สมาชิก

ลีลาวดีเพลิง

ตอนที่ 14

หลังจากพยาบาลทำแผลที่หัวไหล่ให้ศุภารมย์เรียบร้อยแล้ว ทรงพลเป็นคนแรกที่เข้ามาพบเธอในห้อง ถามสิ่งที่ข้องใจอย่างไม่อ้อมค้อมว่า

“นี่เป็นวิธีที่คุณบอกว่าจะใช้จัดการเธอใช่ไหม”

ศุภารมย์ชะงัก ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ...ยืนยันว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะดึงทิวัตถ์กลับมาอยู่ข้างเรา

“ถ้าคุณเชื่อว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เด็กนั่นไปจากที่นี่ได้ล่ะก็...ผมก็ยินดี...แต่ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่คุณคิดไว้ล่ะ”

“ฉันคงต้องเลือกทำอะไรสักอย่าง นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหยุด...หรือจบ”

อนันยชและวรรณิตเพิ่งมาถึง สอบถามอาการศุภารมย์ด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะอนันยชซึ่งเป็นลูกชายแท้ๆของศุภารมย์อยากรู้เรื่องคนร้ายเลยคาดคั้นแม่หลายคำถาม ก่อนสรุปว่าต้องเป็นฝีมือพวกเสี่ยหาญแน่ๆ คนเป็นแม่ถึงกับสะอึกไม่รู้จะตอบลูกชายยังไง ก็พอดีวาสนาส่งเสียงแหลมเข้ามาขัดจังหวะ

“ต๊าย...อยู่กันครบเลย แม่ต่ายเป็นยังไงบ้าง นี่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใจคอจะไม่มีใครโทร.ไปบอกยายกันหน่อยเลยเหรอ”

ทุกคนยกมือไหว้วาสนา สีหน้าแปลกใจว่าเธอรู้ได้ยังไง วรรณิตถามยายก็ได้คำตอบเสียงขุ่นๆว่า

“ฉันก็โทร.เข้าไปที่บ้านมาน่ะสิ พอรู้ปุ๊บก็รีบออกมาเลย เลยไม่ทันได้หิ้วอะไรติดไม้ติดมือมาเยี่ยม เออ แล้วนี่จับคนร้ายได้ไหม”

ทิวัตถ์กับศัลย์เดินเข้ามาในห้อง ได้ยินคำถามของวาสนาพอดี ศัลย์ให้คำมั่นว่าไม่ต้องห่วง ตนจะดำเนินการทุกอย่างไปตามหลักฐาน ผิดก็ว่ากันไปตามผิด วาสนาเห็นเสื้อผ้าทิวัตถ์เต็มไปด้วยเลือดก็ตกใจ ถามหลานชายไปทำอะไรมา

“วินเขาเป็นคนพาต่ายมาส่งโรงพยาบาลค่ะ” ศุภารมย์ชิงตอบเสียเอง แล้วหันไปคุยกับศัลย์เพื่อเปลี่ยนประเด็นไม่อยากให้วาสนาพูดมาก “รองฯคุยกับวินเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

“ครับ...เดี๋ยวผมต้องไปดูที่เกิดเหตุเพื่อเก็บหลักฐานอีกครั้ง ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงผมต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ หายเร็วๆนะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”

วาสนาสงสัยในคำพูดของศัลย์ พอเขาพ้นจากห้องไปก็ถามทิวัตถ์เห็นเหรอว่าใครยิงศุภารมย์ ทรงพลเลยต้องปรามให้ปล่อยเรื่องนี้เป็นหน้าที่ตำรวจจัดการดีกว่า

“ได้ยังไง...เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้เราก็ต้องช่วยกัน พ่อพลคิดว่าไว้ใจตำรวจอย่างรองฯศัลย์ได้เหรอ คิดดูซิว่าในจังหวัดนี้ใครก็รู้ว่าพวกเธอเป็นใคร แล้วยังเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น แสดงว่าคนที่ทำต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”

“ป้า...ต่ายไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว” ศุภารมย์ตัดบท แต่วาสนากลับชักสีหน้าและน้ำเสียงไม่พอใจ บอกว่าที่พูดเพราะหวังดี อนันยชเริ่มรำคาญให้วรรณิตพายายออกไปก่อน แม่ของตนจะได้พักผ่อน

“อะไรกันพ่อวัน ยายรึอุตส่าห์เป็นห่วงแม่เรา กลับมาไล่ยายซะนี่”

“ไปเถอะจ้ะยาย เผื่อครอบครัวคุณวันจะมีเรื่องต้องคุยกัน” วรรณิตคะยั้นคะยอ แต่วาสนาก็ยังดึงดันตวาดหลานสาวเสียงสูง “อะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ แกก็ตบแต่งครอบครัวเดียวกับเขาแล้วทำอย่างกับเป็นคนนอกอยู่ได้”

วรรณิตไม่พูดอะไรอีก นอกจากดึงวาสนาที่หงุดหงิดออกจากห้องไปจนได้ อนันยชหงุดหงิด บ่นคนบ้าอะไรทำตัวน่ารำคาญจริงๆ แต่แล้วต้องหยุดไปเมื่อทรงพลปรามเขาว่ายังไงยายน้อยก็เป็นญาติผู้ใหญ่

อนันยชเลิกบ่นวาสนาแต่ย้ายมาซักทิวัตถ์เรื่องมือปืนว่าเป็นใคร ทิวัตถ์ท่าทีอึดอัดใจ ศุภารมย์มองออกรีบรวบรัดว่าตนไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก ให้ทิวัตถ์กลับไปพักผ่อนที่บ้าน ตอนนี้แม่ไม่เป็นไรแล้ว...

ด้านวรรณิตกับวาสนาที่เดินออกมามุมหนึ่งของโรงพยาบาล วาสนาอารมณ์เสียขึ้นมาอีกเมื่อรู้เห็นว่า

วรรณิตรับสายจากพยาบาลรายงานอาการแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งอยู่โรงพยาบาลว่ามีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดต้องใช้ยาตัวใหม่ซึ่งค่ายาแพงมาก

วรรณิตต้องการเงินจากวาสนาไปรักษาแม่ แต่จอมงกอย่างวาสนามีหรือจะให้ง่ายๆ ยืนยันว่าไม่มีลูกเดียว วรรณิตจำเป็นเลยต้องบีบบังคับ

“ถ้ายายไม่เอาเงินให้ณิต...ณิตจะแฉความจริงให้ทุกคนรู้ให้หมดว่ายายคิดจะทำอะไร”

“ก็เอาซี้...บอกไปเลยแล้วฉันจะคอยดู เพราะถ้าแกบอกไป คนบ้านนั้นจะได้เฉดหัวแกออกจากบ้านสิไม่ว่า”

“ถ้าณิตต้องออกจากบ้านนั้นจริงๆ ยายคงไม่มีทางได้อะไรจากคนบ้านนั้นอีก...แม้แต่เศษเงิน”

“นังณิต!! ตั้งแต่แกเข้าไปอยู่บ้านนั้นปีกกล้าขาแข็งนักนะ นังวัวลืมตีน นังคางคกขึ้นวอ”

“ณิตไม่ได้ลืมตัว แต่ที่ณิตต้องทำแบบนี้เพราะณิตไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ”

วาสนานิ่งไปอย่างแค้นใจที่วรรณิตแข็งขืนจะเอาเงินให้ได้...ที่สุดก็ต้องเซ็นเช็คเป็นแสน แถมอนาคตอันใกล้ก็น่าจะต้องเสียเงินอีก เพราะได้ยินพยาบาลแจ้งว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมักจะมีโรคแทรกซ้อนต่างๆ

เยอะกว่ามะเร็งทั่วไป

ooooooo

ทิวัตถ์กลับไปบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยเลือดแล้วกลับมานั่งทบทวนตอนที่เห็นลิลินถือปืนในมืออยู่กับศุภารมย์ที่โดนยิงบาดเจ็บ

ลิลินมาปรากฏตัวที่บ้านต้องการพบทิวัตถ์ สองคนเผชิญหน้ากันในห้องรับแขก ทิวัตถ์ยังปักใจเชื่อว่าลิลินยิงแม่ของตน จึงพูดประชดประชันไปหลายคำและไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆจากเธอ ไล่เธอกลับไปทั้งที่ตัวเองก็เจ็บปวดร้าวรานใจ

รุ่งขึ้น เสี่ยหาญกับลูกๆทราบข่าวศุภารมย์ถูกยิงเข้าโรงพยาบาล สิตาจึงอาสาเป็นตัวแทนนำของไปเยี่ยมเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่พอเจอหน้ากัน ศุภารมย์แสดงความไม่เป็นมิตร ไม่ชอบหน้าสิตาเหมือนเดิม และไม่ต้องการให้เธอมาพัวพันกับทิวัตถ์อีก

หลังจากเมื่อคืนโดนทิวัตถ์ผลักไส เช้านี้ลิลินตัดสินใจย้ายออกจากโรงแรมศักดิ์สิทธิ์ แต่กว่าเขาจะยอมเธอต้องอธิบายเหตุผลกันอยู่นาน วิชนีหิ้วกระเป๋าออกมาส่งลิลิน เป็นจังหวะที่วิทยามาถึง เขาได้ยินสองสาวพูดกันเรื่องแม่ทิวัตถ์โดนยิง จึงคาดคั้นลิลินหรือหนูลีให้เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น

เพราะรู้จักลิลินดี วิทยาไม่เชื่อว่าเธอยิงศุภารมย์... ถึงหนูลีจะโกรธแค้นเขาแค่ไหน หนูลีก็ไม่มีทางทำร้ายเขา

“ขอบคุณนะคะพี่วิทที่เชื่อใจหนูลี”

“พี่เป็นห่วงหนูลีจริงๆ พี่ไม่รู้ว่าต่อไปพวกนั้นจะทำอะไร”

“ขอบคุณนะคะ แต่พี่วิทไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หนูลีดูแลตัวเองได้”

วิทยาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ชวนลิลินไปอยู่บ้านเดียวกับตน บ้านหลังเดิมที่เคยอยู่ในวัยเด็ก หากวิญญาณ

ปองภพล่วงรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ

เมื่อไปถึงบ้าน ความทรงจำวัยเด็กที่หยอกล้อเล่นกับพ่อป้องผุดพราย ลิลินยิ้มอย่างมีความสุข วิทยาเห็นแล้วสบายใจ และถือโอกาสนำดอกลีลาวดีที่เธอชอบร้อยเป็นสร้อยมายื่นให้

“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ หนูลี”

“พี่วิทหมายความว่าไงคะ”

“จำได้ไหมว่าก่อนที่พี่จะไปชุมพร พี่เคยบอกว่าพี่จะกลับมาฟังคำตอบจากหนูลี...แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พี่จะบอกว่า พี่รักหนูลี เรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะครับ”

“พี่วิท...อย่าล้อเล่นแบบนี้สิคะ”

“มองตาพี่สิ หนูลีจะรู้ว่าพี่พูดจริง”

ลิลินนิ่งเงียบ วิทยารู้ว่าใจของลิลินยังไม่พร้อม และตัวเองก็กลัวการปฏิเสธของเธอด้วย

“ถ้าหนูลียังไม่รู้คำตอบ พี่ให้เวลาหนูลีทบทวนอีกหน่อยก็ได้”

ลิลินส่งยิ้มบางๆ ทั้งที่ลึกๆยังหนักใจอยู่ดี

ooooooo

สิตากลับมาเล่าให้พ่อฟังว่าศุภารมย์ไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนแรกตนคิดว่าพ่อจะส่งคนไปถล่มเธออย่างที่กฤษดาบอก

“แกจะบ้าเหรอ ใครๆก็รู้ว่าบ้านนั้นมีศัตรูอยู่ไม่กี่คน เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขืนเราทำอะไรไปอีก ไม่พ้นตกเป็นผู้ต้องสงสัยเต็มๆ”

“แล้วไงคะ...ตาไม่เห็นพ่อจะเคยกลัวอะไรแบบนี้เลย”

“มันคนละระดับกัน...บ้านนั้นไม่ธรรมดา จะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ”

“แต่ถ้าพ่อคิดจะทำอะไร ตาขอให้เว้นวินไว้คนนึงก็แล้วกันนะคะ”

ระหว่างนั้นกฤษดาเดินคุยโทรศัพท์มือถือเข้ามา ได้ยินว่าไม่เชื่อๆ พอวางสายก็รีบรายงานเสี่ยหาญด้วยท่าทางตื่นเต้นว่ามีข่าวใหม่ ลิลินคือลูกสาวแท้ๆของปองภพ

“ใคร? ลิลิน” เสี่ยหาญสงสัย

“ลิลินเป็นนักร้องที่ไอ้วินมันหลงเสน่ห์อยู่ ส่วนปองภพก็คือคนที่ฆ่าแม่แท้ๆของไอ้วินไงครับ”

“อะไรนะ นังลิลินเป็นลูกฆาตกรที่ฆ่าแม่วินเหรอ” สิตาอุทาน แววตาคมกริบเหมือนคิดอะไรได้...

เวลานั้นลิลินอยู่บ้านหลังเดิม เธอยังเก็บกระดาษข้อความที่ได้รับก่อนจะไปเจอศุภารมย์...เธอคิดทบทวนอยู่ไปมาอย่างสงสัย พอวันรุ่งขึ้นจึงมุ่งหน้าไปหาทิวัตถ์ที่บริษัท แล้วเจอสิตาอยู่กับเขาด้วยในห้องทำงาน

“ฉันไม่คิดว่าเธอจะกล้ามาเจอวินอีก” สิตาเปิดฉากเสียงแหลม

ลิลินปรายตามองสิตาแต่ไม่สนใจ อยากคุยธุระกับทิวัตถ์ แต่เขาปฏิเสธและพยายามผลักไสเธอออกไป ขณะที่สิตาก็คอยกางกั้นราวกับเป็นเจ้าของทิวัตถ์

“ไม่ว่าเรื่องอะไร ฉันขอให้มันจบๆไปได้ไหม เธอไม่รู้หรือไงว่าสิ่งที่เธอทำทั้งหมดมันทำร้ายวินแค่ไหน”

“ฉันไม่เคยทำร้ายเขา”

“แล้วทำไมเธอไม่บอกวินตั้งแต่แรกว่าเธอคือ

ลูกของฆาตกรที่ฆ่าแม่ของวิน”

“สิตา...เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างฉันกับคุณวิน”

“ฉันเองก็อยากรู้ว่าทำไมเธอไม่บอกฉัน”

“ลิลิน...ทางที่ดีฉันว่าเธอพูดความจริงดีกว่า อย่าพยายามแก้ตัวเลย เพราะสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดมันบอกอยู่ว่าเธอกำลังหลอกใช้วิน”

“ไม่จริง ฉันไม่เคยคิดหลอกใช้คุณวิน”

“แล้วทำไมเธอต้องมาเป็นนักร้องที่จังหวัดนี้ ในโรงแรมของศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพื่อนสนิทของวิน”

“ฉันยอมรับว่าฉันต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับพ่อ แต่ฉันไม่ได้เป็นคนยิงคุณต่าย”

สิตาได้ยินอย่างนั้นก็รีบสุมไฟทันที “อะไรนะ...ฝีมือเธอเองเหรอ”

ลิลินหยิบกระดาษโน้ตข้อความส่งให้ทิวัตถ์ ยืนยันว่าเป็นหลักฐานที่จะบอกว่าศุภารมย์เป็นคนนัดตนไปที่ตึกร้าง ทิวัตถ์รับมันมาอ่านแล้วบอกว่าไม่ใช่ลายมือ

แม่ต่าย ลิลินถึงกับหน้าเสีย หาเหตุผลมาค้านว่าบางทีแม่ของเขาอาจจะให้ใครเขียนขึ้นมาก็ได้

“แล้วปืนที่คุณถืออยู่ล่ะ ถ้าไม่ได้เอามายิงแม่ต่าย แล้วคุณเอามาทำไม”

“ฉันขอถามคำเดียว ถ้าฉันยิงจริงๆ ทำไมคุณต่ายไม่แจ้งความจับฉันล่ะ”

ทิวัตถ์คิดตามคำพูดลิลิน สิตาเห็นอย่างนั้นก็กลัวทิวัตถ์จะเชื่อ จึงรีบขัดคอ

“พอเถอะลิลิน ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังจะตั้งใจทำอะไร แต่ฉันอยากให้เธอหยุดได้แล้ว ถึงพ่อเธอจะเป็นฆาตกร แต่เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนพ่อเธอก็ได้”

ลิลินโกรธควันออกหู ตบหน้าสิตาดังฉาด แล้วยืนกรานว่าพ่อของตนไม่ได้เป็นฆาตกร

“คุณทำอะไรของคุณ ออกไปจากห้องผมได้แล้ว” ทิวัตถ์ตวาดลิลินแล้วยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะสั่งคฑาวุธให้เรียก รปภ.มาที่ห้องตน

สิตายิ้มเย้ยสะใจ ลิลินไม่สนใจ เดินเข้าไปหาทิวัตถ์ เอ่ยด้วยความน้อยใจว่า

“ตอนนี้คุณคงมองว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ แล้วคุณก็คงไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกคุณ”

“ถ้ารู้อยู่แล้ว...แล้วจะมาทำไม”

“ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่ฉันอยากขอให้คุณเชื่อลิลิน...ลิลินคนที่ผ่านเรื่องต่างๆมาพร้อมกับคุณ”

ทิวัตถ์นิ่งไป ลิลินมองหน้าเขาหวังให้ใจอ่อน แต่เขาก็เปลี่ยนเป็นเข้มขรึม เมื่อเห็น รปภ.เข้ามา

“เอาเธอออกไป”

รปภ.เข้ามาจับลิลิน สิตายืนยิ้มอย่างสะใจ แต่ยังไม่หนำใจ ถามออกไปสำทับลิลินอีกว่า

“ฉันขอเตือนนะ เลิกยุ่งกับวินได้แล้ว ถึงเมื่อก่อนวินจะเข้าข้างเธอ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ถ้าเธอยังอยากร้องเพลงได้อยู่ ฉันขอเตือนให้เธอไปจากจังหวัดนี้ซะ”

“เลิกเล่นละครแล้วเหรอ”

“ทำไม ทีเธอยังหลอกทุกคนมาได้ตั้งนาน ถึงเวลาที่แกต้องกลับไปอยู่ในที่ต่ำๆของแกได้แล้ว นังลูกฆาตกร”

“รู้สึกว่าที่ต่ำๆของฉัน...มันบังเอิญสูงเท่าที่เธอยืนอยู่เหมือนกัน” ลิลินยอกย้อนแล้วผละไป ทิ้งให้สิตายืนกรี๊ดอย่างแค้นใจ ผสมเสียงด่าลิลินคือลูกสาวฆาตกร...

นพกรฐานะคนขับรถของทิวัตถ์ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น ได้ยินลิลินโดนด่าก็ไม่พอใจ เพราะเขาแอบชอบเธอ และพยายามจะฉุดเธอหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เขารู้สึกไม่พอใจสิตา แล้วมาบ่นกับทิวัตถ์ว่าไม่ควรปล่อยให้แฟนยืนด่าลิลิน

“แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย” ทิวัตถ์ตวาดอย่างหงุดหงิด นพกรเจ็บใจแต่พูดอะไรมากไม่ได้

ooooooo

ลิลินกลับมาที่บ้าน เล่าให้วิทยาฟังว่าไปพบทิวัตถ์มา วิทยาตกใจถามไปทำไม ทั้งที่รู้ว่ามันอันตราย

“หนูลีแค่ไปบอกความจริงให้เขาฟัง เขาจะได้ไม่เข้าใจหนูลีผิด”

“แต่เขาไม่ฟังใช่ไหม” เธอพยักหน้าเศร้าๆ วิทยาเห็นใจ กำชับว่าต่อไปนี้หนูลีจะไปไหนต้องบอกพี่ก่อน พี่เป็นห่วง

วิทยาสบสายตาลิลินแน่วแน่ จงใจบ่งบอกความรู้สึก ลิลินอมยิ้มเพื่อกลบความเศร้า เปลี่ยนเรื่องคุยครู่หนึ่งก่อนจะปลีกตัวเข้าบ้านไปอาบน้ำ

ขณะสองคนคุยกัน ศัลย์ซึ่งสะกดรอยตามลิลินมาจับตามองอยู่นอกรั้วบ้าน แล้วกลับไปรายงานศุภารมย์ที่ยังนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล

“ผมบอกแล้วว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา”

“แล้วยังไง”

“ผมรอแค่คำสั่ง...แล้วนังเด็กนั่นจะหายไปจากโลกนี้ทันที”

“ไม่...ฉันไม่อยากทำบาปมากไปกว่านี้แล้ว”

“แล้วคุณจะรอให้เธอหันมาแว้งกัดคุณได้อีกเหรอ”

ศุภารมย์หรี่ตาครุ่นคิดอย่างหนักใจเช่นกัน... ทรงพลแอบฟังตรงประตู สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขานัดเจอกานดาในที่สงบร่มรื่น บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษาเกี่ยวกับศุภารมย์

“ผมไม่รู้จะทำยังไง...ผมกับต่าย...เรามีความต้องการเหมือนกันคือปกป้องวิน ทำให้วินมีความสุขที่สุด แต่ว่า...” ทรงพลกุมขมับอย่างเครียดจัด

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น...กานไม่อยากเข้าไปยุ่งอีกแล้วค่ะ”

“แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ แค่นี้เราก็ทำบาปทำกรรมไว้มากพอแล้ว”

“คุณพลก็หยุดสิคะ”

“ผมน่ะทำได้ แต่คุณต่ายนี่สิ เธอจะต้องไม่ยอมแน่ๆ”

“แล้วคุณจะให้กานทำยังไงคะ”

ทรงพลจับมือกานดาขอร้อง “ผมอยากให้คุณช่วยอะไรผมบางอย่าง ตอนนี้ผมกลัวว่าคุณต่ายจะใช้วิธีรุนแรงกับคุณลินอีก”

“อะไรนะคะ คุณต่ายจะทำอะไรเธอคะ”

“ผมคิดว่าคุณต่ายคงไม่ปล่อยเธอไว้...กานดา ผมต้องทำยังไง ผมไม่ต้องการให้คุณต่ายทำอะไรผิดพลาดเหมือนที่ผ่านๆมาอีกแล้ว”

กานดามองมือตนเองที่ถูกทรงพลกุมอย่างหนักใจ

ooooooo

ศุภารมย์มีโอกาสเห็นวรรณิตใกล้ๆ ช่วงที่เธอป้อนข้าวตอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล และเกือบจะเห็นรอยผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าถ้าวรรณิตไม่ไหวตัวเบือนหน้าหนีเสียก่อน

อนันยชมาเห็นวรรณิตอยู่กับแม่ของตนและพูดแปลกๆเหมือนที่ผ่านมาไม่อยากแต่งงาน ถ้ารู้ว่าแต่งแล้วจืดชืดไร้รสชาติ ศุภารมย์ปรามลูกชายเพราะเห็นใจลูกสะใภ้ แล้วอธิบายหลังจากอนันยชกลับออกไปแล้วว่า

“วันเขาก็เป็นอย่างนี้นั่นแหละ เอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ ฉันยังไม่คิดเลยว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่ทนวันได้...เธอรักวันหรือเปล่า”

“ทำไมคุณแม่ถามอย่างนั้นล่ะคะ”

“เพราะฉันรู้ว่าเธอคงไม่ได้แต่งกับวันเพราะความรัก” ดักทางแล้วเห็นวรรณิตอึกอัก ก็เลยถามตรงๆว่ายายน้อยบังคับเธอใช่ไหม

วรรณิตรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวเพราะศุภารมย์ที่เห็นไม่พูดไม่จาแต่กลับรู้ทุกอย่าง

“บอกฉันมาเถอะ อย่าลืมว่าต้อยน้องสาวฉันก็ได้แต่งกับคุณพลจากการเป็นแม่สื่อของยายน้อยเหมือนกัน แล้วฉันก็เชื่อว่าข้อเสนอที่ยายน้อยให้ ก็คงไม่ต่างจากเธอ เท่าไหร่ ฉันไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ตราบใดที่วันกับเธอยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่ใช่ล่ะก็...แผนของเธอกับป้าน้อยจะเป็นยังไงฉันคงไม่ต้องบอกนะ”

วรรณิตสะอึกอึ้ง เพราะเท่ากับว่าตอนนี้เธอคงทำอะไรไม่ได้สะดวกเหมือนที่ผ่านมา

ooooooo

วิทยาต้อนรับการกลับมาของลิลินหรือหนูลีอย่างเป็นทางการในตอนค่ำ นำดอกลีลาวดีที่เธอชอบมาตกแต่งโต๊ะอาหารอย่างสวยงาม แล้วขอโอกาสดูแลเธอในฐานะคนรัก

ลิลินไม่อยากเห็นเขาผิดหวังจึงบอกความจริงจากใจว่าเธอคิดกับเขาแค่พี่ชายที่แสนดี วิทยาฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเศร้า

“พี่เคยถามตัวเองเมื่อสิบห้าปีที่แล้วว่าถ้าคำตอบของหนูลีเหมือนในวันนี้ พี่จะทำยังไง”

“พี่วิทไม่โกรธหนูลีใช่ไหมคะ”

“พี่จะโกรธคนที่พี่รักได้ยังไง ไม่เป็นไร วันนี้พี่อาจจะเป็นได้แค่พี่ชาย แต่ไม่ว่ายังไงพี่ก็จะรอหนูลีนะ ...กินข้าวกันดีกว่า...นี่เลย...พี่จำได้ว่าของชอบหนูลีทั้งนั้น”

วิทยาฝืนยิ้มให้ลิลินที่ยืนปั้นหน้าไม่ถูกเพราะสงสารพี่ชายที่แสนดีคนนี้เหมือนกัน...

หนึ่งสัปดาห์ที่ศุภารมย์รักษาตัวอยู่โรงพยาบาล วันนี้ทิวัตถ์ไปรับเธอกลับบ้าน พอรู้ว่าลิลินมาที่บ้านจากป้าจวนก็เลยซักถามทิวัตถ์ว่าเธอมาทำไม

“เธอมาบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นฝีมือเธอ”

ศุภารมย์ชะงักไปอย่างเก็บอาการ ทิวัตถ์ตัดสินใจถามเมื่อเห็นว่าอยู่ตามลำพังกับเธอ

“ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ทำไมแม่ไม่แจ้งความจับเธอ”

“ถ้าเธอจะฆ่าแม่แล้วเธอหายแค้น แม่ก็ยอม เพราะแม่ไม่อยากให้ความแค้นนี้ต้องตกไปอยู่ที่ลูกนะวิน”

ศุภารมย์ตีหน้าเศร้าเล่นละครตบตาทิวัตถ์...พอเห็นศัลย์เดินเข้ามาเธอรีบให้ลูกชายไปพักผ่อนเพื่อจะคุยธุระกับนายตำรวจคนสนิท

ทิวัตถ์เดินออกมาหน้าบ้าน หยิบกระดาษโน้ตข้อความที่ลิลินเอามายืนยันความบริสุทธิ์ขึ้นมาอ่านซ้ำก่อนทิ้งลงถังขยะ ไม่ทันจะหันเข้าบ้านได้ยินเสียงเรียกของทรงเผ่าที่ต้องการมาเยี่ยมศุภารมย์เพราะได้ข่าวว่าโดนทำร้าย

ในบ้าน ศัลย์ดูห่วงหาอาทรศุภารมย์มาก ตัดสินใจจะฆ่าลิลินเพื่อไม่ให้มาวุ่นวายกับเธออีก

“ฉันไม่อนุญาต ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าฉันต้องการแค่ได้วินกลับมาเท่านั้น”

“แต่เพราะเธอ...คุณถึงต้องมาเจ็บแบบนี้ แล้วถ้าคุณปล่อยเธอไว้ คุณคิดว่าเธอจะหยุดแค่นี้เหรอ”

“เรื่องในอดีตที่ฉันทำเป็นเพราะความจำเป็น แล้วฉันก็เคยพูดเอาไว้แล้วว่า ต่อไปถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนในบ้านนี้อีก ฉันขอให้มันเกิดกับฉัน”

“คุณต่ายพูดอย่างนี้ได้ยังไง แล้วผมล่ะ”

ศุภารมย์มองศัลย์ไม่เข้าใจความหมายลึกๆในคำพูดของเขา ศัลย์รู้สึกตัวก็ทำหน้านิ่ง ทันใดเสียงทรงเผ่า ทักทายทั้งคู่ดังมา มีทิวัตถ์เดินตามหลัง

“หวัดดีทุกคน...แหม ทำเป็นตกใจ หรือว่าฉันเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”

“พี่เผ่าพูดอย่างนี้หมายความว่าไง”

“พี่ล้อเล่น...เอ...หรือว่าแกคิดจริงๆ” ทรงเผ่าตอบโต้ศัลย์ด้วยรอยยิ้มกวนๆ ศัลย์โกรธแต่ซ่อนอารมณ์ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย บอกศุภารมย์ว่าตนหมดธุระแล้วขอตัวก่อน

ศุภารมย์ไม่ชอบใจในการมาของทรงเผ่าเช่นกัน กลัวเขาจะมาปูดเรื่องราวในอดีตให้ทิวัตถ์ยิ่งสงสัย แต่กลายเป็นว่าครั้งนี้เขามาวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เธอโดนยิง นั่นยิ่งทำให้ศุภารมย์หวั่นใจว่าทิวัตถ์จะรู้ความจริงว่าเป็นแผนของเธอ

“คุณต่ายจะเป็นอะไรได้ยังไง ก็ในเมื่อมันเป็นแค่กระสุนเล็กๆแค่นั้น”

ศุภารมย์ชะงัก ทิวัตถ์เหลือบมองทั้งสองคนอย่างจับสังเกต

“พอดีลูกน้องคนเดิมกับเมื่อกี้มันรายงานน่ะ แต่ก็น่าแปลกนะ คนระดับอย่างคุณต่ายไม่น่าจะมีใครในจังหวัดนี้ที่กล้าทำอย่างนี้ แล้วก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ที่ไม่เห็นมีบันทึกประจำวันอะไรเลย สงสัยรองฯศัลย์คงลืม วันหลังถ้าเจอรองฯศัลย์ ฝากบอกด้วยนะถ้าใครถามอย่าบอกว่าเป็นลูกน้องเก่าผม แค่บันทึกประจำวันแค่นี้ยังลืมลง...เสียชื่อผู้กำกับทรงเผ่าหมด”
ศุภารมย์ควบคุมอารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ “ขอโทษนะคะผู้กำกับ...ฉันอยากพักผ่อน”

“จะไล่กันว่างั้น” เขาลดเสียงลง

ศุภารมย์ตอบกลับเบามากจนเกือบกระซิบ “ถ้ายังอยากมีเงินใช้...ก็กลับไปซะ”

“เฮ้อ...เพิ่งมาแป๊บเดียวเอง ก็ได้ ฉันไปก็ได้ แต่อย่าลืมโอนเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนด้วยนะ”

ทรงเผ่าลุกขึ้นเดินออกไป ศุภารมย์หันหน้าหนี ส่วนทิวัตถ์มองตามทรงเผ่าอย่างสงสัยในคำพูด แล้วตามเขาออกมาคุยกันพ้นหูตาของศุภารมย์

“ที่ผู้กำกับพูดกับแม่เมื่อกี้หมายความว่าไงครับ”

“เรื่องอะไร มีตั้งหลายเรื่อง”

“ก็เรื่องกระสุนเล็กๆที่ผู้กำกับบอก ผู้กำกับรู้เหรอครับ”

“อ้าว...นี่รองฯศัลย์ไม่บอกอะไรให้ฟังเลยเหรอเนี่ย ว่าไอ้กระสุนที่ยิงคุณต่ายมันคือลูกซ้อม”

ทิวัตถ์แปลกใจ นึกถึงที่ลิลินยืนยันว่าไม่ได้ยิงศุภารมย์ “ถ้าผมรู้ขนาดของกระสุน...ก็เท่ากับรู้ตัวคนร้ายใช่ไหมครับ”

“มันต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง แต่นั่นก็เป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น...มีอะไรหรือเปล่าคุณวิน”

ทิวัตถ์ไม่ตอบ...นิ่งไปอย่างใช้ความคิด

ooooooo

ศัลย์ทำตามใจตัวเองเพื่อตัดปัญหาเรื่องลิลินไม่ให้มากวนใจศุภารมย์อีก เขาแอบมาตัดสายเบรกรถวิทยาที่ลิลินต้องไปไหนมาไหนด้วยในระยะนี้ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน

แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นจนได้ วิทยาต้องออกไปจัดสวนให้ลูกค้าแต่ไม่มีลูกน้องว่างสักคน ลิลินจึงอาสาเป็นลูกมือ แต่ระหว่างทางที่รถเข้าโค้งค่อนข้างเร็ว เบรกใช้งานไม่ได้ทำให้หลุดโค้งเสียหลักไถลลงข้างทางส่งผลให้วิทยาบาดเจ็บสาหัสและไปสิ้นใจที่โรงพยาบาล ขณะที่ลิลินได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะ อาการน่าเป็นห่วง!

ooooooo

ลีลาวดีเพลิง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด