ตอนที่ 17
สวาทเอาเครื่องเซ่นไปให้ลั่นทมที่สุสานแล้วรู้สึกว่าตัวเองถูกผีหลอก วิ่งหนีกลับออกมาด้วยความกลัวและเล่าให้ฉ่ำฟังปากคอสั่น พอดีอุษาออกมารู้เห็นจึงส่งเสียงปรามสวาทแล้วให้ตามตนไปที่ห้อง
อุษาไม่ต้องการให้ใครพูดถึงลั่นทมในทางที่น่ากลัว สวาทรับคำแต่ก็ยืนยันว่าตนเจอดีเลยวิ่งหนีออกมา และต่อไปนี้ถ้าใครใช้ให้ตนไปที่สุสานอีก ตนขอลาออก...
อุษาหนักใจเหลือเกิน โทร.หาหมอผันขอร้องให้ลองดูอีกครั้งเผื่อจะติดต่อวิญญาณลั่นทมได้ หมอผันลำบากใจแต่ก็รับปากเธอไป โดยที่ธารินทร์ไม่เห็นด้วยเพราะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้พ่อของตนไม่สามารถทำได้
ในเมื่อรับปากอุษาไว้แล้ว หมอผันตัดสินใจโทร.หาจรัล แนะนำตัวว่าตนเป็นพ่อของหมวดธารินทร์แฟนอุษา
“อ๋อครับ ผมเคยได้ยินคุณอุษาพูดถึงหมอผัน ที่เป็นคนทำให้คุณนายลั่นทมฟื้นขึ้นมาได้...มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”
“ผมขอปรึกษาหน่อยในฐานะที่คุณติดต่อกับวิญญาณได้ ผมทนหนูอุษารบเร้าไม่ไหว ต้องหาทางติดต่อกับคุณนายลั่นทม คุณนายจะเคืองผมไหมเนี่ย ขนาดคุณ...เธอยังไม่ยอมมา”
“คงไม่มั้งครับ เพราะคุณลุงดีต่อเธอ”
“ถ้าผมจะขอร้องให้คุณมาที่นี่ เราลองมาช่วยกันจะได้ไหม”
“ผมติดต่อเธอไม่ได้ครับ ที่เธอมาก็มาเอง และเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผม เธอขอร้องไม่ให้ผมยุ่ง เธอจะจัดการเอง”
“จัดการเอง...”
“เธอไม่ฆ่าคุณชีพหรอกครับ แต่เธอจะทำยังไงนั้น ผมไม่อาจรู้ได้”
หมอผันนิ่งอึ้ง วางสายอย่างผิดหวัง แต่ยังไม่ละความพยายาม เข้าไปที่ห้องพระจุดธูปเทียนพนมมือภาวนา
“เมื่อคุณจรัลติดต่อคุณนายลั่นทมไม่ได้ ผมก็ขอบารมีคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยผมด้วยเถอะ ผมจะนั่งสมาธิติดต่อกับคุณนาย ช่วยเปิดทางให้ผมด้วยเถอะครับ”
ขณะที่หมอผันพยายามอย่างเต็มที่อยู่นั้น ธารินทร์แวะมาหาอุษาที่บ้าน ทานอาหารเย็นกับเธอพร้อมทั้งพูดคุยเรื่องที่เธอให้พ่อของเขาติดต่อวิญญาณลั่นทม ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อเป็นหมอสมุนไพรไม่ใช่หมอผี
ฟังธารินทร์แล้วอุษาสีหน้าไม่สู้ดี แต่จู่ๆนึกเอะใจชวนกันไปที่สุสาน เธอเชื่อว่าต้องมีอะไรผิดปกติ บางทีน้าชีพอาจอยู่ที่นั่น
อุษากับธารินทร์นำหน้าไป โดยมีหวานดึงสวาทตามหลัง รสสุคนธ์กับนฤมลแอบมองทุกคนแล้วตัดสินใจตามไปห่างๆไม่ให้รู้ตัว
สวาทหวาดกลัวไม่อยากเข้าไปในสุสาน แต่ถ้าถูกทิ้งให้อยู่ข้างนอกคนเดียวก็เลือกที่จะเข้าไปด้วยดีกว่า ส่วนนฤมลรั้งห้ามรสสุคนธ์ที่ทำท่าจะก้าวตาม บอกให้รออยู่ข้างนอกดีกว่า เดี๋ยวพวกนั้นออกมาเราก็รู้เอง
เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นจริงๆ อาหารหล่นเกลื่อนกลาดใกล้โลงศพ ธารินทร์คาดว่าถ้าไม่ใช่แมวก็ต้องมีคนเข้ามา...
ชีพถูกลั่นทมสะกดนอนหมดแรงอยู่มุมหนึ่ง เขาเห็นทุกคน แต่ไม่มีใครเห็นเขาสักคน แม้แต่เขาส่งเสียงก็ไร้ผล
“อย่าพยายามเลยชีพ บอกแล้วไงว่าไม่มีใครได้ยินเราหรอก เว้นแต่ทมจะทำให้พวกเขาเห็นหรือได้ยิน”
อุษาเดินออกไปข้างนอก ส่วนธารินทร์เดินวนหาหลักฐาน หวานเตรียมจะทำความสะอาด ให้สวาทช่วยกัน แต่สวาทกลัวขนลุกขนพองปฏิเสธเสียงสั่น
“ไม่เอาหรอก น้าหวานทำเถอะนะจ๊ะ ฉันไหว้ล่ะ”
“เหลวไหลน่า...งั้นแกทำความสะอาดตรงอื่น ข้าทำตรงนั้นเองก็ได้”
หวานชี้ไปที่เม็ดข้าว แล้วก็อึ้งเพราะเห็นลั่นทมนั่งอยู่ข้างชีพ
“ไม่ต้องบอกใครนะหวาน” ลั่นทมกำชับ...หวานกลัวแต่ก็รับคำเสียงแผ่ว สวาทสงสัยว่าหวานพูดอะไร แต่พอซักถามก็ไม่ได้คำตอบ...
หวานใช้ไม้กวาดกวาดเศษข้าวสุกที่เกลื่อนพื้น ลั่นทมคว้าข้อมือหวานไว้ เป็นจังหวะที่อุษากับสวาทเดินไปด้วยกัน แต่ธารินทร์หันมามองพอดี เขาไม่เห็นลั่นทม เห็นแต่ท่าทางของหวาน
“บอกหลานแม่หวานด้วยว่าให้กลับตัวกลับใจเสีย...ฉันให้อภัยทุกอย่าง แล้วฉันจะปล่อยให้เขาไปครองรักกับคุณชีพ แต่ถ้าไม่...อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ แม่หวานจะโกรธฉันไม่ได้”
“นังปีศาจ...แกจะทำอะไรรสสุคนธ์ไม่ได้นะ เขาเป็นเมียฉัน” ชีพโวยวาย
ลั่นทมจ้องหน้าชีพไม่พอใจ ภาพทั้งคู่หายวับไป หวานหลุดสะอื้นออกมา ธารินทร์ปรี่มาถามด้วยความสงสัย แต่หวานพูดอึกๆอักๆว่าไม่มีอะไร ตนแค่คิดถึงคุณผู้หญิงเท่านั้น
อุษาเข้ามาสมทบ บอกสวาทให้ช่วยหวานทำความสะอาดตรงนี้จะได้รีบกลับ สวาทไม่เต็มใจแต่ก็รีบคว้าไม้กวาดมาช่วย...
เสร็จแล้วธารินทร์ปิดไฟก่อนพาทุกคนกลับออกมา ชีพมองตามพลางส่งเสียงร้อง
“ตาบอดกันหรือไงวะ แค่นี้ก็มองไม่เห็น แกล้งกันนี่หว่า อีพวกใจร้าย มีแต่คนจ้องทำร้ายฉันกับรสสุคนธ์ ใจร้ายทั้งผีทั้งคน”
ชีพอัดอั้นเคียดแค้น คร่ำครวญร้องไห้จนตัวโยน ลั่นทมมองด้วยสีหน้าเจ็บปวดร้าวราน
ooooooo
เมื่อกลับมาถึงบ้านใหญ่ อุษาให้สวาทอุ่นกับข้าวให้ใหม่ เธอกับธารินทร์จะกินต่อ สวาทผละไป ส่วนหวานจะตามไปช่วยแต่ต้องชะงักหลังจากเดินได้สองสามก้าว
รสสุคนธ์กับนฤมลโผล่มาดักหน้าหวาน หลังจากคนอื่นๆแยกย้ายไปหมดแล้ว
“น้าหวาน...เจอมั้ย” คำถามของรสสุคนธ์ทำให้หวานนิ่งไปนิด ก่อนย้อนถามกลับไปว่าเจออะไร “ก็คุณชีพไง นังผีลั่นทมมันเอาไปซ่อนไว้โลงศพหรือเปล่า หรือว่าเจอหลักฐานอะไรบ้าง อยากรู้จังว่าทำไมผู้หมวดธารินทร์ถึงไม่ลงโทษนังลั่นทมบ้าง ข้อหาลักพาตัวคุณชีพ”
“นี่นังรส เลิกนิสัยแย่ๆแบบนี้เสียทีเถอะ แล้วก็กลับตัวกลับใจซะ ไปขออภัยคุณผู้หญิงกับข้า แล้วก็ออกไปจากบ้านนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้ดีขึ้น”
“น้าหวานแน่ใจเหรอว่าถ้าน้องรสทำแบบที่น้าบอกแล้วผีลั่นทมจะให้อภัย หรือว่าน้ารู้เห็นเป็นใจสร้างเรื่องสร้างราวสร้างหลักฐานขึ้นมา พอน้องรสไปแล้วก็อุปโลกน์ว่าคุณชีพกับน้องรสหายตัวไป แม่อุษาก็ได้สมบัติไปคนเดียว”
“อืม...มันก็น่าคิดนะ น้าหวานร่วมมือกับนังอุษาหรือเปล่า เอาตัวคุณชีพไปขังแล้วโทษว่าผีนังลั่นทมเอาไป”
นฤมลกับรสสุคนธ์เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หวานฟังแล้วอ่อนอกอ่อนใจ
“โอ๊ย...นังรส รู้จักมองโลกในแง่ดีกับเขาบ้าง คนอื่นเขาไม่ได้ชั่วเหมือนเอ็งหรอก ส่วนนังมล ข้าว่ารู้จักเอาความฉลาดไปทำให้ตัวเองกับลูกมีชีวิตรอด ดีกว่ายุแหย่ให้นังรสมันชั่วมากกว่าเดิมจะดีกว่ามั้ย...ไม่รู้นะ ข้าเตือนแล้ว เมื่อไม่ฟังกันก็กรรมใครกรรมมัน”
“น้าหวานพูดแปลกๆ” รสสุคนธ์พึมพำสงสัย มองตามน้าหวานที่ผละไปอย่างหงุดหงิด
ooooooo
ไม่นานนัก สวาทกับหวานนำอาหารที่อุ่นใหม่กลับมาขึ้นโต๊ะให้อุษาและธารินทร์...ทั้งคู่กินข้าวกันไปเงียบๆ ธารินทร์เหมือนมีอะไรในใจ มองหน้าแฟนสาวบ่อยครั้ง ก่อนตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ษาจ๊ะ ผมว่าษาควรจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณคุณน้าลั่นทมได้แล้ว”
“ษาก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนี่คะ แต่ว่าน้าชีพหายไป รินทร์ก็รู้”
“เชื่อผมเถอะ ทางเดียวที่จะทำให้วิญญาณคุณน้าสงบสุขก็คือเปลี่ยนรสสุคนธ์ให้เป็นคนดี”
“แล้วน้าชีพล่ะ”
“ผมให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานอยู่ครับ สุสานคือที่สุดท้ายที่ผมจะเข้าตรวจค้น”
“ถ้าทำให้น้าชีพกลับมาบ้านได้ ษายินดีร่วมมือทุกอย่างค่ะ”
ธารินทร์เงียบลงอย่างห่วงความรู้สึกแฟนสาว...ส่วนในครัว หวานยืนเหม่อล้างจาน นึกย้อนเหตุการณ์ที่เห็นลั่นทมกับชีพในสุสาน ยาใจกับจิ้มลิ้มย่องเข้ามา หวานสะดุ้งตกใจทำจานหล่นจากมือ หาว่าทั้งคู่เข้ามาไม่ให้เสียง
“ก็ฉันเห็นน้ายืนเหม่อ...ใจลอยไปไหนกัน”
“เปล่า...มาช่วยเก็บเศษกระเบื้องแล้วก็มาล้างต่อทีซิ” หวานเดินออกไป จิ้มลิ้มหน้ายุ่งบ่นอุบใส่ยาใจ “เป็นไงนังยา...ทะลึ่ง จะล้อน้าหวานเล่น งานเข้าเลย”
ooooooo
รสสุคนธ์เริ่มเข้าตาจนมากขึ้น เงินทองไม่มีใช้จะเอาสมบัติทุกอย่างของลั่นทมไปขายกิน แต่ถูกหวานยับยั้งไว้อย่างรู้ทัน เกิดทุ่มเถียงกันดังลั่นห้อง
“น้าหวานเลิกยุ่งวุ่นวายกับฉันซะทีได้ไหม...น่ารำคาญ”
“ก็บอกมาก่อนสิเอ็งว่าเป็นอะไร รื้อข้าวของคุณผู้หญิงออกมาอย่างนี้มันไม่ปกติธรรมดาแล้วโว้ย เอ็งอย่าปิดข้า เอ็งจะเอาของพวกนี้ไปไหน”
“นี่น้าหวาน...ตอนนี้ฉันไม่มีเงินใช้เลย ถ้าน้ามีสักแสนสองแสนก็เอามาให้ฉันก่อน ฉันจะได้ไปจากที่นี่ ฉันก็เบื่อเต็มทีแล้ว”
“แสนสองแสน...ทุกวันนี้ข้ามีแต่แสนสาหัส เพราะเอ็งไงนังรส นังหลานชั่ว เดินไปทางไหนก็มีแต่คนก่นด่า”
“ถ้าจะเข้ามาด่ากันก็ออกไปเลย”
“ข้าเดาว่าเอ็งจะเอาข้าวของคุณผู้หญิงไปขาย”
“ใช่ มีปัญหาอะไรมั้ย...คนก็ตายไปแล้วนี่ จะเก็บไว้ทำบ้าอะไร รักนักหวงนักก็เอาไปนอนกอดซะเลย... แล้วก็รู้ไว้เลยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างของนังลั่นทมมันต้องเป็นของฉัน ผัวมันฉันยังเอามาเป็นของฉันได้ นับประสาอะไรกับข้าวของเสื้อผ้าสัปรังเคพวกนี้” รสสุคนธ์ระเบิดอารมณ์อย่างหงุดหงิดคับแค้น
“เอ็งเอาอะไรมาทำหัวใจวะนังรส”
“ออกไป! ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ข้าอยากเตือนเอ็งนะนังรส กลับตัวกลับใจซะเถอะ เผื่อว่าคุณผู้หญิงท่าน...”
“ฉันไม่ฟัง น้าหวานอย่าทำให้ฉันโมโหไปมากกว่านี้นะ”
“ตามใจ เกิดอะไรขึ้นจะหาว่าข้าไม่เตือน” หวานหันออกไปทั้งน้ำตาซึมๆ ส่วนรสสุคนธ์สะอึกสะอื้นร้องไห้ กล่าวอาฆาตแค้นลั่นทมว่าชาตินี้เธอไม่มีวันชนะฉันได้
ตกกลางคืน ลั่นทมปรากฏตัวในคราบของชีพให้รสสุคนธ์เห็น ก่อนจะกลับคืนสู่ร่างจริงทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวสุดขีด ดิ้นรนจนสะดุ้งตื่น รู้ว่าเป็นแค่ความฝันก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก
ooooooo
ในคืนเดียวกัน หมอผันนำธูปเทียนและดอกไม้แอบเข้าไปที่สุสาน ลั่นทมปรากฏร่างให้หมอผันเห็นตนกับชีพ บอกเล่าให้ฟังว่าชีพไม่ยอมกินอะไร เลยหิวจัดหมดแรงหลับไป เขายังไม่ตาย
“คุณนายครับ หนูอุษาเป็นห่วง เกรงว่าคุณนายจะมีบาปติดตัว”
“อยากอยู่ใกล้คนที่เรารักเป็นบาปด้วยหรือคะ”
“คือ...ใช้วิธีอื่นไม่ดีหรือครับ ชีวิตใครใครก็รัก เอาตัวมากักไว้แบบนี้เขาจะยิ่งไม่พอใจ แล้วจะรักกันได้ยังไง”
“คุณลุงหมอคะ ทมพยายามทุกอย่างให้เขาได้สำนึก ให้เขากลับตัว และให้เขารักทมสักนิด แต่ทมทำไม่สำเร็จ ทมต้องใช้วิธีนี้ ขอให้ทมได้มีความสุขสักระยะเถอะค่ะ ทมจะไม่ทำให้เขาตาย เพราะทมรู้ว่ามันเป็นบาปหนา สงสารทม อย่าทำร้ายทมนะคะคุณลุงหมอ อย่าบอกใครว่าชีพอยู่ที่นี่ ทมอยากอยู่กับเขา”
ลั่นทมก้มกราบทั้งน้ำตา หมอผันอึ้งไปอย่างเวทนา...เวลาเดียวกันนั้น ธารินทร์เข้าเวรอยู่โรงพัก ต้อยติ่งโทร.มาบอกว่าพ่อหายไป เขารีบกลับมารับเด็กน้อยแล้วพากันมุ่งหน้ามาบ้านลั่นทม เพราะสงสัยว่าพ่อจะไปที่สุสาน เนื่องจากต้อยติ่งเห็นแกเตรียมธูปเทียนเมื่อตอนหัวค่ำ
อุษาและคนอื่นๆในบ้านไม่มีใครรู้เห็นว่าหมอผันมา กระทั่งธารินทร์จะไปดูที่สุสาน เห็นหมอผันเดินกลับมาพอดี อุษาจดจ่ออยากรู้ว่าหมอผันสื่อสารกับวิญญาณลั่นทมได้หรือไม่ และชีพอยู่ด้วยใช่ไหม
หมอผันอึกอักนึกถึงคำขอร้องของลั่นทมแล้วไม่กล้าบอก ปะเหมาะพอดีหมอวัฒนาโทร.มาจากโรงพยาบาลแจ้งข่าวว่านายฉลองที่มีอาการทางประสาทพูดจารู้เรื่องให้การได้แล้ว ธารินทร์กับอุษาจึงรีบร้อนออกไป โดยมีหมอผันติดตามมาด้วยเพราะวิญญาณลั่นทมขอร้อง
ลั่นทมไม่ต้องการให้อุษาเอาเรื่องฉลองเพราะกลัวเขาซัดทอดมาถึงชีพ แล้วเธอจะไม่ได้อยู่กับเขาต่อไปที่สุสาน เธอบอกหมอผันที่มีอาการหวาดผวาว่า
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ไม่มีใครเห็นทม”
หมอผันพยักหน้าหงึกๆ ขณะที่หมอวัฒนาพูดคุยกับธารินทร์
“เขาเป็นปกติดีเมื่อซักพักนี่เอง ผมก็เลยรีบโทร.ไปบอก กลัวจะเป็นอะไรไปอีก”
ในที่สุด ฉลองก็ยอมรับสารภาพเรื่องจะทำมิดีมิร้ายอุษาเพราะรสสุคนธ์กับนฤมลเป็นคนสั่ง โดยชีพก็ร่วมด้วย แต่ตนทำไม่สำเร็จเพราะเจอผีหลอกเสียก่อน
ธารินทร์จะดำเนินคดีกับฉลองตามกฎหมายแต่อุษาซึ่งเป็นเจ้าทุกข์กลับบอกว่าไม่เอาเรื่อง ให้ปล่อยเขาไป ธารินทร์ตามใจแฟนสาว แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมอยู่ๆอุษาเปลี่ยนไป
เพราะลั่นทมนั่นเอง เธอสะกดอุษาให้พูดอย่างนั้น!
ooooooo
หวานเพิ่งเห็นเด็กหญิงต้อยติ่งที่ถูกทิ้งให้อยู่กับสวาท ถามกันไปซักกันมาก็เลยรู้ว่าพวกอุษาไปโรง-พยาบาลเพราะหมอแจ้งว่าฉลองให้การได้แล้ว หวานใจไม่ดีรีบขึ้นไปบอกรสสุคนธ์กับนฤมลแล้วย้ำว่า
“ยังไงเจ้าฉลองมันก็ต้องซัดทอดแกแน่ๆ เตรียมตัวเข้าไปนอนในคุกเถอะ”
หวานกลับออกไป สองสาวมองหน้ากันอย่างกลัวๆ เมื่อพวกอุษาพากันกลับมา ทุกคนลงมาพร้อมหน้า หวานถามอุษาว่านายฉลองว่ายังไงบ้าง
“นายฉลองบอกว่ารสสุคนธ์กับนฤมลเป็นตัวการค่ะ”
สองสาวหน้าซีดเผือด หวานหันมาจ้องอย่างเกลียดชัง
“พวกสารเลว แกทำได้ยังไง ไปเลย...ไสหัวไปอยู่ในคุกเสียให้เข็ด”
“แต่ษาไม่เอาเรื่อง” ธารินทร์เอ่ยขึ้น หวานซึ้งใจ สั่งสองสาวให้กราบขอโทษและขอบคุณอุษา แต่รสสุคนธ์กลับพูดหน้าตาเฉยว่า
“ที่เขาไม่เอาเรื่องก็เพราะคนมันบ้า เชื่อถือไม่ได้ ขึ้นศาลก็หลุด เสียเวลาเปล่าๆ ไม่ใช่ว่าเขามีจิตเมตตาอะไรหรอกน้า แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้สั่ง ฉันไม่รู้เรื่อง ถ้าคิดจะเล่นงานฉันก็หาหลักฐานดีๆ ที่ไม่ใช่คนบ้า”
พูดจบเธอเดินลอยชายขึ้นข้างบนไป นฤมลชิ่งอีกคน หมอผันส่ายหน้า พูดไล่หลังว่าใครก่อเวรอะไรไว้หนีไม่พ้นหรอก รู้ตัวก็หยุดซะก่อนจะสาย...
“น้าหวานบอกรสสุคนธ์ให้ไปทำงานนะคะ จะได้มีเงินใช้ จะได้ไม่เดือดร้อนจนต้องคิดบ้าๆอีก”
“น้าขอโทษแทนมันด้วยนะคะคุณอุษา แล้วก็ขอบพระคุณค่ะที่ไม่ลากคอมันเข้าตะราง”
หวานยกมือไหว้อุษาแล้วตามหลานสาวขึ้นไปข้างบน สวาทอดรนทนไม่ได้ เตือนอุษาระวังจะเป็น
ชาวนากับงูเห่า เพราะคนอย่างรสสุคนธ์ไว้ใจไม่ได้...อุษาไม่พูดอะไร ได้แต่ถอนใจเหนื่อยหน่าย
รสสุคนธ์เข้ามาในห้องนอนด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยวฮึดฮัด บ่นกับนฤมลที่เดินตามเข้ามาติดๆ
“ฉันรู้ทันมันหรอกน่า ไอ้ฉลองมันไม่ได้ซัดทอดมาที่เราหรอก โธ่เอ๊ย ถ้าซัดทอดมีหรือมันจะปล่อยเราไว้...ทำเอาบุญคุณ ทุเรศ”
หวานเข้ามาได้ยินเต็มสองหู มองรสสุคนธ์อย่างเกลียดชัง “ยัง...ยังไม่สำนึก ถ้าไม่อยากอดตายพรุ่งนี้แกไปทำงานซะนังรส คุณอุษาเธอมีเมตตาให้โอกาสแก จะได้ไม่อดตาย”
“ไม่ทำ” รสสุคนธ์สวนทันควันจนหวานโกรธหน้าดำหน้าแดง
“นี่นังรส...เขาให้อภัยยังไม่รู้สำนึกก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วนะ”
“ให้อภัย เชอะ คิดซิน้าหวาน จะมีมนุษย์คนไหนดีได้ขนาดนี้ น้าอย่าโง่ไปหน่อยเลย เป็นเพราะมันไม่มีหลักฐานต่างหาก”
“ถ้างั้นแกจะเอายังไงต่อไป ผัวแกก็หายหัวไปไหนแล้วไม่รู้”
“นั่นสิ ถ้าคุณชีพตายจริงก็ต้องเจอศพ หรือถ้าอยู่ในสุสานก็ต้องเจอตัว หรือว่าน้องรสจะไปตามคุณชีพที่คอนโดฯอีก แต่คราวนี้พี่ไม่ไปด้วยหรอกนะ บอกตรงๆว่ากลัวต้องไปนอนในป่าช้ารถยนต์อีก” นฤมลรีบออกตัว
“พูดถึงในสุสาน ตกลงไอ้ข้าวของที่แตกกระจายมันฝีมือใคร แกหรือเปล่านังรส”
“โอ๊ย...น้านี่ขยันหาเรื่องให้ฉันเสียจริงๆ ไปนอนเถอะไป รำคาญ”
“เออ ข้าก็รำคาญเอ็ง เกลียดขี้หน้าด้วย” หวานเดินหน้าตึงออกไป รสสุคนธ์มองตามตาขวาง โวยวายอย่างหงุดหงิด
“โธ่เว้ย! แล้วนี่คุณชีพเขาตายแล้วหรือยังอยู่กันเนี่ย ทำไมหายเงียบไปแบบนี้ โอ๊ย...อยากจะบ้า!”
ooooooo
ฉลองหนีออกจากโรงพยาบาลย้อนกลับมาที่บ้านลั่นทมเพื่อขอเงินจากรสสุคนธ์ไปหาแฟนที่ต่างจังหวัด แต่อีกฝ่ายเล่นแง่ว่าจะให้ก็ต่อเมื่อเขาต้องทำงานให้เธออีกครั้ง ด้วยการไปพาแฟนมายั่วยวนธารินทร์เพื่อให้เขากับอุษามีปัญหาแตกแยกกัน...
อุษายังคงทำหน้าที่ของหลานที่ดีนำเครื่องเซ่นไปสุสานทุกวัน แต่วันนี้ลั่นทมต้องการอาหารมากกว่าเดิมเผื่อชีพที่ยังถูกขังอยู่กับตน จึงมาดลใจให้ฉ่ำบอกสวาทซึ่งเป็นคนจัดอาหาร อุษาเข้ามาเห็นก็ยิ่งเชื่อว่าชีพต้องอยู่ในสุสาน
หลังจากเตรียมอาหารพร้อมแล้ว อุษา หมอผัน และฉ่ำพากันไปที่สุสาน ลั่นทมสะกดไม่ให้ใครเห็นเธอกับชีพ ยกเว้นหมอผันคนเดียว แต่ย้ำกับแกเหมือนเดิมว่าอย่าบอกใครว่าชีพอยู่กับเธอ
อุษาเริ่มสงสัยในท่าทีของหมอผัน บางครั้งเหมือนแกพูดกับใคร แต่พอถามก็บอกว่าไม่มีอะไร
“เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” หมอผันบอกอุษาและฉ่ำ ก่อนหันไปจุดธูปควันคลุ้งจนสำลักไอค่อกแค่ก ฉ่ำเลยแนะนำให้เปิดหน้าต่าง อุษาเห็นด้วยเข้ามาช่วย แต่สายตามองกวาดไปทั่ว เชื่อว่าชีพอยู่ในนี้
หมอผันรู้ทันรีบต้อนเธอและฉ่ำออกไป แต่ผ่านไปครู่เดียวอุษาก็กลับเข้ามาเงียบๆ ทำเอาหมอผันสะดุ้งตกใจ ถามว่าเข้ามาทำไมอีก
“คุณลุงหมอแน่ใจนะคะว่าไม่เห็นใครเลย ษากลัวว่าน้าชีพจะอยู่กับคุณน้าลั่นทมด้วย”
หมอผันอึ้ง มองไปที่ลั่นทม เห็นเธอส่ายหน้าจึงตอบอุษาว่า “ไม่...ไม่มีครับ ออกไปข้างนอกเถอะครับ ควันธูปจะทำให้หายใจไม่ออก”
อุษาจำใจกลับออกไปพร้อมหมอผัน ส่วนวิญญาณลั่นทมประคองชีพให้ลุกขึ้น
“ชีพคะ กินข้าวได้แล้วค่ะ”
ชีพแทบสิ้นเรี่ยวแรง หน้าตาอิดโรย เนื้อตัวมอมแมม ปฏิเสธเสียงแหบพร่า
“ไม่...ไม่กิน...ช่วยด้วย”
“กินเถอะค่ะชีพ”
“ร้อน...ฉันร้อน อึดอัดเหลือเกิน” ชีพทุรนทุราย ลั่นทมสงสารแต่ไม่ใจอ่อนให้เขาออกไปนอกสุสานอย่างเด็ดขาด
หมอผัน อุษา ฉ่ำ เดินออกมาไม่ทันพ้นเขตเรือนไทยก็ได้ยินเสียงหน้าต่างปิดไล่เรียงกันทุกบาน ฉ่ำสะดุ้งสุดตัว อุษาตกใจ แต่หมอผันนิ่งเฉย
“เฮ้ย...หน้าต่างปิดเอง!” ฉ่ำร้องลั่น ขาสั่นพั่บๆ
“ไม่ต้องตกใจ ทำเฉยๆ ไม่มีอะไร”
คำพูดของหมอผันทำให้อุษายิ่งสงสัย ถามคาดคั้นว่า “ไม่มีแล้วทำไมหน้าต่างปิดเองได้ตั้งหลายบานอย่างงั้นล่ะคะ แล้วทำไมคุณลุงไม่แปลกใจเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปทำงานเถอะหนู ลมคงจะพัดปิดเอง”
อุษามองหมอผันอย่างข้องใจแล้วหันกลับไปทางสุสาน “ษาว่ามันต้องมีอะไรแน่ ษาจะเข้าไปดูในสุสาน”
“อย่า...หนูอุษา” หมอผันร้องเสียงหลง ฉ่ำรีบขวาง ชวนเธอกลับ ตนกลัวจะแย่แล้ว
“กลัวก็หลีกไปนายฉ่ำ ษาต้องรู้ให้ได้ ษาสงสัยอยู่แล้วเชียว ษาจะไม่ยอมให้คุณน้าทำบาป”
อุษาเดินอย่างว่องไวตรงกลับไปสุสาน หมอผันตัดสินใจก้าวตาม ฉ่ำมองซ้ายขวาแล้วตามติดอย่างหวาดกลัว
ทันทีที่เข้ามาในสุสาน อุษาร้องเรียกชีพลั่นไปหมดโดยไม่เห็นว่าลั่นทมกำลังป้อนข้าวเขาอยู่
“น้าชีพคะ อยู่ที่นี่ใช่ไหม น้าชีพส่งเสียงให้ษาได้ยินหน่อย”
หมอผันตามเข้ามาเห็นลั่นทมกับชีพชัดแจ๋ว ส่วนฉ่ำยืนลับๆล่อๆอยู่ที่ประตู
“คุณน้าคะ ถ้าคุณน้าเอาตัวน้าชีพไว้ก็ปล่อยเขาออกมาเถอะค่ะ อย่าทำบาปเลย ษาขอร้อง”
ภายในสุสานเงียบสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อุษายืนเคว้ง มองมุมไหนก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ
“เห็นไหม ก็บอกว่าไม่มีอะไร”
อุษาถอนใจเดินออกจากสุสาน หมอผันมองลั่นทมปรนนิบัติชีพอย่างเต็มอกเต็มใจ ท่าทางมีความสุขมาก ลั่นทมเงยหน้าพูดกับหมอผันทั้งน้ำตาซึมๆ
“นานแล้วที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ ทมมีความสุขเหลือเกิน อย่าให้ใครมาพรากชีพไปจากทมนะคะลุงหมอ”
ลั่นทมกอดชีพที่เหมือนคนไร้สติ ไร้ความรู้สึก หมอผันตัดใจปิดประตู...เสียงลั่นทมร้องเพลงกล่อมชีพดังออกมาเยือกเย็นและวังเวง
ooooooo
อุษาไปพบจรัลถึงบ้าน เล่าเรื่องราวที่ตนเองสงสัยและเหตุการณ์น่าประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เขาฟังเพื่อปรึกษาหารือและขอความช่วยเหลือ
“ถ้าเป็นอย่างที่เล่า ผมก็เชื่อว่าหมอผันต้องพบอะไรแน่ ไม่งั้นแกคงไม่กลับเข้าไปอีกครั้งหรอก”
“ษาก็มั่นใจค่ะ ษาถึงต้องมารบกวนคุณจรัลแต่เช้า ช่วยษาด้วยนะคะ ษารู้ว่าคุณไม่อยากยุ่ง แต่คุณช่วยบอกคุณน้าให้ไปผุดไปเกิดเสียที อย่าเพิ่มบาปอีกเลย ปล่อยน้าชีพไปเถอะ”
“ก็ได้ ผมจะลองไปสัมผัสดู”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ”
“ไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“แต่ษาต้องต้อนรับลูกค้าจากต่างประเทศค่ะ เขาจะมาชมโรงงาน”
“ไม่เป็นไร งั้นผมจะไปคนเดียว”
จรัลไปถึงสุสานอย่างรวดเร็วทันใจ เขาเดินสำรวจเรือนไทยด้านนอกแล้วพนมมือขึ้นพึมพำ
“ผมไม่ได้มาลองดีหรือท้าทายอะไร ผมขออนุญาตนะครับ”
เขาเดินเข้าไปภายในสุสาน จุดธูปแล้วถอยมานั่งหลับตารวบรวมสมาธิ...ชั่วครู่ ร่างลั่นทมและชีพปรากฏขึ้นบนเตียง ชีพนอนลืมตาโพลง ลั่นทมนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ จ้องมองมาที่จรัล
จรัลลืมตาเห็นลั่นทมก็ผงะเล็กน้อย ค่อยๆถอยไปใกล้ประตูเพราะเธอเคลื่อนตัวเข้าหา แต่เมื่อสังเกตท่าทางเธออ่อนโยนไม่มีวี่แววว่าจะทำร้ายก็เบาใจ
“คุณลั่นทม...คุณทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติมาก รีบปล่อยคุณชีพออกไปเถอะ”
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมเห็นทีต้องนิมนต์หลวงพ่อมาที่นี่”
“อย่าให้พระต้องมาเดือดร้อนด้วยเลยคุณจรัล”
“แต่คุณเอาเขามาทรมาน คุณกำลังทำบาป”
“ทมยอมชดใช้หนี้กรรมแม้จะยาวนานเพียงไหนก็ตาม ชีพเคยสัญญาว่าจะอยู่กับทมก็ต้องอยู่ ขอร้องนะคะอย่าบอกใคร”
จรัลมองชีพที่สิ้นเรี่ยวแรง แต่พยายามร้องขอความช่วยเหลือเสียงแหบแห้ง ภาพนั้นทำให้หนุ่มใหญ่ถึงกับสลดหดหู่ใจ ขอร้องลั่นทมอย่าทำร้ายเขามากกว่านี้เลย
“ไปได้แล้วคุณจรัล ทมจะอยู่กับชีพ เวลาทมมีน้อย ทมจะไม่ยอมให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด กลับไปซะ”
จรัลนิ่งอึ้ง แน่ใจว่าพูดยังไงอีกฝ่ายก็ไม่รับฟังและทำตามอย่างแน่นอน
ooooooo
อุษาไม่เป็นอันทำงาน เฝ้ารอฟังข่าวจากจรัลอย่างจดจ่อ จนกระทั่งจรัลติดต่อมาก่อนขับรถไปหาถึงโรงงาน เธอรีบร้อนออกมาพบเขาที่ลานจอดรถ ถามอย่างลุ้นๆว่า
“เป็นยังไงบ้างคะคุณจรัล”
จรัลท่าทีลังเลก่อนตอบว่าตนสัมผัสอะไรไม่ได้เลยจริงๆ อุษาจ้องหน้าไม่เชื่อแต่ไม่รบเร้า ได้แต่บอกว่าถ้างั้นตนก็ต้องหาวิธีอื่น
“วิธีอื่น วิธีไหนเหรอ”
อุษานิ่งเงียบ จรัลมองอย่างหนักใจปนสงสัย... หลังจากนั้นอีกไม่นาน อุษาไปพบธารินทร์ที่โรงพัก ยืนยันว่าตนไม่เชื่อที่จรัลบอกว่าไม่พบอะไร
“อาจไม่มีอะไรจริงๆก็ได้นะ ทั้งพ่อทั้งคุณจรัลก็พูดตรงกัน”
“รินทร์คะ แล้วทำไมเครื่องเซ่นถึงกระจายอย่างนั้น และทำไมคุณลุงหมอถึงกลับเข้าไปในสุสานอีก ท่านเอาอาหารไปอีกชุดไงคะ ลุงฉ่ำก็เพิ่มอาหาร แล้วอาหารก็หายไปหมด”
“ษา...เราพูดกันหลายหนแล้วนะ”
“แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ไม่เป็นไร ษาจะหาคำตอบด้วยตัวษาเอง”
“ษาจะทำยังไง”
“ษาจะไปหาหมอผี”
ธารินทร์ตกใจพยายามห้ามแฟนสาว “ผมขอร้องอย่าไปหาหมอผีเลย ให้ผมปรึกษากับพ่ออีกทีนะษา”
หมวดหนุ่มทำตามอย่างที่พูดโดยเร็ว โทร.ปรึกษาหมอผัน แต่รายนั้นกำลังอึดอัดลำบากใจ จึงได้แต่รับฟังว่าอุษาจะไปหาหมอผี
“เออๆ แล้วค่อยคุยกัน” หมอผันวางสายพร้อมกับพ่นลมหายใจหนักหน่วง “เฮ้อ แล้วจะเอายังไงดีวะ หนูอุษาก็จะให้ไปหาหมอผีอีก คุณนายก็ขอร้องไม่ให้ยุ่ง โอ๊ยปวดหัว จะทำยังไงดี”
หมอผันคิดหนักถึงกับนั่งกุมขมับ สุดท้ายผุดลุกขึ้นยืนบอกกับตัวเองว่า “เอาวะ เป็นไงเป็นกัน จะปล่อยให้คุณชีพตายทั้งเป็นอย่างนั้นไม่ได้”
ไม่นานนัก หมอผันถึงบ้านลั่นทม ชวนนายฉ่ำที่กำลังหลับสบายไปที่สุสานเพื่อทำการบางอย่าง แต่ลั่นทมเหมือนรู้แกว มาปรากฏตัวให้หมอผันเห็นแล้วปรามว่า
“ทมบอกแล้วไงคะว่าห้ามไม่ให้บอกใคร”
“แต่คุณนายทำไม่ถูก”
ฉ่ำสะดุ้ง หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง สงสัยว่าหมอผันพูดกับใคร แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
“ไม่ถูกยังไงคะ ตอนมีชีวิตอยู่เขาทิ้งทมไป ทมบังคับเขาไม่ได้ ก็เพิ่งจะมีความสุขสมใจที่เขาอยู่กับทมตอนนี้”
“แต่เขายังไม่ตาย ไปอยู่แบบนั้นก็เท่ากับตายทั้งเป็น”
“ใคร? ลุงพูดกับใคร” ฉ่ำถามระรัว แต่หมอผันบอกให้เขาเฉยไว้ ลั่นทมเริ่มมีแววดุร้ายผลักฉ่ำให้หลีกแล้วเจรจากับหมอผันต่อไป
“ทมเคยตายทั้งเป็นมาแล้ว ทำไมชีพจะเป็นบ้างไม่ได้”
“มันบาป บาปทั้งคุณนาย บาปทั้งผมที่รู้แล้วไม่ช่วย”
“แต่ถ้าใครไปช่วย ทมจะถือว่ารังแกทม แล้วจะว่าทมใจร้ายไม่ได้นะคะ”
ลั่นทมเลือนหายไป หมอผันลืมตัวเรียกชื่อเธอดังลั่น ฉ่ำได้ฟังถึงกับตาเหลือก ปากพะงาบๆก่อนจะล้มหงายตึงเป็นลมไป
ooooooo
ขณะเดียวกันมุมหนึ่งในบ้าน นฤมลกับรสสุคนธ์นั่งหน้าเครียดปรับทุกข์กันตามลำพัง
“พี่ว่าทางรอดตอนนี้คือน้องรสต้องไปทำงานจะได้มีทางได้เงินใช้บ้าง”
“เรื่องอะไรฉันต้องไปเหนื่อย”
พูดแล้วรสสุคนธ์มองไปเห็นชามเบญจรงค์ชุดใหญ่ในตู้โชว์ “นั่นไงทางรอดชั่วคราวของเรา ของพวกนี้เป็นของเก่าคงได้ราคามากอยู่เหมือนกัน ตอนแรกฉันว่าจะขนเสื้อผ้านังลั่นทมไปขายต่อให้ไอ้พวกขายเสื้อผ้าเก่าๆ แต่คงไม่มีราคา สู้ของพวกนี้ไม่ได้”
“แต่พี่ไม่เห็นด้วย เดี๋ยวพอไปถึงร้านมันก็คงกลายเป็นชามสังกะสีเก่าๆอีกแน่”
ลั่นทมอยู่มุมห้องมองดูรสสุคนธ์อย่างสังเวช แล้วผลักอย่างแรงจนเธอเซล้มก้นกระแทกพื้น นึกว่านฤมลผลักก็เลยโวยวายอย่างไม่พอใจ
“พี่มลไม่เห็นด้วยก็ช่าง ทำไมต้องมาผลักฉันด้วย มันเจ็บนะ”
นฤมลเหวอเพราะตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พอนึกได้ว่าอาจเป็นผีลั่นทมก็รีบวิ่งออกจากห้องอย่างหวาดผวา
ด้านหมอผันที่พยายามจะหาแนวร่วมไปที่สุสานเพื่อช่วยชีพออกมาให้ได้ เขาเดินมาเจอสมพรกับวิเวกหลับอยู่ใต้ต้นไม้ แต่ไม่ทันจะปลุกสองหนุ่ม ลั่นทมก็ปรากฏร่างเสียก่อน บอกว่าตนทำให้สองคนนี้หลับเอง
“ทมขอร้องอีกครั้ง ลุงหมอกลับไปเสียเถอะ”
“ก็ได้ แต่คุณนายต้องปล่อยคุณชีพให้กลับมา”
“ทมยังไม่ปล่อยค่ะ”
“ถ้าไม่ปล่อยผมต้องไปช่วย เป็นอะไรก็เป็นกัน”
ลั่นทมเริ่มโกรธที่หมอผันดึงดัน เป็นจังหวะที่วิเวกกับสมพรรู้สึกตัว ทั้งคู่สงสัยว่าหมอผันทะเลาะกับใคร แต่ไม่ได้คำตอบ แถมแกจะให้ไปที่สุสานด้วยกัน
ไม่มีทาง! ลั่นทมไม่ยอมอย่างเด็ดขาด สะกดสองหนุ่มให้เดินกลับเข้าบ้านไม่ให้ความร่วมมือกับหมอผัน
ooooooo
รสสุคนธ์หงุดหงิดงุ่นง่านเดินไปชะเง้อหน้าบ้าน บ่นถึงชีพที่หายไปหลายวันไม่กลับมาเสียที นฤมลท่าทียังกลัวผีลั่นทมไม่หาย เดินตามมาเซ้าซี้รสสุคนธ์ว่าเมื่อสักครู่ตนว่าเราโดนวิญญาณคุณนายลั่นทมผลักแน่ๆ
รสสุคนธ์ไม่ออกความเห็นแต่มองนฤมลอย่างรำคาญ พอดีเหลือบเห็นธารินทร์เดินมาจึงปรี่ไปทักทันที
“หมวดมาก็ดีแล้ว ฉันอยากแจ้งความเรื่องคุณชีพหาย”
“ผมกำลังตามหาเขาอยู่ คิดว่าน่าจะเจอเร็วๆนี้” พูดจบหมวดธารินทร์เดินตามอุษาไปทางสุสาน ไม่สนใจรสสุคนธ์ที่นิ่วหน้าบ่นด้วยความสงสัย
“หมายความว่ายังไง แล้วสองคนนั่นไปทำไมที่สุสาน”
ขณะที่อุษากับธารินทร์มุ่งหน้าไปโดยไม่รู้ว่าหมอผันอยู่ในสุสาน กำลังรบรากับลั่นทมเพื่อจะช่วยชีพออกไปให้ได้ แต่ลั่นทมไม่ยอม ถึงขนาดขู่ว่าถ้าหมอผันช่วยเขา ตนก็จะเอาชีวิตเขาเดี๋ยวนี้
“พ่อ” เสียงธารินทร์ดังแว่วมา...วิญญาณลั่นทมหายวับไปทันที
ธารินทร์ อุษา และพวกฉ่ำชักแถวเข้ามาเผชิญหน้าหมอผัน
“พ่อก็คิดเหมือนผมใช่ไหมว่าคุณชีพอาจอยู่
ในสุสานนี่” ธารินทร์จู่โจมจนหมอผันอึกอักไม่กล้าบอก ลูกชายเลยตัดบทเร็วจี๋ว่า “เอางี้ก็แล้วกัน พวกลุงฉ่ำแยกย้ายกันหารอบนอก ผมจะหาในสุสานนี้กับพ่อและษา”
ทุกคนแยกย้ายกันค้นหาชีพ...ส่วนที่บ้านใหญ่ รสสุคนธ์ซึ่งสงสัยในคำพูดของธารินทร์เมื่อสักครู่ตัดสินใจชวนหวานกับนฤมลตามไปที่สุสาน
เมื่อไปเห็นพวกอุษาพยายามสื่อสารกับวิญญาณลั่นทมเพื่อให้ปล่อยชีพออกมา รสสุคนธ์โวยวายตะโกนเรียกชีพด้วยความมั่นใจว่าเขาต้องอยู่ในนี้แน่ แต่ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล นฤมลเลยโพล่งขึ้นว่า
“แบบนี้คงต้องพึ่งทางไสยศาสตร์แล้วล่ะน้องรส”
ลั่นทมตกใจรีบบอกหมอผัน “อย่าให้เขาใช้เวทมนตร์หาคุณชีพนะคะลุงหมอ”
หมอผันอ้ำอึ้ง แล้วได้ทีชิงตอบเมื่อรสสุคนธ์ถามธารินทร์แน่ใจใช่ไหมว่าชีพกินอาหารในชุดเครื่องเซ่น
“อาจจะเป็นหนูก็ได้นะ”
“หนูอะไรจะกินจุขนาดนี้” อุษาท้วงขึ้นมา หมอผันอ้อมแอ้มว่ามันคงมากันหลายตัว
“พ่อ...หนูมันกินข้าวด้วยช้อนส้อมเหรอ”
ธารินทร์แย้งเสียจนหมอผันพูดไม่ออก ในที่สุดทุกคนก็พากันกลับออกมาด้วยความผิดหวัง
ooooooo
ทุกคนพากันเข้ามาในบ้าน หลังจากค้นหาชีพไม่เจอ รสสุคนธ์กับนฤมลนิ่งฟังพวกสวาทซุบซิบกันว่าต้องเป็นผีคุณนายลั่นทมแน่ๆที่ทำให้พวกเราไม่เห็นคุณชีพ
รสสุคนธ์กัดฟันแน่นเคียดแค้นลั่นทม แต่นฤมลห่วงเรื่องปากท้อง อยากให้รสสุคนธ์ไปทำงานจะได้มีเงินใช้
“เอ๊ะ พี่มลนี่ยังไงนะ ห่วงแต่เงิน ถ้าเราเจอคุณชีพเรื่องเงินน่ะเรื่องเล็ก ฉันชักจะแน่ใจว่าคุณชีพต้องอยู่ในสุสาน...มานี่” รสสุคนธ์ดึงแขนนฤมลหลบขึ้นไปชั้นบน
ส่วนกลุ่มสวาทยังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผีลั่นทมกักขังชีพกันไม่จบ จนกระทั่งหวานต้องเข้ามาปรามถึงยอมแยกย้าย...ฝ่ายรสสุคนธ์พานฤมลเข้ามาในห้องนอน พูดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นว่า
“ฉันว่าคุณชีพต้องโดนนังลั่นทมเอาตัวไปขังไว้ในสุสาน มันคงพรางตาพวกเราไม่ให้เห็นชีพ ฉันเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาตอนอยู่บ้านเก่า”
นฤมลหน้าเสีย ขยับเข้ามาใกล้รสสุคนธ์ด้วยท่าทีหวาดๆ “น้องรส...พี่อยากย้ายจากที่นี่ ท่าทางไม่ค่อยดี”
“ฟังนะ ถ้าคุณชีพยังไม่ตาย เราต้องช่วยเขาออกมาให้ได้ ถ้าสำเร็จเราก็สบาย”
“ถ้าไม่สำเร็จล่ะน้องรส เราไม่ต้องเป็นศพเหรอ พี่กลัว”
“ถ้าพี่มลอยากสบายก็ต้องกล้า ดูรสสิ รสไม่กลัวเลยเห็นไหม รสมีวิธีที่จะช่วยคุณชีพแล้ว”
นฤมลสังเกตสีหน้าท่าทีของอีกฝ่ายแล้วเดาใจได้ถูกเผง “หมอผี!” รสสุคนธ์ยิ้มรับ มั่นใจมากว่าคราวนี้ต้องสำเร็จ
ooooooo










