ตอนที่ 18
รสสุคนธ์พยายามหาคนมาปราบผีลั่นทมแต่ไม่มีใครยอมมาเพราะเห็นแก่คุณงามความดีของลั่นทมในยามมีชีวิตอยู่...
เมื่อวิธีนั้นไม่มีใครให้ความร่วมมือ รสสุคนธ์จึงวางแผนหลังจากที่ฉลองออกจากโรงพยาบาลให้พาสายใจเมียของเขามาทำให้ธารินทร์กับอุษาแตกหักกันจนเกือบจะสำเร็จถ้าฉลองไม่ถูกตำรวจจับเสียก่อนในคดีเก่าที่เคยก่อไว้
อุษาขอโทษธารินทร์ที่เข้าใจผิดคิดว่าเขามีกิ๊ก ส่วนหวานโกรธหลานสาวทั้งสองคนมาก ตบหน้าไปคนละฉาดแล้วดุด่าอย่างเหลือทน
“พวกแกมันเลว...เลวที่สุด”
“มันให้การพาดพิงมาถึงฉันเหรอ ฉันไม่รู้เรื่องนะ”
“แกไม่ต้องมาปฏิเสธหรอก ทำอะไรก็รู้อยู่แก่ใจ มันโดนส่งตัวไปจังหวัดที่มันก่อคดีไว้ แต่คุณธารินทร์ก็รู้หมดแล้วเรื่องนังสายใจที่แกส่งไปยั่วเขาน่ะ”
“แล้วเขาจะเอาเรื่องเราไหมน้า” นฤมลร้อนรน
“คุณสองคนน่ะเขาเป็นคนดี เขาให้โอกาสพวกแกตลอดเวลา แต่ทำไมวะ ข้าไม่เข้าใจทำไมไม่คิดสำนึกกันบ้าง ก่อเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน”
รสสุคนธ์โล่งอก แต่นฤมลเริ่มกลัว ชวนรสสุคนธ์หนีไปจากที่นี่ก่อนพวกเขาจะเปลี่ยนใจ
“ใครจะไปก็ไป แต่ฉันไม่ไป”
“แกมันคงเป็นคางคกกลับชาติมาเกิด ยางหัวไม่ตกไม่รู้สึก” หวานสะบัดเสียงใส่รสสุคนธ์แล้วเดินออกไปอย่างโกรธจัด
รสสุคนธ์เคืองแค้นหวาน แอบเข้าไปขโมยสร้อยและแหวนทองพร้อมเงินอีกจำนวนหนึ่งในห้องน้าสาวเพื่อเอาไว้เป็นทุนสำหรับจ้างหมอผีเก่งๆ นฤมลรู้เห็นก็ชักจะเอือมที่รสสุคนธ์ไม่เลิกราเรื่องนี้เสียที
“ว่าแต่ทำไมน้าหวานมีทองเยอะจัง คราวก่อนน้องรสก็เอามาเส้นหนึ่งแล้วนี่นา”
“ก็นังลั่นทมมันให้ไง น้าหวานถึงบูชามันนัก”
จิ้มลิ้มกับยาใจเดินกลับจากสุสาน สะกิดกันมองมาที่รสสุคนธ์กับนฤมลซึ่งมีท่าทีแปลกๆ
“ดูนังงูเห่าสองตัวนั่นสิแก ท่าทางแปลกๆ ดี๊ด๊าอะไรกัน”
“น้าหวานสั่งให้คอยจับตาพวกมัน งั้นเราตามไปดูกันเถอะ”
สองคนวิ่งตามมาแอบดูอยู่ไม่ไกล รสสุคนธ์กับนฤมลไม่รู้ตัวยังชื่นชมทองหยองกันอยู่
“ฉันจะเอาไปขายให้หมดเลย รีบไปกันเถอะพี่มล”
“ขอพี่ใส่หน่อยได้ไหม ก่อนขายขอใส่ให้ราศีมันจับหน่อย น้องรสก็เหมือนกัน จะถือเอาไปทำไมล่ะ”
“ก็ดีนะ”
สองสาวใส่สร้อยใส่แหวนแล้วเดินออกไปอย่างเริงร่า แต่พริบตาเดียวร่างทั้งคู่กระตุกเหมือนโดนไฟช็อต กรีดร้องกันลั่นปวดแสบปวดร้อน ปลดทองทิ้งแทบไม่ทันก่อนวิ่งซมซานเข้าบ้าน
จิ้มลิ้มกับยาใจแปลกใจ วิ่งออกมาเก็บทองหยองแล้วคาดเดาตรงกันว่าสองคนนั้นคงถูกคุณนายลั่นทมเล่นงานเข้าให้แล้ว
ooooooo
รสสุคนธ์ซมซานเข้ามาในห้องพระ นฤมลตามติดหน้าตาตื่น กลัวแทบร้องไห้ มองรอยไหม้ที่คอและนิ้วรสสุคนธ์อย่างหวาดกลัว
“ฝีมือลั่นทมแน่ พี่ว่าเราไปเถอะน้องรส ถ้าอยู่ต่อเราต้องตายแน่”
“ไม่...รสจนตรอกแล้ว รสจะสู้”
“สู้ยังไงล่ะ หมอผีก็ไม่มีเงินไปจ้าง นิมนต์พระพระก็ไม่มา จะบังคับให้ท่านมาก็ไม่ได้”
รสสุคนธ์ครุ่นคิด ความโลภและโกรธทำให้ไม่ยอมแพ้ หยิบพระเครื่องในพานมาถือไว้เพื่อป้องกันผี!
ด้านยาใจกับจิ้มลิ้มที่เก็บทองหยองไว้ได้ ทั้งคู่นำไปให้หวานดูพร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เห็นกับตา หวานเลยฟันธงว่าลั่นทมคงสั่งสอนหลานตัวแสบของตน
หวานตามเข้ามาเอาเรื่องรสสุคนธ์กับนฤมลในห้องนอน
“เป็นไง ริจะเป็นขโมย โดนดีเข้าให้แล้วไหมล่ะ แหมคุณผู้หญิงท่านยังเมตตานะ ที่จริงท่านน่าจะหักคอพวกแกซะเลย”
“น้าพูดเพ้อเจ้ออะไร ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”
“แกขโมยสร้อยกับแหวนที่คุณผู้หญิงให้ข้า ไม่ต้องมาทำหน้าโง่ แล้วเงินล่ะอยู่ไหน”
“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่รู้ ก็ไม่รู้สิ”
หวานหมั่นไส้รสสุคนธ์ที่ปากแข็ง พนมมือขึ้นพูดเสียงเรียบ “คุณผู้หญิงเจ้าขา...เงินที่หวานสู้อดออมมาทั้งชีวิตถูกขโมยไป คนร้ายมันปากแข็งไม่ยอมรับค่ะ”
ทันใดเกิดแสงสว่างวาบขึ้นบริเวณกระเป๋ากางเกงรสสุคนธ์ เธอแผดร้องอย่างเจ็บปวดรีบควักเงินโยนลงพื้นตรงหน้า...หวานยิ้มเยาะสะใจ พนมมือท่วมหัว
“ขอบพระคุณค่ะคุณผู้หญิง ต่อไปนี้ฉันคงเบาแรงลงได้มาก เวลาแกทำชั่ว ฉันไม่ต้องเหนื่อยด่าอีก เพราะแกจะเจอดีเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าแกยังไม่เลิก คราวนี้ฉันได้จัดงานศพให้แกแน่นังรส นังมล”
หวานหยิบเงินแล้วกลับออกไป สองสาวหน้าซีดหน้าเสีย มองรอบห้องอย่างหวาดๆ นฤมลวิ่งลนลานออกจากห้อง ร้องลั่นว่าไม่เอาแล้ว กลัวแล้ว...
รสสุคนธ์เริ่มกลัว ถอยกลับมานั่งบนเตียง คว้าพระเครื่องที่เอามาจากห้องพระแล้วพนมมือสวดมนต์มั่วไปหมด
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น ไกรมาพบธารินทร์ที่โรงพัก เล่าว่ารสสุคนธ์โทร.หาตนที่สำนักงาน ถามว่าถ้าชีพตายหรือหายสาบสูญ มรดกจะอยู่กับใคร
“เริ่มชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆแล้วนะครับ”
“ผมเป็นห่วงว่า...ถ้าไม่หลอกให้เราเผาคุณลั่นทมไวๆ คุณรสก็อาจซ้อนแผนฆ่าคุณชีพเสียเอง แล้วโยนบาปให้คุณลั่นทม ตัวเองจะได้ส่วนของคุณชีพทั้งหมด”
“ผมกำลังสงสัยว่าที่สุสานนอกจากประตูหน้าต่างกับทางออกด้านหลังที่ทีมก่อสร้างบอกไม่มีช่องทางลับใดๆอีก...แล้วเขาจะพาคุณชีพเข้าทางไหนออกทางไหน”
“ก็ต้องเฝ้าดูกันต่อไป ที่ผมมานี่อยากขอกำลังตำรวจไปเฝ้าที่สุสาน ผมเป็นห่วงคุณอุษา”
ธารินทร์ตกลงโดยไม่ต้องไตร่ตรอง เพราะเขาเองก็ห่วงเธอเช่นเดียวกัน...หลังจากนั้นไม่นานจึงมีตำรวจนอกเครื่องแบบไปเฝ้าระวังรอบเรือนไทยที่ภายในคือสุสานของลั่นทม
ตกเย็น หวานชักแถวคนรับใช้เอาเครื่องเซ่นเข้าไปในสุสาน ทุกคนไม่เห็นลั่นทมกับชีพอีกตามเคย ลั่นทมคะยั้นคะยอให้ชีพกินข้าว แต่เขาโวยวายทั้งที่ร่างกายอ่อนแรงเต็มที
“ฉันไม่ต้องการอาหาร ฉันต้องการอิสรภาพ ปล่อยฉันลั่นทม...ขอร้อง ฉันทรมานมากแล้ว”
“ตอนทมถูกชีพให้อยู่ในโลงที่วัดเอาเข้าสุสานในป่าช้า ทมยังทนได้”
“ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเธอยังไม่ตาย”
“คุณเข้าใจความรู้สึกของทมหรือยัง คนยังไม่ตายแต่ต้องอยู่ในโลงศพ ได้ยินทุกอย่างมันทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่คุณ...คุณอยู่ในสุสานที่มีพร้อม ดีกว่าทมหลายร้อยเท่า”
ชีพหมดเรี่ยวแรงที่จะโต้แย้ง พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากพวกหวานแต่ไร้ผล ทุกคนกลับออกไปหลังจากจุดธูปบอกลั่นทมแล้ว
ใกล้ค่ำ ธารินทร์แอบเข้ามาซุ่มในสุสานเพื่อจับตาดูว่าใครกินเครื่องเซ่น แต่ลั่นทมไหวตัวเสียก่อนจึงสะกดให้ธารินทร์หลับแล้วจัดการป้อนข้าวให้ชีพที่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน
รสสุคนธ์กลุ้มใจมาก คิดจะหนีไปจากที่นี่อย่างที่นฤมลพูดบ่อยๆ แต่จู่ๆค่ำนี้มีชายคนหนึ่งโทร.มาขู่ขอเงินเธอ โดยบอกว่าเขาคือมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ชีพจ้างให้ขับรถตัดหน้าลั่นทมจนเกิดอุบัติเหตุ
“ตอนนี้ชีพไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน คนในบ้านกำลังตามหาตัวเขาอยู่”
“ผมรู้ว่าเขาอยู่ บอกด้วยว่าผมกำลังเดือดร้อน ถ้าบ่ายเบี่ยงทั้งเขาและคุณลำบากแน่ แล้วจะติดต่อมาใหม่”
รสสุคนธ์อึ้งไปอย่างหวาดระแวง นฤมลรีบเดินมาถามหลังจากเธอวางสาย
“ใครเหรอน้องรส ทำไมถามหาคุณชีพ”
“ก็ไอ้มอเตอร์ไซค์ที่คุณชีพจ้างให้ตัดหน้ารถนังผีลั่นทมไง มันคงจะมาเอาเงิน ทำไงดีล่ะพี่มล ไอ้บ้าเอ๊ย จะโผล่มาทำไมตอนนี้”
ทันใดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก รสสุคนธ์ผวาเฮือกรีบวิ่งไปรับ...ปรากฏว่าเสียงที่ได้ยินทำให้เธอขนลุกขนพองกลัวแทบหยุดหายใจ
“รสสุคนธ์...เธอก็สมรู้ร่วมคิดกับคุณชีพฆ่าฉัน ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่” ลั่นทมลั่นวาจาอาฆาต
รสสุคนธ์วางโทรศัพท์อย่างแรง สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด วิ่งหนีขึ้นข้างบน โดยมีนฤมลก้าวตามอย่างเร่งรีบ ส่วนธารินทร์แอบมองอยู่ห่างๆ แน่ใจว่าความจริงใกล้เปิดเผยเข้ามาทุกที
ooooooo
ตำรวจนอกเครื่องแบบเจอดีเข้าจนได้! พวกเขาเห็นลั่นทมจะจะที่หน้าสุสาน พากันวิ่งกลับมาที่บ้านและบอกเล่าให้พวกธารินทร์ฟังอย่างหวาดกลัว
ธารินทร์รับรู้และอาสาไปเฝ้าที่สุสานเอง ส่วนพวกเขาเฝ้าหน้าบ้าน หากมีใครมาลับๆล่อๆให้ล็อกตัวไว้เลย โดยเฉพาะคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์มา
ค่ำวันเดียวกัน รสสุคนธ์กับนฤมลลากหวานเข้ามาในห้องนอน หวานไม่พอใจถามว่าพวกแกจะทำอะไร มาลากมาถูตนทำไม
“น้า...ฉันขอยืมเงินก่อน ทั้งทองอะไรนั่นด้วย น้าเอาไปขายให้ที ฉันจำเป็นต้องใช้ น้าจัดการให้ฉันหน่อย”
“ข้าไม่ให้ แกจะไปจ้างคนมารบกับคุณผู้หญิงใช่ไหม ข้าไม่เอาด้วย”
“นี่ฉันขอน้าดีๆแล้วนะ”
“โธ่เอ๊ย ทำเป็นมาพูด ก็เพราะขโมยแล้วมันไปไม่รอดน่ะสิ ข้าไม่ให้ อยากได้ก็มาขโมยเอาสิ แต่คราวนี้ข้าจะขอให้คุณผู้หญิงหักคอไอ้คนขโมยซะเลย”
“ฉันรวยขึ้นมาเมื่อไหร่ น้าอย่าซมซานมาขอก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ตะกายอยากได้แต่สมบัติหรอกโว้ย ถ้าแกยังโลภไม่เลิก ชะตาแกขาดแน่นังรส”
หวานทิ้งท้ายแล้วกลับออกไป รสสุคนธ์หน้าเสีย เช่นเดียวกับนฤมลที่อยากถอดใจเต็มทีแล้ว...
หวานกลับมาที่ห้องของตน สวดมนต์ไหว้พระแล้วภาวนาขอร้องลั่นทมยกโทษให้รสสุคนธ์ที่หลงผิดแล้วยังดื้อด้านเพราะขาดทั้งพ่อแม่คอยอบรม แต่ตนเชื่อว่าวันหนึ่งมันต้องสำนึกได้
ความจริงหวานทั้งรักและเป็นห่วงรสสุคนธ์ แต่ที่ต้องป้องปรามเธอเอาไว้เพราะไม่อยากให้ทำเรื่องเลวร้ายสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและคนอื่นไปมากกว่านี้
หวานนั่งซึมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเตรียมตัวนอน ไม่คิดว่ารสสุคนธ์จะมาเคาะประตูเรียกแล้วเผชิญหน้าตัดพ้อต่อว่าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“น้าคงอยากเห็นฉันตายมากใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้คิดจะแช่งแกหรอกนะนังรส แต่พอเห็นความโลภของแกทีไร ฉันอดไม่ได้ทุกที”
“ฉันเป็นเมียคุณชีพ ฉันก็ต้องได้อะไรจากคุณชีพบ้างสิ”
“แต่สมบัติทุกอย่างมันเป็นของคุณผู้หญิง คุณชีพมีแต่ตัว แกก็รู้”
“แต่ลั่นทมตายไปแล้ว มันก็ควรเป็นของคุณชีพและของฉัน”
รสสุคนธ์เถียงคำไม่ตกฟาก หวานถอนใจเฮือกอย่างอิดหนาระอาใจ ลุกหนีไปที่เตียงนอน รสสุคนธ์เห็นซองเงินพุ่งไปคว้าแต่หวานโดดเข้าแย่งอย่างไม่ยอม
“อย่านะนังรส ข้าไม่ให้”
“ขอฉันเถอะ ฉันจำเป็นต้องใช้”
“ไม่...ถ้าแกเอาไปทำเรื่องดีๆ ข้าจะให้” หวานกระชากซองเงินมาจนได้ รีบเก็บใส่อกเสื้อ รสสุคนธ์วิงวอนทั้งน้ำตาซึมๆ น่าสงสาร
“ฉันจะใช้เป็นทุนไปจากที่นี่ น้าให้ฉันเถอะนะ”
“ก็ไปสิ ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย แล้วข้าจะให้เงินทั้งหมดนี่ แถมให้ไอ้ฉ่ำขับรถไปส่งด้วย แต่ข้ารู้...แกจะไปจ้างหมอผี ข้าไม่ให้”
รสสุคนธ์สะอื้นไห้อย่างอัดอั้นตันใจ อาละวาดคว้าของใกล้มือขว้างปากระจัดกระจาย
“น้าตั้งใจจะให้ฉันตาย อีน้าบ้า ใจดำเหมือนอีนังลั่นทม”
หวานสุดทน ตบหน้ารสสุคนธ์ดังฉาด “หยุดนะนังรส เอ็งว่าข้า ข้าไม่ถือ แต่ห้ามก้าวร้าวคุณผู้หญิง ถ้าข้าอยากให้เอ็งตาย ข้าคงไม่ห้ามเอ็งจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว”
“ก็ได้ ไม่ช่วยก็ไม่ง้อ ฉันจะสู้กับมันสักตั้ง เป็นไงเป็นกัน คิดว่ามาขู่ฉันแล้วฉันจะกลัวเหรอ”
“ใครขู่เอ็ง”
“ก็นังลั่นทมน่ะสิ มันบอกว่ามันจะไม่ปล่อยฉัน มันจะฆ่าฉัน สะใจน้าหรือยัง” รสสุคนธ์ระเบิดเสียงแล้วผลุนผลันกลับออกไป ทิ้งหวานยืนตะลึงตกใจมาก
ooooooo
ครู่ต่อมาหวานรวบรวมความกล้าเข้าไปในสุสาน นั่งลงจุดธูปหน้าโลงศพลั่นทม พนมมือสั่นเทาวิงวอน
“คุณผู้หญิง...ไว้ชีวิตนังรสมันได้ไหมคะ หวานบังอาจขอ ยังไงมันก็เป็นหลาน ตอนนี้มันเริ่มจะเลอะเลือนทำอะไรเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว คุณผู้หญิงอย่าอาฆาตจองเวรมันเลยค่ะ”
ทุกอย่างในสุสานเงียบสงัด หวานกราบศพลั่นทม พลันเสียงประตูเปิดดังปัง หวานสะดุ้งกระโดดหลบไปมุมหนึ่งแล้วเพ่งมอง ปรากฏว่าไม่ใช่ผี แต่เป็นหมอผัน
สองคนเดินตามกันออกจากสุสานกลับมาที่บ้าน หวานเศร้าหมองเอาแต่มองหน้าหมอผันไม่พูดไม่จา
“เป็นอะไรแม่หวาน”
“ลุงหมอช่วยนังรสทีได้ไหม ฉันไม่อยากเห็นมันมีอันเป็นไป”
“คนจะช่วยได้คือตัวแม่รสเอง”
“โธ่ลุงหมอ มันน่ะจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้ว เหมือนคนไม่มีสติเข้าไปทุกที เดี๋ยวก็กลัวเดี๋ยวก็กล้า มันว่าคุณผู้หญิงมาขู่จะฆ่ามัน”
หมอผันนิ่งคิดนิดหน่อยก่อนตกปากรับคำ แต่พอรสสุคนธ์ได้ฟังข้อเสนอของแกก็กรีดเสียงอย่างไม่เชื่อถือ
“ให้สาบาน...โธ่เอ๋ย...ฉันสาบานไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
“ก็ต้องคิดอย่างที่สาบานจริงๆ คราวนี้ต่อหน้าศพคุณนายลั่นทมเลย”
“คุณผู้หญิงเอาแกแน่ ไม่งั้นไม่มาบอกหรอก แกยังมีโอกาสจะทำหรือไม่ทำ”
หญิงสาวนิ่งอึ้ง หมอผันสำทับว่าถ้าทำก็ต้องไปสุสานเดี๋ยวนี้เลย...เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า รสสุคนธ์ยอมตามหมอผันกับน้าหวานไปสุสาน บรรยากาศวังเวงน่ากลัวจนทุกคนอยากจะรีบทำแล้วรีบกลับ
รสสุคนธ์ยอมสาบานว่าจะเลิกกับชีพ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ถ้าไม่ทำตามสัญญายอมให้ลั่นทมฆ่า แต่ตอนนี้ตนอยากไปจากบ้านนี้โดยสะดวก ขออย่าขัดขวางตนเลย...
จบคำสาบาน ทุกอย่างเงียบสนิท เงียบจนหมอผันสังหรณ์ใจพิกล กวาดตามองไปรอบๆ
“เอ...วันนี้ทำไมไม่เห็นคุณนายกับคุณชีพนะ หรือว่าท่านจะไม่ยอมรับคำสาบาน”
รสสุคนธ์ปักธูปในกระถางแล้วจำใจกราบตามที่หวานสั่ง ก่อนจะรีบร้อนออกมาเพราะเริ่มมีลมพัดกรูเกรียวน่ากลัว!
ถึงบ้านใหญ่ รสสุคนธ์ยังหวาดกลัวไม่หาย ขอนอนกับหวานที่ห้องโดยเอาผ้ามาปูนอนกับพื้นอย่างไม่รังเกียจรังงอน
ooooooo
กลางดึกคืนนั้น ชีพโวยวายสาปแช่งลั่นทมเพราะอึดอัดกับความเป็นอยู่ที่ไร้อิสระ อีกทั้งเขาคิดถึงรสสุคนธ์ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด และจะรักกันทุกชาติไป
ลั่นทมแสลงใจแทบน้ำตาร่วง มองชีพอย่างผิดหวัง อยากรู้ว่าถ้าเธอไปพารสสุคนธ์มาอยู่ด้วยเขาจะพอใจใช่ไหม ชีพฟังแล้วตาลุกวาวมีความหวัง
“เธอพูดจริงเหรอ”
“รสสุคนธ์สาบานว่าจะเลิกกับคุณ ทมจะไปพามาพิสูจน์”
พริบตาเดียว ลั่นทมปรากฏร่างในห้องนอนหวาน บังคับรสสุคนธ์ให้ไปที่สุสาน เปิดโอกาสให้ทั้งคู่เห็นกัน และกัน แต่สภาพชีพแย่มาก ร่างกายเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นซากศพ ฝ่ายหญิงจึงมีท่าทีขยะแขยง
“ไหนว่าอยากอยู่กับเมียสุดที่รักไงคะ ก็อยู่ด้วยกันสิ”
“ลั่นทม...เธอหมายความว่ายังไง”
“คุณชีพบอกว่าเธอกับเขารักกันมาก ฉันเห็นใจก็เลยพาเธอมาอยู่กับเขา ขอให้มีความสุขอยู่ด้วยกันในสุสานนี้ตลอดไป”
“ไม่! ฉันไม่อยู่ เธอรักเขาหวงเขา เธอก็อยู่กับเขาเถอะ”
ชีพแทบไม่เชื่อหู มองรสสุคนธ์ด้วยแววตาตัดพ้อ ผิดหวัง...ลั่นทมยิ้มเยาะ เพราะนึกเอาไว้ไม่มีผิดว่าอีกฝ่ายต้องพูดทำนองนี้เพื่อเอาตัวรอด
“ว่าไงคะชีพ ถ้าจะอยู่ด้วยกันก็ต้องที่นี่ ไม่งั้นคนหนึ่งต้องอยู่ อีกคนหนึ่งต้องไป...ให้เลือกเอา”
ชีพตะกายไปที่ประตู รสสุคนธ์รีบดึงเขาไว้อย่างลนลานหวาดกลัว
“ขอฉันออกไป...ให้รสสุคนธ์อยู่”
“ไม่นะชีพ คุณต้องอยู่...รสจะไป”
“รสสุคนธ์...เห็นใจเถอะ ฉันจะตายอยู่แล้ว ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน จมอยู่กับกลิ่นเน่าเหม็นของซากศพนานแล้ว ให้ฉันออกไปก่อน แล้วฉันจะรีบหาทางกลับมาช่วยเธอ ตกลงนะ”
ชีพตั้งท่าจะไป แต่รสสุคนธ์กระชากไว้สุดแรง
“ไม่! รสไม่เอา...ลั่นทม เธอเอาตัวชีพไป ฉันจะไปเอง”
ประตูสุสานเปิดออก ชีพรวบรวมกำลังกอดรัดรสสุคนธ์ที่พยายามสะบัดหนี แต่ที่สุดเธอก็ดิ้นรนถีบเขากระเด็นแล้ววิ่งอ้าวออกไปไม่เหลียวหลัง ทิ้งชีพนั่งหมดแรง สะอื้นตัวโยนอย่างหวาดกลัว
“รส...อย่าทิ้งฉัน ช่วยฉันด้วย...”
“ไหนว่ารักกันนักหนาไงคะ” ลั่นทมยิ้มเยาะ มองชีพอย่างสมเพช
ooooooo
รสสุคนธ์วิ่งเตลิดออกจากสุสานตรงมาบ้านใหญ่ ท่าทางเธอหวาดกลัวสุดขีด ธารินทร์ยืนคุยกับกลุ่มตำรวจนอกเครื่องแบบที่เฝ้าระวังอยู่หน้าบ้าน ทุกคนพากันแตกตื่นเมื่อเห็นสภาพของเธอ
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” รสสุคนธ์แผดเสียงเนื้อตัวสั่น
ตำรวจทั้งกลุ่มกรูมาหารสสุคนธ์ รวมทั้งผู้คนในบ้านที่กำลังหลับใหลก็สะดุ้งตื่นพากันออกมาเป็นขบวน
“เกิดอะไรขึ้นคะรินทร์ ทำไมรสสุคนธ์ถึงร้องลั่นบ้านอย่างนี้”
ธารินทร์ส่ายหน้า หวานวิ่งเข้าไปหาหลานสาว ถามว่าเกิดอะไรขึ้น รสสุคนธ์ยึดหวานเป็นที่พึ่ง โถมเข้ากอดทั้งตัว พูดละล่ำละลักว่า
“คุณชีพอยู่ในสุสาน ไปช่วยเขาเร็ว”
“คุณรู้ได้ยังไง” ธารินทร์คาดคั้น
“ลั่นทมบังคับให้ฉันเข้าไป คุณชีพกำลังจะตาย เขาอยู่ที่นั่น”
ทุกคนตกใจมาก ธารินทร์สบตาอุษาก่อนจะชวนรสสุคนธ์ไปที่สุสาน แต่หล่อนปฏิเสธปากคอสั่น
“ไม่! ไม่ไป...ฉันกลัว”
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคุณชีพอยู่ตรงไหน”
“ไปเถอะรส ไปหลายคนคงไม่มีอะไร จะได้ช่วยกันเอาคุณชีพกลับมา” หวานเกลี้ยกล่อมพลางมองกลุ่มสวาทเพื่อรวมพล แต่ทั้งกลุ่มต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราไม่ไปได้ไหม?
“ไปนอนกันเถอะ เดี๋ยวษาไปเอง”
อุษาตัดบทเพราะรู้ว่าทุกคนกลัว...รสสุคนธ์ลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมเข้ากลุ่มไปกับพวกธารินทร์และอุษามุ่งหน้าไปสุสาน
ooooooo
บรรยากาศภายในสุสานเงียบและวังเวง รสสุคนธ์เดินเกาะกลุ่มอย่างกลัวมาก ชี้มือไปที่เตียงนอน
“เขาอยู่ที่เตียงนั่น”
ทุกคนมองไปแต่ไม่เห็นใคร บนเตียงมีรอยผ้าปูที่นอนยับย่น
“ชีพ...ชีพคะ รสพาคนมาช่วยแล้ว...ลั่นทมคงบังตาพวกเราไว้ เขาอยู่ในสุสานนี้แหละ ช่วยกันหาเร็วๆ ตัวเขาเหม็นเหมือนซากศพเต็มทีแล้ว”
ทุกคนช่วยกันหาทุกซอกทุกมุมแต่ไม่พบ ในโลงก็ไม่มี อุษาเดินกลับมาที่รสสุคนธ์ ตำหนิเธอเล็กๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เรารบกวนคุณน้าหลายครั้งแล้วนะรสสุคนธ์”
“โธ่...ฉันเห็นกับตา พูดกับคุณชีพด้วย นังผีร้ายมันเอาตัวคุณชีพไว้ นี่ไง ชุดฉันยังเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนองจากตัวคุณชีพ เมื่อกี้ฉันพยายามพยุงเขาออกไปแต่ลั่นทมไม่ยอม ลั่นทมปล่อยฉันคนเดียว มาสิมาดูเลย”
อุษาสำรวจเสื้อผ้ารสสุคนธ์แล้วส่ายหน้า “ก็ปกตินี่ ไม่เห็นมีอะไร กลิ่นเหม็นก็ไม่มี”
รสสุคนธ์หน้าเจื่อน นึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แผดเสียงอย่างคั่งแค้น
“มันแกล้งฉัน...แบบนี้ต้องเผาทั้งศพนังลั่นทมทั้งเรือนไทยให้สิ้นซากถึงจะกำจัดได้ ไม่งั้นก็ต้องเอาหมอผีมาปัดรังควาน”
สิ้นเสียง! ลมพัดแรงเหมือนพายุ ปะทะทุกคนปลิวออกไปด้านนอก ต่างส่งเสียงร้องกันเอ็ดอึง ก่อนที่ประตูจะปิดดังปัง...
ลมพายุหอบทุกคนออกมาหน้าสุสานในสภาพเซถลาแทบยืนไม่อยู่ สีหน้าตื่นตระหนกตกใจและหวาดกลัว มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!
ขณะเดียวกันภายในสุสาน ชีพหมดเรี่ยวแรง หมดอาลัยตายอยากไม่ยอมแม้แต่จะขยับแขนขา นัยน์ตาเลื่อนลอยราวคนสิ้นหวัง ส่งเสียงแหบโหยแทบไม่ได้ยิน
“ฆ่า...ฉันเถอะลั่นทม”
ลั่นทมยืนสงบนิ่ง แต่แววตาที่จ้องเขม็งมายังชีพบ่งบอกว่าทั้งรักและทั้งแค้น!
ooooooo










