สมาชิก

เพลงรักบ้านนา

ตอนที่ 4

เมื่อรู้ว่าถูกเศรษฐีบุญช่วยวางแผนโดดเดี่ยวพวกตน ศรีไพรพยายามผูกมิตรกับชาวบ้าน ไปที่สวนผัก เก็บผักได้ใครผ่านมาก็เอาให้ แต่ไม่มีใครรับเลย ซ้ำยัง เมินหน้าหนีด้วย

ครู่หนึ่ง เมิน ทวน ทอก และหมอก กำลังจะไปนาแต่ หาเรื่องเดินผ่านมาทางนี้เผื่อจะเจอศรีแพรเพราะเธอมักจะมาสวนตอนเช้าๆ แต่ผิดคาด เพราะเดี๋ยวนี้ศรีแพรถูกพ่อสั่ง เก็บไว้ในห้อง ยกเว้นเวลาไปนา

สี่หนุ่มสีหน้าผิดหวัง ศรีไพรสั่งให้ไปนากันได้แล้ว เดี๋ยวตนจะตามไป ไม่ลืมย้ำประชดว่าทีหลังไม่ต้องเดินอ้อมโลกมาผ่านหน้าบ้านตน ไม่ยังงั้นตนจะ...

ศรีไพรพูดแค่นี้ พวกนั้นก็โกยแนบไปแล้ว แต่ก็เกือบถูกขอนไม้ที่ศรีไพรขว้างตามหลังมา

เมื่อไปถอนกล้าที่ท้องนา พรคุมเข้มพวกหนุ่มๆ ปรากฏ ศรีไพรถอนกล้าไม่ขึ้น ทวนจัดแจงไปช่วยเอามือจับทับมือศรีไพร นับหนึ่งถึงสามแล้วดึง อึ๊บบบบ...

ปรากฏว่าทั้งทวนและศรีไพรหงายก้นจ้ำเบ้า ทั้งหน้าตาทั้งเนื้อตัวเลอะโคลน เลยพากันหัวเราะขำกันเอง ระหว่างนั้น เมินฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจขยับไปจับมือศรีแพรบ้าง

ใครๆ เผลอแต่พรไม่เผลอ วิ่งผ่ากลางทั้งสองชนจนกระเด็นแยกจากกัน แล้วหันไปทางทวนกับศรีไพร ตะโกน

“เฮ้ย! ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ไอ้ทวน ปล่อยมือลูกสาวของข้า

เอ็งนึกว่าข้าไม่รู้ใช่ไหม ว่าเอ็งคิดอะไรกับไอ้ศรีไพรมัน กล้าต้นแค่นี้ถอนไม่ขึ้น...มา...ข้าจะถอนให้ดู”

ปรากฏว่าพรถอนสุดแรง หงายหลังผลึ่งโคลนกระจาย พวกหนุ่มๆ พากันขำคิกคัก แต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะ

ooooooo

เศรษฐีบุญช่วยโกรธแค้นมาก ที่ทวนกับเมินไป ช่วยพรทำนา หลิมสอพลอว่า ทวนกับเมินต้องมีแรงบันดาลใจอะไรแน่ๆ ถึงไปช่วยพรกันตัวเป็นเกลียว ชาริณีบอกว่าสองคนนี้จะจีบลูกสาวพร ตนไปชวนมาอยู่ด้วยถึงไม่มา

“ถ้าเสน่ห์บทนี้มันด้าน ก็ยังมีเวทมนตร์อีกบท” สไบเสนอ ชาริณีถามว่าอะไร สไบเชิดหน้าตอบว่า “เงิน!”

ได้ความคิดจากสไบแล้ว ชาริณีใช้ทั้งเสน่ห์และเวทมนตร์ แต่งสั้นโป๊เอาเงินมาเป็นฟ่อนไปที่คันนาที่ทวนกับเมินและพวกเพิ่งขึ้นจากนา เอาเงินออกมาโบกยั่วน้ำลายก่อน แล้วประกาศว่า

“ถ้าตกลงรับปากกับฉันว่าจะไปเป็นพวกของพ่อฉันเงินปึกนี้เอาไปเลย”

หมอกกับทอกตาลุกไม่เคยเห็นเงินขนาดนี้ ทวนแกล้งบอกชาริณีว่าพวกตนมีกันทั้งสี่คน ชาริณีบอกว่าจะรวมมหาเฉื่อยกับหลวงตาตลอดจนเด็กวัดเข้ามาด้วยก็ได้ ตนมีเงินซื้อได้ทุกคน

ทวนกับเมินที่ไม่หลงมนตราของเงิน ต่างก็พูดแง่โน้นแง่นี้ก่อกวน ถามชาริณีว่าจะซื้อแบบแพ็กเกจ หรือจะมี ผ่อนดาวน์หรือจะเอาทั้งซื้อทั้งแถม

“ใช่ครับ เรื่องธุรกิจซื้อขายนี่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เอายังงี้ไหมครับ ให้พี่ชายคุณมาเจรจาซื้อขายเอง” เมินเสนอ

ชาริณีถามว่าที่ไหน ทวนบอกว่า “ป่าช้า”

ooooooo

เมื่อชิงชัยไปตามนัด เขาสงสัยว่าก็แค่รับเงินแล้วมาเป็นพวกเราเท่านั้น ทำไมต้องไปที่ป่าช้า ซ้ำยังนัดตอนตีหนึ่งด้วย

ไม่ทันไรก็มีเสียงหมาหอนดังขึ้น ชิงชัยขนลุกซู่ สั่งหลิมให้ยิงเลย หลิมถามเสียงสั่นว่าได้ยินแต่เสียงไม่เห็นตัว จะยิงยังไงแล้วก็ร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาดึงขาตัวเองไว้ เลิศบอกว่าคงเป็นเถาวัลย์

แต่พอมองจริงๆ กลายเป็นมือที่มีแต่กระดูกมาดึงขาหลิมไว้ หลิมร้องเสียงหลง ชิงชัยทำปากกล้าบอกให้ดูดีๆ พอเลิศดูดีๆ ก็ยิ่งร้องเสียงดังว่าผีจริงๆ ด้วย แล้วพากันโกยแนบ

ที่แท้ทอกไปนอนในหลุมเอาโครงกระดูกมือมาแกล้งหลอกพวกชิงชัย พอพวกนั้นหนีไป ทอกพูดอย่างสะใจว่า

“ฮึ...ให้มันรู้ซะบ้างว่า ไอ้ที่บอกว่าผีไม่มีในโลกน่ะ มันต้องเจอยังงี้...”

