สมาชิก

ฟ้าจรดทราย

ตอนที่ 3

ขณะที่มิเชลล์ยืนน้ำตาคลออย่างอับจนหนทาง องค์อาหเม็ดก้าวออกมาจากหลังม่าน เดินเข้าไปเลิกผ้าคลุมหน้าเธอออก มิเชลล์สั่นไปทั้งตัวก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วย พระองค์เชยคางเธอขึ้น

“เจ้า เป็นผู้หญิงที่งามยิ่ง ความงามของตะวันตกและตะวันออกผสานกันอย่างพอดิบพอดี ดวงตาของเจ้าทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้ โหรยังทำนายอีกว่าเจ้าจะมีลูกชายถึง 6 คนในอนาคต และลูกชายเจ้าจะมีความสำคัญยิ่งต่อฮิลฟารา...น่าเสียดายที่เจ้าเป็นสตรีต่าง ชาติต่างศาสนา ลูกที่เกิดมาจะไม่มีสิทธิ์ในการเป็นกษัตริย์ที่นี่ แต่ฉันก็ยังอยากจะได้เจ้ามาเป็นของฉันอยู่นั่นเอง”

องค์อาหเม็ดเห็น มิเชลล์อิดออด จึงทวงบุญคุณว่าเป็นคนคืนชีวิตให้ เธอจะปฏิเสธพระองค์หรือ แล้วพาเธอไปยังห้องข้างๆ ส่วนที่หน้าห้องประทับนั้น ชารีฟยืนจ้องประตูอยู่อึดใจ ก่อนจะเดินจากไปอย่างปวดใจ...

ฝ่ายมิ เชลล์ถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อเข้ามาเห็นเตียงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง องค์อาหเม็ดเห็นท่าทางของเธอแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู บอกว่าไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร ถ้าเธอมีคนอื่นอยู่ในใจก็ขอให้บอก มิเชลล์อ้อนวอนขอความเมตตาให้เวลาตนไตร่ตรองสักสามวันก่อนได้หรือไม่ องค์อาหเม็ดชักจะไม่พอใจทำไมถึงต้องให้รอ

“หม่อมฉันทราบดีว่าพระองค์ ไม่โปรดฝืนใจสตรี พระกรุณาธิคุณในข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปนับตั้งแต่หม่อมฉันเหยียบย่างมา ที่นี่ ด้วยเหตุนี้หม่อมฉันจึงปรารถนาจะขอเวลาเพื่อตัดสินใจว่าจะสนองพระประสงค์ของ พระองค์หรือไม่” มิเชลล์อธิบาย องค์อาหเม็ดไม่ขัดข้อง อนุญาตให้เธอกลับไปคิดดูก่อน...

ครู่ต่อมา ชารีฟพามิเชลล์มายังรถที่จอดรออยู่ อดถามไม่ได้ว่าเหตุใดต้องรออีก 3 วัน หญิงสาวปลดผ้าคลุมหน้าออก หันมาเผชิญหน้าด้วยบอกว่าเธอเป็นคนทูลพระองค์เองว่าต้องการเวลาตัดสินใจ

“ดิฉัน หวังว่าอาจมีปาฏิหาริย์หรือมีใครมาช่วยดิฉัน หรือ...ให้องค์อาหเม็ดลืมเลือนเรื่องนี้ไป...ท่านราชองครักษ์ ท่านจะช่วยดิฉันเหมือนที่ท่านช่วยไม่ให้ดิฉันโดนประหารได้หรือไม่”

ชารีฟไม่ยอมช่วยเพราะครั้งนี้ไม่ใช่โทษประหาร มิเชลล์จ้องเขานิ่ง อ่านสีหน้าไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร...

หลัง จากส่งมิเชลล์เรียบร้อยแล้ว ชารีฟมายังตึกบัญชาการของตน เพื่อปรึกษากับการิมและนายทหารคนสนิทเรื่องวางกองกำลังป้องกันการก่อการกบฏ แต่อดไม่ได้ที่จะแขวะเจ้าชายโอมานที่หมกมุ่นอยู่กับการตั้งกองทหารกองใหม่ ทั้งๆที่ตัวเองกำลังจะก่อการกบฏ การิมไม่เข้าใจ เจ้าชายโอมานได้ทุกอย่างเท่าเทียมหรืออาจจะมากกว่าองค์อาหเม็ดด้วยซ้ำ เหตุใดจึงทะเยอทะยานอยากจะก่อกบฏอีก ชารีฟอธิบายว่า

“พระเจ้าตาของ โอมานขึ้นเรืองอำนาจในแคว้นชายแดนเล็กๆเพราะฆ่าพี่ชายแท้ๆของตัวเอง...การิม จัดการหน่วยราชองครักษ์เต็มรูปแบบเข้าอารักขาตำหนักขององค์อาหเม็ดตลอดเวลา นับแต่นี้เป็นต้นไป”...

ในเวลาเดียวกัน เจ้าชายโอมานไม่พอใจมากเมื่อรู้จากมเหสีเอกว่ามิเชลล์เข้าเฝ้าองค์อาหเม็ด ด่าว่าเธอต่างๆนานาหาว่ารู้เห็นเป็นใจให้นังนั่นไปเป็นพระสนม ไม่รู้หรือว่ามิเชลล์จะมีลูกตั้ง 6 คน เจ้าหญิงฟารีดาทราบดีเรื่องนี้ ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น เจ้าชายโอมานเข้ามาจับไหล่เธอเขย่าแล้วเหวี่ยงลงกับพื้น

“โง่บัดซบ มีโอกาสที่จะได้เป็นราชินี ยังไม่รู้จักสกัดกั้นขวากหนาม ถึงเวลาหรือไม่เราก็จะไม่รออีกต่อไป มือของเราทั้งสองมือนี่แหละจะฝืนโชคชะตาของฮิลฟาราเอง” เจ้าชายโอมานประกาศก้อง

ooooooo

ตั้งแต่เข้าเฝ้าพระองค์อาห เม็ดครั้งนั้น มิเชลล์มีสีหน้าหม่นหมองตลอด พิณที่เคยบรรเลงเพลงหวานกลับฟังแล้วเศร้าจนอะมีนาอดถามไม่ได้ว่าเกิดอะไร ขึ้น เธอคิดหนักถึงเรื่องที่ต้องไปเป็นพระสนมเพราะประเพณีของประเทศเธอ สามีมีภรรยาคนเดียว ผู้ชายและผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่เหมือนที่นี่ซึ่งผู้ชายกุมอำนาจทุกอย่าง

“ผู้ชายไม่ได้เลือกภรรยา ฝ่ายเดียว ผู้หญิงก็เลือกสามีเหมือนกัน เมื่อแต่งงานกันแล้ว สามีภรรยามีสิทธิหน้าที่เท่าเทียมกันในครอบครัว เช่นผู้หญิงอาจจะทำงานหาเงิน ผู้ชายทำงานบ้านเลี้ยงลูก ทั้งสองฝ่ายต้องซื่อสัตย์ต่อกัน ถ้าใครนอกใจมีคนอื่นถือว่าผิดประเพณีอย่างแรง อีกฝ่ายฟ้องเรียกค่าเสียหายได้”

“ถ้าอย่างนั้น ครูจะตัดสินใจยังไงหรือคะ”

ซา รีฟแอบฟังอยู่หลังพุ่มไม้ไม่ต้องการได้ยินคำตอบของมิเชลล์ หันหลังจะกลับ แต่อะมีนาเหลือบไปเห็นเรียกไว้ก่อน เขาจึงต้องเดินเข้ามาหา ฝากความระลึกถึงให้พ่อของอะมีนาด้วย เธอยิ้มรับอย่างรู้กัน

“เจ้าค่ะ ท่านราชองครักษ์ พ่อส่งข่าวว่าหมู่นี่ลมแรงเหลือเกินพ่อจะหลบลมเข้ามาที่ฮิลฟาราไม่ช้านี้ เจ้าค่ะ” อะมีนาว่าแล้วลุกออกไป ชารีฟแจ้งมิเชลล์ว่าได้เวลาตามนัดแล้ว คืนนี้จะมารับไปเฝ้าองค์อาหเม็ด เธอทราบอยู่แล้ว เขาไม่เห็นต้องลำบากมาบอกด้วยตัวเอง

“ฉันเต็มใจจะลำบาก เพราะมันเป็นหน้าที่ ไม่ว่าคำตอบของเธอจะเป็นเช่นไร มาบอกเท่านี้” ชารีฟพูดจบก้าวฉับๆออกไปทันที ทิ้งมิเชลล์ให้ยืนน้อยใจอยู่ตรงนั้น...

ทาง ฝ่ายองค์อาหเม็ดร้อนใจต้องการฟังคำตอบจากมิเชลล์ถึงขนาดเลื่อนการเดินทางไป อิชฟาอัคออกไป ทั้งที่กำหนดจะไปตั้งแต่วันก่อน แต่ก็คุ้มค่าเมื่อหญิงสาวตอบตกลงจะเป็นพระสนมของพระองค์

“พรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปอิชฟาอัค เมื่อกลับมาเราจะให้พันเอกชารีฟเข้าไปรับเจ้า หวังว่าจะไม่มีการปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง” องค์อาหเม็ดใช้สองมือประคองใบหน้ามิเชลล์แล้วจุมพิตมัดจำที่หน้าผากหนึ่งที จากนั้นจึงพาไปส่งให้ชารีฟซึ่งรออยู่หน้าห้อง

“นำนางผู้นี้กลับไป ตำหนักเจ้าหญิงฟารีดาได้แล้ว ส่งหีบของขวัญตามไปมอบให้นางวันพรุ่งนี้ กลับจากอิชฟาอัคเราจะมีพิธีรับพระสนมคนใหม่ แจ้งให้ทราบทั่วกันด้วยนะชารีฟ”

ชารีฟโค้งรับอย่างนอบน้อม ก่อนจะพามิเชลล์ไปส่งยังตำหนักของเจ้าหญิงฟารีดา ขณะที่เธอกำลังจะ

เดินเข้าข้างใน ชารีฟพูดไล่หลังว่าไม่รอปาฏิหาริย์แล้วหรือ หญิงสาวหันขวับ

“ตอนที่ดิฉันพูดถึงปาฏิหาริย์ ดิฉันก็รู้แล้วว่าไม่มี” น้ำเสียงของเธอคล้ายจะตัดพ้อ

“องค์อาหเม็ดไม่บังคับเธอแน่นอน ฉันรู้ว่าทรงถามย้ำว่าเธอเต็มใจหรือเปล่า”

“ใช่ และดิฉันก็ทูลว่าดิฉันเต็มใจ คุณอาจอยากจะรู้เหตุผลหรืออาจไม่อยากรู้ แต่ดิฉันจะบอก ถ้าดิฉันปฏิเสธ ดิฉันคงถูกส่งกลับฝรั่งเศส ดิฉันไม่อยากอยู่ที่นั่น แต่ถ้าถามว่าจะไปไหน ดิฉันกลับบอกไม่ได้เพราะไม่รู้จะไปไหน สุดท้ายดิฉันไม่อยากใช้นามสกุล เดอลาโรนีส์ ไม่อยากเกี่ยวข้องกับสกุลอันยิ่งใหญ่ของพ่อ”

จากนั้น ความอัดอั้นตันใจทั้งหลายก็พรั่งพรูออกจากปากของมิเชลล์ ทั้งเรื่องที่ปู่กับย่าไม่ต้อนรับเด็กเลือดผสมอย่างเธอเป็นหลาน ที่ท่านให้ใช้นามสกุลก็เพราะเป็นไปตามกฎหมาย เล่าไปก็ร้องไห้ไปด้วยความสมเพชเวทนาตัวเอง ชารีฟสงสารและเห็นใจเธอมาก ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่เป็นกำลังใจให้

ooooooo

แคชฟียา ถึงกับร้องกรี๊ดๆเมื่อรู้ข่าวว่ามิเชลล์จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระสนมใน องค์อาหเม็ดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่เข้าใจทำไมคนทรยศอย่างนั้นถึงได้ดิบได้ดี แม่ของเธอว่าเป็นพระประสงค์ขององค์อาหเม็ด

“ไม่จริง  มันไปหว่านเสน่ห์   คนอย่างมันโปรยเสน่ห์ไม่เลือกว่าเป็นใคร โรแบร์ของลูกมันก็แย่งไป ไม่เคยคิดสักนิดว่าเป็นผัวเพื่อน” คำพูดพล่อยๆของแคชฟียาทำให้แม่ถึงกับเข่าอ่อน ท่านเศรษฐีรีบเข้าไปประคองไว้ ก่อนจะหันไปเอ็ดลูกสาว พูดจาอะไรให้ระวังปาก มีคู่รักได้แต่ทำไมต้องมีผัว

“แหมพ่อเจ้าขา คู่รักกับผัวก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ ไม่เห็นหรือคนที่รีบแต่งงานน่ะท้องทุกคน”

ท่านเศรษฐีทนไม่ไหวที่ลูกพูดจาไม่เป็นกุลสตรีทั้งด่าทั้งสาปแช่งสารพัด แต่เธอไม่สนใจกลับหัวเราะใส่หน้าเขาอย่างท้าทาย...

อาการไม่อยู่กับร่องกับรอยของแคชฟียาหนักข้อขึ้นตั้งแต่รู้ข่าวมิเชลล์ แต่งเนื้อแต่งตัวแบบเว่อร์ๆ แถมยังพูดโทรศัพท์กับโรแบร์เป็นตุเป็นตะทั้งที่ไม่มีสายสัญญาณ บางทีก็ร้องไห้ อยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะ ท่านเศรษฐีกับภรรยาถึงกับกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ...

ขณะที่แคชฟียาเริ่มสติแตก ชารีฟนำหีบเครื่องเพชรจะมามอบให้มิเชลล์  แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเธอกำลังดีดพิณอยู่ที่สวนข้างตำหนัก รีบหลบเข้าพุ่มไม้จ้องมองภาพงดงามตรงหน้าตาไม่กะพริบ มัวแต่มองเพลิน ไม่ทันได้ยินเสียงซาฟีน่าหัวหน้านางกำนัลของที่นี่เข้ามาด้านหลังจนเธอกระแอมให้รู้สึกตัว เขาจึงหันมามอง

“ท่านราชองครักษ์ อัญเชิญหีบพระราชทานมาแล้วหรือเจ้าคะ”

มิเชลล์ได้ยินเสียงก็เหลียวมอง พอเห็นชารีฟมารีบหยุดบรรเลงพิณ ค่อยๆดึงผ้าคลุมหน้ามาปิด เป็นจังหวะเดียวกับท่านราชองครักษ์เข้ามาคุกเข่าเอาหีบเครื่องเพชรมาวางตรงหน้า แจ้งว่าเป็นหีบพระราชทานจากองค์อาหเม็ด สำหรับวันถวายตัว อีก 3 วันข้างหน้าหลังเสด็จกลับจากอิชฟาอัค

“วันนั้นเวลา 4 ทุ่ม ฉันจะเข้ามารับเธอ...เธอรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ” ชารีฟแดกดันจบลุกออกไป

ooooooo

เจ้าชายโอมานเรียกประชุมเหล่าทหารคนสนิทซึ่งประกอบด้วยซาอิ๊บ มุสตาฟาและหะยีเป็นการด่วนเมื่อทราบว่าองค์อาหเม็ดเสด็จไปอิชฟาอัคโดยไม่มีกำหนดการมาก่อน สอบถามทั้งสามคนแล้วไม่มีใครตอบได้ว่าเหตุใดพระองค์ถึงเสด็จไปที่นั่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ เจ้าชายโอมานไม่สบอารมณ์ตบโต๊ะเปรี้ยง

“โง่จริงๆ...ซาอิ๊บ สั่งการไปถึงคนของเราที่อิชฟาอัคให้ตามเรื่องด่วน”

ซาอิ๊บแจ้งว่าสายของเราทางโน้นทราบแล้วอีกไม่ช้าก็คงรายงานเข้ามา เจ้าชายโอมานอยากรู้ว่าสายของเราเป็นใคร ตำแหน่งใหญ่โตขนาดไหน พอรู้ว่าเขาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของเจ้าชายอับดุลลาเจ้าผู้ครองนครอิชฟาอัคถึงกับยิ้มพอใจ...

ขณะที่เจ้าชายโอมานกับพวกประชุมกันอยู่ที่ฮิลฟารา องค์อาหเม็ดกับเหล่าคนสนิท รวมทั้งเจ้าชายอับดุลลาผู้เป็นหลานและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกำลังประชุมอย่างเคร่งเครียดไม่แพ้กันอยู่ที่อิชฟาอัค เมื่อองค์อาหเม็ดประมวลหลักฐานที่ได้จากชารีฟจนแน่ใจว่าเจ้าชายโอมานคิดจะก่อกบฏหลังจากพระองค์กลับถึงฮิลฟารา จึงแต่งตั้งให้เจ้าชายอับดุลลารับตำแหน่งแทนเจ้าชายโอมาน

“หลานเต็มใจสนองพระคุณเสด็จอา”

“ชารีฟ เมื่อกลับไปเราจะรับพระสนมใหม่เสียก่อน หลังจากนั้นอีกสามวันเราจะสำเร็จโทษโอมาน”

สายของเจ้าชายโอมานซึ่งร่วมประชุมอยู่ด้วย ลอบออกมาสั่งการให้ม้าเร็วนำจดหมายของตนที่รายงานเรื่องดังกล่าวไปส่งให้เจ้าชายโอมานด่วนที่สุด...

ทันทีที่ได้รับจดหมายจากสาย เจ้าชายโอมานสั่งการให้ทหารของตนเตรียมพร้อม องค์อาหเม็ดกลับถึงฮิลฟาราเมื่อไหร่ให้ปลงพระชนม์ได้เลย โดยจะส่งคนไปลอบฆ่าทหารยามที่เฝ้าวังหลวงทั้งหมดก่อน แล้วจัดทหารของตนไปยืนยามแทน ซาอิ๊บทักท้วงว่าทหารรักษาพระองค์ทั้งกองเฝ้าระวังวังหลวงอยู่คงไม่ง่ายที่จะทำตามแผน เจ้าชายโอมานด่าว่าไอ้ขี้ขลาดแล้วหันไปถามมุสตาฟาว่าจะทำอย่างไรดี

“ทหารของเราส่วนหนึ่งให้หัวหน้านางกำนัลที่ชื่อซาฟีน่า นางเป็นพวกเรา รับเข้าไปแฝงตัวอยู่ในวัง องค์อาหเม็ดเสด็จเมื่อไหร่ ทหารของเราข้างนอกจะเข้าประชิด ข้างในจะออกมาประกบและฆ่าให้หมดพระเจ้าข้า”

เจ้าชายโอมานเห็นชอบด้วย อีกทั้งจะให้ซาฟีน่าจัดนางกำนัลที่เป็นพวกของเราอยู่เวรบริเวณชั้นใน และให้ซาอิ๊บกับมุสตาฟาเข้าไปรอที่วังหลวง ใครขัดขืนไม่ต้องไว้ชีวิต ซาอิ๊บและมุสตาฟารีบไปทำตามสั่งทันที...

ไม่นานนัก ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เจ้าชายโอมานและพวกวางไว้ ซาฟีน่าจัดให้นางกำนัลที่เป็นพวกของตัวเองเข้าประจำที่ตามจุดสำคัญๆรอบตำหนักชั้นใน จากนั้นจึงเปิดทางให้ซาอิ๊บและมุสตาฟาเข้ามาเตรียมพร้อมรอการกลับมาขององค์อาหเม็ด

ooooooo

เมื่อองค์อาหเม็ดเสด็จมาถึงวังหลวง เจ้าชายโอมานทำทีมารอต้อนรับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระองค์เดินทางกลับมาเหนื่อยๆจึงอยากจะพักผ่อน แต่ไม่ลืมกำชับชารีฟว่าอย่าลืมไปรับมิเชลล์ให้ด้วย แล้วเสด็จขึ้นตำหนัก ชารีฟพยักหน้าเรียกผู้บังคับกองราชองครักษ์เข้ามาหา

“ฉันมีราชการด่วนต้องทำ จะกลับมาอีกทีค่ำๆ” ชารีฟสั่งเสร็จหันไปส่งสัญญาณให้การิมรออยู่ตรงนั้นแล้วตัวเองขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว...

ในขณะเดียวกัน รายานางกำนัลซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยตามมาหาซาฟีน่าที่หน้าห้ององค์อาหเม็ดเพื่อจะขอแลกเวรกันเนื่องจากพรุ่่งนี้เธอมีธุระ ซาอิ๊บไม่ต้องการให้มีอะไรผิดพลาดจำต้องสังหารรายาแล้วลากศพไปซ่อนไว้ได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนที่องค์อาหเม็ดจะเสด็จมาถึงห้องประทับ พวกนางกำนัลฝ่ายเจ้าชายโอมานรีบออกมารับเสด็จ รอจนพระองค์เข้าห้องจึงเปิดทางให้ซาอิ๊บและมุสตาฟาตามเข้าไป

องค์อาหเม็ดไม่ทันระวังตัวถูกซาอิ๊บเอายาสลบโปะหน้าจนแน่นิ่งไป พลันมีเสียงร้องของนางกำนัลดังขึ้นหน้าห้อง ซาอิ๊บตกใจรีบนำร่างองค์อาหเม็ดวางบนเตียงแล้วออกไปดู เจอนางกำนัลเพื่อนของรายาร้องเอะอะว่ารายาตายแล้ว เธอเจอศพอยู่ด้านโน้น ซาอิ๊บจะเข้ามาจัดการจากด้านหลังแต่เธอรู้ตัวเสียก่อน จะวิ่งหนี เขาตะครุบตัวไว้ แต่เธอดิ้นหลุด วิ่งหนีพลางส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไปไม่รอดถูกมุสตาฟาเชือดคอตายสนิท

นางกำนัลสองคนที่คอยเปิดทางให้เห็นการฆ่ากันโวยวายลั่นไหนว่าจะไม่มีใครตาย ทำไมต้องฆ่าแกงกันด้วยแล้วถามถึงองค์อาหเม็ดว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซาอิ๊บแสยะยิ้ม

“เดี๋ยวก็สิ้นพระชนม์ โดนยาสลบไปแล้ว”

พวกนางกำนัลถึงกับร้องไห้ฟูมฟายไม่คิดเลยว่าเรื่องร้าวจะร้ายแรงถึงขนาดลอบปลงพระชนม์ ซาอิ๊บกับมุสตาฟาเห็นท่าไม่ดี เกรงทั้งคู่จะทำแผนการพัง จึงสังหารให้สิ้นซาก...

ขณะที่ภายในตำหนักหลวงตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ที่ด้านหน้าตัวตำหนักทหารสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด ทหารขององค์อาหเม็ดจำนวนน้อยกว่า ถูกทหารฝ่ายเจ้าชายโอมานสังหารล้มตายจำนวนมาก มิเชลล์ซึ่งอยู่ที่วังของเจ้าชายโอมาน แต่งตัวสวยเตรียมจะเข้าถวายตัวต้องตกใจเมื่ออะมีนาเข้ามาแจ้งว่าพระอนุชาก่อการกบฏ เวลานี้กุมอำนาจทหารไว้หมดแล้ว องค์อาหเม็ดอยู่ในอันตราย

นายพลมุสกัตพ่อของเธอกำลังลอบเข้าไปในวังหลวงด้วยทางลับใต้ดินเพื่อไปอารักขาองค์อาหเม็ด ส่วนท่านราชองครักษ์อยู่ที่ตึกเหลืองด้านหน้า จะต้องมีคนออกไปตามแต่ไม่มีใครออกไปได้ มิเชลล์อาสาจะไปตามชารีฟเอง จะใช้ข้ออ้างที่เป็นชาวต่างชาติผ่านพวกทหารออกไปให้ได้ แล้วคว้าเสื้อคลุมมาสวม

“อะมีนาจะไปอยู่กับเจ้าหญิงฟารีดา ที่นั่นคง ปลอดภัย”

มิเชลล์เตือนอะมีนาให้ระวังตัวด้วย ไปตามชารีฟได้แล้วจะรีบไปหา สองสาวกอดให้กำลังใจกันโดยไม่ล่วงรู้เลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากแยกทางกัน อะมีนาถูกหะยีฆ่าตาย...

ด้านเจ้าหญิงฟารีดาถึงกับเข่าอ่อนเมื่อทราบว่าเจ้าชายโอมานก่อการกบฏและองค์อาหเหม็ดสิ้นพระชนม์แล้ว เจ้าชายอ้างว่าพระองค์หัวใจวายเอง เจ้าหญิงฟารีดาไม่เชื่อ รู้แก่ใจดีว่าเป็นฝีมือของเขา ทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหว ขอลา กลับบ้านที่เกซาห์ เจ้าชายโอมานโวยวายลั่นว่าตำแหน่งพระราชินีแห่งฮิลฟารากำลังรอเธออยู่ เจ้าหญิงไม่ขอรับตำแหน่ง ขอถวายคืน เจ้าชายจอมโหดไม่ยอม

“ให้แล้ว ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้ายังไม่อยากตาย นังอะมีนาน่ะถูกปาดคอห้อยรุ่งริ่ง อยากจะเป็นอย่างนั้นรึ”

เจ้าหญิงฟารีดาถึงกับปล่อยโฮ แล้วนึกถึงครูมิเชลล์ขึ้นมาได้ก็ถามหา ได้ความว่าเธอคงมีชะตากรรมไม่ต่างจาก อะมีนา เจ้าหญิงคร่ำครวญจะต้องฆ่าใครอีกกี่คนถึงจะสาแก่ใจ...

ในเวลาไล่เลี่ยกันทหารฝ่ายเจ้าชายโอมานสองนายซึ่งถูกสั่งให้เฝ้าพระศพอยู่หน้าห้องถึงกับตาเหลือก เมื่อเข้าไปตรวจดูข้างในห้องพบว่าพระศพหายไป ต่างมองหน้ากันเหมือนรู้ในชะตากรรมของตัวเอง

“ถ้าพระอนุชาทราบ...ตายเหมือนกัน”

ทั้งคู่หยิบมีดสั้นขึ้นมาเชือดคอตัวเองตาย เป็นจังหวะเดียวกับทหารอีกนายหนึ่งเปิดประตูเข้ามาพอดี...

ทางฝ่ายเจ้าชายโอมานรำคาญมเหสีเอกที่เอาแต่คร่ำครวญไม่เลิกไม่แล้ว เดินหนีออกจากห้องบรรทมกำชับนางกำนัลให้เฝ้าเจ้าหญิงไว้อย่าให้หนีไปไหนเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะคอขาดเหมือนอะมีนา จังหวะนั้นมุสตาฟาลากทหารนายนั้นที่เข้าไปในห้ององค์อาหเม็ดเป็นคนสุดท้ายมาด้วย พร้อมกับรายงานว่า พระศพองค์ อาหเม็ดหายไป แล้วเหวี่ยงทหารนายนั้นไปกองแทบเท้าเจ้าชายโอมาน สั่งให้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ข้าพระเจ้าเห็นกับตา พระศพหายไป”  สิ้นเสียง ทหาร เจ้าชายโอมานชักดาบตวัดคอวูบเดียวคนพูดล้มตึงจมกองเลือดแล้วสั่งให้มุสตาฟาจัดการกุดหัวทหารเฝ้าพระศพและให้ออกตามหาพระศพให้พบ

“พวกนั้นชิงฆ่าตัวตายแล้ว มันกลัวความผิด”

ooooooo

เจ้าหญิงสุไบดาไม่แปลกใจนักเมื่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับองค์อาหเม็ดเข้ามาแจ้งว่าเจ้าชายโอมานก่อการกบฏยึดอำนาจทั้งหมดไว้แล้ว และพวกตนได้รับคำสั่งให้มาคอยอารักขาเจ้าหญิง

“ขอบใจ ฉันไม่ไปไหนหรอกจะอยู่ที่นี่ โอมานจะส่งทหารมาทำอะไร ท่านก็ดูแลให้ด้วยแล้วกัน”

ไบคานขอแค่อยากให้ต้องเลือดตกมากนัก ถ้าสู้ไม่ไหวก็ให้ยอมแพ้อย่าเสี่ยงชีวิต เหล่านายทหารรับคำแล้วกลับออกไป ไบคานอดเป็นห่วงลูกชายไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

“ไม่ต้องห่วงชารีฟ น้องเชื่อว่าชารีฟเตรียมการป้องกันไว้แล้ว” เจ้าหญิงสุไบดาเหมือนจะพูดปลอบใจตัวเองมากกว่าจะปลอบใจสามี...

เหตุการณ์วุ่นวายในวังหลวงยังไม่สงบ ทหารทั้งสองฝ่ายยังคงปะทะกันประปราย เจ้าชายโอมานสั่งการให้พลวิทยุประกาศจับชารีฟมารับโทษให้ได้ เพราะคิดว่าเขาเป็นตัวการขโมยพระศพไป จังหวะนั้น มีวิทยุแจ้งเข้ามาว่า มีเครื่องบินไม่ปรากฏสัญชาติบินขึ้นทางทิศตะวันตกของสนามบิน ทหารที่คุ้มกันสนามบินถูกฆ่าตาย และมีคนเห็นนายพลมุสกัตเป็นผู้นำการโจมตี สงสัยว่าจะเป็นการโยกย้ายพระศพองค์อาหเม็ด

“ไอ้มุสกัต มันมาจากชายแดนได้ทันเวลาหรือนี่ ต้องเป็นไอ้ชารีฟที่ร่วมมือกัน...จับมันให้ได้” เจ้าชายโอมานเข่นเขี้ยวด้วยความแค้น...

ทางด้านมิเชลล์ซึ่งอยู่ในชุดสวยอาศัยความมืดวิ่งลัดเลาะไปตามต้นไม้อย่างระแวดระวัง แต่รองเท้าที่สวมเป็นรองเท้ามีส้นทำให้สะดุดโน่นสะดุดนี่ล้มลุกคลุกคลานตลอดทาง เธอจำต้องโยนรองเท้าทิ้งแล้ววิ่งเท้าเปล่าตรงไปยังตึกเหลืองซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าผา โดยไม่ล่วงรู้ว่าหะยีกำลังตามมาและเจอรองเท้าที่เธอถอดทิ้งไว้

หญิงสาวหยุดพักเหนื่อย มองไปเบื้องหน้าเห็นตึกเป้าหมายอยู่ไม่ห่างนัก สูดลมหายใจเรียกกำลังแล้วขยับจะวิ่งต่อ แต่ต้องรีบหลบหลังพุ่มไม้เมื่อเห็นทหารยืนยามฝ่ายตรงข้าม 2 นาย เดินสูบบุหรี่มาตามทาง ทั้งคู่มัวแต่คุยกันเกือบชนหะยีที่วิ่งสวนมา เขาถามอะไรบางอย่าง ทหารสองนายนั่นส่ายหน้าเป็นทำนองไม่รู้ไม่เห็น หะยีไม่พอใจมากชักดาบฟันทั้งคู่ล้มคว่ำจมกองเลือด มิเชลล์กลัวมาก ตัดสินใจวิ่งหลบๆไปอีกทางหนึ่ง...

ข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์อาหเม็ดทำให้สุไบดาวิตกกังวลในความปลอดภัยของลูกชาย ขอร้องให้ไบคานส่งวิทยุไปถึงพ่อค้าอูฐลูกน้องเก่าของเขา

“โอ...จริงสิ เขาจะออกเดินทางคืนนี้”

“ถ้าชารีฟจำเป็นต้องหนี พ่อค้าอูฐลูกน้องท่านพี่นี้แหละ จะช่วยได้ เร็วท่านพี่”

ooooooo

ในเวลาเดียวกัน ภายในตึกเหลือง เสียงประกาศทางวิทยุว่าองค์อาหเม็ดสิ้นพระชนม์แล้ว ทำให้ชารีฟเป็นเดือดเป็นแค้นจะออกไปจัดการเจ้าชายโอมานให้สิ้นซาก การิมกับเหล่าทหารคนสนิทต้องช่วยกันจับไว้จนเขาสงบและมีสติ พวกนั้นจึงปล่อยมือ ชารีฟโกรธจัดทุบโต๊ะเปรี้ยง โวยลั่น

“ไหนฝ่ายข่าวบอกว่าโอมานจะลงมือหลังจากองค์อาหเม็ดกลับจากอิชฟาอัคได้ 3 วันไง”

การิมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมเจ้าชายโอมานถึงเปลี่ยนแผนการกะทันหัน หรือว่าได้ข้อมูลอะไรมา ชารีฟมั่นใจว่าต้องเป็นเพราะองค์อาหเม็ดแต่งตั้งเจ้าชายอับดุลลาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าชายโอมานแน่นอน แสดงว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของเจ้าชายอับดุลลาต้องเป็นไส้ศึก รีบสั่งการให้ทหารส่งข่าวไปแจ้งทางอิชฟาอัคให้ระวังตัว พลันมีเสียงประกาศทางวิทยุดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

“ประกาศด่วน ผู้ก่อการกบฏและปลงพระชนม์องค์อาหเม็ดคือ ราชองครักษ์ชารีฟ คาดว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ ผู้ใดพบขอให้แจ้งทางการ จะมีรางวัลอย่างงาม”

ชารีฟขบกรามแน่นสีหน้าเจ็บช้ำ ระหว่างนั้น

มีวิทยุคลื่นสั้นจากพ่อของชารีฟว่า จะส่งข่าวเส้นทางหลบหนีมาให้ในอีก 10 นาที ท่านราชองครักษ์หนุ่มไตร่ตรองดูแล้วตัดสินใจสั่งให้การิมกับพวกทหารแยกย้ายกันหนี การิมจะขอไปกับเจ้านาย แต่เขาไม่อนุญาต ขืนอยู่ด้วยจะยิ่งอันตราย เจ้าชายโอมานต้องการแค่เขาคนเดียวเท่านั้น การิมรับคำแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับคนของไบคานวิทยุเข้ามาพอดี

“อูฐที่สั่งซื้อจะมาถึงเมืองโฮไดดะ ให้ไปรับได้ที่พ่อค้าขี่ม้าขาวตัวแรก”

พลวิทยุกรอกเสียงถามว่า จะมาถึงเวลาอะไร มีเสียงตอบแทบจะไม่ได้ยินว่า ตีสี่แล้ววิทยุก็ขาดการติดต่อ พลวิทยุโวยวายว่า ยังไม่ทันจะรู้เรื่องสัญญาณขาดไปเสียแล้ว ชารีฟวางมือบนบ่าของเขา

“ทำไมจะไม่รู้เรื่อง เราจะต้องไปเมืองโฮไดดะกับพ่อค้าอูฐ ออกเดินทางตีสี่...เจ้าสองคนหาทางกลับไปบ้านบิดาเรา เรียนท่านว่าเราจะไปตามเส้นทางที่ท่านจัดให้และวันหนึ่งจะกลับมาหาท่าน”

พลวิทยุทั้งสองนายรีบออกไปทันที ชารีฟหยิบสร้อยห้อยเหรียญตราประจำราชวงศ์สวมคอไว้ หยิบมีดโค้งคล้ายเสี้ยวพระจันทร์ขึ้นมาเหน็บเอว แล้วรีบออกจากตึก เหลือบมองไปยังตำหนักของเจ้าหญิงฟารีดาแล้ว อดเป็นห่วงมิเชลล์ไม่ได้ แต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร ได้แต่อวยพรให้เธอโชคดี

ooooooo

ขณะที่มิเชลล์วิ่งลัดเลาะมาด้านหลังตึกเหลือง มีร่างของใครคนหนึ่งโผล่พรวดมาปิดปาก พร้อมกับรวบตัวไปหลังพุ่มไม้หนา เธอดิ้นรนสุดฤทธิ์ทั้งเตะทั้งถีบ ชารีฟกดหน้าเธอแนบพื้นพลางกระซิบเสียงดุ

“หยุดดิ้น...เดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งคู่หรอก มีคนมาโน่นเห็นไหม”

ทั้งชารีฟและมิเชลล์รอจนพวกทหารฝ่ายกบฏผ่านไปแล้ว จึงค่อยๆคืบคลานออกจากตรงนั้น เธอแจ้งว่า กำลังจะไปหาเขาอยู่พอดี อะมีนาบอกว่าเจ้าชายโอมานก่อการกบฏ

“องค์อาหเม็ดสิ้นพระชนม์แล้ว พวกกบฏกำลังตามล่าฉัน วิทยุประกาศทุกสถานี เราต้องรีบหนีไปจากที่นี่”

“หนี...หนีไปไหน  เราจะไปไหนคะ” มิเชลล์เสียงสั่น ชารีฟจะพาหนีไปในทะเลทราย ไปตายเอาดาบหน้า ยังดีกว่าถูกพวกนรกนั่นจับไปทรมาน แล้วถามเธอว่าจะไปเสี่ยงกับเขาหรือจะอยู่เผชิญหน้ากับเจ้าชายโอมาน มิเชลล์นิ่งคิดอยู่อึดใจ ก่อนจะตัดสินใจไปด้วย

“ทะเลทรายที่เราจะไปเขาเรียกว่า แดนมรณะเป็นจุดที่ร้อนจัดที่สุดและมีเบดูอินท่องที่ยวไปทั่ว ชนเผ่านี้ดุร้ายกับคนที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู เราอาจจะไม่รอดชีวิตกลับมา”

มิเชลล์ยังคงยืนยันคำเดิม ชารีฟสั่งให้เธอถอดเครื่องประดับออกให้หมด รวมทั้งที่ติดอยู่บนผมด้วย เธอทำตามสั่ง แล้วปลดที่ติดผมออกเป็นอย่างสุดท้าย ผมยาวสลวยชวนมองทำให้ชายหนุ่มตะลึงในความงาม เอื้อมมือมาแตะผมสวยอย่างลืมตัว พอรู้สึกตัวเขาทำเป็นจัดผมให้เธอแก้เก้อ ก่อนจะเสหยิบเครื่องประดับทั้งหมดยัดใส่ถุงผ้าที่สะพายติดตัวมา จากนั้นชารีฟหลบออกไปเอาเสื้อของทหารที่นอนตายอยู่แถวนั้นมาให้เธอเปลี่ยน

กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นเหม็นสาบของเสื้อ ทำให้หญิงสาวจะอาเจียนเสียให้ได้ แต่สุดท้ายก็จำต้องใส่

ชารีฟหายไปจากพุ่มไม้อีกครั้ง สักพักก็กลับมาพร้อมกับผ้าอีกสองผืน  และเชือกฝ้ายสีดำถักเป็นเกลียวสำหรับคาดหัว โดยที่มิเชลล์ไม่ทันได้ตั้งตัว เขาคว้าผมสลวยของเธอมากำไว้ ใช้มีดสั้นตวัดไปมาสองสามครั้ง ผมยาวเหลือสั้นแค่คอ แถมยังแหว่งอีกต่างหาก หญิงสาวถึงกับน้ำตาคลอ ต่อว่าเสียงดังว่า ทำไมต้องตัดผมเธอด้วย

“เบาๆสิ เข้าใจไว้ด้วยว่า ฉันไม่ต้องการรับภาระคอยป้องกันความเป็นสาวของเธอจากพวกเบดูอินในทะเลทราย” ชารีฟอธิบายจบ จับบ่ามิเชลล์ให้หันหน้ามาหา เอาผ้ามาโพกหัวให้อย่างคล่องแคล่ว แล้วใช้เชือกสีดำผูกรอบหน้าผากกันผ้าคลุมหลุด “ผ้าผืนนี้เขาเรียกว่ากัฟฟีเย จะช่วยป้องกันไม่ให้เธอโดนแสงแดดร้อนจ้าตอนกลางวันและก็พายุทราย เอาล่ะ เช็ดน้ำตาได้แล้ว มาด-มัวแซลล์ หรือว่าจะให้เช็ดให้”

มิเชลล์สะบัดหน้าใส่อย่างงอนๆ แล้วเกิดคลื่นไส้เพราะกลิ่นคาวเลือดจากเสื้อที่ตัวเองสวมอยู่ อาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชารีฟส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ กำชับว่า ต่อไปห้ามอาเจียนอีก

ooooooo

หลังจากชารีฟเปลี่ยนเสื้อของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ช่วยกันกับมิเชลล์ขุดหลุมฝังเสื้อผ้าชุดเก่าเพื่อทำลายหลักฐาน จากนั้นเขาเอาเชือกเส้นยาวที่หามาได้ผูกปลายข้างหนึ่งกับเอวมิเชลล์ อีกข้างหนึ่งมัดไว้กับเอวตัวเอง พลางบอกว่าเราจะหนีลงไปทางหน้าผานี่ และที่เราต้องโยงเชือกติดกันไว้ เผื่อเธอพลาดพลั้งจะได้ไม่ตกไปตาย

“แต่ถ้าฉันเป็นคนพลาดแล้วเธอยึดไว้ไม่ไหวก็คงต้องตายกันทั้งสองคน...ป่านนี้มันคงนึกว่าเราจะออกทางช่องลับใต้ดิน คงระดมพลไปดักทางโน้น ไม่นึกหรอกว่าเราจะลงทางนี้เพราะชันและเสี่ยงมาก จะมีกองคาราวานพ่อค้าอาหรับมารับเราที่เชิงเขาด้านหลังเวลาตีสี่กว่าๆ...ไปกันได้แล้ว”

ชารีฟไต่หน้าผาลงไปช้าๆ อย่างระมัดระวังโดยมีมิเชลล์ตามมาไม่ห่าง จนกระทั่งมาถึงครึ่งทาง พลันมีเสียงดังตูมสนั่น มิเชลล์ตกใจคว้าหินพลาดร่วงลงมา โชคดีที่ชารีฟคว้าตัวไว้ทัน ใช้ร่างตัวเองดันร่างเธอแนบกับหน้าผา ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันแค่คืบ โลกราวกับหยุดหมุน ต่างนิ่งงันเหมือนต้องมนต์สะกด

เสียงพลุดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และมีแสงสว่างส่องไปทั่ว ชารีฟได้สติรีบไต่หน้าผาต่อไป และเตือนให้เธอระวังตัว พวกศัตรูจุดพลุให้สว่างเพื่อจะให้ค้นหาเราได้ง่ายขึ้น...

ใกล้ถึงพื้นแล้ว มิเชลล์เริ่มล้าไปทั้งตัว แต่ยังพยายามกัดฟันไต่หน้าผาตาม แต่เธอก็พลาดอีกจนได้ คราวนี้ชารีฟคว้าไม่ทัน เธอดึงเขาร่วงตามไปด้วยโชคดีที่เชิงผาด้านล่างเป็นเนินทราย แถมยังลาดเอียง ต่างกลิ้งหลุนๆจนมาสิ้นสุดที่พื้นราบ ชารีฟยันตัวจะลุกขึ้น แต่เหลือบไปเห็นมิเชลล์นอนฟุบอยู่ ด้วยความเป็นห่วงเอื้อมมือจะไปแตะ เธอขยับตัวเสียก่อน ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งหน้าตามอมแมมไม่เหลือเค้าความสวยให้เห็น เขาอดขำไม่ได้

“หัวเราะอะไรไม่ทราบ” มิเชลล์เสียงเขียว

“เธอดูตลกดี”

หญิงสาวค้อนขวับคุยโวว่า เท่าที่จำได้มีแต่คนชมว่าสวย ไม่เคยมีใครบอกสักคนว่าเธอหน้าตาตลก ชารีฟขี้เกียจเถียงด้วย บอกว่าเราต้องรอตรงนี้จนถึงตีสี่ และจากนี้เป็นต้นไปเธอคือเด็กหนุ่ม โง่ เซ่อซ่า พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง

จังหวะนั้นมีแสงไฟหน้ารถส่องมาแต่ไกล มิเชลล์ทำท่าจะวิ่งไปหา ชารีฟคว้าตัวไว้แล้วผลักให้นอนลงกับพื้น เธอโวยวายว่าจะไปกับรถคันนั้น เขาสั่งให้อยู่เงียบๆ รถจี๊ปแล่นใกล้เข้ามามีเสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้นจึงได้รู้ว่าเป็นพวกกบฏ อีกทั้งบนฟ้ายังมีเสียงเครื่องบินคอยบินลาดตระเวนค้นหาผู้หลบหนี ชารีฟมองอย่างเจ็บแค้น

“มันคุมไว้หมดทุกด้านแล้ว ทางบก ทางอากาศ เราต้องระวังตัวให้มากขึ้น”...

ระหว่างที่ชารีฟกับมิเชลล์หนีการไล่ล่าของพวกกบฏ เจ้าหญิงสุไบดานำเงินใส่ถุงกำมะหย่ี แล้วฝากให้อับดุลคนสนิทของไบคานเอาไปส่งให้ถึงมือชารีฟ อับดุลรับปากจะยอมตายถ้าของสิ่งนี้ไปไม่ถึงมือเขา

ooooooo

เจ้าชายโอมานโกรธมากที่หะยีตามจับตัวชารีฟกับนังคนต่างชาติกลับมาไม่ได้ ได้แต่ทหารรับใช้ของชารีฟกลับมาเท่านั้น เจ้าชายโอมานตบหน้าหะยีฉาดใหญ่ฐานทำงานพลาด

“ลุยทะเลทราย สกัดกองคาราวานทุกกอง ตามมันมาให้ได้...ไม่ได้เจ้าตาย”

หะยีรับคำ รีบออกไปทันที ซาอิ๊บอาสาจะเค้นความจริงจากทหารรับใช้คนนี้ให้เอง แล้วหยิบมีดสั้นขึ้นมาขู่ถ้าไม่ยอมบอกที่ซ่อนตัวของชารีฟ จะเอามีดเล่มนี้เลาะกระดูกนิ้วมือออกทีละข้อ

“เฮ้ย...พูดมากอยู่ทำไม ทำเลย มันจะบอกก็ตอนมันเจ็บ ยังไม่เจ็บเจียนตายขู่มันให้ตายมันก็ไม่เปิดปากเอามีดมานี่ ข้าทำเอง” เจ้าชายโอมานไม่รอช้าใช้มีดเฉือนเอากระดูกนิ้วมือของทหารรับใช้ออก เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ยอมปริปากบอกที่อยู่ของชารีฟ...

ใกล้ถึงเวลาตามนัด ชารีฟเตือนมิเชลล์อีกครั้ง อย่าลืมว่าจากนี้ไปเธอไม่ใช่ผู้หญิงอีกแล้ว ต้องทำท่าเข้มแข็ง เธอกลัวจะไม่มีใครเชื่อว่าเธอเป็นผู้ชาย ชารีฟสำรวจมิเชลล์ทั่วตัว แล้วกระชับผ้าคลุมหน้าให้ ก่อนจะพยักหน้าว่าใช้ได้ แม้จะหล่อไปสักนิด เสื้อพวกนี้ตัวใหญ่ปิดบังร่างกายเธอได้ดี แล้วตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่า “ตาฟา” มีเสียงกระดิ่งแว่วเข้ามา ชารีฟพามิเชลล์ไปยังต้นทางของเสียงทันที...

ครู่ต่อมา ผู้หลบหนีทั้งสองคนมาซุ่มรออยู่ที่โค้งตรงสันทรายเห็นขบวนคาราวานเป้าหมายกำลังตรงมา ทางพวกตน ทันใดนั้นพลุไฟสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง ชารีฟรีบ ดึงมิเชลล์นอนหมอบไปกับพื้นโดยใช้สันทรายเป็นที่กำบัง รถจี๊ปทหารของฝ่ายกบฏ 3 คัน ตีวงโอบล้อมกองคาราวานไว้ ทหารพร้อมอาวุธครบมือกรูเข้าตรวจค้น หัวหน้าเบดูอินและอับดุลในคราบพ่อค้าซึ่งขี่ม้าขาวลงมาเจรจากับพวกทหาร สักพักพวกนั้นขึ้นรถจี๊ปกลับไป ชารีฟโผล่หัวขึ้นไปดูเห็นรถของพวกทหารลับสายตาแล้ว รีบดึงมือมิเชลล์ให้ลุกขึ้น

พอคนขี่ม้าสีขาวเข้ามาใกล้ ชารีฟจำได้ทันทีว่าเขาคืออับดุลคนสนิทของพ่อ ปรี่เข้าไปหา อับดุลลงจากหลังม้าเข้ามาสวมกอดเขาไว้ แจ้งว่าพ่อของชารีฟสั่งให้ชารีฟแยกจากขบวนคาราวานที่โอเอซิสใกล้เมืองโฮไดดะ ต่อจากนั้นให้หลบหนีดีๆ เพราะเจ้าชายโอมานสั่งคนให้ออกตามล่าเขากับหญิงชาวต่างชาติ แล้วส่งถุงใส่เงินให้

“มารดาท่านฝากเหรียญเงินมาให้ แต่อย่าให้ไอ้พวกนี้รู้ พ่อท่านจ้างกองคาราวานนี่ บอกเขาว่าท่านเป็นผู้จาริกแสวงบุญจะเดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เขานำทางไปส่งที่ทางแยกไปโฮไดดะ จ่ายเงินไปหมดแล้ว ท่านคงต้องรีบไป อ้อ...หัวหน้ากองคาราวานนี้ชื่อ ฟูรอ” อับดุลโอบกอดร่ำลาชารีฟ แล้วขึ้นม้าจากไป

ฟูรอตะโกนเร่งให้ออกเดินทางกันได้แล้ว ชารีฟเดินเข้าไปหา โดยมีมิเชลล์ในคราบตาฟาเดินหลบๆมาด้านหลัง ฟูรอจ้องมองเขม็ง ถามว่าเด็กหนุ่มนั่นใคร

“มันชื่อ ตาฟา เด็กรับใช้ของเราเอง” ชารีฟหันไปตบไหล่มิเชลล์เต็มแรงไหล่แทบทรุด “เฮ้ย...เป็นอะไรไปวะไอ้ตาฟา แอบหลังข้าทำไม”

หัวหน้าเบดูอินพยักหน้ารับรู้ไม่ค่อยชอบใจนัก ที่เห็นเด็กหนุ่มท่าทางนุ่มนิ่มไม่แข็งแกร่งสมกับเป็นลูกผู้ชาย แล้วหันไปพยักพเยิดให้ลูกน้องจูงอูฐ 2 ตัวมาให้ผู้มาใหม่ทั้งสองคน ชารีฟขึ้นนั่งหลังอูฐอย่างคล่องแคล่ว ผิดกับมิเชลล์ที่มีท่าทีตื่นตระหนก กว่าจะขึ้นบนหลังอูฐได้ ชารีฟลุ้นตัวโก่งกลัวเธอจะส่งเสียงร้องออกมาจนทำฟูรอกับพวกจับได้ว่าเธอเป็นหญิงในคราบชาย...

ตลอดเวลาที่เดินทางไปในทะเลทราย ฟูรอจะแกล้งถ่มน้ำลายจากที่เคี้ยวใบยาสูบเฉียดมิเชลล์อยู่ตลอดเพราะไม่ชอบขี้หน้า อะไรนิดอะไรหน่อยคอยจะสะดุ้งขวัญอ่อนอยู่ตลอดเหมือนผู้หญิง กองคาราวานตั้งค่ายพักที่โอเอซิสแห่งแรกเมื่อตะวันตรงหัวพอดี ฟูรอสั่งให้ทุกคนพักผ่อน จะออกเดินทางอีกครั้งหลังจากตะวันตกดินแล้ว

ชารีฟอธิบายให้มิเชลล์ฟังว่ากลางวันอากาศร้อนจัดเดินทางลำบาก กลางคืนอากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางมากกว่า มิเชลล์ต้องนอนในกระโจมเดียวกับฟูรอและลูกชายวัยรุ่นของเขา โดยเธอนอนข้างๆชารีฟถัดเขาไปเป็นฟูรอกับลูกชายวัยรุ่นซึ่งหลับสนิทไปแล้ว

ด้วยความที่กระโจมเล็กมาก มิเชลล์ขยับนอนตะแคงพลิกกลับมาทางชารีฟซึ่งนอนตะแคงลืมตาแป๋วจ้องอยู่ ใบหน้าทั้งคู่แทบจะชนกัน เขาสอดแขนไปใต้คอหญิงสาวซึ่งนอนใจสั่น ก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วย

“ทำไมทำท่าอย่างนี้ เธอเป็นผู้หญิงยุโรปไม่ใช่หรือ รักเสรีในปารีสจะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ ผู้หญิงยุโรปน่ะไม่มีใครบริสุทธิ์แล้ว” ชารีฟว่าพลางดึงมิเชลล์เข้ามาชิดทำท่าจะจูบ เธอน้ำตาไหลพราก เขารับรู้ถึงแรงสะอื้นเบาๆของเธอได้ ตกใจเชยคางขึ้นมาดูเห็นน้ำตานองหน้า รีบขอโทษที่เข้าใจผิด

“ฉันไม่คิดว่า...เอ่อ...เธอไม่ออกเที่ยว ไม่เคยไปค้างกับนักศึกษาหนุ่มๆจริงๆหรือ ไม่เคยแม้แต่....”

“ฉันจะโดนไล่ออกจากสำนักชีทันที แล้วฉันจะเรียนไม่จบ ไม่ได้ปริญญาเพราะฉะนั้นฉันไม่เคยเที่ยวกับใคร ไม่เคย...เอ่อ...กับใคร”

“มิเชลล์ ฉันขอโทษอีกครั้งนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรังแกเธอ ต่อไปนี้ฉันจะดูแลเธอให้ดี สมกับที่แม่ชีเหล่านั้นบำรุงรักษาดอกไม้ดอกนี้อย่างบริสุทธิ์สะอาดไม่มีมลทิน ฉันจะคุ้มครองเธอเอง” ชารีฟว่าแล้วเช็ดน้ำตาให้

ooooooo

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ขบวนคาราวานของฟูรอออกเดินทางอีกครั้ง ฟูรอเห็นเด็กหนุ่มเอาแต่นั่งบนหลังอูฐตั้งแต่ออกจากโอเอซิสก็ไม่พอใจ หันไปตำหนิชารีฟว่าตกลงจะเลี้ยงเด็กรับใช้ให้เป็นเจ้านายหรือถึงไม่ยอมให้ลงเดิน ทำราวกับเป็นเมียของเขา แล้วแกล้งถ่มน้ำลายเฉียดหน้ามิเชลล์ ชารีฟจำต้องเออออไปด้วยเพื่อไม่ให้มีพิรุธ

“จริงด้วย เฮ้ย เจ้าตาฟาลงมาเดินเสียดีๆมันจะสบายไปหน่อยแล้วเว้ย ไอ้ไก่อ่อน”

มิเชลล์ลงจากหลังอูฐอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากนั่งมานานพอทิ้งน้ำหนักตัวลงเท้า เข่าก็อ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น ชารีฟอดสงสารไม่ได้ แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้แต่กระซิบให้อดทนอีกหน่อย ใกล้ถึงโอเอซิสซึ่งเราจะแยกทางกับฟูรอแล้ว มิเชลล์กัดฟันฮึดสู้ ลุกขึ้นเดินจูงอูฐตามขบวนคาราวานไป...

ในที่สุดขบวนคาราวานก็มาถึงโอเอซิสใกล้เมืองโฮไดดะ ฟูรอกับพวกกางกระโจมเพื่อตั้งที่พักแรมเนื่องจากอากาศเริ่มร้อน ชารีฟไม่พักด้วยจะขอแยกทางกับเขาตรงนี้เลย มิเชลล์มองชารีฟตาละห้อยทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย

อยากจะพักใจแทบขาด แต่เขาไม่ยอมสบตาด้วย หันไปเจรจาขอซื้ออูฐ เสบียงและอาวุธจากฟูรอ

“อูฐ 3 ตัว เสบียงกึ่งหนึ่งที่ท่านเหลือ รวมทั้งปืนยาว 6 กระบอก ลูกกระสุน 2 ลัง”

“ท่านรู้ว่าเรามีอาวุธขาย” ฟูรอสีหน้าฉงน

“ถ้าไม่ใช่อาวุธ คงไม่แบกมาอย่างทะนุถนอมแบบนี้หรอก” ชารีฟพยักพเยิดไปทางพวกที่ขนลังใส่อาวุธ ฟูรอตะโกนสั่งให้ลูกน้องของตนขนอาวุธเหล่านั้นมาให้ ชายหนุ่มเตือนให้ระวังพวกกองตำรวจทะเลทราย

“เฮ้ย ไม่กลัวหรอก เราซื้ออาวุธจากทหารของเจ้าชายโอมาน พอรับของแล้วพวกทหารยังตามคุ้มกันเราจนพ้นเขตลาดตระเวนของตำรวจ...ปลอดภัย”

ชารีฟขบกรามแน่น เมื่อรู้ว่าเจ้าชายโอมานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธเถื่อน...

หลังจากขนเสบียงและอาวุธขึ้นหลังอูฐเรียบร้อย ชารีฟและมิเชลล์ออกเดินทางต่อไปทันที พอพ้นระยะที่ฟูรอจะได้ยินเสียง เธอต่อว่าชารีฟว่าทำไมเราถึงไม่พักกันก่อน เธออยากอาบน้ำสระผม เหนียวตัวเต็มทีแล้ว เขาไม่เห็นด้วย ชักอูฐให้เร่งฝีเท้าขึ้นอีก มิเชลล์เริ่มออกฤทธิ์จะขอกลับไปอาบน้ำที่โอเอซิสเมื่อครู่ให้ได้ ชารีฟติงว่าผู้ชายไม่ค่อยชอบอาบน้ำกันเท่าใดนัก ตัวเหม็นแบบนี้ดีแล้ว เธอเถียงคอเป็นเอ็นว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชาย

“ดูโน่น แล้วยังจะอยากตัวหอมไหม” ชารีฟชี้ไปเบื้องหน้าเห็นทหาร 6 นายโพกหัวด้วยผ้ากัฟฟีเยลายแดงกับเขียวควบม้าตรงมาหา เขาสั่งให้เธอขยับผ้าคลุมให้

มิดชิด พยายามหลบๆหน้าแล้วทำเป็นใบ้หูหนวก มิเชลล์รีบทำตามสั่ง เป็นจังหวะเดียวกับทหารขี่ม้ามาถึงพอดี

ชารีฟลงจากหลังอูฐ คำนับนอบน้อมหัวแทบจะโขกพื้น หัวหน้าทหารสั่งให้มิเชลล์ในคราบเด็กหนุ่มลงจากหลังอูฐ เธอนั่งนิ่งทำท่าหงอเต็มที่ เขาชักเคืองตะโกนลั่น

“บอกว่าให้ลงจากหลังอูฐ หูหนวกหรือไง”

“ถูกต้องแล้วขอรับท่าน มันหูหนวกตั้งแต่เกิด เป็นใบ้ด้วย แถมปัญญาก็ยังทึบ มันเป็นเด็กของข้าเอง ชื่อตาฟาขอรับ” ชารีฟรับสำเนียงให้เหมือนพวกเบดูอิน หัวหน้าทหารสั่งให้ลูกน้องไปลากตัวไอ้เด็กหนุ่มนั่นลงมา ลูกน้องหยิบปืนขึ้นมาแล้วชักม้าเข้าหา ชารีฟใจเสียพยายามร้องขอชีวิตแทนเด็กรับใช้ แต่หัวหน้าทหารไม่สนใจ มิเชลล์ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าขยับ ลูกน้องลั่นไกเปรี้ยง ผ้าโพกหัวของเธอกระจุยควันโขมง

พวกทหารพากันหัวเราะชอบใจ ยิ่งเห็นเด็กหนุ่มท่าทางโง่เง่าดิ้นพราดๆร้องอู้อี้แบบคนเป็นใบ้ จะลุกหนีแต่ซวนเซหน้าคว่ำไปบนหลังอูฐเสียก่อน พวกนั้นยิ่งหัวร่องอหาย ชารีฟโล่งใจที่กระสุนถูกแค่ผ้าแสร้งหัวเราะตามแต่ในใจยังหวาดเสียวไม่หาย ลูกน้องชักม้าเข้าไปดูใกล้ๆ

เห็นมิเชลล์ในสภาพมอมแมมเหม็นสาบนอนตาเหลือกไม่ไหวติง ถ่มน้ำลายลงพื้นราวกับเห็นเศษสวะ แล้วควบม้ากลับไปรวมกลุ่ม บ่นกับหัวหน้าว่าซากศพเดินได้ชัดๆ

หัวหน้าสอบถามชารีฟว่าจะไปไหน เขาปั้นเรื่องว่ากำลังจะเอาเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆไปขายให้พวกผู้หญิงชาวเบดูอินตามหมู่บ้านแถบเชิงเขาจาบาลซัมมาร์

“เดินทางมานี่พบชายชาวฮิลฟาราบ้างไหม ข้าได้รับแจ้งจากกษัตริย์องค์ใหม่ โอมานที่หนึ่งว่ามีเชลยยศพันเอกหน้าตาหล่อเหลากับนังผู้หญิงฝรั่งต่างชาติหลบหนีมาทางนี้”

ชารีฟย้อนถามว่ากษัตริย์องค์ใหม่จะจับตัวพันเอกนายนั้นไปทำไม ได้ความว่าเขาทำผิดลักลอบพาพระสนมชาวต่างชาติหน้าตาสะสวยหนี มีคำสั่งให้จับตัวไปวังหลวง หัวหน้าทหารกำชับว่าถ้าเจอสองคนนั่นเมื่อไหร่ต้องรายงานพวกตนทันที แล้วพากันควบม้าไปทางโอเอซิสซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายของฟูรอ ชารีฟรอจนพวกนั้นลับสายตา จึงวิ่งไปดูอาการมิเชลล์พร้อมกับใช้ผ้าชุบฉี่อูฐมาอังที่จมูก สักพักเธอค่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง แต่พอรู้ว่าเขาให้ดมอะไรเท่านั้น มิเชลล์เป็นลมไปอีกรอบ

ooooooo

เจ้าชายโอมานตามไปรังควานเจ้าหญิงสุไบดามารดาของชารีฟถึงตำหนักของเธอ สั่งให้ทหารรื้อค้นให้ทั่วหาตัวชารีฟมาให้ได้ เจ้าหญิงสุไบดาไม่พอใจมาก บอกอย่างไม่เกรงกลัวว่าถ้าค้นเสร็จแล้วก็ให้รีบไปให้พ้นๆ

“เจ้าน้า อย่าคิดว่าชารีฟจะรอดพ้นเงื้อมมือของหลาน มันหนียังไงก็หนีไม่พ้น ทะเลทรายแค่นี้บินหาสักครึ่งวัน ไอ้มดไอ้ปลวกที่หนีอยู่ก็ไม่พ้นสายตา”

เจ้าหญิงสุไบดามั่นใจว่าเจ้าชายโอมานไม่มีวันหาชารีฟเจอ ถึงเจอก็ไม่มีทางจะยอมตายด้วยน้ำมือของเขาหรือคนของเขาเด็ดขาด  เจ้าชายโอมานกระชากแขนเธอเข้ามาใกล้ตวาดใส่หน้าว่าปากอย่างนี้ไม่ตายดีแน่

ฟ้าจรดทราย

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด