ตอนที่ 11
หลังจากนายพลเทพและดำเกิงกลับไปแล้ว ผการ้อนใจจนนั่งไม่ติด ให้เพ็ญไปตามมุกกับพิกุลมาพบโดยเร็ว
“ที่แม่เรียกมานี่ก็เพราะมีเรื่องจะต้องสั่งให้ทุกคนทำตามอย่างเคร่งครัด ถ้าใครขัดคำสั่งแม่ก็เก็บของออกไปจากบ้านนี้ได้เลย ต่อจากนี้ไปห้ามใครพูดถึงเรื่องบุปผาเคยอยู่ที่นี่มาก่อน จะแขกเก่า แขกใหม่ ใครมาถาม บอกไม่รู้ทั้งนั้น ใครเรื่องมากให้มันมาคุยกับแม่เอง เข้าใจมั้ย”
สองสาวไม่เข้าใจแต่ต้องรับคำเพราะท่าทางผกาเคร่งเครียดเอามากๆ จากนั้นผกาก็แอบใช้เพ็ญไปพบบุปผาที่บ้านเทพบริบาล...
ขณะ นั้นบุปผายังนอนซมพิษไข้โดยมีมัทนาลงมาดูแลใกล้ชิด เช็ดตัวให้เธออย่างไม่รังเกียจ ส่วนนายสินที่ย้ายไปอยู่ห้องใหม่ก็เริ่มขยับเขยื้อนตัวได้แต่ยังไม่เผยให้ ใครรู้ แม้แต่สวิงที่วันนี้เอาอาหารมาให้แทนบุปผา
เมื่อมัทนากลับขึ้น บ้านและถูกมารดาซักถามว่าไปไหนมา เธอตอบตามตรงว่าไปเช็ดตัวให้บุปผาที่ไข้ขึ้น คุณหญิงมณีชักสีหน้าก่อนบ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ทำไมลูกมัทต้องไปเช็ดตัวให้บุปผามัน ทำไมไม่ให้คนอื่นทำ”
“โธ่...คุณ แม่ขา คนอื่นเขามีงานทำกันล้นมืออยู่แล้วนี่คะ มีแต่มัทนี่แหละค่ะที่ว่างอยู่ แล้วอีกอย่าง...คุณแม่ก็เป็นคนสอนมัทเองนี่คะว่าคนเราน่ะยามดีก็ใช้ แต่ยามไข้ก็ต้องรักษา”
คุณหญิงมณีพูดไม่ออก พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้...ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาล พลอยมาหาไอศูรย์แล้วเผอิญได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับมัทนาเรื่องอาการเจ็บป่วย
“ขอโทษนะคะพี่ต้น พลอยได้ยินพี่ต้นพูดโทรศัพท์กับยายมัทโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าแต่ยายมัทไม่สบายเป็นอะไรเหรอคะ”
“ถูกคนจรจัดทำร้ายเอาที่ตลาดน่ะ แล้วนี่น้องพลอยมาหาพี่มีอะไรรึเปล่าครับ”
“พลอยเป็นอะไรไม่ทราบค่ะพี่ต้น รู้สึกเวียนหัว แล้วก็ใจสั่น แขนขาไม่ค่อยมีแรงเลยค่ะ”
“งั้นขอพี่ตรวจหน่อยนะ”
“ค่ะ” พลอยลอบยิ้มสมใจ...แท้จริงไม่ได้ป่วยแต่อยากอยู่ใกล้ชิดคุณหมอต่างหาก
ด้านเพ็ญที่ผกาใช้ให้ไปพบบุปผา...บัดนี้เธอมายืนอยู่หน้าบ้านเทพบริบาลอย่างก ล้าๆกลัวๆ ในมือมีตะกร้าผลไม้มาด้วยเพื่อความแนบเนียน พลางนึกถึงคำสั่งของผกาก่อนหน้านี้
“แกเป็นคนที่ฉันไว้ใจที่สุดแล้วนะ เพ็ญ แล้วแกก็เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก เพราะฉะนั้นแกช่วยไปหาบุปผาที่บ้านเทพบริบาลแทนฉันที แล้วบอกบุปผาว่าให้มันออกมาพบฉันที่สวนสาธารณะตอนบ่าย 3 โมงวันนี้ให้ได้”
“ค่ะคุณผกา แต่ในเมื่อคุณผกาก็รู้ว่าบุปผาอยู่ที่ไหน ทำไมไม่โทร.ไปหามันที่นั่นเลยล่ะคะ”
“ไม่ได้ บุปผามันเข้าไปอยู่ที่นั่นในฐานะคนใช้ ถ้าจู่ๆมีคนโทร.เข้าไปแล้วขอพูดกับมัน คงถูกซักไซ้น่าดู แกไปน่ะดีแล้ว บอกว่าเป็นญาติมาจากต่างจังหวัด แวะมาเยี่ยมมัน แล้วแกก็บอกมันให้ออกมาพบฉันให้ได้นะ ฉันมีธุระสำคัญที่จะต้องบอกมันวันนี้ให้ได้ อ้อ! แล้วเรื่องที่ว่าบุปผาอยู่ที่บ้านเทพบริบาลน่ะ ห้ามแกปริปากบอกใครเป็นอันขาด เข้าใจมั้ย”
เพ็ญรับคำแข็งขัน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปบ้านเทพบริบาล ขณะยืนชะเง้อชะแง้แล้วพอตัดสินใจจะกดกริ่ง ไสวก็โผล่ออกมาเสียก่อน
“มาหาใคร” ไสวถามห้วนๆ
“เอ่อ...ฉัน...ฉันมาหาบุปผาน่ะจ้ะ บุปผาอยู่ที่นี่ใช่ไหมจ๊ะ ฉันเป็นญาติมัน เพิ่งมาจากต่างจังหวัด ก็เลย แวะมาหามันน่ะ”
“แต่ ตอนนี้นังบุปผามันไม่สบาย มันคงเดินออกมาพบแกไม่ไหว อยากจะฝากอะไรฉันไปบอกมันไหมล่ะ เพราะฉันคงให้แกเข้ามาในบ้านไม่ได้หรอกนะ คุณหญิงท่านสั่งไว้ว่าไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านน่ะ แกคงเข้าใจนะ”
“ฉันเข้าใจจ้ะ แต่ฉันอยากจะคุยกับมัน เห็นหน้าค่าตามันด้วยตัวเองมากกว่า ไม่ได้พบกันนานแล้ว แกลองไปบอกมันว่าป้าเพ็ญมาหา”
“งั้นรอเดี๋ยวนะ” ไสวเห็นใจจึงกลับเข้าไปบอกบุปผา ปรากฏว่ารายนั้นลุกพรวดแทบหายไข้ รีบร้อนออกมาพบเพ็ญที่หน้าบ้าน
“ป้าเพ็ญมาที่นี่ทำไมเนี่ย แม่ผกาเป็นอะไรรึเปล่า”
“คุณผกาไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่วันนี้มีผู้ชายไปที่บ้าน แล้วพอเขากลับไปคุณผกาก็รีบให้ป้ามาหาแกที่นี่ ให้บอกแกว่า...ให้แกไปพบคุณผกาที่สวนสาธารณะตอนบ่าย 3 โมงวันนี้ให้ได้”
“มีผู้ชายไปหาแม่ที่บ้านเหรอ รูปร่างหน้าตายังไงป้า เคยเป็นแขกบ้านเรารึเปล่า”
“ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ แต่บุคลิกดีทีเดียว ว่าแต่เมื่อกี้เห็นเขาว่าแกไม่สบาย แกเป็นอะไรเหรอบุปผา หน้าตาแกไม่ดีเลยนะ”
“ช่างมันเถอะป้า ป้ากลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะออกไปพบแม่เอง”
เมื่อบุปผาไปตามนัด ผกาก็เล่าเรื่องที่นายพลเทพมาหาตนและคาดคั้นอยากรู้เรื่องของบุปผา
“ท่านจะอยากรู้เรื่องของฉันไปทำไม”
“แม่ก็ไม่รู้ แต่ดูท่าว่าท่านอยากรู้มากว่าแม่รับแกมาเลี้ยงจริงๆใช่ไหม ถึงกับขู่จะปิดซ่องของเรา ถ้าแม่ไม่ยอมบอก”
“แล้วแม่บอกท่านไปว่ายังไงล่ะ”
“แม่ก็จำต้องยอมรับน่ะสิว่าแม่รับแกมาเลี้ยงจริงๆ แล้วตอนนี้แกก็เข้าไปอยู่ในบ้านท่านแล้ว”
บุปผา หน้าตาตื่น แต่พอฟังผกาเล่ารายละเอียดที่พูดคุยกับนายพลเทพก็ค่อยผ่อนคลายลงบ้าง...ผกา แต่งเรื่องเพื่อช่วยปกปิดความจริงเกี่ยวกับบุปผา ยืนยันว่าตอนนี้เด็กคนนั้นเข้าไปอยู่ในบ้านท่านจริงๆ
“อยู่ในบ้านของฉันเอง ใคร?” นายพลเทพคิดทบทวนแล้วโพล่งขึ้นมา “บุปผา! อ้าว...ไหนบุปผาบอกฉันว่าเป็นน้องสาวนายสิน คนรถบ้านฉันไง”
“ท่านคะ ท่านลองมองรอบๆตัวแล้วบอกดิฉันหน่อยสิคะว่าท่านกำลังยืนอยู่ที่ไหน ซ่องไงคะท่าน แล้วดิฉันจะกล้าให้เด็กผู้หญิงที่ดิฉันรับเลี้ยงมาเติบโตขึ้นในสถานที่แบบ นี้หรือคะ”
“แล้วยังไง”
“ดิฉันส่งเด็กนั่นไปให้คนรู้จักที่บ้านนอก เลี้ยงดูแทนค่ะ ซึ่งก็คือพ่อแม่ของนายสิน แล้วดิฉันก็คอยส่งเงินไปให้ทุกเดือน เด็กนั่นจึงเติบโตขึ้นในฐานะน้องสาวของนายสิน คนรถบ้านท่านยังไงล่ะคะ”
“อ้าว...แล้วทำไมพ่อแม่นายสินเลี้ยงดูบุปผามาตั้งนาน ทำไมจู่ๆถึงคิดจะเอาบุปผาไปขายซ่องเสียล่ะ”
ผกาอึ้งไปทันที ไม่รู้เรื่องที่บุปผาโกหกทุกคนในบ้านเทพบริบาลไว้ แต่ก็เอาตัวรอดได้อย่างเนียนๆ
“ใจคน...ยากแท้หยั่งถึงนี่คะท่าน”
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าบุปผาคือเด็กที่เธอรับมาเลี้ยงจริงๆ”
“ดิฉันได้บอกความจริงกับท่านทุกอย่างแล้ว แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ท่านแล้วล่ะค่ะ”
ฟังเรื่องราวจบลง บุปผาถึงกับชื่นชมผกา “แม่ฉลาดจริงที่ตอบท่านไปอย่างนั้น ว่าแต่ท่านจะอยากรู้ที่มาของฉันทำไมกัน”
“แม่ก็ไม่รู้ แม่ถึงต้องเสี่ยงให้เพ็ญไปตามแกที่บ้านเทพบริบาลมาพบอย่างเร่งด่วนนี่ไงล่ะ” ผกาท่าทีร้อนรนร้อนใจ ทำเอาบุปผานิ่งไปอย่างคิดหนัก!
ooooooo
ผลจากการแกล้งป่วยทำให้พลอยมีโอกาสใกล้ชิดไอศูรย์...หมอหนุ่มตรวจอาการแล้วให้ยา บำรุงไว้กินแถมยังขับรถมาส่งเธอถึงบ้าน พลอยยิ้มมีความสุข ชวนเขาเข้าบ้านก่อน แต่เพชรดันโผล่ออกมาทำเสียเรื่อง ต่อว่าไอศูรย์ที่ทำให้ไอ้หลงหนีไปจากโรงพยาบาล
“พี่รู้ว่ามันเป็นความผิดของพี่ และถ้าพี่จะแก้ไขอะไรได้ พี่ก็ยินดีทำทุกอย่าง พี่ไปนะพลอย”
ไอศูรย์ตัดบทแล้วขึ้นรถขับออกไป พลอยหน้าง้ำอย่างสุดเซ็ง หันมาต่อว่าพี่ชาย
“พี่เพชรน่ะ พูดเสียจนพี่ต้นหนีกลับไปเลย รู้ไหมว่ากว่าพลอยจะหาวิธีชวนพี่ต้นมาบ้านเราได้ ต้องลงทุนยอมทำตัวเป็นคนป่วยเชียวนะคะ เดี๋ยวก็ไม่บอกเรื่องยายมัทซะเลยนี่”
“เรื่องน้องมัท เรื่องอะไร” เพชรถามระรัว สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที!
ค่ำนั้นเอง นายพลเทพกลับมาถึงบ้านและรู้จากมัทนาว่าบุปผาเป็นไข้ เขารีบลงไปเยี่ยมเธอถึงห้องพัก โดยไม่สนใจว่าคุณหญิงมณีจะรู้สึกนึกคิดยังไง บุปผากำลังกระวนกระวายใจเรื่องที่รับรู้มาจากผกา พอได้ยินเสียงเรียกของท่านนายพล เธอก็รีบมารอรับหน้าประตูห้องแล้วทรุดลงคุกเข่าพนมมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อม
“ยืนขึ้นเถอะบุปผา เจ็บขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องมาพิธีรีตองหรอก”
บุปผาลุกยืน นายพลเทพมองเธออย่างพิจารณา ถามเสียงอ่อนโยนว่ายังเจ็บอยู่มากไหม?
“ค่อยยังชั่วบ้างแล้วค่ะท่าน”
“นอนพักให้มากๆนะ สองสามวันนี้ก็อย่าเพิ่งทำงาน แล้วหยูกยากินให้ครบตามที่พ่อต้นให้ไว้ล่ะ แต่ถ้ามีอาการอะไรผิดปกติก็รีบบอกนะบุปผา”
“ค่ะท่าน”
นายพลเทพมองบุปผาไม่วางตา คุณหญิงมณียืนอยู่ข้างหลัง นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ แล้วเดินตามกลับไปเอาเรื่องเขาบนบ้าน
“ดูคุณจะเอื้ออาทรนังบุปผามันมากจังนะคะ”
“เกิดเรื่องร้ายกับคนในบ้านจนล้มเจ็บอย่างนี้ ถ้าจะไม่สนใจกัน ก็คงจะใจจืดใจดำเกินไปหน่อยละมั้ง”
“นี่คุณกำลังจะว่าดิฉันเป็นคนใจจืดใจดำใช่ไหมคะ”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด” พูดจบเขาก็เดินหนีเข้าห้องน้ำ ทิ้งคุณหญิงมณีโกรธจัดแทบจะกรี๊ดออกมา
ooooooo
อิ่มอยากจะไปหานายพลเทพอีกครั้ง แต่ในเมื่อเจ้านายยังไม่ไปบ้านหลังนั้นอีก อิ่มจึงตัดสินใจแอบออกไปคนเดียว แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านก็ต้องหันหลังกลับอย่างเร่งรีบ เพราะเห็นสร้อยเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าตึก
เมื่อกลับมาถึงหน้าบ้านไอศูรย์...อิ่มถูกดำเกิงที่มาดักรอพาตัวไปพบนายพลเทพที่หลังกรมทหาร อิ่มดีใจมาก บอกท่านว่าตนมีเรื่องสำคัญต้องเรียนให้ทราบ
“ฉันเองก็มีเรื่องสำคัญที่จะต้องถามเธอ งั้นเอาเรื่องของฉันก่อน ถ้าฉันพบตัวลูกฉันกับอุ่นแล้ว ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กนั่นเป็นลูกของฉันกับอุ่นจริงๆ”
อิ่มนิ่งคิดทบทวนไปมา แล้วก็จำได้ว่าตอนแรกเกิดเห็นเด็กมีปานแดงที่ต้นขา
“ปานแดงที่ต้นขา?” นายพลเทพทวนคำเสียงแผ่ว
“ใช่ค่ะ แต่ท่านคะ ดิฉันมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องบอกท่าน”
“มีเรื่องอะไรสำคัญเท่าเรื่องลูกของฉันอีกเหรอ”
“เรื่องนังอุ่นค่ะท่าน นังอุ่นมันไม่ได้ถูกไฟคลอกตายหรอกนะคะ แต่มันถูก...นังสร้อยแทงตาย ดิฉันเห็นมาด้วยสองตาของดิฉันเอง ไม่ผิดแน่ค่ะท่าน”
“อะไรนะ! แล้วนังสร้อยมันจะฆ่าแม่อุ่นด้วยเรื่องอะไร” พูดออกไปแล้วนายพลเทพก็ได้คำตอบด้วยตัวเอง คาดเดาว่าสร้อยคงทำตามคำสั่งคุณหญิงมณี...เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ แล้วพูดกับอิ่มว่า “ฉันขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”
“อะไรคะท่าน”
“ฉันขอให้เธอเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้ไหม”
“หมายความว่าท่านจะปล่อยให้คนที่ฆ่านังอุ่นมันลอยนวลไปเฉยๆหรือคะ นั่นเท่ากับว่าน้องสาวของอิ่มต้องตายเปล่า โดยคนผิดไม่ได้ถูกลงโทษ “
“อิ่ม...ที่ฉันขอแบบนี้ใช่ว่าฉันไม่ไยดีแม่อุ่นนะ แต่เรื่องมันผ่านมานานแล้ว หลักฐานอะไรก็ไม่มี มีแต่คำบอกเล่าจากปากเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น และเวลานี้ฉันก็มีคนที่ฉันจะต้องใส่ใจในความรู้สึกของเขา นั่นก็คือมัทนา อิ่มลองคิดดูสิว่าถ้ายายมัทรู้ว่าแม่ของเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าคนตาย เขาจะรู้สึกยังไง”
อิ่มฟังแล้วนิ่งอึ้งไป ความขุ่นเคืองเมื่อสักครู่เริ่มจางลง
“อิ่ม...ยังไงฉันก็เชื่อในเรื่องเวรกรรมนะ คนทำผิดบางคนกฎหมายอาจจะเอื้อมไปไม่ถึง เอาตัวเขามาลงโทษไม่ได้ แต่กฎแห่งกรรมไม่เคยละเว้นคนทำผิดหน้าไหนทั้งสิ้น อิ่มเชื่อฉันเถอะ ใครทำอย่างไรเขาก็ต้องได้กรรมอย่างนั้น รับปากกับฉันนะว่าเธอจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเท่าชีวิต”
อิ่มจำนนด้วยเหตุผลจนพูดอะไรไม่ออก นอกจากรับคำเสียงอ่อย...
ooooooo
เพชรรีบร้อนมาหามัทนาหลังทราบจากพลอยว่าเธอบาดเจ็บเพราะเกิดเรื่องที่ตลาด พร้อมกันนี้นายตำรวจหนุ่มก็พูดจาตำหนิไอศูรย์ที่ไม่ยอมไปแจ้งความ...
คุณหญิงไม่ชอบใจที่เพชรมาวุ่นวายกับลูกสาวจึงหาทางผลักไสเขากลับด้วยการอ้างว่าตนกับมัทนาต้องออกไปธุระข้างนอก เพชรนึกรู้ว่าโดนขัดขวางแต่ไม่กล้าดึงดัน ได้แต่กลับออกมาด้วยความเจ็บใจ ระหว่างทางเหลือบเห็นตาเถาแถวตลาด เขาจอดรถแล้ววิ่งไล่กวดแกไปหมายจับตัวให้จงได้
ตาเถาวิ่งหนีไม่คิดชีวิต แล้วไปเจอไอ้หลงข้างกองขยะ ฉับพลันไอ้หลงก็มีอาการสติแตกหวาดผวาลุกขึ้นผลักตาเถาอย่างแรงจนแกหงายหลังไปโดนน้ำมันที่กำลังเดือดจัดในกระทะของแม่ค้าเข้าเต็มๆ ตาเถาดิ้นทุรนทุรายเจ็บปวดร้องโหยหวน ไม่ต่างจากไอ้หลงที่โดนแกทดลองยาครั้งแล้วครั้งเล่า...
ด้านคุณหญิงมณีที่โกหกเพชรเรื่องจะออกไปธุระ พอมัทนาเอ่ยปากถาม คนเป็นแม่ก็นึกกระดาก เลยแก้เก้อชวนลูกสาวไปสมาคมฯ แต่ก่อนไปเธอเรียกสร้อยมาสั่งการให้ซื้อยาจากตาเถาเพราะที่มีอยู่ใกล้หมด พร้อมกำชับสร้อยต้องกลับถึงบ้านก่อนท่านนายพล เพราะเธอไม่อยากปล่อยให้แมวย่องมากินปลาย่างตอนที่ไม่มีใครอยู่
สร้อยรับปากรับคำเข้าใจดีว่าคุณหญิงระแวดระวังบุปผา...แต่แล้วนายพลเทพกลับบ้านก่อนเวลา พอรู้ว่าภรรยากับลูกสาวไม่อยู่ แถมสร้อยก็เพิ่งออกไป เขาจึงให้สวิงไปตามบุปผามาพบบนตึกตามลำพัง ห้ามใครอื่นขึ้นมาเด็ดขาดถ้าเขาไม่ได้เรียก
เมื่อบุปผาขึ้นตึกไปแล้ว สวิงก็สุมหัวกับพวกในครัววิพากษ์วิจารณ์ไปในทางอกุศล โดยไม่รู้ว่าท่านนายพลต้องการพิสูจน์ความจริงบางอย่าง...บุปผาตกใจมากที่จู่ๆ ท่านนายพลสั่งให้เธอถกผ้าถุงขึ้นสูงๆ ความเคารพนับถือประหนึ่งเขาเหมือนพ่อทำให้เธอเสียใจ คิดว่าเขาก็ไม่แตกต่างจากผู้ชายทั่วไปที่มักมากในกามารมณ์
ในที่สุดนายพลเทพก็ได้เห็นปานแดงที่ต้นขาบุปผา ถามเธอว่ามีปานแดงนี้ตั้งแต่เกิดเลยใช่ไหม บุปผาไม่เข้าใจแต่ก็ตอบรับออกไป ทันใดนายพลเทพก็ดึงตัวเธอมากอด จังหวะนี้เองคุณหญิงมณีกับมัทนาเข้ามาเห็น เลยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาทันที!
คุณหญิงมณีทั้งโกรธทั้งหึงแทบคลั่งกระชากบุปผาออกจากนายพลเทพแล้วตบหน้าเธอสุดแรง ก่อนตวาดแว้ดใส่สามีอย่างเจ็บแค้นใจ
“ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นผู้ชายมักมากในกามอย่างนี้ ไหนเคยพูดว่าเอ็นดูมันอย่างลูกไงคะ แล้วนี่อะไร... ส่วนแก อีบุปผา! อีคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”
พูดจบคุณหญิงก็ตบตีบุปผาไม่ยั้ง นายพลเทพเข้าห้ามก็โดนตบจนหน้าหัน มัทนาตะลึงแล้วร้องลั่นเมื่อเห็นแม่จิกหัวบุปผาลากลงจากตึกไป สองพ่อลูก หน้าตาตื่นวิ่งตาม โดยมีบรรดาคนใช้โผล่มายืนดูด้วยความตกใจ คุณหญิงมณีลากบุปผาอย่างไม่ปรานีปราศรัยแล้วเหวี่ยงไปที่ถนนหน้าตึก
“ไสหัวแกออกไปจากบ้านนี้เลยนะนังบุปผา!”
“ไม่! บุปผาจะต้องไม่ไปไหนทั้งนั้น” นายพล เทพสวนทันควัน
“ทำไมคะ หรือว่าคุณหลงมันจนไม่ลืมหูลืมตา คิดจะเก็บมันเอาไว้ในบ้านให้เป็นเมียบ่าวอย่างคนก่อน...ฉันไม่ยอม!”
“เหลวไหลน่าคุณหญิง ผมไม่เคยคิดกับบุปผาในทางนั้นเลย”
“ไม่เคยคิด แต่ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณกอดมัน นี่ถ้าฉันไม่ลืมกระเป๋าสตางค์ไว้จนต้องย้อนกลับมาเอา ฉันก็คงจะถูกคุณสวมเขาให้เป็นอีโง่เง่าไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้”
“มันก็คงเหมือนที่ผมโง่เง่ามานาน ที่คิดว่าแม่อุ่นถูกไฟคลอกตายนั่นแหละ บุปผาไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น บุปผาต้องอยู่ที่นี่ในฐานะลูกสาวอีกคนหนึ่งของผม... บุปผาคือลูกสาวของผมที่เกิดกับแม่อุ่น”
คุณหญิงมณีตะลึงตะไล ไม่กล้าแย้งว่าอุ่นตายแล้วทั้งแม่ทั้งลูกเพราะกลัวความลับแตก ได้แต่มองหน้าบุปผากับนายพลเทพอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นลมล้มตึง!
ooooooo
ด้านตาเถาที่วิ่งหนีตำรวจจนเสียหลักล้มไปโดนน้ำมันร้อนๆลวกตัวรับกรรมที่ตัวเองเคยทำไว้กับไอ้หลง...เวลานี้เขานอนดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ในโรงพยาบาล
ไอศูรย์ตรวจรักษาแล้วบอกเพชรว่าตาเถาอาการสาหัส ต้องให้พยาบาลเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนนายหลงก็ต้องยังรักษาตัวที่นี่ไปก่อน เพชรรับรู้และไม่วายพูดจาแดกดันไอศูรย์ว่าคงไม่ปล่อยให้นายหลงหนีไปได้อีก ไอศูรย์ได้ยินแล้วเหนื่อยใจแต่ก็ไม่ท้อที่จะทำดีกับเพชรต่อไป หวังว่าสักวันเขาจะเข้าใจและกลับมาเป็นมิตรกันเหมือนเดิม
เมื่อเพชรกลับไปที่โรงพักและทราบจากลูกน้องว่าค้นพบกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ในย่ามของตาเถา จึงลองโทร.ไปตามเบอร์นั้น ปรากฏว่าเสียงปลายสายบอกว่าบ้านเทพบริบาล นายตำรวจหนุ่มประหลาดใจและรีบวางสายทันที ทำเอาสวิงถือโทรศัพท์ค้างอย่างงงงวย
ฝ่ายสร้อยที่มุ่งหน้าไปบ้านตาเถาแล้วไม่พบใครแม้แต่คนเดียว ก็หงุดหงิดผิดหวังเพราะไม่ได้ยาตามที่คุณหญิงมณีต้องการ และเมื่อสร้อยจะกลับบ้านเดินผ่านตลาดได้ยินแม่ค้าคุยกันเรื่องตาเถาโดนน้ำมันลวกและตำรวจพาส่งโรงพยาบาล เธอจึงแวะไปดูให้เห็นกับตา
สภาพร่างกายของตาเถาผุพองน่าเกลียดน่ากลัวจนสร้อยสยองและอเนจอนาถใจ ดูได้ไม่นานก็ต้องถอยออกมา แล้วบ่นอย่างกลุ้มใจว่า
“ไอ้เถามันจะตายไหมเนี่ย ถ้ามันตาย ต่อไปเราจะไปเอายาจากที่ไหนไปให้ท่านนายพลกินกันล่ะ แต่ถ้ามันไม่ตาย...มันจะถูกตำรวจสอบเค้นเอาความแล้วพาเรากับคุณหญิงลำบากไหมเนี่ย”
สร้อยว้าวุ่นใจ พอกลับไปถึงบ้านเทพบริบาลรู้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนตนเองไม่อยู่ก็แตกตื่นรีบวิ่งขึ้นไปบนตึก เห็นมัทนากำลังพัดวีคุณหญิงมณีที่เป็นลม โดยมีนายพลเทพกับบุปผาอยู่ด้วย
“คุณพ่อขา...เล่าเรื่องแม่อุ่นให้มัทฟังหน่อยสิคะ”
“ไหนๆเรื่องมันก็มาถึงตรงนี้แล้ว ลูกก็ควรจะรู้ ความจริงบางอย่างเสียที แม่อุ่นเป็นเมียอีกคนหนึ่งของพ่อ”
คุณหญิงมณีลืมตาโพลง ลุกพรวดพุ่งไปตบตีสามีด้วยความแค้นใจ พร้อมกับโวยวายต่อว่าต่อขานยกใหญ่ มัทนาห้ามก็ไม่ฟัง แถมยังถูกผลักกระเด็นออกมา สร้อยจึงเข้ามาแทน ส่วนบุปผาเอาแต่นั่งมองอย่างเดียว
สร้อยแยกตัวคุณหญิงออกจากนายพลเทพ แต่กระนั้นทั้งคู่ก็ยังทุ่มเถียงกันต่อไปด้วยเรื่องของอุ่นที่ นายพลเทพเล่าว่าอุ่นท้องทีหลังคุณหญิง
“แต่แม่นั่นมันตายทั้งกลมไปแล้ว แล้วนังบุปผามันจะเป็นลูกของคุณอีกคนได้ยังไง”
“แม่อุ่นไม่ได้ตายทั้งกลม แต่คลอดลูกก่อนกำหนด เด็กจึงไม่ร้องอย่างปกติ เลยมีคนพาเด็กไปหาหมอ ลูกของผมกับแม่อุ่นจึงรอดตายจากกองไฟมาได้ก็เพราะเหตุนี้แหละ”
คุณหญิงมณีหันขวับไปจ้องสร้อยที่บัดนี้หน้าซีดหน้าเสีย...พลันคุณหญิงมณีก็นึกถึงคำพูดของคุณชไมที่เคยบอกไว้ว่าให้เธอระวังลูกของท่านนายพลที่เกิดกับหญิงอื่น เพราะเขาจะย้อนกลับมาทำร้ายลูกของเธอจนถึงแก่ชีวิตในภายหลัง...คิดแล้วก็หวาดหวั่นกลัวคำทำนายของคุณชไมจะเป็นจริง คุณหญิงมณีถึงกับตะเบ็งเสียงคัดค้านสามี
“ไม่จริง! ฉันไม่เชื่อ เด็กนั่นมันตายไปแล้ว ตายไปพร้อมกับแม่ของมันตั้งแต่วันที่มันเกิดนั่นแหละ”
“ใช่ค่ะ แล้วถ้ามันเป็นลูกของท่านนายพลจริงๆ มันจะเป็นพี่น้องกับไอ้สินได้ยังไงกันล่ะคะท่าน ก็ไอ้สินมันเพิ่งไปรับตัวมาจากบ้านนอกมาอยู่ที่นี่” สร้อยเสริมขึ้น
“แต่ฉันมีคนที่จะยืนยันได้ว่าทุกอย่างที่ฉันพูดไปเป็นความจริง”
“ใครคะ ใครจะยืนยันได้” คุณหญิงมณีจ้องหน้านายพลเทพอย่างสงสัย นายพลเทพไม่ตอบแต่หันไปบอกมัทนาให้โทร.หาไอศูรย์ ส่วนตัวเขาเองก็สั่งการไปทางดำเกิงให้พาผกามาที่นี่
ผกามาถึงก่อน สร้อยเห็นแล้วพูดโพล่งอย่างจำได้ว่าหญิงคนนี้คือแม่เล้าจากซ่องหอโคมแดง คุณหญิงมณีแทบกรี๊ด โกรธจนหน้าดำหน้าแดง
“คุณกล้าเอาผู้หญิงพรรค์นี้เข้ามาเหยียบบ้านเราได้ยังไงกันคะ เสนียดจัญไร”
“คุณหญิง! มารยาททางสังคมสวยหรูของคุณมันหายไปไหนหมด”
“มารยาททางสังคมของฉันมันมีไว้ใช้เฉพาะกับคนดีๆเท่านั้นล่ะค่ะ แล้วนี่คุณเอามันมาทำไม”
“เดี๋ยวคุณก็รู้ รอพ่อต้นก่อน”
ไอศูรย์ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปรับอิ่มที่บ้านเพื่อพาตัวมาบ้านเทพบริบาลตามความต้องการของ นายพลเทพ อิ่มนึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ยังไม่ปริปากบอกไอศูรย์ที่พยายามซักถามมาตลอดทาง กระทั่งทุกคนมาเผชิญ หน้ากัน และท่านนายพลก็ให้ไอศูรย์ร่วมรับฟังอยู่ด้วย เพราะอีกไม่นานเขาก็จะเกี่ยวดองกับครอบครัวของตน
“อิ่มเป็นพี่สาวแท้ๆของอุ่น และเป็นคนที่พาลูกที่เกิดก่อนกำหนดของอุ่นไปหาหมอ ทำให้ลูกของฉันรอดตายจากกองไฟ” นายพลเทพเปิดฉากจนทุกคนในที่นั้นตะลึงงัน “แต่อิ่มถูกรถของผกาชนเข้า ก็เลยทำให้อิ่ม ฟั่นเฟือนไป ฉันจึงให้คนออกสืบตามหาอิ่มกับลูกของฉันที่เกิดจากอุ่น จนในที่สุดฉันก็ได้รู้ว่าผการับอุปการะลูกของฉันไป และลูกของฉันคนนั้นก็คือบุปผา”
“เจริญละ! นังบุปผามีแม่เล้ารับอุปการะ” คุณหญิง มณีเค้นเสียงอย่างดูถูกเหยียดหยาม ขณะที่สร้อยปะติด ปะต่อเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
“สร้อยนึกออกแล้วค่ะคุณหญิง ไอ้แสงมันเคยบอกว่านังบุปผามันเป็นผู้หญิงหยำฉ่า”
“ไม่จริงค่ะ” ผกาสวนทันควัน “ดิฉันรับอุปการะบุปผามาก็เพราะตอนนั้นเห็นว่าเด็กไม่มีใครแล้ว แต่ดิฉันก็รู้ว่าไม่ควรให้เด็กผู้หญิงเติบโตในที่ที่ดิฉันอยู่ ดิฉันก็เลยส่งเขาไปให้คนรู้จักที่ต่างจังหวัดเลี้ยงดูแทน ซึ่งคนรู้จักของดิฉันที่ว่าก็คือพ่อแม่ของนายสิน”
คุณหญิงมณีเริ่มหน้าเสีย ส่วนสร้อยก้มหน้างุด เพิ่งรู้ตัวว่าตนทำพลาดไปแล้ว ไม่สามารถกำจัดอุ่นและลูกได้เรียบร้อยตามคำสั่งคุณหญิงมณี
“นายสินเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ ไม่งั้นมันคงจะยืนยันได้ว่าความจริงคืออะไร”
เมื่อคุณหญิงมณียังไม่เชื่อ นายพลเทพจึงให้อิ่ม ยืนยันเรื่องปานแดงที่ต้นขาบุปผา ผกาเองก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้นสองเสียงจึงมีน้ำหนักยิ่งขึ้น
“และวันนี้ฉันก็ได้เห็นปานแดงที่ขาของบุปผาด้วยตาของตัวเอง ฉันถึงได้แน่ใจว่าบุปผาคือลูกสาวของฉันที่เกิดกับแม่อุ่นจริงๆ และบุปผาคือน้องสาวของยายมัท”
มัทนาสีหน้ายินดี ต่างจากคุณหญิงมณีลิบลับ เธอ รับไม่ได้ ตบหน้านายพลเทพสุดแรง ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“คุณเลวมาก! ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำมันจะทำลายครอบครัวเรา”
“ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ แต่ต่อจากนี้ไป บุปผาจะอยู่ที่นี่ในฐานะลูกสาวของผม และเป็นคนหนึ่งในตระกูลเทพบริบาล”
คุณหญิงมณีทนไม่ไหวเดินปึงปังออกไปหยุดยืนหายใจแรง ทั้งแค้นใจและกลัวว่าคำทำนายของคุณชไมจะเป็นจริง ถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างสุดกลั้น...ส่วนคนอื่นๆ ยังอยู่ที่เดิม มัทนายินดีที่มีน้องสาว บุปผารู้งานรีบยกมือ ไหว้มัทนาและเรียกพี่อย่างที่เธอต้องการ นายพลเทพยิ้มพอใจก่อนหันไปขอบใจผกาที่เลี้ยงบุปผาไว้
“ไม่ต้องขอบใจอะไรดิฉันหรอกค่ะ มันเป็นบุญวาสนาของบุปผาเองมากกว่า ถึงแม้ว่าจะเคราะห์ร้าย แม่ที่แท้จริงตายเสียตั้งแต่วันที่เขาเกิด แต่บุญวาสนาก็ทำให้เขาได้พบกับท่าน ซึ่งเป็นพ่อที่แท้จริงของเขาจนได้ในที่สุด”
“พ่อต้นจะว่ายังไงถ้าลุงจะขอตัวแม่อิ่มให้ย้ายมาอยู่เสียที่บ้านนี้ เพราะถึงอย่างไรอิ่มก็เป็นป้าที่แท้จริงของบุปผา”
“ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ผมแล้วแต่ป้าอิ่มจะตัดสินใจครับ”
เมื่อไอศูรย์เปิดทางขนาดนี้มีหรืออิ่มจะปฏิเสธ ฝ่ายบุปผาก็ดีใจจนยิ้มไม่หุบ ที่บุญหล่นทับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว...
บุปผาดีใจจนเนื้อเต้นที่จู่ๆตัวเองกลายเป็นคุณหนูแห่งบ้านเทพบริบาลอีกคน ขณะที่ผกาก็เริงร่าเช่นกันที่ได้เงินจากนายพลเทพมาไม่น้อย
“ทีแรกแม่ก็กลั๊วกลัว...ไม่รู้ว่าท่านนายพลมาคาดคั้นถามเรื่องที่แม่รับแกมาเลี้ยงทำไมนักหนา ที่แท้เรื่องก็เป็นอย่างนี้เอง”
“แต่ฉันก็ต้องขอบคุณแม่นะที่แม่ไหวพริบดีบอกท่านไปว่าแม่ส่งฉันไปให้พ่อแม่ไอ้สินเลี้ยงที่บ้านนอกน่ะ ไม่อย่างนั้นท่านก็คงทำใจรับฉันเป็นลูกลำบากอยู่เหมือนกัน ถ้าท่านรู้ว่าฉันเคยเป็นผู้หญิงขายตัวอยู่ที่หอโคมแดงมาก่อน”
“แกก็โชคดีด้วยละ ที่ไอ้สินมันเป็นอัมพาตนอนแบ็บอยู่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นแม่ก็คงจะหาทางออกเรื่องนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน”
“แม่จ๋า...ตอนนี้ฉันได้ดิบได้ดีแล้ว ฉันยังไม่ลืมคำพูดของตัวเองหรอกนะที่ฉันเคยบอกแม่ว่าวันไหนที่ฉันได้ดีขึ้นมาฉันจะไม่มีวันลืมแม่ แต่แม่ต้องรอหน่อยนะ เพราะตอนนี้ฉันเพิ่งได้เป็นคุณหนูคนใหม่ของบ้านเทพ–บริบาล ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำตัวยังไง”
“เอาเถอะ แม่เห็นแกได้ดิบได้ดีอย่างนี้แล้วก็สบายใจ แล้วเงินที่ท่านให้แม่เป็นค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูแกมาก็ไม่ใช่น้อย แม่คงอยู่สบายไปได้อีกนาน”
“แม่จะเลิกหอโคมแดงมั้ย”
“แม่เลิกแน่ เพราะแม่ไม่เคยอยากอยู่บนเส้นทางสายโลกีย์นี้หรอก แต่ตอนที่แม่ยังเด็กมีความรู้น้อย แม่ไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไรได้นอกจากขายตัว แต่เงินที่ท่านให้แม่มานี่มันก็มากพอที่แม่จะขยับขยายหาทางทำมาหากินอย่างอื่นได้ แม่จะเลิกหอโคมแดงทันทีที่แม่ส่งเด็กๆที่นั่นไปมีชีวิตใหม่กันเรียบร้อย แล้วแม่ก็จะตั้งต้นชีวิตใหม่เสียที”
“ฉันก็จะตั้งต้นชีวิตใหม่ในฐานะใหม่เหมือนกันจ้ะแม่ ฉันจะเป็นคุณหนูของตระกูลเทพบริบาลที่ได้แต่งงานกับหมอไอศูรย์” บุปผาแววตาเป็นประกายฝันหวาน...
อีกมุมหนึ่งในบ้าน ไอศูรย์คุยอยู่กับมัทนา ทั้งคู่ไม่นึกไม่ฝันกับเหตุการณ์ที่เหมือนนิยายน้ำเน่า ซึ่งมัทนายอมรับว่าดีใจที่มีน้องสาวแต่ก็ห่วงความรู้สึกของแม่ ไอศูรย์เองก็เห็นใจคุณหญิงมณี คิดว่าท่านต้องใช้เวลาทำใจอีกสักพัก
แต่ดูเหมือนไอศูรย์จะคิดผิดเสียแล้ว...คุณหญิงมณีไม่มีทางทำใจยอมรับใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะมาเป็นลูกของนายพลเทพ เธอเชื่อในคำทำนายของคุณชไม ที่ผ่านมาถึงใช้สร้อยไปจัดการอุ่นกับลูก และเมื่อรู้วันนี้ว่าสร้อยทำงานไม่สำเร็จ คุณหญิงมณีทั้งตบตีและด่าทอสร้อยอย่างโกรธจัด
“แกทำงานผิดพลาดขนาดนี้ได้ยังไง ไหนแกว่านังอุ่นกับลูกมันตายโหงไปหมดแล้วไง ฉันรึอุตส่าห์หลงไว้ใจแก ได้นอนตาหลับมานานเกือบ 20 ปี แล้วจู่ๆลูกอีอุ่นมันก็โผล่มา แล้วท่านนายพลก็ยอมรับให้มันเป็นคนหนึ่งในตระกูลเทพบริบาล เป็นน้องสาวยายมัท”
“คุณหญิงขา...สร้อยไม่รู้จริงๆว่าตอนนั้นลูกของนังอุ่นมันไม่ตาย แต่ถึงมันจะไม่ตายตอนนั้น แต่มันก็อาจจะตายเร็วๆนี้ก็ได้นี่คะ”
“ใช่! ตอนนั้นอีบุปผามันดวงแข็งนัก รอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่มันจะไม่โชคดีอย่างนั้นตลอดไปหรอก” คุณหญิงมณีสีหน้าเคียดแค้น ไม่มีวันปล่อยบุปผาลอยนวลอย่างแน่นอน!
ooooooo