พวกชิงชัยหนีกันป่าราบ แต่หาทางออกไม่เจอ ชิงชัยถามหลิมกับเลิศว่าทางออกอยู่ไหน มีเสียงเย็นเยียบบอกว่า “ทางนี้” พวกมันถามกันว่าทางนี้นะทางไหน มีเสียงตอบมาแบบเดิมว่า “ก็ทางนี้ไง...”

พวกชิงชัยเริ่มสงสัยถามว่าเสียงใคร มาจากไหน มีเสียงตอบมาว่า “กูเอง...” แล้วก็มีหัวพุ่งลงมาจากต้นไม้ พวกชิงชัยแผดเสียงลั่นแล้ววิ่งหนีกันตัวใครตัวมัน

ที่แท้หมอกมาทำผีหลอกพวกนั้น รีบทิ้งตัวลงจากต้นไม้กวักมือเรียกบอกว่าอย่าไปทางนั้นให้มาทางนี้ พลางชี้ไปที่กองฟืนเผาศพที่ไฟกำลังลุกโพลง มองไปเห็นร่างๆดำ ของใครคนหนึ่งลุกขึ้นมา เลิศร้องเสียงหลงว่า “ผีกำลังเผาผี...”

“เออว่ะ...ข้ากำลังเผาผี” เสียงเมินตอบมาน่าขนลุก พอพวกชิงชัยวิ่งเตลิดไป เมินก็เดินออกมาจากหลังกองไฟ ทำเสียงหัวเราะแหบๆ หลอกส่งท้าย

พอพวกชิงชัยวิ่งไปถึงทางออกป่าช้า ก็ยังเจอทวนอีกด่านหนึ่งที่แถวคูน้ำ ทวนโผล่พรวดขึ้นมาร้อง “โฮกกกกก” พวกชิงชัยก็กระโดดลงคูว่ายน้ำข้ามไปไม่เหลียวหลัง

ooooooo

หลังจากหลอกพวกชิงชัยจนแทบจับไข้หัวโกร๋นกันแล้ว เมิน ทวน หมอก และทอก ก็มาพบกันในสภาพมอมแมมจู่ๆ เมินก็ถามทวนว่า แน่ใจนะว่าคิดไม่ผิด แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทัน

พอทอกซักไซ้ เมินบอกว่าทวนรับเงินจากเศรษฐีบุญช่วยจะไปเป็นสมุนของคนรวย ส่วนตัวจะซื่อสัตย์มั่นคงต่อศรีแพรยอมเป็นทาสรับใช้ยัยมู่ทู่ แต่ถ้ายัยมู่ทู่เผลอเมื่อไหร่ตนจะพาศรีแพรหนี

ทวนสวนไปว่าตนไม่ไป ตนจะอยู่กันท่าเมินอย่างนี้แหละ ถ้าทวนพาศรีแพรหนีตนก็จะพายัยมู่ทู่ออกตามล่า เมินรับไม่ได้ถามว่าทำไมต้องพายัยมู่ทู่ไปด้วย

“เฮ้อ...กูล่ะเบื่อ...” เสียงดังมาจากบนต้นไม้อย่างรำคาญเต็มที

พวกเมินมองหน้ากันเลิกลัก พอถามแล้วไม่มีใครพูด ก็พากันสงสัย มีเสียงออกจากต้นไม้ลงมาอีกว่า

“กูเอง...”

เท่านั้นเอง พวกผีปลอมทั้งหลายก็พากันหนีป่าราบ

ผีที่อยู่บนต้นไม้ ใส่รองเท้าผ้าใบเก่าๆ เปื่อยๆ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ก็กระโดดลงมาที่พื้น...

ooooooo

เช้าวันต่อมา ที่กุฏิหลวงตา มหาเฉื่อยกำลังเอาน้ำมนต์สาดที่เมิน ทวน หมอก กับทอก ที่นอนเป็นตายอยู่ข้างโอ่งน้ำมนต์

“เอา รดให้หมดโอ่งเลย มันจะได้ตื่น เมื่อคืนนี้มันวิ่งแข่งกันร้องเอะอะ หาว่าผีหลอก แล้วมาล้มตัวลงนอนหน้ากุฏิ อาตมานี่แหละท่านมหาเฉื่อย” หลวงตายืนบอกอยู่หน้ากุฏิ

มหาเฉื่อยทำท่าสยอง ถามว่าผีอีกแล้วหรือ คราวที่แล้วตนก็โดนไปเต็มๆแต่หลวงตาไม่เชื่อ หลวงตาบอกว่าท่านบวชตั้งแต่เป็นเณรไม่มีผีตัวไหนกล้าหลอก มหาอ้างว่าเพราะหลวงตามีอาคมแก่กล้า ผีตัวไหนจะมากล้าหลอก

ถูกมหาสาดน้ำใส่ ครู่เดียวเมินก็หลับตาคลานเข้ามากอดขาหลวงตาขอของดีไว้คุ้มตัวด้วย ทวน ทอก หมอก พากันประสานเสียง “ผมด้วย...ผมด้วย...ผมด้วย...”

“เอ็งมีของดีอยู่ในตัวเองแล้วไม่รู้จักใช้ สติไงล่ะ มีสติซะอย่างผีหลอกไม่สำเร็จหรอก คนเรานี่มันเป็นยังไง สติมีไม่ใช้...แต่ไปใช้สตังค์...”

ooooooo

หลวงตาพูดเหมือนจะเห็น เพราะที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย เศรษฐีกำลังสั่งการลูกชาย ลูกสาว และสไบว่า

“เพิ่มเงินให้มันอีกเท่าตัว ให้มันรู้ไปว่าเงินซื้อพวกไอ้ทวน ไอ้เมินไม่ได้ ห้าหมื่นไม่พอเอาไปแสนนึง ถ้าแสนไม่พอ เอาไปให้มันเป็นล้าน”

ชิงชัยถามพ่อว่าไม่แพงไปหรือ ชาริณีบอกว่าถ้าซื้อพวกของศรีไพรเงินแค่นั้นไม่แพง สไบหมั่นไส้เลยถามว่าแล้วไอ้ที่คุยว่าจะดึงพวกนั้นมาใช้ฟรีๆ เหลวแล้วใช่ไหม หรือว่าดีแต่คุย ชาริณีมองขวับตวาดปราม “นังสไบ!”

เศรษฐีบุญช่วยตัดบทก่อนที่ศึกน้ำลายจะระเบิดว่า

“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่า...ไอ้มนุษย์หน้าไหนวะที่เงินซื้อไม่ได้ ข้ามีแผนใหม่ เชือดไก่ให้ลิงดู และไก่ตัวนี้ทันทีที่เชือดสำเร็จ อย่าว่าแต่ชาวบ้านนาเลย ไอ้ศรีไพรกับพ่อของมันก็กลายเป็นลิงร้องเจี๊ยก...เจี๊ยก...”

ชาริณีมองพ่อ ถามว่า ไก่ตัวนี้เป็นใคร...

ooooooo

วันต่อมา พร ศรีไพร และแสนไปนมัสการหลวงตาที่ศาลาวัดบ้านนา หลวงตาบ้วนน้ำหมากก่อนเอ่ยเนิบๆ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเมตตาว่า

“ค่อยคิดค่อยทำค่อยแก้ปัญหาไป ใช้ปัญญาเยอะๆ อย่าไปใช้กำลัง เขาจะหาว่าบ้านนาเรายังเป็นป่าดงดิบ ไอ้ทวนกับไอ้เมินไปช่วยก็ดีแล้ว มันจะได้ทำประโยชน์ให้แผ่นดินที่มันอยู่ มันเป็นเด็กกำพร้าที่ข้าเลี้ยงมา มีอะไรก็ตักเตือนสั่งสอนมัน ขอให้คิดว่าเป็นลูกเป็นหลาน

พรทำท่าจะท้วงติง ศรีไพรชิงพูดขึ้นก่อนว่า

“จ้ะ หลวงตา จะช่วยอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์หลวงตา จะเมตตาเลี้ยงดูประหนึ่งบุตรในอุทรเลยจ้ะ” ถูกพรกัดฟันถามว่ามากไปรึเปล่า “พ่อจ๋า หลวงตาท่านเคยสอนว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลก ไอ้แด่น อีด่าง เรายังเลี้ยงด้วยน้ำข้าว นับประสาอะไรกับคนเราจะเลี้ยงไม่ได้”

เพราะอยู่ต่อหน้าหลวงตา พรเลยไม่กล้าด่าศรีไพร

ขณะนั้นเอง เศรษฐีบุญช่วยเดินนำชิงชัยกับหลิมและเลิศขึ้นศาลามา พอหลวงตาเห็นเศรษฐีเท่านั้นก็หูตึงขึ้นมาทันที พูดเสียงดังให้ได้ยินกันทั่วว่า

“หา...ใครจะกินหมูวะ จะกินหมูก็ต้องระวังนะโยม ไป เจอหมูหินเข้าโยมจะฟันโยก”

มหาเฉ่ือยออกไปต้อนรับเศรษฐีบุญช่วยทักว่าวันนี้มาถึงวัดคงมีเรื่องสำคัญกับหลวงตา

ศรีไพรชวนพ่อกลับกันดีกว่า พลันหลวงตาก็พูดขึ้น อีกว่า

“ใช่ ต้องจับให้หมด ไอ้พวกยาบ้ายาไอซ์ยาอะไรต่อมิอะไรนี่น่ะ มันทำลายชุมชน มันทำเอาคนดีๆกลายเป็นผีตายซากจับเถอะ”

“อ้า...หลวงพ่อขอรับ...”เศรษฐีบุญช่วยพยายามจะพูด ถูกมหาเฉื่อยเข้ามาขออนุโมทนาบุญ ชิงชัยขัดขึ้นว่า

“ยัง...ยังไม่มีการทำบุญ ศรัทธาเกิดเมื่อไหร่ถึงจะทำ มหาเฉื่อยอยู่เฉยๆ เอ็งด้วยไอ้ศรีไพร วันนี้พ่อข้ามาเสนอแนวคิดใหม่ๆให้หลวงตา”

พรถามว่าแนวคิดอะไร เศรษฐีบุญช่วยกับชิงชัยช่วยกัน ชี้แจงว่า จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พัฒนาป่าช้าให้เป็นเขตเศรษฐกิจ พิเศษ ขุดผีไปเผาทิ้ง ศรีไพรถามว่าเผาผีทิ้งหรือ

เศรษฐีบอกว่า “ใช่ เพราะผีตายแล้วจะไปรู้อะไร คนที่ ยังอยู่ ยังต้องร้อนต้องหนาวต้องหิว มีศูนย์การค้าบ้านนาเจริญขึ้น คนก็ทำมาหากินรํ่ารวย แล้วจะไปสนใจอะไรกับผี จริงไหม ท่านมหาเฉื่อย”

ทวนค้านว่า ไม่ได้ถ้าจะเปลี่ยนป่าช้าเป็นศูนย์การค้าต้องขอความเห็นจากชาวบ้าน เศรษฐีรับปากทันทีว่าถ้าอย่างนั้นเราต้อง “ทำประชาพิจารณ์”

ooooooo

พรรับไม่ได้ กลับถึงบ้านก็ด่าว่าไอ้พวกนี้มันหาประโยชน์จากสมบัติของวัด ศรีไพรพูดอย่างรู้กันว่า หลวงตาท่านหูตึง ท่านฟังไม่รู้เรื่องหรอก

พรบ่นอย่างไม่พอใจว่า ชาวบ้านที่นี่เป็นหนี้เศรษฐีกัน ทั้งนั้น ถ้าทำประชาพิจารณ์เศรษฐีก็บีบชาวบ้านให้เห็นด้วยเหมือนเชือดไก่ให้ลิงดู สดถามว่าใครเป็นไก่ ใครเป็นลิง

“พวกเศรษฐีบุญช่วย จงใจบีบหลวงตาให้ชาวบ้านเห็นว่ามันมีอำนาจล้นในบ้านนานี่” ศรีไพรบอกแม่

สดด่าว่าอุบาทว์ ชาติชั่วแท้ๆ ไม่มีใครเห็นด้วยหรอก ถ้าเป็นแบบนั้น คนบ้านนาตายแล้วจะไปอยู่ไหน

“ข้าไม่เชื่อใจคนบ้านนาเหมือนอย่างคนบ้านนาไม่เชื่อใจข้าอีกต่อไปแล้ว” พรโพล่งออกมาด้วยความโกรธแล้วผลุนผลันขึ้นเรือน

ศรีแพรเห็นด้วยกับคำพูดของพ่อ เพราะชาวบ้านเป็นพวกเศรษฐีกันหมด เรามีแค่ไม่กี่คนเราจะต้านพวกมันยังไง ศรีไพรก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน

“คิดให้ออกเร็วๆ ไม่ยังงั้นละก็...ตายแล้วไม่มีที่อยู่ แม่จะขึ้นไปดูพ่อเอ็งหน่อย” สดฝากความหวังไว้กับลูก

“ศรีไพร ทำยังไงดีล่ะ” ศรีแพรถาม ศรีไพรมองหน้าพี่สาวแล้วทอดถอนใจ...

ooooooo

เพราะคิดไม่ตกและยังคิดอะไรไม่ออก ศรีไพรไปเดินดูป่าช้า พึมพำอย่างรับไม่ได้ว่าเป็นศูนย์การค้าแล้วมันดีตรงไหน ทวนตอบว่าดีตรงที่มีที่ทำมาหากิน มีสิ่งก่อสร้างไอ้ที่เรียกว่าความเจริญไง ศรีไพรถามว่า มาทำอะไรแถวนี้ ทวนย้อนถามว่าแล้วเธอมาทำอะไรในป่าช้าไม่กลัวผีหลอกหรือ

เลยถูกศรีไพรประชดว่า เรื่องผีนี่ก็เหมือนกันไม่มีใคร เคยได้ยินว่าวัดบ้านนาผีดุ แต่พักนี้ ตั้งแต่มีเปรตมาอาศัยอยู่ที่ท้ายป่าช้า ผีขยันออกมาหลอกคนเสียจริง

“คุณพูดยังงี้ ผมครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงไม่รู้”

“นั่นแหละเขาเรียกว่าคันคะเยอ ไม่ก็...ร้อนตัว ฉันไม่เชื่อเรื่องผีหรอก ฉันจะพิสูจน์ให้ได้ว่าป่าช้าบ้านนา...ไม่มีผี!”

ooooooo

ข่าวลือเรื่องผีที่วัดบ้านนาดุ ทำให้ศรีไพรชวนแสนไปพิสูจน์กัน แสนกลัวผีบอกพี่สาวว่าไม่เชื่อก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรอก เพราะขนาดพวกชิงชัยมากันตั้งสามคนยังวิ่งกันป่าช้าราบกลับไปนอนจับไข้หัวโกร๋นกันมาแล้ว

ศรีไพรรู้ว่าน้องกลัว บอกว่าถ้าผีมีป่านนี้ก็อยู่กันเต็มบ้านเต็มเมืองไปแล้ว รู้แต่ว่าผีมันจะมากันตอนเลือกตั้งเท่านั้น

แล้วสองพี่น้องก็ต้องผวาเมื่อจู่ๆต้นไม้ก็เขย่า ใบไม้ร่วงพรูทั้งที่ไม่มีลม สองพี่น้องช่วยกันขย่มต้นไม้จะให้ผีหล่นลงมาแล้วก็ได้ผล ผีตกลงมาจริงๆ ศรีไพรรีบเอาผ้ายันต์กันผีที่แอบหยิบของพ่อมายื่นออกไป แทนที่ผีจะหนี ผีกลับยื่นมือมารับ

ศรีไพรตาเหลือกเพ่งมอง จึงเห็นว่าที่แท้แล้ว ที่ยืนตรงหน้าคือลุงขอทานเร่ร่อน ไม่มีที่พักอาศัยจึงมาอยู่ที่ป่าช้านี้นั่นเอง

ooooooo

ฝ่ายพร คอยศรีไพรกับแสนที่หายไปจนดึก

ก็ยังไม่กลับ ไปดูที่คอกไฉไลเฉิดก็ไม่เห็น คอยจนตีสองก็ยังไม่มา ศรีแพรจึงบอกพ่อว่า ตอนหัวค่ำเห็นศรีไพร กับแสนทำท่าแปลกๆ เห็นปลุกพระ สวดมนต์แล้วก็เอาผ้ายันต์กันผีของพ่อไปด้วย

ที่ข้างบ้าน เมินกับทวนต่างคลานกันมาคนละทางหมายดักพบศรีแพร ได้ยินเสียงพรก็แกล้งทำเสียงหมาหอน พรรู้แกว สั่งสดให้พาศรีแพรขึ้นบ้าน แล้วตัวเองย่องไปที่ชานระเบียงเงี่ยหูฟังเสียงหมาหอน พอจับทิศทางได้ก็ยิ้มเหี้ยม

“หน็อยแน่ะ เป็นคนอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ชอบเปลี่ยนสัญชาติเป็นสุนัข เสียงยังงี้ ข้าฟังไม่ผิดหรอก มันต้องนี่เลย นี่แน่ะ!” ว่าแล้วพรก็ยิงไปทางเสียงหมาหอนทันที

ปรากฏว่าหมาปลอมวิ่งกันป่าราบ พรคำรามตามไปอย่างสะใจ “ไอ้พวกผีไม่มีญาติ”

ส่วนศรีไพรถามขอทานว่าเป็นใครมาจากไหน แกบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหนเพราะว่าไม่เคยจำ ศรีไพรพูดอย่างเข้าใจว่าเรื่องราวของลุงคงไม่มีอะไรน่าจดจำลุงเลยไม่จำ ตนเองบางทีก็ไม่อยากจำอะไรได้เหมือนกัน

เมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าป่าช้าไม่มีผี แสนชวนกลับ ศรีไพรลาลุงขอทานกลับ แต่ในใจคิดอะไรบางอย่างอยู่

ooooooo

วันนี้ ที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย เศรษฐีสั่งชิงชัยผู้เป็นลูกชาย ให้เรียกประชุมชาวบ้านทำประชาพิจารณ์ จะได้ใช้เสียงชาวบ้านมาบีบหลวงตาให้ยกที่วัดให้ทำศูนย์การค้าเพื่อความเจริญของชาวบ้านนา สั่งอย่างมั่นใจว่าให้เตรียมรถไถไว้ให้พร้อมเลยประชุมเสร็จจะได้ลงมือทันที

ชาริณีจะขอตามไปดูการทำงานของพ่อด้วย เพราะอยากไปดูว่าศรีไพรจะทำหน้ายังไงเมื่อพ่อตนจะไปไล่ผีออกจากป่าช้าเพื่อเอาที่วัดมาทำศูนย์การค้า

ชาวบ้านถูกเรียกประชุมด่วน พากันเดินไปทางวัด ศรีแพร ศรีไพรกับทวน และเมินกำลังดำนาไปจีบกันไปอยู่

เห็นชาวบ้านพากันเดินไปก็สงสัยว่าเศรษฐีบุญช่วยเรียกประชุมเพื่อทำประชาพิจารณ์แน่ๆ เลยพากันตามไปดู

จริงอย่างที่คาด เมื่อไปถึงลานวัด เจอเศรษฐีบุญช่วยกำลังประชุมชาวบ้าน

เศรษฐีบุญช่วยบรรยายโครงการที่จะทำป่าช้าให้เป็นศูนย์การค้าเพื่อทำให้บ้านนาของเราเจริญ เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อถือ เศรษฐีพูดถึงหลวงตาฉุนว่า

“ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์ก่อนมรณภาพไป สภาพของวัดบ้านนาเคยเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น เพราะท่านเจ้าอาวาสท่านเป็นพระนักอนุรักษ์”

ชิงชัยประสานเสียงว่า ป่าช้าวัดบ้านนากว้างใหญ่ไพศาล มีเนื้อที่เกินใช้สอย ทิ้งให้ผีนอนอยู่เปล่าๆ ไม่เป็นเงินเป็นทอง จึงต้องเปลี่ยนให้เป็นศูนย์การค้า กล่ำที่ฟังอย่างตั้งใจถามว่า แล้วผีในหลุมป่าช้าวัดบ้านนาที่ฝังผีตายมาตั้งแต่ก่อนรุ่นปู่ย่าตายายของเราล่ะจะทำยังไง

“ก็ไถไปทิ้งที่อื่นซีวะ ผีก็คือคนตายแล้ว ตายแล้วจะต้องการที่อยู่ทำไม อยู่ไปก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ เอาแต่หลอก ใครกลัวผีบ้าง” ชิงชัยถาม มีชาวบ้านยกมือกันหร็อมแหร็ม เศรษฐีบุญช่วยตัดบทหมายบีบหลวงตาว่า

“เอายังงี้ ไหนๆหลวงตาท่านก็เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน ท่านมีความเห็นว่ายังไง”

หลวงตาพูดอย่างคนหูตึงแบบ “ไปไหนมาสามวาสองศอก” ว่า

“คนเลวน่ะโยมเอ๊ย...มันไม่มีที่ผุดที่เกิดหรอก มันตกอยู่ในนรกอเวจีชั้นลึกๆ ในนรกโน่น เพราะฉะนั้น...ญาติโยมทำบุญกรวดน้ำก็ให้นึกถึงสัมภเวสีพวกนี้ด้วยเถิด กุศลจะบังเกิด”

ชิงชัยหงุดหงิดขัดขึ้นว่าไม่ได้นิมนต์มาเทศน์ตอนนี้ แต่ถามความเห็นเรื่องยกเลิกเขตสัมปทานป่าช้า หลวงตาร้องถามว่า

“หา...ใครจะมาเรอะ ใหญ่โตแค่ไหนวะถึงได้สั่งข้าให้กลับไปจำวัดน่ะ ไม่เอา ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่คู่กับชาวบ้านนา นี่แหละโว้ย ใครจะทำไม” มหาเฉื่อยขัดขึ้นว่าคนละเรื่องเดียวกันเลยหลวงตา หลวงตาพูดต่อเหมือนเรื่องเดียวกันว่า “สะตอข้าไม่ชอบฉัน ข้าชอบฉันสะบ้าว่ะ”

ด้วยอาการหูตึงของหลวงตา และการต่อสู้ของศรีไพรที่ลุกขึ้นมาคัดค้านชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของป่าช้าที่เป็นที่พักพิงอาศัยของคนจน คนเร่ร่อน คนขอทานได้ ทำไมต้องเอาไปทำศูนย์การค้า สู้เราอยู่อย่างพอเพียงพอมีพอกินเราแบ่งปันกันกินไม่ดีกว่าหรือ กอปรกับทวน และเมินที่รู้คุณข้าวก้นบาตรที่เลี้ยงตนมา คัดค้านแนวคิอของเศรษฐีบุญช่วย สุดท้ายศรีไพรสรุปว่า

“เราต้องการป่าช้า เพื่อให้วิญญาณของพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราอยู่ที่นั่น เพื่อเป็นที่ที่เราจะได้อยู่ เมื่อเราตายแล้ว”

พอศรีไพรพูดจบ หลวงตาก็ “สาธุ ขออนุโมทนา” มหาเฉื่อยขาน “สาธุ...” แล้วหลวงตาก็ลุกกลับขึ้นกุฏิ มหารีบตามไป

พอหลวงตาขึ้นกุฏิ ชาวบ้านก็พากันกลับ ชาริณีกับชิงชัยพยายามเรียกชาวบ้านให้คุยกันต่อแต่ไม่มีใครสนใจ พวกเศรษฐีต่างพากันหัวเสีย

ศรีไพร เมิน และทวนหันยิ้มให้กันอย่างผู้ชนะ

ooooooo

วันต่อมา ขอทานเร่ร่อนมานั่งพับเพียบอยู่ข้างโบสถ์ หลวงตาถามมหาเฉืิ่อยว่านั่นใคร มหาบอกว่าขอทานเร่ร่อน มาอาศัยอยู่ในป่าช้า เร่ร่อนมาจากไหนไม่รู้ เดี๋ยวก็คงเร่ร่อนไปที่อื่น

“ข้าวก้นบาตรมีแบ่งปันกันพอยังชีพนะ ข้าวนี่...ก็มาจากชาวบ้านนาเขา เพราะฉะนั้นจะอยู่จะไปก็อย่าให้เดือดร้อนเจ้าของที่เขานะ” หลวงตาเอ่ยกับคนขอทานเร่ร่อน

“ขอรับพระคุณเจ้า” ขอทานที่ทำเหมือนผี มองหลวงตาที่เดินไปกับมหาเฉื่อยอย่างครุ่นคิด

ฝ่ายศรีไพร หลังจากเอาชนะเศรษฐีบุญช่วยได้แล้ว ก็สบายอกสบายใจ วันนี้ก็ไปนอนกินมะขามเทศบนต้น พลันก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงทวนอยู่ใต้ต้นมะขามเทศ มองลงไป เห็นทวนควักโทรศัพท์มือถือออกมาพูดพล่าม...

ทวนเดินพูดหมุนตัวไปมาแบบหาสัญญาณโทรศัพท์ แต่ไพล่ไปพูดเรื่องจับ...เรื่องจูบศรีแพรเข้า ทำเอาศรีไพรตกจากต้นมะขามเทศลงมาทับเข้าพอดี จมูกทวนไปชนเอาแก้มศรีไพรเข้าจังๆ แทนที่จะตื่นเต้นดีใจ ทวนกลับพูดอย่างสยองว่า

“อย่า...แค่เข้าฝันก็พอแล้ว อย่ามาให้เห็นตัวเป็นๆเลย ผมกลัว”

“กลัวหรือ นี่แน่ะ...กลัว” ศรีไพรซัดเพียะเข้าที่หน้าทวนแล้ววิ่งหนีไป ทวนยกมือลูบแก้มที่ถูกตบงงๆ ถามตัวเองว่า

“เฮ้ย...เกิดอะไร หรือว่า...ฟ้าผ่า...”

ปรากฏว่าจูบนี้ทำเอาทั้งทวนและศรีไพรต่างตะครั่นตะครอเหมือนจะจับไข้ ต่างทั้งขัดทั้งถูอย่างขยะแขยง ศรีไพรจะเอามีดมาปาดรอยจูบทิ้ง วุ่นวายเสียจนพรคิดว่าศรีไพรเครียดจนเป็นบ้า เพราะไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นมากไป

แล้วพรก็ตกใจเมื่อศรีไพรบอกว่าตนจะเอานํ้ายาฆ่าเชื้อมาลบรอยจูบออกไปให้หมด พรถามว่าใครจูบ!

แต่พรก็ยังไม่เชื่อว่า สารรูปอย่างศรีไพรจะมีใครมาจูบ คาดว่าคงฝันไปมากกว่า

ooooooo

ทวนเองก็ไม่น้อยกว่ากันนึกถึงรอยจูบทีไรก็สยองทุกที สุดท้ายก็บอกเมินกับทอก และหมอกว่าตนโดนจูบมา พรรคพวกดูแล้วเชื่อเพราะมีรอยนิ้วมือเป็นปื้นที่หน้า คงโดนตบมาแน่ๆ เมินระแวงว่า ทวนไปจูบใครมา คาดคั้นจนทวนบอกว่า “ยายมู่ทู่”

เมื่อถูกพรรคพวกแซว ทวนเถียงวุ่นวายว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แล้วบ่นตัวเองว่าไม่น่าไปหาสัญญาณโทรศัพท์ที่ใต้ต้นมะขามเทศเล้ย...

เมินสะดุดใจถามว่าไปเดินหาสัญญาณโทรศัพท์ โทร.หาใคร ทวนเล่นลิ้นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วคว้าผ้าขาวม้าบอกว่าจะไปทำนาแล้ว

ฝ่ายศรีไพรนอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน ศรีแพรบอกว่าที่พ่อเข้าใจว่าศรีไพรฝันว่าถูกจูบน่ะดีแล้ว ขืนรู้ว่าถูกจูบจริงมีหวังตายแน่ ศรีไพรเลยโมเมตามความเชื่อของพ่อเพื่อไม่ให้มีเรื่อง

ooooooo

ระหว่างไปดำนา ศรีไพรกับทวนต่างมองหน้ากันเคืองๆกับเรื่องเมื่อวาน พรยังทำหน้าที่พ่อที่หวงลูกสาวอย่างเข้มงวด เห็นเมินทำท่าหลีกับศรีแพร ก็ฮึดฮัด จนศรีไพรขอร้องพ่อให้ใจเย็นๆ เพราะนายังไม่เสร็จ บอกพ่อว่า

“ไว้ให้ถึงตอนเกี่ยว ตอนขนข้าวขึ้นยุ้งเสียก่อนแล้วเราค่อย...เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกเชือดขุนพล” บอกพ่อว่า “ฉันจะเชือดเรียงตัวทีละตัว...ทีละตัว...จากนั้น ฉันก็จะยำพวกมันให้...เละ!”

ทวนแอบมองศรีไพรที่เอานิ้วกรีดคอตัวเองทำท่าเชือด ทั้งหมั่นไส้ทั้งสยอง

ส่วนชิงชัยแค้นใจที่แพ้พวกศรีไพร หาทางล่ารายชื่อชาวบ้านโดยให้หลิมติดตาม หลิมบอกว่าชาวบ้านบางคนก็ไม่ยอมเซ็นบอกว่าต้องถามหลวงตาก่อน

“ไอ้พวกอวดดี ทำไมมันถึงกล้าขัดคำสั่งของข้า” บุญช่วยแค้นใจ ชิงชัยบอกว่าเพราะพวกศรีไพรพูดให้ชาวบ้านงงเลย นึกภาพศูนย์การค้าไม่ออก

ชาริณียุว่าให้หลวงตาเซ็นชื่อในหนังสือยินยอมก่อน ชาวบ้านก็ต้องเซ็นตาม สไบถามว่าแล้วใครจะเอาหนังสือไปให้หลวงตาเซ็น

“มันต้อง...ข้า!” เศรษฐีบอก

แล้วเศรษฐีบุญช่วยก็ไปหาหลวงตาที่วัด เอาหนังสือไปให้เซ็น อ้างว่า “หลวงตาจะได้เดินนำหน้าสาธุชนคนนับถือพุทธไปสวรรค์”

หลวงตาหูตึงขึ้นฉับพลัน ถามเสียงดังฟังชัดว่า “นํ้าแข็งปั่นเรอะ ไม่เอา...ฟันข้าไม่ดีว่ะ ข้ากินหมาก กินนํ้าแข็งไม่ได้หรอก ข้าเสียว...เสียวฟัน”

ชิงชัยยังพยายามชักนำหลวงตาให้เข้าเรื่องที่ตนต้องการ จะให้หลวงตาเซ็นชื่อให้ได้ หลวงตาพูดอีกว่า

“ยังไม่ถึงเวลาฉัน ยังไม่ต้องประเคนหรอก อีกนานกว่าจะเพล เป็นพระท่านให้ฉันสองมื้อ เวลาลงโบสถ์ นํ้าอัฐบานพอได้”

“ฮึ...นํ้าอัฐบาน” ชิงชัยพึมพำอย่างขัดใจ

“กบาลใครวะ เมื่อกี้นี้ใครจะตีกบาลใคร” หลวงตาถามเสียงดัง

หลวงตาหูตึงเสียจนบุญช่วยกับชิงชัยหัวเสียอย่างหนัก พูดยังไงหลวงตาก็ไม่รู้เรื่อง พูดเรื่องเซ็นชื่อ หลวงตาก็ตอบเรื่องตีกบาล จนบุญช่วยอ่อยว่า ถ้าหลวงตาเซ็นแล้ว ต่อไปหลวงตาก็จะได้นอนกุฏิติดแอร์เย็นสบาย

“เออ...ข้าชอบ อะไรที่มันเย็นแต่พองามข้าชอบทั้งนั้นแหละ เอามา...จะให้เซ็นตรงไหนล่ะ เอามาซิมหาเฉื่อย”

เมื่อมหาเฉื่อยเอาเอกสารให้ หลวงตารับเอกสารไปสลับฉบับก่อนเซ็นชื่อ แล้วส่งให้มหาเฉื่อย มหายิ้มแฉ่งบอกว่า

“อ้า...ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทครับท่านเศรษฐี นี่เป็นใบอนุโมทนาบัตร ที่หลวงตาท่านเซ็นชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว สามารถนำไปหักภาษีเงินได้ประจำปี ขอให้มีความสุขความเจริญ อ้า...หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทครับ ขอให้คิดอะไรสมความปรารถนาทุกประการเทอญ...สาธุ...”

ทั้งเศรษฐีบุญช่วย ชิงชัย หลิม และเลิศที่มากันอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง มองหน้ากันเลิ่กลั่กที่เสียรู้หลวงตาหูตึงกับมหาเฉื่อยจอมมั่วจนได้!

ooooooo

กลับถึงบ้านอย่างหัวเสีย ยังถูกขอทานเร่ร่อนมาด้อมๆมองๆ ขอเศษเงินสักห้าร้อย ทำบุญทำทานให้คนยากด้วยเถอะ เกิดชาติหน้าจะได้รํ่ารวย ฉลาด โกงไปโกงมาเหมือนชาตินี้

“ข้าไม่มีอารมณ์จะทำทาน ทำบุญไปแสนห้าแล้วโว้ย ไป...เอาตัวมันไปโยนทิ้ง” เศรษฐีสั่ง เลิศลุกขึ้นจัดการหิ้วปีกขอทานไปทันที

พอหิ้วออกมาโยนทิ้งที่หน้าบ้านแล้ว เลิศตะคอกขู่ว่า

“จำไว้ ห้ามเข้าไปขอทานในบริเวณบ้านท่านเศรษฐี หิวข้าวไปขอที่วัดกิน อยากได้เงินไปขอชาวบ้าน ถ้าข้าเห็นเอ็งเมื่อไหร่ละก้อ...เจ็บ!”

ขอทานไม่ตอบอะไร แต่เขม้นมองเข้าไปในบ้านเศรษฐีอย่างสอดแนม

ooooooo

วันนี้ ศรีแพรแต่งตัวสวยพรมนํ้าอบเสียหอมฟุ้ง ฝากศรีไพรบอกแม่ด้วยว่าจะไปเก็บบัวที่บึงมาถวายพระ

ศรีไพรสงสัยว่าไปเก็บบัวทำไมต้องพรมนํ้าอบเสียหอมฟุ้ง คิดๆแล้วนึกได้ว่าเห็นเมินกับศรีแพรทำสัญญาณมือให้กัน หลังจากพลิกคู่มือดูแล้วแปลได้ว่า “เจอกันที่บึงบัว”

“ได้...เดี๋ยวเจอกัน!” ศรีไพรคำราม

เมื่อเมินไปถึงริมบึงบัว ก็ถอดเสื้อผ้ากองไว้เอาโทรศัพท์ซุกไว้ใต้ผ้า คิดว่า ว่ายนํ้าไป ตัวอยู่ใต้นํ้า ศรีแพรคงไม่เห็นอะไร

พอเมินไป ทวนก็มารื้อเสื้อผ้า เจอโทรศัพท์ก็เอะใจว่าเมินมีของทันสมัยแบบนี้ใช้ด้วยหรือ

ฝ่ายเมินไปเกาะเรือเกี้ยวศรีแพร ระหว่างนั้น เมินสะดุ้งเป็นพักๆ เพราะรู้สึกมีอะไรมาตอดที่สำคัญ ศรีแพรเป็นห่วงชวนให้ขึ้นเรือก็ไม่กล้าขึ้นเพราะล่อนจ้อนอยู่ เลยต้องแช่นํ้าจีบกันอยู่อย่างนั้น

เมินยังถูกตอดจุดเดิมที่ใต้นํ้า จนศรีแพรเป็นห่วงกลัวจะเป็นไอ้เข้ เรียกเมินให้รีบขึ้นเรือเร็วๆ พลางก็โผเข้าดึงเมินให้ขึ้นเรือ ทำให้เรือเอียงจนล่ม

พอเรือล่ม ทั้งคู่ก็ลืมเรื่องไอ้เข้สนิท ต่างโน้มหน้าเข้าหากัน จนเกือบจะถึงกันอยู่แล้ว จู่ๆศรีไพรก็โผล่พรวดขึ้นมาจากนํ้า สั่งให้ถอยห่างออกจากกันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะโดนไอ้เข้งับที่สำคัญ

ศรีแพรถามว่ามาได้ยังไง ศรีไพรบอกว่า ตนมีคู่มือภาษามือทำไมจะไม่รู้ว่าสองคนส่งสัญญาณอะไรกัน แล้วสั่งศรีแพรให้กลับบ้าน ไม่ต้องเก็บบัวแล้ว ศรีแพรจึงจำต้องกลับเพราะกลัวศรีไพรจะสั่งลูกน้องงับส่วนสำคัญของเมินไม่ให้เหลือเลย

เมินมองศรีไพรคุมศรีแพรว่ายนํ้าเข้าฝั่ง ด่าเบาๆอย่างแค้นใจว่า

“ฮึ...ยายมู่ทู่ ยายตัวกันท่า สงสัยจัง ไอ้ทวนมันจูบลงได้ไงวะ”

เมื่อกลับมาถึงเพิงพัก เมินหาโทรศัพท์ไม่เจอ ทวนเอาออกมาถามว่า หาไอ้นี่อยู่ใช่ไหม ถามอย่างจับพิรุธว่า

“มีเบอร์กองบัญชาการส่วนกลางกับมีสายตรงของหัวหน้าหน่วยปราบปราม...แกเป็นใคร”

“แกล่ะเป็นใคร ทำไมถึงได้รู้ว่าเบอร์ในเครื่องของฉันเป็นเบอร์ของบุคคลสำคัญ แก...เป็นใคร” เมินย้อนถาม

ooooooo

ผีขอทานยังเร่ร่อนอยู่ในบ้านนา วันนี้ก็ไปขอข้าวก้นบาตรหลวงตากิน หลวงตาบอกมหาเอาให้กินให้อิ่ม บ่นว่า

“คนเราน่ะ มันก็กินแค่อิ่มเท่านั้นแหละ แล้วจะไปโลภทำไม ทุกวันนี้สังคมมีแต่คนรวยกระจุกแต่จนกระจาย”

“มันเป็นยังไงครับหลวงตา ไอ้จนกระจายรวยกระจุกที่หลวงตาเทศน์โปรดผม”

“มันก็มีคนรํ่ารวยอยู่แค่กระจุกเดียวแต่มีคนจนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปน่ะซี ไอ้จะทำให้คนรวยกับคนจนมีอะไรเหมือนๆกันหรือใกล้เคียงกันมันก็ผิดธรรมชาติที่มนุษย์จะเป็นได้ เพราะสติกับปัญญาของคนมีไม่เท่ากัน มันอยู่ที่ว่าคนรวยกับคนจนต้องอยู่ร่วมกันได้ เอออวยช่วยเหลือกัน เอ้อ...เอาข้าวก้นบาตรมาให้เจ้าขอทานนี่ มันจะได้เร่ร่อนอยู่ในบ้านนานานๆไง”

“หลวงพ่อท่านขึ้นธรรมาสน์เทศน์ข้างกะได แล้วมาเกี่ยวกับไอ้เจ้าขอทานเร่ร่อนนี้ได้ยังไงวุ้ย งั้นเดี๋ยวข้าจะเอาข้าวก้นบาตรมาให้” พูดแล้วมหาเฉื่อยเดินขึ้นศาลาไป ผีขอทานค่อยๆเปิดหมวกที่สวมอยู่มองตามไป

ooooooo

ชาริณียังไม่ละความพยายามที่จะจับทวนให้ได้ วันนี้ก็ไปดักทวนที่คันนา ทวนถอยหนี ชาริณีก็ยํ้าเงื่อนไขการมาเป็นลูกเขยเศรษฐีบุญช่วยว่าจะได้อยู่สุขสบายมีเงินใช้ทั้งยังมีสาวสวยอย่างตนเคียงข้างด้วย

ขณะทวนกำลังถูกรุกหนักนั่นเอง ศรีไพรขี่เจ้าไฉไลเฉิดผ่านมาพอดี ทวนเลยร้องตะโกนขอไปด้วยคน แล้วโดดขึ้นหลังควาย กลัวตกควายเลยกอดศรีไพรไว้แน่น ร้องบอกไฉไลเฉิดให้ไปได้เลย

“มอ...มอ” ไฉไลเฉิดร้องแล้วพาตะบึงไปเลย

ชาริณีอารมณ์ค้าง มองตามไปด่าอย่างหงุดหงิด

“ไอ้ควายบ้า เอาคุณทวนไปแล้ว คุณทวนก็พิลึก ผู้หญิงสวยๆไม่สน ไปสนใจ...ควาย...”

พอพาทวนหนีพ้นชาริณี ศรีไพรไล่ทวนให้ลงได้แล้ว ทั้งสองยังต่อล้อต่อเถียงกันเรื่องที่จมูกทวนไปชนแก้มศรีไพรที่ใต้ต้นมะขามเทศวันนั้น จนศรีไพรถามว่าจะลงไปดีๆ หรือจะให้ตน...พูดไม่ทันจบ ศรีไพรก็ถองทวนจนตกจากหลังควายไปด้วยกัน กลายเป็นว่าศรีไพรตกลงไปอยู่ในอ้อมแขนของทวนเต็มๆ!

ooooooo

พอลุกขึ้นได้ ศรีไพรก็กระโจนเข้าทุบถองทวนแก้เขินพัลวัน พรมองอยู่ไกลๆวิ่งอ้าวมาด่าทวนว่ารังแกลูกสาวตน ไม่ว่าทวนจะชี้แจงว่าศรีไพรทุบตีตนฝ่ายเดียวอย่างไร พรก็ไม่ฟัง ทั้งที่เห็นอยู่ว่าทวนมีแต่ปัดป้องเท่านั้น

พรหาว่าทวนรังแกศรีไพรเพราะศรีไพรเป็นผู้หญิง แล้วคว้าไม้จะฟาดหัวทวน

พรฉุกคิดได้ถามว่า หรือว่าเรื่องที่ทวนจูบศรีไพรเป็นเรื่องจริง ทวนรีบบอกว่าไม่จริง มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก แต่พรก็ยังคว้าไม้ไล่ตีจนทวนวิ่งหนีแทบไม่ทัน

ศรีไพรเห็นพรไล่ตีทวน ก็ชะเง้อมองตามไปด้วยความเป็นห่วง

ooooooo

เศรษฐีบุญช่วยแค้นใจที่เสียทีหลวงตา คืนนี้เลยให้หลิมกับเลิศไปวางเพลิงกุฏิหลวงตา แต่ก่อนที่พวกมันจะไปที่กุฏิมันปาก้อนหินใส่เพิงพักของพวกทวนกับเมินจนพวกนั้นนึกว่าผีอาละวาดอีกแล้ว

ไม่นาน มันก็เผากุฏิหลวงตา มหาเฉื่อยร้องตะโกนให้คนมาช่วยอุ้มหลวงตากับตนหนีไฟด้วย ทวนกับเมินวิ่งไปถึงกุฏิแบ่งหน้าที่กัน โดยทวนให้หลวงตาขี่หลังและเมินให้มหาเฉื่อยขี่หลัง พากระโดดหน้าต่างลงมา ส่วนหมอกกับทอกช่วยกันดับไฟ

พาหลวงตาหนีไฟไปพักที่ศาลาวัดแล้ว ทวนถามเมินว่า

“แกคิดเหมือนฉันไหม”

“อะไร”

“ก็ไอ้เสียงที่ดังปลุกเรา...เมื่อคืนไง” สีหน้าแววตาของทวนเต็มไปด้วยความสงสัย

ooooooo

เพลงรักบ้านนา

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด