สมาชิก

ลีลาวดีเพลิง

ตอนที่ 15

ศัลย์ผิดหวังที่ลิลินไม่ตาย ส่วนทิวัตถ์ที่เป็นคนพาลิลินและวิทยามาส่งโรงพยาบาลกระวนกระวายใจ เป็นห่วงลิลินอย่างที่สุด พอรู้ว่าวิทยาเสียชีวิตก็ตกใจมาก อยู่เฝ้ารอฟังอาการของลิลินจากหมอโดยไม่ยอมไปไหน

ศุภารมย์ทราบข่าวโทร.มาซักถามและรับปากจะให้คนเอาเสื้อผ้าไปให้ที่โรงพยาบาลเพราะทิวัตถ์จะอยู่เฝ้าทั้งคืน...แล้วเช้าวันใหม่ก็ทราบข่าวดีว่าลิลินพ้นขีดอันตราย พยาบาลกำลังย้ายเธอจากห้องฉุกเฉินไปห้องพักผู้ป่วย แต่ผ่านไปไม่นานหมอรายงานอาการเธออย่างละเอียดว่าภายนอกดูเป็นปกติ แต่เธอได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะรุนแรง ต้องรอให้เธอฟื้นก่อนถึงจะส่งไปทำซีทีสแกนได้

“แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะฟื้นล่ะครับหมอ”

“เรื่องนี้หมอคงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายเธอตอบสนองต่อการรักษาได้ดีแค่ไหน”

ทิวัตถ์ได้ยินอย่างนั้นก็กังวลขึ้นมาอีก ฝ่ายศัลย์ตัวต้นเหตุ เวลานี้เขาโดนศุภารมย์บุกถึงห้องทำงานบนสถานีตำรวจ คาดคั้นเพราะแน่ใจว่าเขาขัดคำสั่งเรื่องลิลิน

“ฉันอยากรู้ว่าที่เด็กนั่นรถคว่ำเป็นเพราะฝีมือใคร”

“ผมเห็นว่าถ้าเด็กคนนั้นอยู่อาจจะทำให้คุณต่ายเดือดร้อนไปกว่านี้ก็ได้”

“ฉันไม่ได้สั่งให้เก็บเด็กนั่นใช่ไหม ทำไมถึงได้ทำเกินคำสั่งฉัน เกิดเด็กนั่นเป็นอะไรขึ้นมา คิดเหรอว่าวินจะปล่อยให้เรื่องเงียบไปง่ายๆเหมือนที่ผ่านมา”

“แต่ที่ผมทำไปก็เพื่อคุณ”

“กลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อนมากกว่ามั้ง ตอนนี้ฉันขอให้รองฯอยู่เฉยๆ อย่าทำอะไรที่ฉันไม่ได้สั่งอีก”

“แล้วถ้าเด็กนั่นคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือคุณต่ายล่ะครับ”

“ว่าไงนะ” ศุภารมย์จ้องศัลย์ตาขวาง

“ถ้าผมเป็นเธอ...ผมก็เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเป็นฝีมือคุณ”

ศุภารมย์พูดไม่ออก ความวิตกกังวลแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย

ooooooo

ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีแม้จะมีใจให้กันแต่ยังไม่ลงตัวสักที วางฟอร์มกันไปมาจนปกติหนักใจ แล้ววันนี้วิชนีก็ยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เมื่ออาม่าของศักดิ์สิทธิ์มาที่โรงแรมแล้วได้ยินท่านพูดว่าหลานชายคบเชฟนีเพื่อตบตาตนหวังเงินสามสิบล้านมากอบกู้โรงแรม

วิชนีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าศักดิ์สิทธิ์หลอกลวงเธอไม่เลิก หวังแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เธอด่าเขาไปหลายคำก่อนสะบัดหน้าเดินหนีทั้งน้ำตาคลอๆ

อาม่าอยู่ในเหตุการณ์ก็พลอยอึ้งไปด้วยเหมือนกัน

ผ่านไปสักพัก ขณะอาม่าเดินตรวจตราภายในโรงแรม ศักดิ์สิทธิ์ไปพาวิชนีเข้ามาพบท่าน แล้วแสดงความจริงใจออกมาอย่างไม่มีฟอร์ม

“คราวนี้จบแน่...เพราะผมจะบอกอาม่าว่า ผมเปลี่ยนใจไม่เอาเงินของอาม่าแล้ว”

“ถ้าไม่เอาแล้วลื้อจะทำให้โรงแรมนี้รอดได้ยังไงฮะ”

“ถ้าอาม่าคิดว่าผมไม่มีความสามารถพอ ผมก็จะเลิกบริหาร แล้วก็ขายให้กับคนที่อยากจะซื้อโรงแรมนี้แทน”

“นี่ลื้อคิดจะทิ้งมรดกตกทอดของเตี่ยลื้อจริงเหรอ”

“แต่ก่อนผมใช้ชีวิตตามความต้องการของคนอื่นมาตลอด แต่ตอนนี้ผมจะทำตามความฝันของตัวเองบ้าง”

“ลื้อแน่ใจนะ นี่มันธุรกิจนะ ไม่ใช่เล่นขายของ”

ศักดิ์สิทธิ์กระชับมือวิชนีแน่น ตอบอาม่าสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ที่ผ่านมาผมอาจจะเล่น แต่ครั้งนี้ผมเอาจริง ผมจะแต่งงานกับเชฟนี แล้วไม่ขอรับเงินอาม่าแม้แต่บาทเดียว”

“ไม่ได้นะ แล้วโรงแรมนี้ที่พ่อแม่นายสร้างมาล่ะ” วิชนีท้วงเสียงหลง

“ฉันไม่สน และฉันจะไม่ทำมันต่อ แล้วต่อให้ฉันต้องไปขายเต้าหู้เต้าฮวยหรือเปิดร้านอาหารข้างทางเล็กๆที่ไหนฉันก็จะทำ ขอแค่มีเธออยู่ข้างๆ จะลำบากแค่ไหนฉันก็ไม่กลัว”

“ฮึ! แล้วลื้ออย่ามาง้อทีหลังแล้วกัน อั๊วผิดหวังในตัวลื้อจริงๆ” อาม่าพูดจบก็สะบัดหน้าเดินหนีไป ปกติที่ยืนฟังอยู่ตลอด ยิ้มแหะๆ ก่อนจะถือกระเป๋าวิ่งตามอาม่าไป

ooooooo

ด้านวรรณิตที่วันเดียวกันนี้ทราบข่าวแม่อาการทรุดหนัก เซลล์มะเร็งกระจายไปที่สมองเข้าขั้นวิกฤติ วรรณิตขอร้องหมอให้ช่วยรักษาแม่ของเธอ ไม่ว่าต้องเสียเงินเท่าไหร่เธอยอมทั้งนั้น

ที่พึ่งของวรรณิตเรื่องเงินไม่พ้นวาสนา แต่พอเธอมาวิงวอนก็ได้คำตอบเหมือนเดิมว่าไม่มี แต่เพราะวรรณิตลั่นวาจาจะเผยแผนการร้ายๆของวาสนาที่หวังสูบเงินครอบครัวทรงพล วาสนาเลยไม่กล้าแข็งขืนมากนัก แนะนำให้เธอไปเอ่ยปากกับอนันยช เรื่องแค่นี้ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอก

วรรณิตได้ยินชื่ออนันยชถึงกับนิ่งอึ้ง ทุกวันนี้เธอยังมองหน้าเขาไม่ติด แล้วจะกล้าพูดเรื่องเงินได้ยังไง... น้ำตาแห่งความสิ้นหวังไหลนองเต็มหน้าเธออย่างกลั้นไม่อยู่...

ส่วนลิลินที่ยังไม่ฟื้นอยู่โรงพยาบาล ทิวัตถ์ได้ข้อมูลเกี่ยวกับกระสุนปืนที่ศุภารมย์โดนยิงแล้วยิ่งห่วงลิลินมากขึ้น เชื่อว่าไม่ใช่ฝีมือเธอแน่ และคนที่ประสงค์ร้ายอาจย้อนมากำจัดเธออีกก็ได้ หลังจากพยายามทำให้เธอตายตอนรถคว่ำแล้วไม่สำเร็จ

เป็นเช่นนั้นจริงๆ ศัลย์มาป้วนเปี้ยนแถวห้องลิลินแต่ยังไม่สบโอกาสเหมาะ จึงต้องชะลอเอาไว้ก่อน

ตกเย็นวรรณิตกลับเข้าบ้านแต่ไม่ยอมร่วมโต๊ะอาหารกับทรงพล ศุภารมย์ และอนันยช เธอทุกข์ใจเรื่องแม่ป่วยหนัก อีกทั้งกับอนันยชก็ยังมองหน้ากันไม่ติด ไม่รู้จะหาเงินจากไหนไปรักษาแม่ แต่แล้วเธอนึกได้ หยิบกล่องเครื่องเพชรของศุภิสราที่อนันยชให้ออกมาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนพึมพำว่า มันอาจเป็นทางเดียวที่ทำให้แม่หาย...

ทิวัตถ์ยังไม่ได้กลับบ้าน อยู่เฝ้าลิลินแทบตลอดเวลา ทั้งรักและห่วงเธอจนไม่อยากให้คลาดสายตา พร่ำพูดให้กำลังใจทั้งที่เธอยังไม่ฟื้น

“อดทนหน่อยนะ อีกไม่นานเดี๋ยวคุณก็จะหาย ผมจะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนคุณเอง”

ทันใดได้ยินเสียงแหบพร่าของเธอแว่วๆ เริ่มกระดิกตัวได้แล้วค่อยๆปรือตาอย่างยากลำบาก ทิวัตถ์ตื่นเต้นดีใจ

“คุณ! ฟื้นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง”

“ฉันหิวน้ำ...”

“หิวน้ำเหรอ เดี๋ยวผมเอาให้นะ...นี่ครับ ค่อยๆทานนะ”ทิวัตถ์ยื่นแก้วน้ำที่มีหลอดให้เธอ...เสร็จแล้วลิลิน

มองรอบห้อง ถามว่าที่นี่ที่ไหน

“โรงพยาบาล”

“ฉัน...ฉันมาที่นี่ได้ยังไง เกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันเจ็บไปหมดเลย”

“คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ คุณนั่งรถมากับคุณวิทยา...จากนั้นรถเกิดอุบัติเหตุ บังเอิญผมไปเจอ ก็เลยพามาที่นี่”

ลิลินทบทวนชื่อวิทยาก่อนถามว่าเขาคือใคร ทิวัตถ์ เริ่มเอะใจ พอได้ยินเธอถามว่าเขาเป็นใคร และเธอเป็นใครก็ตกใจแทบช็อก มือไม้อ่อนปล่อยแก้วน้ำหลุดจากมือแตกกระจาย

ลิลินความจำเสื่อมจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง ทิวัตถ์ตกใจมาก ขณะที่หมอก็หนักใจ บอกว่าสมองเธอบวมจนไปกดทับเส้นประสาทเลยทำให้จำอะไรไม่ได้ ถ้าสมองหายบวมอาจจะหายกลับมาเป็นปกติ แต่จะใช้เวลานานแค่ไหนขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้ บางคนเป็นเดือนเป็นปี หรืออาจจะจำอะไรไม่ได้เลยตลอดชีวิต

ทิวัตถ์พยายามรื้อฟื้นความทรงจำให้ลิลินแต่ไม่สำเร็จ เธอมีอาการปวดหัวจนต้องยุติเพื่อให้เธอพักผ่อน ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีเพิ่งทราบข่าวรีบมาที่โรงพยาบาล ตกใจเรื่องลิลินความจำเสื่อม และคาดไม่ถึงว่าวิทยาเสียชีวิตแล้ว

วิชนีใช้ความสนิทสนมกับลิลินรำลึกความหลังหวังให้ความจำของเพื่อนรักกลับคืนมา แต่กลายเป็นว่าลิลินปวดหัวอย่างหนักจนทิวัตถ์ต้องขอร้องวิชนีให้หยุดก่อน ศักดิ์สิทธิ์เห็นด้วย เตือนวิชนีอย่าเพิ่งรีบป้อนข้อมูลอะไรเลยควรให้ลิลินพักผ่อนมากๆจะดีกว่า

เมื่อรู้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องทิวัตถ์ยังไม่ได้กลับบ้าน ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีจึงอาสาอยู่เฝ้าลิลินแทนแล้วให้เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิวัตถ์ลังเลแต่สุดท้ายก็ยินยอม

ด้านวาสนาคุณยายจอมงกของวรรณิต วันนี้เธอแอบไปที่โรงพยาบาลแล้วดอดเข้าในห้องที่แม่ของวรรณิต นอนรักษามะเร็ง วาสนาไม่ต้องการเป็นภาระเรื่องค่ารักษาอีกต่อไปจึงใช้หมอนกดปิดหน้าแม่ของวรรณิตจนสิ้นใจ

ก่อนจะหลบออกมาอย่างว่องไวโดยไม่มีใครเห็น

วรรณิตไม่อาจล่วงรู้ความโหดเหี้ยมเลือดเย็นของวาสนา เธออุตส่าห์ให้นพกรเอาเครื่องเพชรไปขายเตรียม เงินไว้รักษาแม่ พอทางโรงพยาบาลส่งข่าวเธอถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบหมดสติอยู่ในบ้านทรงพล ศุภารมย์ปฐม พยาบาลจนเธอฟื้นและสอบถามก็ได้ความว่าญาติห่างๆเสียชีวิต แต่น่าสงสัยทำไมวรรณิตถึงดูโศกเศร้าราวกับคนตายเป็นญาติสนิท

ทันทีที่ทิวัตถ์กลับมาถึงบ้าน ศุภารมย์ตกใจทราบเรื่องลิลินความจำเสื่อม แต่พอศัลย์รู้ข่าวนี้จากเธอก็ทักท้วงอย่างไม่เชื่อ กลัวว่าลิลินจะสร้างเรื่องขึ้นมาเอง เขาจึงไปพิสูจน์โดยไม่บอกศุภารมย์ ปะเหมาะพอดีเวลานั้น ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีออกจากห้องเพราะลิลินอยากอยู่คนเดียว ศัลย์จึงแทรกตัวเข้าไปได้ง่ายดาย แล้วจะใช้ปืนเก็บเสียงสังหารเธอ แต่โชคไม่เข้าข้างเพราะศุภารมย์ปรากฏตัวเสียก่อน ตามด้วยทิวัตถ์ที่รีบร้อนกลับมาด้วยความเป็นห่วงลิลิน

ศัลย์จำต้องกลับไปก่อนเพราะถูกศุภารมย์บังคับด้วยสายตา ทิวัตถ์ระแวงแม่ต่ายถามว่ามาทำอะไร

“ยังไงคุณลินก็เคยเป็นครูสอนร้องเพลงแม่ ถ้าไม่มาเยี่ยมก็คิดว่าจะใจดำไปหน่อย แม้ว่าเธออาจจะเคยทำอะไรแม่ไว้ก็เถอะ”

ลิลินมองทั้งคู่แล้วเดินเข้ามาถามทิวัตถ์ว่าผู้หญิงคนนี้แม่ของเขาหรือ ทิวัตถ์ตอบรับและถามเธอว่าจำได้บ้างไหม

พอจะเริ่มใช้ความคิด ลิลินมีอาการปวดหัวขึ้นมาทุกที สองมือเธอกุมขมับจนทิวัตถ์ต้องพาเธอไปนั่งที่เตียง ศุภารมย์ขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยอย่างผู้ใหญ่ใจดีว่า

“ลิลิน...ฉันอโหสิให้เธอนะ”

“อโหสิ...ฉันไปทำอะไรให้คุณเหรอคะ”

“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว”

ลิลินพยายามทบทวนแต่ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีก ศุภารมย์จึงตัดบทให้เธอพักผ่อน และบอกลูกชายว่าแม่กลับก่อน

“ให้ผมไปส่งไหมครับ”

“ไม่เป็นไร วินอยู่กับคุณลินเถอะ...ฉันไปนะ ไว้วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่”

ศุภารมย์ลับกาย ทิวัตถ์บอกลิลินทันทีว่าอย่าถือสาแม่ของตนเลย พอลิลินสงสัยว่าเรื่องอะไร เขาชะงักไม่อยากพูดเรื่องแม่โดนยิง บอกให้เธอพักผ่อนก่อนดีกว่า

ooooooo

วรรณิตมาดูศพแม่ที่โรงพยาบาล เธอเสียใจร้องไห้น้ำตานองหน้า กล่าวโทษตนเองที่รักษาชีวิตแม่ไว้ไม่ได้

ทันทีที่ดำเนินการเรื่องศพเสร็จ เธอโทร.ไปบอกวาสนาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ วาสนาแสร้งตกใจแล้วเร่งรีบมาที่โรงพยาบาลซักถามเป็นการใหญ่

“แม่หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”

“ไม่น่าเลย ยายอุตส่าห์ไปคุยเรื่องเงินกู้ไว้แล้วเชียว... โธ่เอ๊ยแม่ณิต เป็นเพราะยายแท้ๆ ถ้ายายจัดการให้มันเร็วกว่านี้ แม่สาก็ไม่ต้อง...” วาสนาแกล้งบีบน้ำตา

“เป็นเพราะณิตมากกว่า...ณิตช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลย”

“โถๆๆ แม่ณิต”

วรรณิตเริ่มร้องไห้อีก วาสนาแอบยิ้มก่อนจะเล่นละครต่อ

“ทำใจให้สบายเถอะ ถือซะว่าแม่แกไปสบายแล้วนะ” วาสนาเข้าไปกอดปลอบวรรณิตแต่แววตาเต็มไปด้วยความดีใจ

ส่วนที่โรงพยาบาลอีกแห่งที่ลิลินรักษาตัว ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีนั่งอยู่หน้าต่อทิวัตถ์ในร้านอาหาร สองคนลืมตัวหยอกเอินกันเพลินเลยโดนทิวัตถ์ล้วงลึก ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับอย่างเขินๆว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ทิวัตถ์แปลกใจแต่ก็แสดงความยินดีกับทั้งคู่ด้วย

วิชนีเขินกว่าขอตัวไปห้องน้ำ ปล่อยให้สองเพื่อนซี้คุยกันตามสบาย ศักดิ์สิทธิ์เล่าเรื่องที่ตนจะขายโรงแรม ทิวัตถ์ถึงชะงัก ทักท้วงว่านั่นมันมรดกที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้แก

“ฉันรู้ ฉันพยายามดูแลมันมาตลอด แต่มันก็ได้แค่นี้แหละ ฉันเลยคิดว่าถ้าฉันมีความสุขที่จะอยู่กับวิชนี...เตี่ยกับม้าก็คงจะดีใจไปกับฉันด้วย แกไม่ต้องเป็นห่วงฉัน...ฉันไม่เป็นไร”

“แต่ถ้าแกไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรม แล้วคุณลินจะไปอยู่ที่ไหนได้”

“อ้าวไอ้นี่...นึกว่าจะห่วงเพื่อน”

“ก็ห่วง แต่ฉันห่วงคุณลินมากกว่า ตอนนี้ฉันอยากหาที่ที่ปลอดภัยให้เธออยู่”

“แล้วนอกจากโรงแรมฉัน...แกไม่มีที่อื่นอีกแล้วหรือไง”

ทิวัตถ์นิ่งคิดไม่นานก็ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ แล้วกลับไปนั่งเฝ้าลิลินที่นอนพักผ่อนอยู่ในห้อง เธอขยับตัวลืมตาพูดกับเขาว่า

“ฉันนึกว่าคุณจะกลับบ้านไปแล้ว”

“ผมจะกลับได้ยังไง ในเมื่อคุณยังนอนอยู่ที่นี่”

“ฉันยังอยู่ที่นี่...แล้วทำไมคะ”

“ผมเป็นห่วงคุณ”

“คุณใจดีจังนะคะ ขนาดฉันจำคุณไม่ได้ คุณยังดีกับฉันขนาดนี้”

“แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี”

“ทำไมคะ”

“ก็ถ้าความจำคุณไม่กลับคืน มันอาจทำให้เรารักกันได้จริงๆ”

“แล้วทำไมเราถึงรักกันไม่ได้ล่ะ”

ทิวัตถ์ลำบากใจที่จะตอบ ตัดบทให้เธอพักผ่อน อย่าเพิ่งคิดอะไรเดี๋ยวจะปวดหัวขึ้นมาอีก ลิลินโอนอ่อนแต่มีคำถามว่าตนจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ ทิวัตถ์ให้รอถามหมอ แต่เธอหน้าจ๋อย พูดอย่างน่าสงสารว่า

“ฉันอยากกลับบ้าน...แต่ฉันก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน”

“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วง ถ้าคุณไว้ใจผม ผมจะพาคุณไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยเอง”

แล้วในเย็นนั้นเอง ทิวัตถ์ก็พาลิลินไปอยู่ร่วมชายคา พอดีวาสนามาถึงก่อนพร้อมวรรณิต กำลังคุยกับศุภารมย์และทรงพลเรื่องลิลินที่ความจำเสื่อม เมื่อเจอตัวเป็นๆของเธอ วาสนาแสดงความไม่พอใจ ถามกึ่งตำหนิทิวัตถ์ว่าพานักร้องมาที่บ้านทำไม

“ลินไม่สบายน่ะครับ ผมก็เลยพาเธอมาที่นี่”

“วินหมายความว่ายังไง จะให้คุณลินมาอยู่ที่นี่เหรอ”

“ครับแม่ต่าย”

“ไม่ได้นะวิน ลูกก็รู้ว่าเธอ...”

“แต่ตอนนี้เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นใคร”

“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสถานะของเธอจะเปลี่ยนไปจากเดิมได้นี่”

“ตายๆๆ สงสัยพ่อวินจะเสียสติไปแล้วแน่ๆ” วาสนาผสมโรง วรรณิตรีบดึงแขนห้ามยาย ส่วนทรงพลไม่อยากต่อความยาวเร่งทิวัตถ์ให้พาลิลินขึ้นไปบนห้องก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน

วาสนามองตามทั้งสองคนไปด้วยสีหน้าท่าทีไม่ค่อยพอใจ ก่อนหันกลับมาถามทรงพลกับศุภารมย์ว่าจะให้เด็กนั่นอยู่ที่นี่จริงหรือ หัวนอนปลายเท้าเป็นยังไงก็ไม่รู้

“ปล่อยให้เป็นเรื่องในครอบครัวของเราเถอะครับ เรื่องแค่นี้เราจัดการกันเองได้”

คำพูดของทรงพลทำให้วาสนายอมเงียบ แต่ค้อนตาแทบกลับ เดินอารมณ์เสียออกไป

ฝ่ายทิวัตถ์ที่พาลิลินไปพักห้องรับรองแขกก็ต้องลำบากใจที่จะตอบคำถามของเธอ

“ที่คุณคุยกับแม่คุณ มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ”

“เดี๋ยวผมค่อยเล่าให้คุณฟังวันหลังดีกว่า”

ลิลินเริ่มออกอาการไม่สบายใจ ทิวัตถ์สังเกตเห็นถามว่าเป็นอะไร ปวดหัวหรือเปล่า เธอส่ายหน้าและถามย้ำว่าเขาจะให้เธออยู่ที่นี่จริงหรือ

“ทำไม...คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า หรือว่าคุณยังไม่ไว้ใจผม”

“เปล่าค่ะ แต่ฉันคิดว่าทางบ้านคุณดูไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่”

“คุณไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวผมจัดการเอง ต่อไปนี้ที่นี่คือห้องของคุณ คุณทำอะไรได้ตามสบายเลยนะ”

“ฉันขอถามอะไรอีกนิดนะคะ ทำไมคุณถึงให้ฉันอยู่ที่นี่ล่ะ”

“เพราะผมเป็นห่วงคุณ ตามสบายนะ ตอนนี้มันเป็นห้องของคุณแล้ว”

ทิวัตถ์พาเธอมานั่งบนเตียงก่อนที่ตัวเองจะออกจากห้องไป ศุภารมย์กับทรงพลพอเห็นลูกชายกลับลงมาก็ปรับสีหน้าวิตกกังวลให้เป็นปกติ แต่ดูเหมือนศุภารมย์จะทำได้ยากกว่า ถามทิวัตถ์ทันทีว่าเธอไม่มีที่ไปแล้วหรือไง

“ผมแค่เป็นห่วงคุณลินน่ะครับ ที่สำคัญผมคิดว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับเธอมากที่สุดด้วย”

“พ่อว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่”

“ทำไมล่ะครับ”

“ต้องให้พ่อย้ำอีกกี่ครั้งว่าเธอเป็นลูกสาวของปองภพ”

“นั่นมันเป็นอดีตไปแล้วนะครับ ปัจจุบันเธอก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น...ผมเข้าใจครับ แต่อย่างน้อยเราก็ทำเพื่อชดใช้ความผิดในอดีตได้นี่ครับ”

“ให้เธออยู่ที่นี่แหละ แต่วินต้องสัญญากับแม่ก่อน ถ้าเมื่อไหร่ที่ความจำเธอกลับมา...เธอจะต้องย้ายออกทันที”

“ครับ” ทิวัตถ์รับปากแล้วผละไป ทรงพลไม่ค่อยพอใจ ขยับเข้ามาใกล้ศุภารมย์ อยากรู้ทำไมเธอถึงยอมให้ลิลินเข้ามาอยู่กับเราที่นี่

“คุณเคยได้ยินไหมคะ ที่ว่าให้เก็บมิตรไว้ใกล้ตัว แต่ให้เก็บศัตรูไว้ใกล้ยิ่งกว่า ลิลินมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว บางทีเราจะได้รู้ว่าเธอความจำเสื่อมจริงหรือเปล่า”

ศุภารมย์แววตาคมกริบ ทรงพลเห็นแล้วนึกเป็นห่วงสถานการณ์ในครอบครัว

ooooooo

เย็นวันเดียวกัน สิตากับกฤษดาทะเลาะกันเรื่องไร้สาระ แต่มันก็ทำให้สิตาอารมณ์เสียได้ไม่ยากเพราะพี่ชายชอบกวนประสาท

แต่แล้วมีเพื่อนโทร.มารายงานข่าวบางอย่าง สิตากลับดี๊ด๊าอารมณ์ดีขึ้นมาจนกฤษดาเป็นงง

“อะไรของแก...เพื่อนโทร.มาบอกว่ากระเป๋าคอลเลกชั่นใหม่ออกหรือไง”

“เปล่า...นังลิลินรถคว่ำ...สมน้ำหน้า”

“อ๋อเหรอ แสดงว่าเพื่อนแกรู้มาแค่นิดเดียว”

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าพี่รู้อะไรอีก หรือว่ามันตายแล้ว”

“ฮ่าๆๆ ตายเหรอ....ฝันไปเถอะแก”

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของพี่ชายทำให้สิตายิ่งฉงน ถามว่าหัวเราะแบบนี้หมายความว่ายังไง

“นอกจากนังนั่นไม่ตายแล้ว ตอนนี้ไอ้วินมันยังพาแม่นักร้องนั่นเข้าไปอยู่ในบ้านด้วยกันแล้วไง...ไม่เชื่อแกก็ไปดูสิ”

สิตาอึ้งไปอย่างขุ่นใจ งานนี้ต้องพิสูจน์ให้รู้แจ้งแดงแจ๋ และรอช้าไม่ได้ด้วย...

ภายในห้องอาหารบ้านทรงพล สมาชิกขาดอนันยชไปหนึ่งคน แต่เพิ่มลิลินที่เพิ่งย้ายเข้ามา ศุภารมย์ซึ่งสงสัยว่าลิลินแกล้งความจำเสื่อมหรือเปล่า พยายามทดสอบด้วยการตั้งคำถามหลายข้อ แต่ดูเหมือนทิวัตถ์จะรู้ทันจึงขอร้องแม่อย่าเพิ่งถามอะไรเธอตอนนี้เลย

ศุภารมย์ไม่หยุดยั้ง เกือบจะพูดว่าลิลินเป็นลูกของฆาตกร ดีเสียว่าทรงพลสกัดได้ทัน พลางส่งสายตาขอร้องศุภารมย์ให้เลิกพูด

นพกรแอบดูลิลินอย่างหลงใหล พอเหลือบเห็นอนันยชเดินเข้ามาก็รีบหลบเข้ามุมซุ่มดูต่อไป

“อ้าววัน มาพอดีเลย นั่งสิ” ทรงพลเรียกลูกเลี้ยง

“โต๊ะอาหารดูแน่นๆนะครับวันนี้...อ้าวคุณลิน สวัสดีครับ ไปไงมาไงถึงมาโผล่ที่นี่ได้ครับเนี่ย”

ลิลินตอบไม่ถูก ทิวัตถ์เลยตอบเสียเองว่า “คุณลินจะเข้ามาอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง จนกว่าเธอจะหายดี”

“จริงสิ...เห็นวินบอกว่าคุณความจำเสื่อม” ว่าแล้วอนันยชโบกมือตรงหน้าลิลิน ถามว่าจำตนได้ไหม เธอส่ายหัวแทนคำตอบ

“อย่าทำเป็นเล่นได้ไหมวัน” ศุภารมย์ดุลูกชาย

“แต่ผมว่าความจำเสื่อม ก็ดีกว่าเรื่องอย่างว่าเสื่อมนะครับ”

“วัน...อย่ามาพูดจาสองแง่สองง่ามบนโต๊ะอาหาร” ทรงพลเริ่มเสียงเขียว แต่อนันยชก็ยังปากไวไม่เลิก

“ง่ามเดียวนี่แหละครับ...ตรงๆเลย” แถมพูดจบก็เหล่ตามองวรรณิต

“ณิตอิ่มแล้ว ขอตัวไปทานยาก่อนนะคะ” เธอจะเลี่ยงการปะทะกับสามี ก็พอดีได้ยินเสียงสิตาดังแหวกอากาศฟาดฟันกับป้าจวนเข้ามา

“ฉันจะมาดูให้เห็นกับตา พวกแกหลีกไป”

อนันยชยิ้มกริ่ม แหย่ทิวัตถ์ว่างานเข้าแล้วแก...สิตาเดินฉับๆเข้ามาเกือบถึงตัวทิวัตถ์ บอกว่าตนจะมาดูว่าเขาพานักร้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่จริงหรือเปล่า

“ฉันเป็นคนอนุญาตเอง” ศุภารมย์เสียงขุ่นใส่สิตา

“คุณอาคะ ถ้าคุณอามัวแต่ยุ่งกับงานการกุศลจนปล่อยให้บ้านตัวเองเป็นสถานพักฟื้นขนาดนี้ ตาว่ามันน่าสังเวชนะคะ”

“ระวังคำพูดหน่อยสิตา” ทรงพลปราม

“ตาไม่สนหรอกค่ะ คุณอาก็เหมือนกัน อยากได้ลูกสะใภ้มากหรือไง ทำไมไม่บอกตาล่ะคะ”

“สิตา...หยุดเดี๋ยวนี้ คุณกำลังลามปามพ่อแม่ผมนะ ผมว่าคุณกลับไปดีกว่า”

“กลับก็ได้ แต่วินต้องไล่แม่นั่นออกไปจากบ้านตอนนี้ ไม่งั้นตาไม่ยอมแน่”

สิตาเอาจริง ศุภารมย์ตัดปัญหาหันไปเรียกป้าจวนให้ตามยอดกับนพกรมาด่วน ส่วนวรรณิตช่วยพาลิลินออกไปก่อน แต่ไม่ทันจะก้าวขา สิตาก็คว้าแจกันจะปาใส่ลิลิน ทิวัตถ์รู้ทันดึงเธอหลบได้หวุดหวิด สิตาเลยโมโหเข้าไปใหญ่ กรีดเสียงว่าทิวัตถ์เห็นมันดีกว่าตน

ว่าแล้วจะเข้าทำร้ายลิลิน ทิวัตถ์เลยต้องอุ้มเธอออกไปกำราบ นพกรแอบมองอยู่ออกอาการไม่พอใจสิตาที่จะทำร้ายลิลิน

“วินปล่อยนะ...ปล่อยตาสิ”

“ผมไม่ยอมปล่อยให้คุณเข้าไปยุ่งวุ่นวายในบ้านผมแน่”

“วิน! วินลืมไปแล้วหรือไงว่าแม่นั่นมันเป็นลูกใคร แล้วมันเคยปั่นหัวอะไรวินไว้บ้าง”

“ไม่มีใครปั่นหัวผมได้ทั้งนั้น...ยกเว้นก็แต่คุณนั่นแหละตา”

สิตาอยากจะกรี๊ด แต่ทิวัตถ์ไม่เปิดโอกาส ขัดขึ้นเร็วจี๋ว่า

“คุณลินไม่ได้บอกให้ผมทำ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายขอให้เขามาอยู่ที่นี่ เพราะผมต้องการดูแลเขาตอนที่เขาไม่สบาย”

“มันอาจจะตบตาวินอยู่ก็ได้ มันไม่ได้ความจำเสื่อมจริง ที่มันทำเพราะมันอยากอยู่ใกล้วิน แค่นี้วินดูไม่ออกเหรอคะ”

“ไม่มีใครเค้าคิดอะไรแบบนั้นหรอกตา”

“งั้นวินก็เลือกมา ระหว่างตาหรือแม่นักร้องนั่น”

“คุณกลับไปก่อนเถอะ”

“วินไม่ตอบ...วินเลือกมันใช่มั้ย” สิตาโวยวายและตั้งท่าจะอาละวาดอีก ทิวัตถ์เลยชิงเดินหนีเข้าบ้าน ทิ้งเธอยืนฮึดฮัดขัดใจ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาดุดันของนพกรจ้องมองมาพร้อมเสียงสบถด้วยความแค้นแทนลิลินว่า

“นังบ้า!”

วรรณิตพาลิลินหลบไปอีกทาง ต่างคนต่างโล่งใจที่ไม่โดนลูกหลง ลิลินเหลือบเห็นอนันยชเดินตามมาจึงขอตัวกลับห้องเพราะเกรงใจสามีภรรยา พอเธอผละไป อนันยชก็แสดงท่าทีหงุดหงิดแขวะวรรณิตทันที

“กับคนอื่นล่ะทำเป็นห่วงเป็นใย ทีกับผัวตัวเองล่ะไม่ทักสักคำ”

วรรณิตไม่อยากทะเลาะทำท่าจะเดินหนี แต่อนันยชยังไม่เลิกแขวะ

“จะรีบไปนั่งสมาธิหรือไง หรือจะไปแผ่ส่วนบุญให้ผมมีความสุข บอกไว้เลยนะ ผมรับส่วนบุญของคุณไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ต้องการความสุขแบบนั้นด้วย”

“คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่ หรือการทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจมันทำให้คุณมีความสุข”

“ใช่”

“คุณวัน!! ณิตเองก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้ บอกณิตสิคะว่าณิตต้องทำยังไงถึงจะทำให้คุณวันเลิกทำอย่างนี้กับณิตซะที”

“หย่ากับผมไง” อนันยชสะบัดเสียงใส่แล้วเดินหน้าตึงจากไป ทิ้งให้วรรณิตยืนอึ้ง คิดทบทวนคำพูดของเขา

สิตาออกจากบ้านทรงพลด้วยความแค้นใจที่ใครๆก็ดูจะเอ็นดูลิลิน ซึ่งเธอไม่มีวันยอมแพ้และไม่ต้องการเสียทิวัตถ์ไปแน่

“วินจะต้องกลับมาหาฉัน ฉันจะทำให้โลกนี้ไม่มีแก” สิตาคำรามแล้วจอดรถเข้าข้างทาง หยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทร.ออกโดยไม่เห็นว่าที่เบาะหลังนพกรนั่งหน้าเหี้ยม แววตาดุดันราวเสือร้ายที่พร้อมตะปบเหยื่อ

เพียงเช้าวันใหม่ เสี่ยหาญกับกฤษดาก็ได้ต้อนรับตำรวจที่บ้าน แจ้งข่าวสิตาถูกฆ่าตายริมถนน สองพ่อลูกตกใจและโกรธแค้นคนทำ ซึ่งกฤษดาเชื่อว่าเป็นทิวัตถ์เพราะเมื่อคืนสิตาเดินทางไปหาเขาที่บ้าน

ทิวัตถ์พาลิลินไปวัดที่จัดงานศพวิทยาไปแล้วเพื่อให้เธอได้ฟื้นความจำ โดยบอกเธอว่าวิทยาเป็นอีกคนที่รักเธอ เขาประสบอุบัติเหตุพร้อมเธอ ลิลินฟังแล้วสะท้อนใจ บ่นเหมือนตัวเองเอาเปรียบวิทยา นั่งรถไปด้วยกันแท้ๆแต่ทำไมเป็นเขาคนเดียวที่ต้องตาย

“แล้วคุณไม่คิดเหรอว่าเป็นเขาต่างหากที่กำลังสงสารคุณอยู่...เขาไปสบายแล้ว” ทิวัตถ์เอ่ยเศร้าๆ สงสารลิลินที่ต้องมีชีวิตอยู่แต่ความจำเสื่อม...เมื่อพากันกลับมาถึงบ้านทราบข่าวจากศุภารมย์ว่าสิตาตายแล้ว ทิวัตถ์ตกใจและเสียใจต่อการจากไปของสิตา ซักถามแม่ต่ายที่ทราบมาจากศัลย์ว่าตำรวจสันนิษฐานน่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์

ลิลินแสดงความเสียใจกับทิวัตถ์ เพราะจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่สิตามาอาละวาด ทำให้เธอคิดว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีความสำคัญกับเขา

“ถ้าผมรู้ว่าเมื่อคืนจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน ผมคงจะทำดีกับเธอมากกว่านี้”

“แต่คุณไม่รู้นี่คะ แล้วคุณก็ไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าโทษตัวเองเลยนะ”

“ขอโทษนะ ผมอยากอยู่คนเดียว”

ลิลินเข้าใจ แตะแขนเขาเบาๆเป็นการปลอบใจก่อนถอยออกมาโดยไม่เห็นนพกรที่แอบมองเธออยู่ไม่ไกลด้วยความเสน่หา

ooooooo

ลีลาวดีเพลิง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด