ตอนที่ 13
เช้าขึ้นทิวัตถ์เตรียมตัวออกจากบ้าน อ้างกับทรงพลที่ท่าทางสงสัยว่าตนจะไปช่วยงานศักดิ์สิทธิ์ แต่กลัวไม่เนียนก็เลยพูดเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ถามพ่อว่ายังไม่ดีกับแม่ต่ายอีกหรือ
“แม่เราเขาฟังพ่อซะที่ไหน”
ขาดคำของทรงพล เสียงศุภารมย์ดังมาก่อนตัว “แล้วพ่อเราเคยคิดจะเล่าให้แม่ฟังบ้างไหมล่ะ”
ทรงพลไม่อยากต่อความยาวเดินหนีไป ทิวัตถ์ไม่สบายใจที่เห็นพ่อแม่มึนตึงใส่กัน ศุภารมย์สังเกตเสื้อผ้าลูกชายก็เดาได้ว่าจะออกไปข้างนอก เตรียมจะสั่งนพกรขับรถให้ แต่ทิวัตถ์ขัดเสียก่อนว่าวันนี้ตนไปเองได้
“ไม่ได้หรอกวิน...เกิดลูกเป็นอะไรขึ้นมาจะได้มีคนคอยดูแลลูกนะ เชื่อแม่เถอะ หรือลูกอยากให้แม่ไม่สบายใจ”
ทิวัตถ์เกือบจะจนแต้มอยู่แล้ว โชคดีที่อนันยช
โทร.หาศุภารมย์...เขาไปฮันนีมูนกับวรรณิตที่สวิสฯ แต่กลับก่อนกำหนดเพราะมีปัญหาระหองระแหงกัน ตอนนี้ลงเครื่องอยู่ที่สุวรรณภูมิ ต้องการคนมารับ ศุภารมย์ จะไปเองแต่ทิวัตถ์เสนอให้นพกรไป เขาไม่อยากให้แม่เหนื่อยขับรถไกลๆ เป็นอะไรขึ้นมาเขาคงต้องโทษตัวเองตลอดชีวิต
ที่สุดศุภารมย์ก็ใจอ่อน ทิวัตถ์เลยได้ขับรถไปหาชัยด้วยตัวเอง...ด้านศักดิ์สิทธิ์เพื่อนสนิทของทิวัตถ์ เวลานี้เขาทำใจดีสู้เสือมาพบอาม่าถึงบ้าน ทั้งที่ไม่เคยเยี่ยมกรายมาเป็นแรมปี ที่มาก็เพื่อขอเงินไปต่อทุนบริหารโรงแรม แต่อาม่าปฏิเสธเพราะเขาแค่มีแฟน ยังไม่ได้มีหลานให้ตนตามข้อตกลง
อาเม้งของอาม่าเลยแห้วรับประทานกลับไปคร่ำครวญกับปกติลูกน้องคนสนิท ก่อนที่จะพบวิชนีแล้วหลุดปากบอกเหตุผลที่บอกอาม่าว่าชอบเธอเพราะไม่อยากแต่งงานกับอาหมวยหมูตอนที่อาม่าหาให้ วิชนีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าเขาหลอกใช้แล้วเดินปังปังหนีไปโดยไม่ฟังเหตุผลที่แท้จริง
ศักดิ์สิทธิ์รักชอบวิชนีแต่ฟอร์มจัด ก็เลยพูดไปแบบนั้น ปกติเห็นใจเจ้านายจึงหาทางให้เขาได้ปรับความเข้าใจกับวิชนี เชื่อแน่ว่าวิธีของตนต้องชนะใจเธอได้
ฝ่ายทิวัตถ์ที่ได้พบชัยสมใจ เขาต้องการรู้ความจริงในเหตุการณ์วันเกิดเหตุ ชัยยืนยันเหมือนเดิมว่าตนไม่เห็นใครเป็นคนฆ่าศุภิสรา
“ช่างเถอะ แต่ที่ผมอยากรู้มากกว่านั้นคือวันนั้นน้าชัยพาพ่อกลับไปที่บ้านจริงๆใช่ไหม”
ชัยนิ่งคิดแล้วค่อยๆลำดับเรื่องราวในอดีตให้ทิวัตถ์ฟังว่า วันนั้นตนขับรถมาที่บ้านโดยมีทรงพลและกานดานั่งมาด้วย ทรงพลโทรศัพท์คุยกับศุภิสราบอกให้เธอใจเย็น แล้วบอกให้ตนจอดรถหลังบ้าน ไม่ให้กานดาลงไปเพราะกลัวศุภิสราจะคลุ้มคลั่งถ้าเห็นเธอ
ทรงพลหายเข้าไปในบ้านสักพัก กานดากับชัยที่ยืนรออย่างใจจดใจจ่อก็ได้ยินเสียงปืนดังเปรี้ยง ไม่นานทรงพลกับศุภารมย์อุ้มทิวัตถ์ร่างโชกเลือดออกมาใส่รถ ห้ามไม่ให้กานดาถามอะไรทั้งสิ้น สั่งตนให้รีบไปโรงพยาบาล...
ทิวัตถ์รับฟังด้วยความสงสัย ถามชัยว่าทำไมพ่อกับแม่ต่ายถึงได้บอกว่าวันนั้นไม่มีใครอยู่ตอนที่แม่ต้อยตาย
“น้าชัยแน่ใจนะครับว่าไม่ได้จำเวลาผิด”
“แน่นอนครับ”
“แล้วทำไมน้าชัยต้องลาออก”
“ผมไม่ได้ลาออกครับ ผมถูกบังคับให้ออก เรื่องที่ผมรู้ก็มีเท่านี้ครับคุณวิน...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“แล้วน้าชัยจะไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ครับ ถ้าขืนผมยังอยู่ที่นี่คงจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ”
“ทำไม...เหมือนคนอื่นๆยังไง”
“อย่าถามอะไรที่ผมตอบไม่ได้เลยครับคุณวิน วันเกิดเหตุผมรู้เรื่องข้างนอกเพียงแค่นี้ ส่วนเรื่องที่อยู่ในบ้านคุณวินต้องไปถามคุณพลกับคุณต่ายเองครับ โชคดีนะครับคุณวิน”
ชัยผละไปแล้วทิ้งทิวัตถ์ยืนอึ้ง งุนงงและสับสน
ooooooo
การกลับมาก่อนกำหนดของอนันยชกับวรรณิตเป็นเรื่องเม้าท์กันสนุกปากของบรรดาคนรับใช้ในบ้าน ศุภารมย์เองก็สงสัยเช่นกัน ถึงอนันยชจะไม่เล่ารายละเอียดแต่ท่าทีของเขากับวรรณิตก็ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าต้องมีปัญหากันแน่ๆ
วาสนาไปรอรับทั้งคู่ที่สนามบินแล้วนั่งรถกลับมาที่บ้านทรงพลพร้อมกัน ยายทำทีว่าห่วงหลานแต่ความจริงอยากได้ของฝาก อนันยชที่ดูหงุดหงิดก็เลยแดกดันเข้าให้ก่อนจะอ้างเหตุผลร้อยแปดเพื่อปกปิดว่าตัวเองทะเลาะกับวรรณิตด้วยเรื่องบนเตียง
วาสนาไม่รู้อะไร แต่ก็บ่นเป็นกระบุงว่าเป็นเมียต้องรู้จักปรนนิบัติพัดวีสามี มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนต้องใช้มันเข้าไป ต้องทำให้เขาติดใจ รับรองต่อให้สาวที่ไหนมายั่วเขาก็ไม่สน...
เย็นวันเดียวกันที่บริษัททรงพล กานดาเพิ่งได้จดหมายของหนูลี เพียงเธอเห็นชื่อนี้ก็ตกใจหน้าซีดเผือด!
ส่วนที่โรงแรมรอยัลเพิร์ลของศักดิ์สิทธิ์ ปกติพยายามเป็นกาวใจให้เจ้านายกับวิชนีโดยแนะนำวิธีเอาชนะใจสาวด้วยดนตรีและเสียงเพลงแสนซึ้ง ศักดิ์สิทธิ์เดินดีดกีตาร์และร้องเพลงออกมาง้อวิชนี ฝ่ายหญิงทำท่าจะเคลิ้ม ถ้าไม่ติดว่าก่อนหน้านี้ศักดิ์สิทธิ์สั่งให้เธอทำอาหารจำนวนมากเหมือนแกล้งกัน
เมื่อเธอเดินหน้าบึ้งหนีไป ศักดิ์สิทธิ์รีบวิ่งไปดักหน้า ยอมสารภาพอย่างหมดฟอร์มว่า
“โอเค...ฉันยอมรับว่าฉันโกหก ฉันเป็นคนให้คุณปกติลงไปสั่งให้เธอทำอาหารทั้งหมดเอง แต่ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะเวลาที่ฉันเห็นเธอเข้าครัวทำอาหารแล้วเธอดูมีความสุขนี่ แต่ในเมื่อตอนนี้โรงแรมไม่มีลูกค้า ฉันก็แค่อยากให้เธอยิ้มได้”
“นายอย่าคิดว่าตบหัวแล้วลูบหลังอย่างนี้แล้วฉันจะให้อภัยนายนะ”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่ฟัง จับมือเธอไว้ เธอสะบัดก็ไม่ยอมปล่อย เลยโดนเธอกระทืบเท้าแทบร้องจ๊าก...
วิชนีฟอร์มเยอะไม่แพ้ศักดิ์สิทธิ์ เธอเดินจากมาด้วยใจที่ไหวหวั่น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุข พอเห็นปกติยืนอยู่ก็ปั้นหน้าขรึมใส่
“เชฟนีโกรธคุณหนูจริงๆเหรอ”
“อืม...”
“แต่พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่ที่ผมทำงานกับคุณหนูมา ผมไม่เคยเห็นคุณหนูจะทุ่มเทให้ผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อนเลย เชฟนีเป็นคนแรกที่คุณหนูใส่ใจเลยก็ว่าได้นะครับ”
วิชนีปลื้มปริ่ม ถามย้ำว่าจริงเหรอ?
“จริงสิครับ...เชฟนีอย่าโกรธคุณหนูเลยนะครับ ถ้าจะโกรธก็โกรธปกติที่มีความคิดไม่ปกติแทนเถอะครับ”
“ทีหน้าทีหลังก็อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วกัน” จบคำเธอหันหลังซ่อนรอยยิ้ม ปกติเมียงมองสงสัย แต่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
ooooooo
ทรงพลกลับเข้าบ้านเจอวรรณิตนั่งหน้าเศร้าในห้องรับแขก ทำท่าจะซักถามอย่างอาทร แต่ศุภารมย์แทรกเข้ามาชวนทั้งคู่กินข้าว ส่วนอนันยชที่ยังนอนหลับบนห้องให้ป้าจวนขึ้นไปตาม
ไม่นานนัก อนันยชก็เดินตามป้าจวนลงมาที่โต๊ะอาหาร วรรณิตก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา ศุภารมย์กับทรงพลรู้สึกได้ถึงความตึงเครียด
“สวัสดีครับคุณน้า...ผมนึกว่าคุณน้ายังไม่กลับเลยไม่ทันได้หยิบของฝากติดมือลงมาให้”
“ขอบใจมากนะวัน เห็นแม่เราบอกว่าไปเที่ยวไม่สนุกเหรอ”
“ครับคุณน้า ไปกันสองคนจะสนุกอะไรล่ะครับ”
“ถ้าไปแล้วไม่สนุกกลับมาก็ดีแล้วล่ะ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่กับคนที่เรารักยังไงก็มีความสุข... จริงมั้ย”
ศุภารมย์ได้ยินทรงพลพูดแขวะก็ขัดคอขึ้นว่า “มิน่าล่ะ...พักนี้คุณถึงได้ขลุกอยู่แต่ที่ทำงาน”
อนันยชรู้ทันทีว่าศุภารมย์กับทรงพลกำลังตึงๆกันอยู่ เปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงทิวัตถ์ว่ายังไม่กลับมาอีกหรือ
“วันมีอะไรหรือเปล่า”
“พอดีผมมีของฝากให้น้องด้วยน่ะครับ”
“เดี๋ยวคงใกล้กลับมาแล้วล่ะ...ทานข้าวเถอะ”
ขณะทุกคนลงมือกินข้าวท่ามกลางบรรยากาศไม่สู้ดี ทิวัตถ์เดินครุ่นคิดอยู่ในสวนเรื่องที่ฟังมาจากชัย เขามองเข้าไปในบ้านเหมือนชั่งใจ ไม่กี่อึดใจต่อมาก็ตัดสินใจเดินเข้าไป...
ศุภารมย์ไม่อยากเห็นลูกชายมีปัญหากับลูกสะใภ้ จึงคะยั้นคะยอให้อนันยชตักกับข้าวให้วรรณิต
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ณิตตักเองได้ค่ะ”
อนันยชไม่สบอารมณ์ รีบตักอาหารรสจัดใส่จานวรรณิตแล้วพูดประชดว่า “กินแต่ต้มจืดมันจะไปได้รสชาติอะไร ณิตลองทานนี่ดูบ้างสิ เผื่อจะทำให้ณิตมีรสชาติขึ้นมาบ้าง”
วรรณิตหน้าเจื่อนรู้สึกอับอาย ศุภารมย์ไม่ชอบใจเอ็ดลูกชายทำไมพูดแบบนั้น ควรให้เกียรติวรรณิตบ้าง
“แหมคุณแม่ครับ ผมก็แหย่เล่น ณิตคงไม่ถือผมอยู่แล้วใช่ไหม”
วรรณิตนั่งนิ่งสงบเสงี่ยม ทิวัตถ์เข้ามาเห็นอนันยชกับภรรยาก็ชะงักแปลกใจ ถามทั้งคู่ว่าฮันนีมูนสนุกไหม
“ก็งั้นๆว่ะ อยากให้ครอบครับเราไปกันให้หมดบ้าน ฉันว่าน่าจะสนุกกว่านี้”
“ฮันนีมูนนะไม่ใช่งานรับปริญญาถึงจะได้ยกโขยงไปกันหมด”
“เออนี่วิน ฉันมีของฝากนายด้วยนะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอาให้” อนันยชกำลังจะลุกออกไป ทิวัตถ์รั้งเขาไว้ทันที
“วัน...อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวก่อนก็ได้...คุณพ่อ แม่ต่ายครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามทุกคนหน่อย”
ศุภารมย์เห็นทิวัตถ์สีหน้าเคร่งเครียด ถามอ่อนโยนว่า “ลูกมีอะไร...พักนี้ลูกดูเครียดๆไปนะ”
“ผมอยากรู้ว่าวันที่แม่ต้อยตายทุกคนยังอยู่ในบ้านใช่ไหมครับ”
คำถามของทิวัตถ์เล่นเอาทุกคนในโต๊ะอาหารชะงักกึก ยกเว้นวรรณิตคนเดียวที่ไม่รู้จักคุณต้อยหรือศุภิสราทั้งที่ตนเองหน้าเหมือนเธอราวคนเดียวกัน
อนันยชกลัวทรงพลกับวรรณิตรู้เรื่องของตนกับศุภิสรา จึงบังคับวรรณิตให้ขึ้นห้องไปก่อน...จากนั้นทิวัตถ์ก็คาดคั้นทุกคนให้พูดความจริง
“แต่เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก”
“ทำไมครับ...หรือว่าเพราะมีคนเห็นคุณพ่อกลับมาบ้านก่อนที่แม่จะตาย”
ศุภารมย์ตกใจแต่ยังเก็บอาการ ถามทิวัตถ์ว่าใครบอกอย่างนี้
“ไม่สำคัญหรอกครับ...มันสำคัญที่ทุกคนโกหกผม”
“ใช่...วันนั้นพ่อกับแม่ต่ายอยู่ที่บ้าน แต่ที่พ่อไม่เล่าความจริงเพราะพ่อเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะทำให้เรื่องมันวุ่นวายขึ้นอีก”
“นั่นสิ...นายจะให้คุณน้ามาวุ่นวายอีกทำไม ขยับเวลานิดๆหน่อยๆไม่เห็นจะเสียหายอะไร”
“ไม่เสียหาย...ทำไม? หรือว่านายเองก็ขยับเวลาเหมือนกันหรือเปล่า”
อนันยชนิ่งอึ้งเพราะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร ส่วนศุภารมย์ชะงักไปเพราะไม่อยากให้ทรงพลรู้ว่าวันนั้นอนันยชอยู่บนห้องกับศุภิสรา
“แกเป็นบ้าอะไรของแกวะไอ้วิน จู่ๆมาหาเรื่องพวกเราแบบนี้” อนันยชโพล่งขึ้นอย่างอึดอัดและไม่เข้าใจ ทรงพลกับศุภารมย์พยายามกล่อมทิวัตถ์ว่าพ่อกับแม่ทำไปก็เพื่อลูก
“แล้วทำไมต้องทำเพื่อผม ทำไมครับ ทุกคนกำลังปิดบังอะไรผมอยู่ใช่ไหมครับ”
ทรงพลกับศุภารมย์นิ่งอึ้ง อนันยชเองก็แปลกใจว่าทำไมทั้งสองคนเหมือนมีความลับอะไรบางอย่าง ในขณะที่ทิวัตถ์ยิ่งจี้จุดตรงประเด็นเข้ามาทุกที
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหมครับ พ่อถึงให้อาหมอเปลี่ยนความทรงจำผม”
“พ่อแค่คิดว่าลูกยังไม่พร้อมที่จะรับความจริง”
ทิวัตถ์อยากรู้ว่าความจริงอะไร ศุภารมย์ย้อนถามว่าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะรับมันได้ แม้ว่ามันจะทำร้ายและทำลายครอบครัวของเรา พูดแล้วเห็นทิวัตถ์ชะงัก เธอรีบใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“เชื่อแม่นะวิน...ที่พวกเราทำทุกอย่างก็เพื่อปกป้องลูกและครอบครัวของเรา”
“ครอบครัวเราทำลายไม่ได้ แต่เราทำลายครอบครัวอื่นได้ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” น้ำเสียงทิวัตถ์ตัดพ้อด้วยความเสียใจและผิดหวัง แล้วผลุนผลันออกไป ทิ้งให้ทรงพล ศุภารมย์ และอนันยชตกอยู่ในความเงียบงัน
เมื่ออนันยชขึ้นไปบนห้องแล้วถูกวรรณิตซักถามว่ามีเรื่องร้ายแรงใช่ไหม เขาแสดงความหงุดหงิด ตวัดเสียงว่าไม่มีอะไร แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเที่ยว ไม่รู้จะกลับดึกหรือเปล่า ถ้าวรรณิตง่วงให้นอนไปเลย ไม่ต้องรอ
“ณิตว่าคุณวันอยู่พักผ่อนก่อนดีไหมคะ เพิ่งเดินทางกลับมากันเหนื่อย”
“ผมไม่อยากพักผ่อน ผมอยากสนุก ถ้าดึกก็ไม่ต้องรอนะ นอนไปก่อน ถ้าผมอยากมีอะไรกับคุณเดี๋ยวปลุกเอง”
วรรณิตสะอึกอึ้ง มองตามเขาไปด้วยความเสียใจ ฝ่ายทรงพลกับศุภารมย์ที่อยู่อีกห้อง สองคนยังถกปัญหากันไม่จบ
“หรือว่าถึงเวลาที่เราต้องบอกความจริงวินแล้ว”
“ถ้าคุณทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าคุณกำลังทำให้วินเจ็บปวดอีกครั้ง เราเคยตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าเรื่องในวันนั้นจะตายไปพร้อมกับพวกเรา”
ทรงพลระบายลมหายใจออกมาก่อนหยิบขวดเหล้าจะเทใส่แก้วอีก ศุภารมย์รีบเบรกด้วยการเตือนสติเขาว่า
“แทนที่เราจะยอมแพ้ ฉันว่าเราน่าจะหาคนที่บอกเรื่องนี้กับวินมากกว่า”
ทันใดเสียงไลน์ของทรงพลดังขึ้น สีหน้าเขาเปลี่ยนทันทีหลังหยิบมันออกมากดดู ก่อนบอกศุภารมย์ว่าคืนนี้เขาจะไปนอนห้องรับรอง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวหน่อย”
ศุภารมย์แน่ใจว่าเขาโกหก แต่ไม่รบเร้าอยากรู้ในเวลานี้...จนกระทั่งเช้าวันใหม่ เธอแอบหยิบมือถือของเขามากดดู เห็นข้อความเดียวตอนกลางคืนมาจากกานดาก็โกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่
เธอรอจนกระทั่งทรงพลออกจากบ้านไปนานพอสมควร แล้วค่อยโทร.หาคฑาวุธที่บริษัทให้ช่วยดูทั้งกานดาและทรงพลว่าอยู่หรือเปล่า เมื่อรู้ว่าทั้งคู่ไม่อยู่ก็ให้คฑาวุธดูตารางงานของกานดาว่าวันนี้เธอไปที่ไหน ปรากฏว่าไม่พบอะไรเลย นอกจากซองจดหมายฉบับหนึ่งจ่าหน้าซองว่าถึงแม่ดา...จากหนูลี
ด้านอนันยชที่ออกไปเที่ยวตั้งแต่เมื่อคืนเพิ่งกลับมาตอนสายโด่งในสภาพกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง เจอวรรณิตในครัวก็พูดจาแขวะเธอไปอีกจนป้าจวนสงสัยและพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง แต่กลายเป็นเปิดช่องให้เขาแขวะวรรณิตได้อีก
“เพิ่งแต่งงานแท้ๆคุณวันไม่น่าไปกินเหล้าเมายาแบบนี้เลยนะคะ”
“ยายพูดอีกก็ถูกอีก...เพิ่งแต่งงานแท้ๆไม่น่าจืดชืดขนาดนี้” พูดแล้วเหล่มองวรรณิตที่หน้าซีดหน้าเสีย ป้าจวนไม่รู้อะไร ถามต่อไปว่าอะไรจืดชืด อนันยชตอบเลี่ยงว่าข้าวต้ม แต่ถ้าจะให้กินตอนนี้ไม่ดีกว่า เพราะตนอยากกินอย่างอื่น
อนันยชดึงวรรณิตออกไป ป้าจวนทำหน้าไม่ถูกเพราะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร...พอเข้าห้อง อนันยชก็ผลักวรรณิตลงบนเตียงแล้วคลอเคลียจะหลับนอนกับเธอเดี๋ยวนี้โดยไม่ฟังคำปฏิเสธของเธอ
แต่แล้วเขาก็เป็นฝ่ายยุติอย่างหัวเสีย เพราะวรรณิต นอนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่ตอบสนอง
ooooooo
หลังจากไปพบน้าชัยมาเมื่อวาน ทิวัตถ์เพิ่งโทร. บอกลิลินในสายวันนี้ และถามเธอว่าว่างไหมตนอยากพบ ลิลินมีนัดสำคัญกับแม่ดาจึงขอเป็นตอนบ่ายค่อยเจอกัน
กานดาเตรียมจดหมายที่ลิลินส่งถึงแม่ดาหลายฉบับมาเพื่อยืนยันว่าเธอคือแม่ดา โดยนัดเจอลิลินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนเธอจะผิดหวังเสียแล้วเพราะลิลินไม่ทันจะออกจากโรงแรมก็เจอมรสุมลูกใหญ่
ศุภารมย์ถือจดหมายฉบับล่าสุดของหนูลีที่ส่งถึงแม่ดาซึ่งได้จากคฑาวุธมาที่โรงแรมแล้วคาดคั้นลิลินจนยอมรับว่าเธอคือลูกสาวปองภพ ศักดิ์สิทธิ์จะเอาน้ำส้มมาให้ศุภารมย์ได้ยินถึงกับชะงัก จำได้ว่าปองภพคือคนที่ฆ่าศุภิสราแม่แท้ๆของทิวัตถ์
ศักดิ์สิทธิ์หันรีหันขวางก่อนตัดสินใจไม่เข้าไป ศุภารมย์กับลิลินจึงเผชิญหน้ากันตามลำพัง เชือดเฉือนกัน
ด้วยสีหน้าและคำพูดที่ต่างคนต่างไม่กลัว
“เธอคือเด็กผู้หญิงคนนั้น...เปลี่ยนไปมากจริงๆ เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เอาแต่ร้องไห้ในวันนั้นอีกแล้ว”
“น้ำตาคงไม่ทำให้พิสูจน์ได้ว่าพ่อของฉันไม่ได้เป็นฆาตกร”
“ฉันเข้าใจว่าเธอคงรักพ่อของเธอมาก แต่ทุกอย่างมันจบไปแล้ว ทั้งหลักฐาน ทั้งพยาน และที่สำคัญ...พ่อเธอเองก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนฆ่าน้องสาวฉัน”
“แปลกนะคะ เพราะพ่อกลับบอกฉันว่าพ่อไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น แต่ทันทีที่พ่อต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ พ่อกลับยอมรับว่าทำก่อนที่พ่อจะตาย”
“เอาเถอะ เธอมีสิทธิ์ที่จะคิดอย่างนั้น แต่ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ไม่ว่าเธอจะพยายามสืบหรือรื้อฟื้นอะไรขึ้นมา เธอจะไม่พบอะไร ทำไมเธอไม่เลิกยุ่งกับเรื่องนี้ซะ แล้วไปไหนก็ได้ ฉันพร้อมจะให้เงินเธอก้อนนึงเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“คุณต่ายเก็บเงินของคุณไว้เถอะค่ะ เผื่อวันนึงคุณอาจจะต้องใช้มันเพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่คุณเคยทำเอาไว้”
“จะมากเกินไปแล้วนะ คิดเหรอว่าคำขู่ของเด็กอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้”
“ไม่คิดหรอกค่ะ เพราะคนที่ฆ่าน้องสาวตัวเองเพื่อแย่งสามีเธอ คงจะทำอะไรได้มากกว่าที่ฉันคิด”
ศุภารมย์โกรธแทบเต้นตบหน้าลิลินดังฉาด ลิลินไม่แสดงอาการใดๆ กลับเหยียดยิ้มแล้วยอกย้อนราวกับผู้ชนะว่า
“ทุกอย่างที่ฉันพูดมันคงไปกระตุ้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคุณสินะ ไม่อย่างนั้นคุณต่ายคงไม่โกรธขนาดนี้...จริงไหมคะ”
“แล้วยังไง...เธอคิดว่าเธอจะทำอะไรฉันได้ เธอก็รู้ว่าฉันเป็นใครในจังหวัดนี้”
“ค่ะ ฉันอาจจะไม่มีอาวุธหรืออำนาจเหมือนอย่างคุณ แต่ฉันมีความจริง ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าพ่อฉันไม่ได้เป็นฆาตกร”
“มันไม่ง่ายนักหรอก” ศุภารมย์กล่าวเน้นๆ จ้องลิลินก่อนเดินเชิดหน้าออกไป
เป็นไงเป็นกัน! ลิลินไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เธอไปพบทิวัตถ์ตามนัดและบอกเรื่องศุภารมย์รู้ว่าเธอคือลูกสาวปองภพ ขณะที่ทิวัตถ์ก็บอกเธอว่าตนถามทุกคนที่บ้านเรื่องคำให้การในวันเกิดเหตุ พวกเขายอมรับว่าอยู่ในบ้าน แต่ที่ตนอยากคุยกับเธอเพราะคำพูดของทุกคนทำให้ตนแปลกใจ
เรื่องของทิวัตถ์ยุติไว้ก่อน ลิลินสงสัยว่าศุภารมย์รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของปองภพจากใคร ถ้าทิวัตถ์ไม่พูด ก็ไม่น่าใช่วิทยากับปรมัตถ์ที่รู้ความลับนี้ หรือว่าจะเป็นกานดาเลขาฯของทรงพล
กานดาผิดหวังที่ลิลินไม่มาตามนัด เดินออกจากร้านอาหารไม่คิดว่าจะเจอศุภารมย์แถมเธอยังจู่โจมตบหน้ากานดาแล้วด่าซ้ำ “เธอมันงูพิษชัดๆ”
“คุณต่ายพูดเรื่องอะไรคะ กานไม่เข้าใจ”
“ยังจะตีหน้าซื่ออีกเหรอ เธอคิดว่าเธอติดต่อกับลูกสาวปองภพทางจดหมายแล้วฉันจะไม่รู้เหรอ”
กานดาตกใจหน้าเสีย จะอธิบายก็ไม่ถนัดมีบางอย่างติดขัดจนไม่กล้าพูด ศุภารมย์เลยเข้าใจไปว่ากานดาคิดยืมมือลิลินทำลายตนเอง ถึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูกันมานาน
“ไปซะ ฉันจะให้เวลาเธอแค่คืนนี้ พรุ่งนี้ฉันไม่อยากเห็นเธอในจังหวัดนี้อีก” ศุภารมย์ส่งสายตาร้ายใส่กานดาก่อนจะเดินลิ่วออกไป ทิ้งกานดายืนช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลังจากรู้ความจริงว่าครอบครัวของเขาสามารถทำอะไรได้ทุกอย่างเพื่อรักษาอดีตให้เป็นอดีตต่อไป นับวันทิวัตถ์ยิ่งเป็นห่วงลิลิน แต่ลิลินขอยืนหยัดจะต่อสู้ทุกอย่างเพื่อให้ความจริงปรากฏออกมาให้ได้ ด้านศักดิ์สิทธิ์ที่ล่วงรู้ว่าลิลินเป็นลูกสาวของฆาตกร เขากลุ้มหนักตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้เธอออกจากการเป็นนักร้องหรือยังคงอยู่ต่อไปเหมือนเดิม
แต่แล้ววิชนีที่ได้ยินเรื่องนี้โดยบังเอิญก็หยิบยกเหตุผลดีๆมาทำให้ศักดิ์สิทธิ์จ้างลิลินทำงานต่อไป ทั้งนี้ลิลินก็ต้องสัญญาว่าจะไม่ทำให้โรงแรมของตนเดือดร้อนด้วย
วันเดียวกันทรงพลทราบเรื่องที่ลิลินเป็นลูกปองภพจากศุภารมย์ และเธอคิดว่าทิวัตถ์ก็ทราบเรื่องนี้แล้วด้วยแต่ไม่ยอมบอกพวกเรา เหนือสิ่งอื่นใดเธอกลัวว่าลิลินจะใช้ทิวัตถ์เป็นเครื่องมือเพื่อขุดคุ้ยความจริง
เย็นนั้นกลับบ้านเจอทิวัตถ์ ทั้งสองคนจึงซักถามเรื่องนี้จนเขายอมรับรู้นานแล้วว่าลิลินเป็นลูกสาวปองภพ แต่เมื่อศุภารมย์ยื่นคำขาดให้เขาเลิกยุ่งกับเธอ ทิวัตถ์ทำไม่ได้เพราะเขาชอบเธอไปแล้ว ฝ่ายลิลินที่วันนี้เจอ
เรื่องหนักๆแต่ยังพอยิ้มออก เพราะได้กำลังใจจากวิชนีที่พร้อมอยู่เคียงข้างไม่หนีไปไหน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอนันยชกับวรรณิตไม่ค่อยสู้ดีทั้งที่น่าจะอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่อนันยช
กลับออกเที่ยวเตร่นอกบ้าน แล้วไปเจอกิ๊กเก่าที่เป็นพยาบาลโดยบังเอิญ ลูกแก้วเล่าว่าเจอวรรณิตสองสามครั้งที่โรงพยาบาล ล่าสุดก็วันนี้ตอนกลางวัน พออนันยชกลับมาซักถามเธอกลับบอกว่าไปหาวาสนา เขาเลยอารมณ์เสียทำท่าจะเอาเรื่อง แต่ศุภารมย์เข้ามาแทรกเสียก่อนเลยไม่กล้า
เมื่อคืนลิลินเกือบโดนไอ้โม่งทำร้าย โชคดีที่วิทยามาช่วยไว้ทัน แต่คนร้ายเก็บสร้อยข้อมือที่ลิลินทำหล่นขณะต่อสู้กันไปได้ วิทยารีบพาลิลินส่งโรงพยาบาล ส่วนไอ้โม่งคนนั้นซึ่งก็คือนพกรรีบกลับไปทำแผลที่บ้านแล้ววรรณิตเห็นเข้า เธอหวังดีจะช่วยทำแผลแต่โดนนพกรตวาดไม่ให้ยุ่ง และสั่งห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร
เช้าขึ้นทิวัตถ์เห็นรอยแผลที่หน้านพกรแต่ไม่ได้ติดใจสงสัยในคำตอบที่เขาบอกว่าซ่อมรั้วหลังบ้านแล้วโดนเครื่องมือเกี่ยว
นพกรทำหน้าที่ขับรถให้ทิวัตถ์เหมือนเดิม แต่พอ ได้ยินเขารับสายจากศักดิ์สิทธิ์แจ้งข่าวลิลินโดนทำร้ายเมื่อคืน วัวสันหลังหวะก็มีอาการหวาดระแวงขึ้นมา เหมือนกัน
ooooooo
ทรงพลถึงที่ทำงานเห็นซองจดหมายลาออกของกานดา เขาตกใจและไม่เข้าใจทำไมเธอไปกะทันหัน โทร.หาก็ไม่รับสาย เชื่อว่าศุภารมย์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
ที่โรงพยาบาล ลิลินยอมเล่าเรื่องพ่อแม่ทิวัตถ์รู้ว่าเธอคือใครมาจากไหนให้วิทยาฟัง เหตุการณ์เมื่อคืนทำให้เธอค่อนข้างแน่ใจว่าพวกนั้นส่งคนมาทำร้ายเธอ วิทยาโกรธแทน พอเห็นทิวัตถ์มาเยี่ยมลิลินก็เลยปะทะอารมณ์กันครู่หนึ่งก่อนจะยุติเพราะลิลินขอร้อง
ลิลินเชื่อว่าทิวัตถ์ไม่รู้เห็น เธอขอให้วิทยากลับไปก่อน แล้วจะเล่าเรื่องราวให้ฟังทีหลัง เมื่ออยู่กันตามลำพัง ทิวัตถ์แสดงความห่วงใยลิลินประสาคนที่มีใจ ลิลินเองก็รับรู้ และยิ่งไม่เชื่อว่าเขาจะร่วมมือกับพ่อแม่ทำร้ายเธอได้
นพกรที่ขับรถมาให้ทิวัตถ์เห็นวิทยาที่หน้าโรงพยาบาล มองตามเขาไปด้วยแววตาอาฆาต เพราะจำได้ว่าเขาคือคนที่เข้ามาช่วยลิลินเมื่อคืนและทำให้ตนบาดเจ็บ
ค่ำนั้น ทรงพลกับศุภารมย์มีปากเสียงกันอีกเรื่องกานดา เขาไม่พอใจที่เธอไล่กานดาออกจากงาน
“ใช่ค่ะ ฉันไล่เธอไปเพราะเห็นว่าเราไม่ควรเลี้ยงงูพิษไว้ใกล้ตัว”
“แต่กานดาเป็นเลขาผม ผมรู้ดีว่าเธอเป็นคนยังไง”
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าคะ ว่าเธอส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาวปองภพไว้” ทรงพลชะงักไปนิดก่อนถามศุภารมย์รู้ได้ยังไง “เห็นจดหมายที่แม่เลขาของคุณเขียนติดต่อกับนังเด็กนั่น ฉันเพิ่งรู้ว่ากานดาร้ายกาจกว่าที่เราคิด... เธอคงเลี้ยงลิลินเอาไว้เพื่อให้กลับมาทำลายพวกเรา”
“แต่คุณจะทำอะไรก็น่าจะปรึกษาผมก่อน”
ศุภารมย์ไม่ชอบใจตั้งท่าจะเถียงอีกแต่ต้อง
หยุดลงเพราะทิวัตถ์เดินหน้าตึงเข้ามาต่อว่าทั้งคู่เรื่องลิลินโดนทำร้ายเมื่อคืน และไม่ฟังด้วยว่าศุภารมย์จะปฏิเสธยังไง
“คิดซะว่าผมขอเถอะนะครับ ผมไม่อยากให้คุณพ่อกับแม่ต่ายทำแบบนี้อีก เพราะมันจะยิ่งทำให้ผมไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้”
“พ่อกับแม่ไม่ทำแบบนั้นหรอก วินก็น่าจะรู้”
“ผมไม่ได้มาเพื่อคาดคั้นหรือสอบสวนพ่อกับแม่ต่าย ที่ผมมาก็เพื่ออยากให้รู้เอาไว้ว่าถ้าคุณลินเป็นอะไรขึ้นมา ผมนี่แหละจะเป็นคนสานเรื่องที่เธอทำต่อเอง เราจะได้รู้กันสักทีว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อของเธอ”
ทิวัตถ์ทิ้งท้ายแล้วเดินหนีขึ้นห้อง ทรงพลกับศุภารมย์มองหน้ากัน เรื่องที่เถียงกันเมื่อสักครู่หายวับไปทันที เพราะไม่มีเรื่องไหนสำคัญเท่าเรื่องของทิวัตถ์อีกแล้ว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือคุณ”
“ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนเลวร้ายในสายตาคุณไปแล้วเหรอคะ”
“ถึงคุณจะพูดว่าไม่ใช่ฝีมือคุณ แต่วินก็รู้ว่าคนที่ต้องการให้คุณลินออกไปจากชีวิตของวินมากที่สุดคือพวกเรา”
“ฉันก็คิดว่ายัยเด็กนั่นก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน” ศุภารมย์เอ่ยด้วยความแค้นใจ แต่เธอไม่มีวันยอมแพ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างลิลินแน่!
ศัลย์ถูกเรียกมาพบที่บ้านในคืนนั้นเลย ศุภารมย์เล่าเรื่องลิลินคือลูกสาวปองภพและคิดว่าเธอจัดฉากว่าโดนคนทำร้ายเพื่อปั่นหัวทิวัตถ์ให้เกลียดพวกตน แต่พอศัลย์ถามว่าจะให้ตนจัดการเลยไหม ทรงพลห้ามไว้ เพราะแค่นี้ทุกคนก็สงสัยเรา โดยเฉพาะทิวัตถ์
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ฉันมีวิธีอื่น”
“ไม่ว่าจะวิธีไหนก็แล้วแต่ ผมไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนเพราะพวกเราอีกแล้ว...เข้าใจตรงกันนะ” ทรงพลเน้นหนักกับทั้งศุภารมย์และศัลย์
แต่ศุภารมย์ไม่หยุดยั้งการเอาคืนลิลินแน่ เธอเตรียมวางแผนอย่างแยบยลและจะลงมือในเร็ววันนี้
ooooooo
วิชนีเป็นอีกคนที่สงสัยว่าเรื่องที่ลิลินโดนทำร้ายเป็นฝีมือแม่ของทิวัตถ์ ส่วนศักดิ์สิทธิ์ก็ลังเล มีความเป็นไปได้ทั้งนั้นเพราะรู้จักนิสัยใจคอศุภารมย์ค่อนข้างดี แต่พูดไปไม่ดีแน่ จึงปรามวิชนีด้วยอีกคน
ทิวัตถ์ยืนหยัดในความถูกต้อง ถึงจะยังพิสูจน์ความจริงไม่กระจ่างแต่เขาก็ไปมาหาสู่ลิลินเหมือนเดิม เป็นห่วงเป็นใยเธอถึงขนาดให้ศักดิ์สิทธิ์เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยภายในโรงแรม ให้จ้าง รปภ.เพิ่มและติดกล้องวงจรปิดมากขึ้นโดยเฉพาะทางเดินหน้าห้องลิลิน
วิทยากับทิวัตถ์เจอกันอีกครั้งที่โรงพยาบาล สองหนุ่มต่างก็ชอบลิลิน ความห่วงใยเธอจึงมีไม่ต่างกัน เมื่อมีโอกาสคุยกันส่วนตัว วิทยาอยากให้ทิวัตถ์ออกไปจากชีวิตลิลิน ในเมื่อรู้ว่าพ่อของเธอเป็นคนฆ่าแม่ของเขา ก็ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเธออีก
“แต่ผมชอบเธอ ผมรู้ว่ามันอาจจะดูแปลกๆ ที่ผมรักลูกสาวของฆาตกรที่ฆ่าแม่ตัวเองได้ยังไง แต่บางทีความรักก็ไม่มีเหตุผล”
“แสดงว่าผมคิดไม่ผิด”
“ผมบอกความรู้สึกของผมไปแล้ว แล้วผมก็อยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเธอเหมือนกัน”
“เธอคือรักแรก...และเป็นรักเดียวของผม...ก็ดี...
ในเมื่อคุณบอกว่าคุณชอบเธอ ผมเองก็อยากเห็นว่าคุณจะพิสูจน์ความรักที่มีต่อหนูลีได้แค่ไหน”
“หมายความว่าไง”
“ผมอยากให้คุณเลิกติดต่อกับเธอ เพราะการเข้ามาของคุณทำให้หนูลีไม่ปลอดภัย ถ้าคุณรักหนูลีจริงๆ และอยากให้เธอปลอดภัย ผมว่าคุณควรจะอยู่ห่างจากหนูลีให้มากที่สุด”
เหตุผลของวิทยาทำให้ทิวัตถ์นิ่งไป แต่จะยอมจำนนหรือไม่ก็สุดจะคาดเดา...
ทางด้านความรักของศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีก็ยังไม่ลงตัวสักที ทั้งที่สองคนมีใจให้กัน ปกติเลยต้องเข้ามาเป็นผู้ช่วยอยู่เสมอและหวังว่าแผนครั้งนี้จะสำเร็จเสียที
ปกติวางแผนให้ศักดิ์สิทธิ์พาวิชนีไปอยู่ในที่เปลี่ยวแล้วตัวเองกับพนักงานโรงแรมอีกสองคนปลอมเป็นโจรไปดักทำร้าย เพื่อให้ศักดิ์สิทธิ์โชว์ฝีมือช่วยวิชนี แต่ความลับดันมาแตกเพราะวิชนีจำปกติกับพนักงานสองคนนั้นได้
วิชนีโกรธศักดิ์สิทธิ์มาก แต่พอเขาสารภาพว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะชอบเธอ หญิงสาวรู้สึกสับสนและเขินอายจนพูดไม่ออก เดินหน้าแดงหนีไป
ooooooo
ในที่สุดศุภารมย์ก็เรียกศัลย์มารับฟังแผนการของเธอโดยไม่สนใจว่ามันจะเสี่ยงอันตรายกับตัวเธอสักแค่ไหน
ลิลินได้รับกระดาษโน้ตข้อความจากใครบางคนที่ฝากพนักงานโรงแรมไว้ให้ ข้อความระบุว่า “ถ้าอยากรู้ ความจริง ฉันจะเป็นคนบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเอง มาพบฉันตามแผนที่นี้ ห้ามบอกใคร ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีวันรู้ความจริงไปตลอดกาล...จากผู้หวังดี”
ลิลินระวังตัวแจ พกปืนออกจากโรงแรมไปยังจุดนัดหมาย ในเวลาไล่เลี่ยกันศัลย์มาดักเจอทิวัตถ์ที่โรงแรมแล้วทำทีรับสายจากศุภารมย์ อุทานด้วยความตกใจว่าลิลินนัดเธอออกไปพบ ศัลย์พยายามห้ามแต่ศุภารมย์ไม่ฟัง ทิวัตถ์ไม่เชื่อจึงโทร.หาลิลิน ปรากฏว่าเธอไม่รับสาย ทั้งที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อสักครู่นี้เอง
ทิวัตถ์หลงกลแผนแยบยลของศุภารมย์เข้าจนได้ เขารีบร้อนไปยังจุดนัดหมายโดยที่ศัลย์ไม่คิดจะห้ามปราม แต่แอบโทร.บอกศุภารมย์ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ลิลินไปถึงที่นัดหมาย คาดไม่ถึงว่าจะได้พบศุภารมย์ หรือว่าเธอจะเป็นคนเขียนโน้ตนัดตนมาที่นี่!
เพียงเห็นรอยยิ้มแสนเยือกเย็นของอีกฝ่าย ลิลินก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ระแวดระวังตัวเองมากขึ้น
“เธอนี่แผนสูงกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะ ยอมลงทุนถึงขนาดจ้างคนมาทำร้ายตัวเอง” ศุภารมย์เปิดฉากจนลิลินชะงักไปอย่างแปลกใจ “ยอมรับเถอะ ไหนๆตรงนี้ก็ไม่มีใครอยู่”
“ฉันไม่เข้าใจ...คุณพูดเรื่องอะไร”
“เลิกตีหน้าซื่อได้แล้ว เธอทำอย่างนี้เพื่อจงใจใส่ร้ายฉัน ให้วินเกลียดฉันใช่ไหม”
“คุณจะทำอะไรกันแน่”
“แย่งวินกลับคืนมาจากเธอไง”
ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งใส่หมวกไหมพรมเล็งปืนมาที่ลิลิน แต่แล้วมันเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ศุภารมย์ ลิลินตกใจร้องเตือนเธอให้ระวัง แต่ไม่ทันไอ้โม่งที่ลั่นไกยิงเข้าใส่ไหล่ศุภารมย์จนทรุด ก่อนที่มันจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ทิวัตถ์มาถึงที่เกิดเหตุเห็นศุภารมย์โดนยิงเลือดสาดก็ถลาไปประคอง และไม่ยอมให้ลิลินยุ่งเกี่ยว สายตาที่เขามองเธอว่างเปล่า ลิลินรู้ได้ทันทีว่าเขาเข้าใจว่าเธอยิงศุภารมย์
ทิวัตถ์รีบอุ้มศุภารมย์ขึ้นรถไปโรงพยาบาล ส่วนลิลินยืนอึ้ง รู้แน่แก่ใจว่าตัวเองพลาดหลงกลแผนการของศุภารมย์เข้าอย่างจัง
อนันยชอยู่บ้านทราบข่าวจากทิวัตถ์ว่าแม่ต่ายถูกยิงก็รีบร้อนไปพร้อมวรรณิต ส่วนทรงพลไปถึงก่อน เห็นเสื้อผ้าทิวัตถ์เปรอะเปื้อนเลือดแดงฉานยืนกระวน กระวายอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
“วิน...หมอว่าเป็นยังไงบ้าง”
“หมอยังไม่ออกมาบอกอะไรเลยครับ”
สองพ่อลูกกังวลใจ พอเห็นหมอออกมาจากห้องฉุกเฉินก็รีบเข้าไปถาม
“ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ”
“กระสุนเข้าที่หัวไหล่ ไม่ได้ถูกจุดสำคัญ ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ” จบคำหมอก็หันกลับเข้าห้องฉุกเฉิน สองพ่อลูกโล่งใจ ทรงพลถามทิวัตถ์ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง
“ทุกอย่างเป็นเพราะผม...ผมผิดเอง...ผมผิดที่เชื่อใจเธอ”
“วินหมายถึงใคร...หรือว่าคุณลิน...”
ทิวัตถ์พยักหน้า...ทรงพลยังงงๆ แต่ก็แตะไหล่ลูกชายเชิงปลอบใจ...
ขณะเดียวกัน ลิลินกลับถึงห้องพักในโรงแรม หยิบปืนขึ้นมาดูแล้วครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด นึกถึงรอยยิ้มของศุภารมย์หลังจากโดนยิง และคำพูดแผ่วเบาที่บอกว่า “มันจบแล้ว”
ลิลินเชื่อว่าทั้งหมดเป็นแผนของศุภารมย์ แต่มันจะไม่จบง่ายๆอย่างนี้แน่!
ooooooo










