับลูกเมียเมื่อ 14 ปีที่แล้วออกมา รูปนั้นเมียอุ้มทารกเอาไว้แนบอก เขาอยู่ข้างๆ สีหน้าทั้งคู่มี ความสุข แต่พอนึกถึงวันวานที่พรากลูกเมียเขาไป จ่าชิตแววตาวาวโรจน์ ขบกรามแน่นด้วยความแค้น พูดงึมงำกับตัวเอง “มันกำลังมาแล้ว...”

ขณะที่จ่าชิตนั่งรำลึกความหลังอย่างขมขื่นเจ็บปวด ...กินรีกำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปส่งมะค่า แสงตะเกียงของเธอทำให้ภราดรที่เดินเล่นห่างออกมาจากบ้านผู้ใหญ่หันขวับไปมอง ก่อนเข้าไปทักเธอด้วยความดีใจ แต่หญิงสาวนิ่งขรึมไม่ค่อยอยากคุยด้วย จะรีบเดินกลับบ้านท่าเดียว

“เดี๋ยวสิครับ...ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับกินรีตั้งหลายเรื่อง”

“คงไม่เหมาะมั้งคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“แต่ชาวบ้านเขาไม่คิดอย่างนั้นสิคะ”

“ถ้าเป็นเรื่องที่ผมทำหน้ากากคุณตกล่ะก็...”

“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะคะ มันไม่ดี กินรีขอร้อง”

ภราดรไม่เข้าใจ พอเธอหันหลังก็รีบคว้าแขนไว้ หญิงสาวหันกลับมาจะต่อว่าเขา แต่กลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นแววตาคู่นั้นชัดๆ ต่างคนต่างสบตากันนิ่งนาน...พะอูที่นอนหลับอยู่บ้านลืมตาโพลง เหมือนรับรู้ว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกัน

กินรีกับภราดรต่างตกอยู่ในภวังค์...ภวังค์ที่บังเกิดภาพในอดีตกาลของพวกเขาขึ้นมาอย่างชัดเจน!

ooooooo

เสือสมิง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด