ตอนที่ 19
เศรษฐีบุญช่วยที่เป็นอัมพฤกษ์ อยู่ในสภาพน่าสมเพชยิ่ง นอนอยู่ในมุ้งที่กางเพื่อกันยุงกับแมลงวันที่มาตอมหึ่ง เศรษฐีช่วยตัวเองไม่ได้ กินข้าวกินน้ำก็ต้องมี คนป้อนให้เท่านั้น สไบมองอย่างรังเกียจ สั่งแหว่งให้เอาข้าวกับเกลือยัดใส่ปากให้กิน แหว่งกลัวๆกล้าๆสไบบอกว่า
“นี่ถือว่าดีที่สุดที่ฉันจะให้ได้ ตอนนี้ไม่มีทั้งปืน ไม่มีทั้งบารมี จะต้องการการบริการอะไรเป็นพิเศษอีกล่ะ”
แหว่งทำตามคำสั่งอย่างรังเกียจ บ่นว่าตนต้องทำทุกอย่างทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ เหม็นหึ่งไปหมดเสนอว่าให้หาพยาบาลมาดูแลเสียเถอะ ตนไม่ไหวแล้ว
“มีคนรับจ้างเสียที่ไหนล่ะ พอรู้ว่าจ้างมาดูแลคนเป็นอัมพฤกษ์ยังพอมีคนสนใจ แต่พอรู้ว่าเป็นเศรษฐีบุญช่วย
ต่างก็พากันถ่มน้ำลาย” สไบพูดโดยไม่มองเศรษฐีแม้แต่น้อย
แหว่งเปิดมุ้งเข้าไปอย่างกระฟัดกระเฟียด เศรษฐีนอนน้ำตาคลอด้วยความคับแค้นใจ
ooooooo
ทวนกับเมินหนีชิงชัยกับหลิมไปถึงสะพานสูง ตัดสินใจกระโดดสะพานลงไป ชิงชัยกับหลิมตามมายิงกราดน้ำแตกกระจาย มองลงไปไม่เห็นทั้งสองโผล่ก็พากันกลับ
ทวนกับเมินว่ายน้ำเข้าฝั่งแล้วคลานขึ้นไปนอนคว่ำหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมินไม่หายโมโหถามทวนว่าทำไมต้องยอมเสี่ยงตายถึงขนาดนั้นด้วย ดักคอว่า เพราะยังรักศรีไพรอยู่ใช่ไหม ไหนว่าจะแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยไงล่ะ
“ส่วนแกก็จะเป็นว่าที่สามีหนุ่มของคุณสไบของบ่าวขา!” ทวนประชดคืน
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดจิกกัดกันไปมานั่นเอง จ่าสินในสภาพเลือดท่วมตัวเดินเข้ามายกปืนเล็งใส่ แต่ไม่ทันยิงมันก็ล้มคว่ำทับทั้งสองคน สิ้นใจทั้งที่ตายังเบิกโพลง
ooooooo
สดยังเฝ้ารอข่าวการตามหาศรีไพรอยู่ที่บ้าน เมื่อทุกคนกลับมาบอกว่าหาศรีไพรจนทั่วแล้วไม่เจอ สดร้องไห้โฮ คร่ำครวญเวทนา...
“ศรีไพรมันอาจจะถูกฆ่าแล้วหมกไว้ที่ไหนสักแห่ง ไม่เจอไอ้ศรีไพร ศพก็ไม่เจอหรือ”
ศรีแพรปลอบใจแม่ว่าน้องอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ มหาบอกว่าหากันจนทั่วแยกย้ายกันหาสามสี่พวก ถามคนทั้งบ้านนาก็ไม่มีใครเห็นเลย ทอกเสนอว่าให้ไปหาอีกสักรอบไหม หมอกเห็นด้วย
สดยังร้องไห้คร่ำครวญว่า เสียพ่อไปคนหนึ่งแล้วยังต้องมาเสียลูกไปอีกคนหรือ พูดอย่างรับไม่ได้ว่า
“แม่บอกแล้ว...ว่าแม่เสียสละมากมายอย่างนั้นไม่ได้ แม่เตือนแล้วไม่เชื่อ ทำเพื่อคนอื่น จนตัวเองต้องมาตายเพราะไอ้คนพวกนั้น...ให้มันมาฆ่าแม่อีกคน มาซี แม่อยากตายตามไอ้ศรีไพร ไม่มีลูก...แม่...แม่อยู่ไม่ได้...โฮ...โฮ...”
หมอกเร่งให้ไปหากันอีกรอบเถอะ ทั้งทอก มหาและเจ๊กตงรีบพากันไป
ทันใดนั้น แสนเห็นศรีไพรกำลังประคองชาริณีที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นเข้ามา ศรีแพรปราดเข้าหาน้องถามว่าหายไปไหนมา รู้ไหมว่าพวกเราตามหากันทั้งคืน
“ช่วยชาริณีก่อนเถอะพี่ศรีแพร ชาริณีกำลังแย่”
ศรีไพรบอก ก็พอดีชาริณีล้มฟุบกองไปกับพื้น
ooooooo
สไบสะบัดลงจากเรือนที่เศรษฐีบุญช่วยนอนป่วย แหว่งตามมาติดๆ บ่นว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเศรษฐีก็ไม่ยอมกินอะไรเลย ถามว่าจะตายไหม สไบยิ้มเยาะบอกว่า
“คงทำใจไม่ได้ เห็นทรัพย์สมบัติที่ขูดเลือดขูดเนื้อชาวบ้านมาได้ กำลังจะเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นเลยเสียดาย” แหว่งติงว่าอย่าลืมว่าชิงชัยยังอยู่ สไบหัวเราะเยาะบอกว่า อย่างชิงชัยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เวลานี้ “เราต้องรอเงินก้อนใหญ่ที่จะได้มาจากการค้าอาวุธเถื่อนกับไม้พะยูง จากนั้น...ฉันจะจัดการชิงชัย เหมือนที่มันเคยทำกับฉันเหมือนสัตว์เลี้ยง”
สไบตาวาวโรจน์อย่างพยาบาทอาฆาตแค้น
ขณะนั้นเอง รถของชิงชัยขับเข้ามาพร้อมกับหลิม ชิงชัยลงจากรถ ตะคอกถามสไบทันทีว่า จ่าสินโทร.มาหรือยัง พอสไบบอกว่ายัง ชิงชัยพูดอย่างแค้นใจว่า
“ไอ้ทวนกับไอ้เมินมันออกลาย เราต้องเตรียมคน เตรียมปืนให้พร้อม ไอ้หลิมไปเกณฑ์คนของเราทั้งหมด ตามล่าไอ้สองตัวนั่น”
หลิมถามว่าตั้งรับไม่ดีกว่าหรือ ถ้ามันมาปราบ เราจะได้สู้ตาย สไบแผดเสียงอย่างตื่นตระหนกว่าให้ไปรับมือกันที่อื่น ตนกลัวลูกหลง
ชิงชัยด่าแล้วปราดเข้าตบสไบ ถูกสไบตบคืนทันที ทั้งยังกระชากปืนออกมาจ่อคอหอยชิงชัย พูดอย่างไม่แยแสว่า ตนไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาแล้ว ไม่ใช่ขี้ข้าของใครอีกต่อไป ไม่ยอมตายหรือติดคุกด้วยหรอก เชิญรับมือกับตำรวจไปเถิด ตนจะไปจากที่นี่ แหว่งบอกว่าตนเตรียมของไว้หมดแล้ว สไบเอาปืนเล็งไปที่ชิงชัยขู่ว่า
“อย่าตามมานะ ระยะแค่นี้ไม่ต้องแม่นหรอก ตายแน่!”
หลิมถลันจะตามสไบไป ชิงชัยยกมือห้ามมองอย่างเจ้าเล่ห์ บอกหลิมว่า
“ปล่อยนังสไบไป จัดการไอ้ทวนไอ้เมินแล้ว ฉันจะตามไปคิดบัญชีกับมันทีหลัง!”
ooooooo
ศรีแพรรับไม่ได้ที่ศรีไพรพาชาริณีมาที่บ้าน บอกว่าถึงชาริณีจะช่วยศรีไพรไว้แต่ก็ไม่เท่ากับที่พวกเขาฆ่าพ่อเรา ให้ส่งชาริณีกลับไปหาเศรษฐีบุญช่วยที่นอนให้ยุง มด แมลงวันตอมอยู่ที่เรือนใหญ่ มีเงินมีทองหนุนหัวเสีย
ศรีไพรพยายามขอร้องศรีแพร แต่ศรีแพรก็ไม่ใจอ่อน ย้ำว่ายังไงชาริณีก็ไม่ใช่พวกเรา จนสดเอ่ยขึ้นว่าให้เลิกคิดเรื่องเขาเรื่องเราเสียทีเถอะ บอกศรีแพรว่า “ถ้าไม่ได้ชาริณีช่วยไว้ ป่านนี้ศรีไพรมันกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว”
ขณะนั้นเอง ชาริณีลืมตาขึ้น แสนร้องบอกแม่ว่า ชาริณีฟื้นแล้ว ศรีไพรรีบบอกชาริณีว่าตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว แล้วฝากแม่ให้ดูแลชาริณีด้วย ตนจะไปตามศรีแพร
“ห้ามออกจากบ้านนะ แม่สังหรณ์ใจว่าคืนนี้...มันจะ... ไม่ค่อยดี...”
ศรีไพรรับคำแล้วรีบตามศรีแพรลงไป ชาริณีมองตามศรีไพรไปด้วยความกังวล
ศรีไพรเดินตามไปบอกศรีแพรว่า จะให้ส่งชาริณีกลับไปตายที่บ้านเศรษฐีบุญช่วยนั้น ตนทำไม่ได้ เพราะชาริณีถูกคนชั่วกระทำเหมือนไม่ใช่คนมาแล้ว ถามว่า “พี่ศรีแพรจะไม่สงสารสัตว์ผู้ยากอย่างชาริณีเลยหรือ”
“พี่สงสารพ่อตอนที่พ่อถูกยิงตาย”
“พ่อตายแล้ว พ่อคงไม่อยากให้เรามัวแต่คิดแค้น
จนชีวิตไม่เดินหน้าไปไหน ไม่มีจ่าสินแล้ว ฉันจะร้องขอรื้อฟื้นคดีพ่อขึ้นมาใหม่ เราต้องได้รับความยุติธรรม”
ศรีแพรถามว่าแล้วเมื่อไรล่ะกว่าจะลากตัวคนผิดเข้าคุก คนดีๆ จะต้องตายไปอีกเท่าไหร่ ศรีไพรย้อนถามว่าแล้วพี่อยากจะให้คนตายอีกเท่าไรล่ะ พี่ถึงจะหายแค้น
สองพี่น้องคุยกันอย่างตึงเครียด โดยไม่รู้ว่า ทวนกับเมินมาซุ่มอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองหันสบตากัน ฟังสองพี่น้อง
พูดคุยโต้เถียงกันเงียบๆ
ศรีแพรถือปืนสะบัดหน้าไปจากศรีไพร ทวนกับเมินต่างเรียกคนของตัวเบาๆ แต่สองสาวไม่ได้ยิน ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของทั้งสองก็ดังขึ้น ต่างรับโทรศัพท์ของตัวเอง ฟังปลายสายแล้ว ต่างรับคำเครียดๆ “ครับผม”, “ครับ”
ooooooo
ที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย ความตึงเครียดเขม็งเกลียวขึ้นทุกที สไบกับแหว่งช่วยกันขนสมบัติที่เม้มจากเศรษฐีบุญช่วยจนขนกันไม่ไหว เงินเป็นปึก ทองเป็นแท่ง ตกหล่นอยู่ข้างตัวเศรษฐีราวกับเศษกระดาษ
เศรษฐีบุญช่วยเห็นเงินเห็นทองกองอยู่ข้างตัว พยายามจะเอื้อมมือไปหยิบแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่มองตาปริบๆ อย่างตื่นตระหนก
ชิงชัยนำสมุนต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรูกันเข้ามา ชิงชัยถูกยิงบาดเจ็บ หลิมประคองพาหนีไป ส่วนเศรษฐีบุญช่วยได้แต่นอนกรอกตามองการเคลื่อนไหวเหล่านั้น น้ำตาค่อยๆไหลออกมาทางหางตา...
ขณะที่หลิมประคองชิงชัยที่บาดเจ็บหนีไปนั้น ชิงชัยถามว่าพ่อตนล่ะ หลิมพูดเหมือนเป็นเศษขยะว่า
“ทิ้งไว้นั่นแหละ นังสไบกับนังแหว่งมันหนีไปแล้ว ตัวใครตัวมันเถอะครับ เราต้องหนี”
“ไอ้ทวน ไอ้เมิน มันเป็นใครกันแน่!” ชิงชัยพูดอย่างเจ็บใจ หลิมเร่งว่าเรารีบหนีกันดีกว่า
แต่ไม่ทันหนีพ้นเรือน ศรีแพรก็ถือปืนมายิงหลิมคว่ำ แล้วเล็งใส่ชิงชัย ตะโกนใส่หน้า “มึงฆ่าพ่อกู!” แล้วยิงแสกหน้าชิงชัยตายคาที่ ศรีไพรวิ่งตามมาทันพอดี เธอร้องเรียก
“ศรีแพร...ศรีแพร...” แล้วถลาเข้าไปเขย่าตัวศรีแพรที่ยืนตะลึงตาค้าง ทั้งที่ปากยังพึมพำความแค้นที่ฝังใจว่า...
“มึง...ฆ่า...พ่อ...กู...”
ooooooo
ที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย ผู้การรฤก และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับกุมสมุนของชิงชัยที่รอดตาย ส่วนที่ถูกยิงตายนอนระเกะระกะตามพื้น ผู้การรฤกก้าวเข้ามา ยื่นมือไปจับมือทวนกับเมิน เอ่ยแสดงความยินดีว่า
“เรียบร้อยดีนะ ผู้กองทวน หมวดประเมิน ผมมาจากหน่วยสอบสวนกลาง เราตามคดียาเสพติดจนรู้ว่ามีแหล่งผลิตที่นี่”
“ร้อยตำรวจเอกประทวน จากหน่วยตำรวจสากลครับผม ผมมาสืบจับอาวุธสงครามที่ออกทางชายแดน อาวุธพวกนี้เศรษฐีบุญช่วยส่งต่อให้ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ” ทวนรายงานตัว
“ผม...จากกรมป่าไม้ครับ ผมตามสืบเรื่องไม้พะยูง ที่ส่งออกทางแม่น้ำ ไม้พะยูงพวกนี้มีราคาสูง กำลังจะหมดไปจากป่าเป็นไม้หายาก ไม้ทั้งหมดที่จับได้นี้ ผมจะอายัดไว้เป็นของกลางครับผู้การ” เมินรายงานตัวอีกคน
พอต่างรายงานตัวเสร็จ ทวนกับเมินก็หันมองหน้ากันอึ้งๆ ที่เพิ่งจะรู้ฐานะและเบื้องหลังของอีกฝ่าย ต่างต่อว่ากัน จนผู้การรฤกต้องบอกทั้งสองว่า
“เป็นเพราะเราไม่ได้ประสานงานกัน แต่ผมก็พอรู้มาจากหน่วยข่าวกรองว่าคุณสองคนเป็นใคร ไม่ใช่นายทวน หรือนายเมินคนขี้คุกอย่างที่ใครๆเข้าใจ”
“ผู้การครับ ขอบคุณที่ช่วยกวาดสิ่งสกปรกออกจากบ้านนา ต่อไปนี้...บ้านนาของเราจะสะอาดปราศจากขยะ”
“และป่าของเราก็จะมีไม้พะยูง เอาไว้ให้ลูกหลานทำความรู้จัก ผม...ดีใจครับ”
เมื่อตำรวจสากลกับตำรวจป่าไม้พูดเสร็จ ผู้การก็แสดงความยินดีด้วยเช่นกัน ทั้งสามยื่นมือไปสัมผัสกัน แต่ทวนกับเมินก็ยังไม่วายมองหน้ากันอย่างเอาเชิงนิดๆ...ผู้การจับมือทั้งสองคนเขย่าเบาๆอย่างประสานใจกัน
ooooooo
ศรีไพรพาศรีแพรกลับบ้าน สองพี่น้องกอดกันแน่น สดวิ่งลงมารับ ศรีแพรเข้าไปกอดแม่บอกว่า
“แม่...ฉันแก้แค้นแทนพ่อได้แล้ว ฉันเคยสาบานไว้ว่าฉันจะแกแค้นแทนพ่อ...”
สดกอดศรีแพรเรียกขวัญให้ลูก บอกว่าสิ้นเคืองสิ้นแค้นกันแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ศรีไพรเล่าให้แม่ฟังว่า ตอนนี้ตำรวจบุกเข้าไปบ้านเศรษฐีบุญช่วย จ่าสินกับชิงชัยตาย สมุนที่เหลือถูกจับ บนเรือนไม่มีใครนอกจากเศรษฐีบุญช่วย
ศรีไพรถามด้วยแววตาหวั่นไหวว่า ตนจะบอกชาริณีอย่างไรดีว่า ตำรวจส่งตัวเศรษฐีบุญช่วยไปอยู่โรงพยาบาล จนกว่าอาการจะดีขึ้น แล้วค่อยว่ากันตามกฎหมาย
“ในที่สุดคนทำผิดก็ถูกจับ ฟ้ายังปรานีกับชาวบ้านนาเรานะแม่” ศรีแพรพูดอย่างสบายใจขึ้น สดยังกังวลถามว่า แล้วเราจะบอกชาริณีเรื่องเศรษฐีบุญช่วยอย่างไรดี
ไม่ทันที่ใครจะออกความคิดเห็น แสนก็วิ่งมาบอกแม่กับพี่ๆ ว่า ชาริณีหนีไปแล้ว ทุกคนมองหน้ากันอย่างตระหนก
ooooooo
ชาริณีหนีกระเซอะกระเซิงกลับไปที่บ้าน...บ้านที่เคยมีแต่ความยิ่งใหญ่และร่ำรวย ตัวเธอเองก็มีชีวิตอยู่อย่างคุณหนูที่ยโส ใครก็แตะต้องไม่ได้
แต่วันนี้...ข้าวของในบ้านถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย ทรุดโทรม วังเวง เธอวิ่งน้ำตานองหน้าขึ้นหาพ่อที่เรือนใหญ่ เห็นแต่มุ้งที่กางอยู่อย่างสกปรกรุงรัง เธอคุกเข่าลง ประคองชายมุ้งที่พ่อนอนขึ้นแนบแก้ม ร้องไห้คร่ำครวญ...
“หนูขอโทษ...หนูจะเลิกมันให้ได้ หนูจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถึงพ่อจะเป็นยังไง พ่อก็อยากให้หนูดี หนูจะเป็นคนดีให้ได้ ถึงแม้ว่าชีวิตของหนู...จะไม่มีใครเลย...” ชาริณีร้องไห้สะอึกสะอื้นกับชายมุ้งที่พ่อนอน
“ไม่จริง คุณยังมีผมกับคนในบ้านนาทั้งตำบลที่หวังดีกับคุณ” ทวนก้าวออกมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น อ่อนโยน
ชาริณีโผเข้ากอดทวนไว้แน่น เขากอดตอบด้วยความสงสาร พูดให้เธอสบายใจว่า
“เราส่งเศรษฐีบุญช่วยไปโรงพยาบาล เพราะสภาพที่เราพบ พ่อคุณไม่ได้รับการดูแลที่ดี เริ่มมีแผลกดทับ ไม่ต้องห่วง เราจะดูแลพ่อคุณอย่างดีที่สุดในฐานะ...มนุษย์”
ศรีไพรมายืนดู เห็นทวนกับชาริณีกอดกันอยู่ เธอพยายามตัดใจจากทวน หันหลังเดินออกไปเงียบๆ
ooooooo
ที่ร้านเจ๊กตง มหาเฉื่อยกับกล่ำกำลังนั่งจ้องกระดานหมากรุกกันนิ่ง แต่ไม่มีใครขยับตัวเคลื่อนหมาก เจ๊กตงยืนลุ้นอยู่ ขณะนั่งกันเงียบกริบนั่นเอง เสียงทอกกับหมอกก็เอะอะทะลุเข้ามา ทำเอาทุกคนสะดุ้ง
ทอกบอกทั้งสามว่า มีข่าวดีหลังน้ำลด เจ๊กตงถามว่า ข่าวดีอะไร เมื่อคืนได้ยินเสียงปืนยิงกันสนั่น มันดังรัวจนเสียงปืนจะเหมือนเสียงประทัดเข้าไปทุกทีแล้ว ฟังบ่อยจนชิน
หมอกกับทอกมัวแต่ลีลาเล่นแง่อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของตัว ไม่ยอมบอกข่าวดีสักที มหาเฉื่อยเลยเดาว่าเรื่อง ธกส. ให้ชาวนากู้เงินไปฟื้นฟูท้องนาน่ะตนรู้แล้ว กล่ำก็บอกว่า เรื่องเกษตรกรเอาข้าวพันธุ์ดีทนน้ำท่วมสูงมาแจก พวกเราก็รู้แล้ว
ทอกกับหมอกยังลีลากันไม่เลิก ทุกคนเลยเบื่อไม่สนใจ สุดท้ายก็ต้องเกริ่นกร่อยๆว่า เป็นเรื่องของเมินกับทวนที่หายไปเป็นสิบปีแล้วก็เป็นที่สงสัยของคนในบ้านนา ทั้งยังลือกันว่าสองคนนี้ไปติดคุกมา...
ทอกกับหมอกอ่อยจนขนาดนี้ก็ยังเรียกความสนใจใครไม่ได้ เพราะต่อมอยากรู้เซ็ง ไม่ทำงานแล้ว สุดท้ายทั้งสอง ก็เฉลยกร่อยๆว่า
“พี่เมินเขาเป็นตำรวจป่าไม้” ทอกบอก
“ส่วนพี่ทวนของฉัน เขาเป็นตำรวจสากล” หมอกทำเสียงตื่นเต้น
“จริงง่ะ” ทุกคนถามพร้อมกัน แล้วก็พากันหัวเราะขำแทบกลิ้ง ทำเอาทอกกับหมอกมองหน้ากันกระอักกระอ่วน ข่าวดีกลายเป็นข่าวฮา...ข่าวโจ๊กไป...
ooooooo
ศรีไพรคิดถึงไฉไลเฉิดจับใจ คืนนี้ก็ไปนั่งที่คอกของไฉไลเฉิด รำพึงรำพันถึงมันด้วยความคิดถึง อาลัยรัก
ทวนมาแอบดูแอบฟังอยู่ พอได้ยินศรีไพรถามไฉไลเฉิดว่า “พอสุมไฟไล่ยุงจนควันฟุ้งตลบไปหมด รู้ไหม...กลิ่นอะไรที่พี่จำได้...”
“กลิ่นโคลนสาบควายไง่ล่ะศรีไพร” ทวนตอบแทนไฉไลเฉิด
ศรีไพรสะดุ้งหันมอง ทวนปลอบใจว่าป่านนี้ไฉไลเฉิดคงไปเกิดเป็นคนแล้ว คงเกิดเป็นลูกคนดีๆ แล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ทวนรำพึงรำพันถึงไฉไลเฉิด แล้วก็คร่ำครวญถึงชีวิตของตัวเองว่า
“แต่พี่ล่ะ ศรีไพรอยากรู้ไหมว่า พี่เป็นยังไง...เหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะศรีไพรเกลียดพี่...”
“ดึกแล้วฉันจะขึ้นบ้านล่ะ” ศรีไพรตัดบทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไร้ความรู้สึก
ทวนเรียกศรีไพรเบาๆ อย่างออดอ้อน ศรีไพรบอกว่าตนง่วง แล้วก็เดินไป ทวนได้แต่มองตาม ครางเบาๆ
“ศรีไพร...”
ooooooo
จนเช้านี้เจ๊กตงเพิ่งนึกได้ว่า เนี้ยวออกไปตามหาศรีไพรกับสุมิตรยังไม่กลับมา เมื่อโวยวายขึ้น ทอก หมอก และมหาเฉื่อยก็พลอยกังวลไปด้วย ทั้งหมดพากันออกตามหาเนี้ยวกับสุมิตรไปตามป่า
ตามหากันจนถึงต้นไม้ใหญ่ หมอกร้องอย่างตกใจ ชี้ให้เจ๊กตงดู...
ที่ใต้ต้นไม้...เนี้ยวหลับอยู่ในอ้อมกอดของสุมิตร พอได้ยินเสียงเอะอะ ทั้งสองสะดุ้งตื่น เจ๊กตงพุ่งเข้ากระชากเนี้ยวออกจากสุมิตร ทุกคนมองสุมิตรอย่างไม่พอใจ
“อาม่วยเนี้ยว ไอ้แขก...นี่หมายความว่าลื้อ...ลื้อกับไอ้แขกจอมขายนี่...เป็น...เป็น...เป็น...” เจ๊กตงตกใจจนพูดไม่ออก
เมื่อเนี้ยวยอมรับว่าตนเป็นของแขกแล้ว เจ๊กตงออกงิ้วทันที...
“ว้ากกกก...ลื้อเสียเนื้อเสียตัวให้ไอ้แขก ไอ้หยา...เค้าเป๋...”
ขณะทุกคนกำลังตะลึงอึ้งกันอยู่นั้น สุมิตรแก้ตัวว่าเป็นเพราะเหตุการณ์พาไป เจ๊กตงยังด่าเนี้ยวอย่างรับไม่ได้ว่า
“ทำไมลื้อถึงได้แหวกม่านประเพณียังงี้...แขกกับจีนรักกันม่ายล่าย...ม่ายล่าย!”
เนี้ยวถามว่าทำไม ตอนที่ตนรักกับทวน เตี่ยก็ไม่เห็นด้วยทีหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็เอาอีก เจ๊กตงอ้างว่าตนมีปัญหาทางธุรกิจ มหาเฉื่อยเพิ่งตั้งหลักได้ เข้าไกล่เกลี่ยว่า
“เอาน่ะเจ๊กตงลื้อก็อย่าเอาแต่โมโหโทโสเลยวะ ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว” หมอกกับทอกเห็นด้วยบอกว่า ก็ปล่อยเลยตามเลยเถอะ
“ม่ายล่าย! กลับเดี๋ยวนี้อาม่วยเนี้ยว อั๊วจะเอาลูกสาวอั๊วกลับไปใส่ตะกร้าล้างน้ำ...”
วิญญาณนักขายของสุมิตรทำงานทันที เสนอขายอุปกรณ์ล้างน้ำให้เจ๊กตง ทำเอาทั้งมหาเฉื่อย ทอก และหมอก มองหน้าสุมิตรราวกับจะฆ่าให้ตายคาสายตาทีเดียว
สุมิตรหน้าจ๋อย กะล่อนไม่ออกอีก...
ooooooo










