ตอนที่ 10
กำพลเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปพบเดือนตามนัดและหวังว่าจะได้ เจอตัวบุปผาในคราวเดียวกัน... แสงอยากขับรถให้แต่กำพลไม่ยอม แล้วพอเจ้านายออกไปได้สักครู่ แสงก็มุ่งหน้าไปหาสร้อยที่บ้านเทพบริบาล ซักถามทุกข์สุขของกันและกัน
แสงคุยอวดแม่ว่าอยู่บ้านเจ้านายคนใหม่แสน สบาย เขาให้อยู่เฝ้าบ้านเฉยๆ แทบไม่ต้องทำอะไรเลย...พูดไปพูดมาแสงนึกถึงบุปผา อดถามไม่ได้ว่ามันเป็นยังไงบ้าง
“มันไม่อยู่ ไปไหนไม่รู้ แต่เดี๋ยวก็คงกลับ นี่ไอ้แสง... เอ็งรู้ไหม อีนังบุปผาเนี่ยมันทำเอาท่านนายพลกับคุณหญิงท่านทะเลาะกันบ้านเกือบแตกมา หลายหนแล้ว”
“ทำไมแม่ ท่านนายพลได้มันเป็นเมียแล้วเหรอ”
“เปล่า แต่มันน่ะยั่วยวนให้ท่าท่านนายพลทุกครั้งที่มีโอกาสเลย นี่ถ้ามันได้เป็นเมียท่าน มีหวังบ้านนี้คงลุกเป็นไฟ อีนี่มันเป็นตัวกาลกิณีจริงๆ”
“ก็ที่ฉันต้องระเห็จออกจากบ้านนี้จนแทบไม่มีที่ซุกหัวนอนก็เพราะมันนั่นแหละ แม่ว่าฉันจัดการมันดีไหม”
“จัดการยังไง”
“ไม่รู้สิ ยังนึกไม่ออก แต่ฉันอยากให้มันได้เจ็บ ได้อาย ยิ่งตายไปเลยก็ยิ่งดี”
“ถ้าได้ยังงั้นก็ดีสิไอ้แสง แต่อีนี่นอกจากมันจะพิษสงรอบตัวแล้ว มันยังดวงดีอีกด้วย แต่ถ้าเอ็งจัดการกับมันได้นะ คุณหญิงคงให้รางวัลเอ็งอย่างงามเลยทีเดียว”
แสงตาลุกวาวอยากได้รางวัล จากนั้นก็รอเวลาว่าเมื่อไหร่บุปผาจะกลับมา...ผ่านไปไม่นานนัก บุปผาเลิ่กลั่กรีบร้อนมาถึงหน้าบ้านหลังจากกำจัดเดือนอย่างโหดเหี้ยมเลือด เย็น แสงเห็นบุปผาก็ตรงเข้าล็อกคอแล้วจะใช้มีดกรีดหน้าให้หายแค้น แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด บุปผาหลอกล่อหว่านล้อมจนแสงหลงกลเผลอตัวโดนบุปผาฉวยมีดนั้นตวัดเข้าใบหน้าจน ได้เลือด
“ต่อไปทุกครั้งที่มึงเห็นแผลที่หน้าตัวเอง มึงจะได้ คิดถึงกู!” บุปผาสบถอย่างเกลียดชังแล้วผละเข้าบ้านทิ้งให้แสงนอนร้องครวญครางด้วยความ เจ็บปวดอยู่ตรงนั้น...
ทางด้านไอศูรย์กับเพชรที่ป่านนี้ยังหาตัวไอ้หลง ไม่พบ ส่วนตาเถาที่หนีไปเพชรก็ยังจับตัวแกไม่ได้ แต่ผลเลือดของไอ้หลงออกมาแล้วว่าเขาถูกมอมยามานานจนร่างกายเกิดภาวะเลือด เป็นพิษ ซึ่งผลตรวจนี้ทำให้ไอศูรย์ยิ่งหดหู่ใจ นึกไม่ถึงว่าจะมีใครใจร้ายใจทมิฬได้ขนาดนี้
ฝ่ายกำพลที่มารอเดือนตามนัด โดยไม่รู้ว่าเดือนกลายเป็นศพจมอยู่ก้นบึงตรงนี้แล้ว เขากระวนกระวายเป็นอย่างมากเพราะอยากเจอบุปผา แต่เมื่อรออยู่นานมากแล้วเดือนไม่มา จึงไปถามหาที่หอโคมแดง ก็ได้คำตอบจากผกาว่าเดือนไม่อยู่ ออกไปซื้อของข้างนอก
ในที่สุดกำพลก็ ต้องกลับบ้านอย่างหงุดหงิดหัวเสีย จนใจไม่รู้จะไปตามหาเดือนที่ไหน พอเขาเห็นแสงก็สงสัยว่าใบหน้าไปโดนอะไรมาถึงต้องปิดปลาสเตอร์ ทั้งที่ก่อนเขาออกไปก็ยังเห็นดีๆอยู่
“ผมโดนนังงูพิษมันทำร้ายเอาน่ะครับ”
กำพลเดาได้ทันทีว่านังงูพิษต้องเป็นผู้หญิง ถามแสงว่าโดนผู้หญิงที่ไหนทำร้าย
“คุณกำพลไม่รู้จักมันหรอกครับ นังนี่มันเป็นศัตรูตัวฉกาจของผมเลย มันเป็นคนทำให้ผมต้องระเห็จออกจากบ้าน ต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนนเสียตั้งหลายวัน ก่อนจะได้มาอยู่ที่นี่น่ะครับ”
“ดูท่าว่าแกกับฉันนี่ดวงจะแพ้ผู้หญิงพอๆกันเลยเว้ย แต่ฉันไม่ยอมแพ้มันตลอดไปหรอก สักวันฉันต้องชนะมันให้ได้” กำพลประกาศกร้าว พลางมองข้อมือตนเองที่โดนบุปผากัดซึ่งยังหลงเหลือร่องรอยให้เจ็บแค้น!
ooooooo
เช้ามืด บุปผาฝันเห็นเดือนมาหาในสภาพหน้า ซีดขาว เนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยน้ำ...แม้สะดุ้งตื่นก็ยังหวาดกลัวไม่หาย แต่พยายามข่มใจลุกออกไปทำภารกิจประจำวันตามปกติ
ฝ่ายตาเถาที่ยังหลบหนี ตำรวจหัวซุกหัวซุน หนำซ้ำเวลานี้มนต์คาถาก็เสื่อมลงเพราะเมื่อวานตอนวิ่งหนีตำรวจเผลอลอดใต้ราว ผ้าถุงผู้หญิง แกเลยพาลโกรธแค้นบุปผายิ่งขึ้นไปอีก กล่าวโทษเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดจนตัวเองเดือดร้อนไม่มีแม้แต่ที่ซุก หัวนอน
ส่วนเพชร...หลังจากไล่จับตาเถาเมื่อวานจนตัวเองได้รับบาดเจ็บนิด หน่อยที่คิ้ว และเมื่อคืนเขาก็ไม่ได้กลับบ้าน พลอยเพิ่งเห็นพี่ชายในชุดเดิมในตอนเช้า ซักถามก็ได้ความว่า
“พี่นอนที่ทำงานน่ะ นี่กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ แล้วก็จะรีบกลับไปทำงานต่อ ช่วงนี้พี่คงจะไม่ค่อยกลับบ้านนะพลอย จนกว่าจะจับตัวคนร้ายได้”
“แล้วนั่นหน้าพี่เพชรไปโดนอะไรมาคะ”
“แผลจากการวิ่งไล่ตามจับคนร้ายนี่แหละ”
“เจ็บมากไหมคะ”
“ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ็บใจมากกว่า เออ เมื่อวานพี่ต้นไปหาพี่ด้วย ไปถามข่าวเด็กที่ถูกมอมยาแล้วหนีออกจากโรงพยาบาล ไม่รู้เป็นไง หลังๆมานี่พี่ไม่อยากมองหน้าพี่ต้นเลย เห็นหน้าทีไร อารมณ์ก็ขุ่นมัวทุกที”
“ความจริงจะพูดไปก็น่าเสียดายนะคะ พี่ต้นกับพี่เพชรอุตส่าห์เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี มาผิดใจกันก็เพราะผู้หญิงคนเดียวแท้ๆเลย”
“พลอยกับน้องมัทก็เหมือนกันแหละ อุตส่าห์เป็น เพื่อนกันมาตั้งหลายปี มาผิดใจกันก็เพราะผู้ชายคนเดียวเหมือนกัน”
พลอย โดนพี่ชายยอกย้อนจนอึ้งไป...ขณะเดียวกัน ไอศูรย์ก็ไม่ได้กลับไปนอนบ้านเช่นกัน เพราะมีงานติดค้างที่โรงพยาบาล แต่เช้านี้เขาก็กระวีกระวาดไปใส่บาตรกับมัทนาเพื่อให้ครบเก้าครั้ง
แต่ ก่อนหน้าที่เขาจะมา มัทนานึกว่าตัวเองต้องใส่บาตรคนเดียวจึงชวนบุปผาเอาไว้แล้ว เมื่อไอศูรย์มาถึง ทั้งสามคนเลยได้ใส่บาตรร่วมกัน ท่ามกลางความไม่พอใจของคุณหญิงมณีกับสร้อยที่จับจ้องมองบุปผาอย่างชิงชัง
หลังจากใส่บาตร มัทนากรวดน้ำกับไอศูรย์ บุปผาแอบมองด้วยความอิจฉา พอเห็นสร้อยเอาขันน้ำมนต์ มาส่งให้มัทนา ก็เมียงมองอย่างสงสัย
“บุปผา...ไหนๆก็เจอเธอแล้ว ฉันแวะไปดูอาการนายสินด้วยเลยดีกว่า” ไอศูรย์เอ่ยปาก
บุปผารีบยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเดินนำเขากับมัทนาไปที่ห้องนายสิน...คุณหญิงมณีไม่สบอารมณ์แต่ต้องระงับกิริยาเพราะไม่อยากแสดงอะไรออกไปต่อหน้าว่าที่ลูกเขย
เมื่อหมอหนุ่มมาตรวจอาการนายสิน บุปผาแสร้งกระตือรือร้นอยากรู้อาการพี่ชายตนเป็นยังไงบ้าง
“โดยรวมแล้วก็ดูแข็งแรงดีนะ แต่ฉันอยากจะให้เธอทำอะไรเพื่อพี่ชายเธออีกหน่อย...ฉันอยากให้เธอทำกายภาพบำบัดอย่างง่ายๆให้นายสิน เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยให้เธอยกแขนนายสินขึ้นลงอย่างนี้ข้างละสิบครั้ง...ขาก็เหมือนกัน เช้าครั้งเย็นครั้ง ทำทุกวัน เธอทำได้ไหม”
“ได้ค่ะ ถ้าอะไรที่จะทำให้พี่สินอาการดีขึ้นได้ ต่อให้เหนื่อยยากยิ่งกว่านี้บุปผาก็ยินดีทำค่ะ”
คุณหญิงมณีหมั่นไส้บุปผาจนอดรนทนไม่ไหวเดินเข้ามาแทรก “เสร็จแล้วใช่ไหมจ๊ะพ่อต้น งั้นขึ้นบ้านเถอะ จะได้ทานข้าวเช้าด้วยกัน”
มัทนากับไอศูรย์ถูกคุณหญิงมณีดึงให้ลุกขึ้นพร้อมกัน ส่วนสร้อยรีบประจบมัทนา ย้ำเตือนว่าอย่าลืมอาบน้ำมนต์จะได้ครบเก้าครั้ง บุปผาได้ยินก็หูผึ่ง ความสงสัยที่มีอยู่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น...
เมื่อกลับเข้ามาในครัว บุปผาจึงเลียบเคียงถามป้าทับทิมว่าทำไมคุณหนูต้องอาบน้ำมนต์
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยได้ยินนังสร้อยมันพูดว่าคุณหนูต้องใส่บาตรพร้อมกับหมอไอศูรย์ แล้วรดน้ำมนต์ให้ได้ครบ 9 ครั้งก่อน แล้วถึงค่อยหมั้นกับคุณหมอ”
คำตอบนั้นทำให้บุปผาเก็บมาครุ่นคิด...และไม่นานก็สรุปได้ด้วยตัวเองว่าวิธีการแบบนี้น่าจะเป็นการสะเดาะเคราะห์หรือล้างซวยนั่นเอง!
คิดได้ดังนั้นแล้วบุปผาย่องขึ้นไปบนตึกอีกครั้ง แอบเอาขันน้ำมนต์ของมัทนาที่เตรียมไว้อาบลงวางกับพื้นแล้วเดินก้าวข้ามไปมาอยู่สองสามรอบก่อนเอากลับไปวางที่เดิมโดยไม่มีใครรู้เห็น แต่พอจะลงจากตึกต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อคุณหญิงมณีก้าวมายืนดักหน้าแล้วจิกหัวเธอจนหน้าหงาย
“แกขึ้นมาบนตึกนี่ทำไมนังบุปผา”
“คือ...บุปผาเหมือนได้ยินเสียงพี่สร้อยเรียกน่ะค่ะ”
“ไม่มีใครเรียกแกหรอก กลับลงไปอยู่ในครัวโน่นไป แล้วไม่ต้องเสนอหน้าขึ้นมาบนตึกนี่อีก นี่ถ้าท่านนายพลไม่ขอไว้ล่ะก็ ฉันเฉดหัวแกออกจากนี่ไปนานแล้วรู้มั้ย”
คุณหญิงมณีผลักไสบุปผาลงจากตึกแล้วกลับเข้าข้างในห้องอาหาร จึงไม่เห็นสายตาอาฆาตแค้นของบุปผาที่จ้องไล่หลังราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เกลียดฉันนักใช่ไหมอีนังคุณหญิง คอยดูเถอะ สักวันฉันจะทำให้แกต้องเสียน้ำตาจนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดเพราะฉันให้ได้...คอยดู!”
ooooooo
เดือนหายตัวไปข้ามคืนทำให้ผการ้อนใจจนอยู่เฉยไม่ได้จะออกไปแจ้งความ มุกซึ่งรู้เรื่องเดือนแอบไปรับแขกข้างนอกจึงจำเป็นต้องบอกให้ผการู้
“ฉันคิดว่า...นังเดือนมันอาจจะออกไปรับแขกข้างนอกนะ มันเคยบอกฉันว่ามันแอบออกไปรับแขกเองหลายครั้งแล้ว เพราะมันจะได้เต็มๆไม่ต้องโดนหักหัวคิว มันอยากได้เงินเยอะๆเอาไปส่งให้แม่กับน้องที่บ้านนอกโน่น”
“จริงเหรอ...ยิ่งรู้อย่างนี้แม่ยิ่งต้องไปแจ้งความ เพราะมันอาจจะออกไปรับแขกข้างนอกแล้วโดนแขกทำร้ายก็ได้”
ผกาเดินลิ่วออกจากบ้าน สิรีกับพิกุลรีบก้าวตาม มุกละล้าละลัง แต่แล้วก็เดินตามไปในที่สุด...ระหว่างทางไปโรงพักเห็นไทยมุงกำลังดูศพอยู่ริมบึง พิกุลชวนทุกคนเข้าไปดูถึงรู้ว่าศพนั้นคือเดือน ผการับไม่ได้ร้องไห้น้ำตานองหน้าและบอกตำรวจว่ารู้จักคนตาย เพชรจึงเชิญพวกเธอไปสอบปากคำที่โรงพัก
“คืออย่างนี้ค่ะคุณตำรวจ นังเดือนมันบอกว่าจะออกมาซื้อของตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็ไม่กลับบ้านอีกเลย ดิฉันเป็นห่วง วันนี้ก็เลยคิดจะมาแจ้งความคนหายอยู่พอดีเลยค่ะ แต่ก็มาพบมันที่ริมน้ำนั่นเสียก่อน ตกลงมันเป็นอะไรตายคะ”
“จากผลการตรวจสภาพศพเบื้องต้น เราไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายเลยครับ แล้วกระเป๋าสตางค์ในตัวผู้ตายก็ยังอยู่ครบ แสดงว่าไม่ได้ถูกจี้หรือถูกปล้น แล้วฆ่าอำพรางศพแน่”
“แล้วตกลงนังเดือนมันตายเพราะอะไรคะ มันพลัดตกน้ำตายหรือคะ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ หรือไม่ก็ตั้งใจจะโดดน้ำฆ่าตัวตาย”
“ฆ่าตัวตาย! ไม่น่าเป็นไปได้หรอกค่ะ นังเดือนไม่ได้มีปัญหาชีวิตอะไรร้ายแรงเสียจนทำให้มันต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายหรอกค่ะ”
“มีจ้ะแม่” มุกโพล่งขึ้นมา ทุกคนหันขวับ...รอให้มุกขยายความต่อ “คือ...นังเดือนมันเป็นโรคจ้ะแม่”
“นังเดือนเป็นโรค มันเป็นได้ยังไง แม่เลือกแขกที่มาเที่ยวหอโคมแดงของเราทุกคนว่าไม่เป็นโรค แล้วนังเดือนมันไปติดโรคมาจากไหนกัน”
“มันก็ไปติดโรคมาจากแขกที่มันแอบออกไปรับงานเองข้างนอกนั่นแหละแม่ แล้วมันก็ไม่มีเงินจะรักษาตัว เพราะมันส่งเงินกลับไปให้แม่ให้น้องที่บ้านนอกหมด”
“แล้วแกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง นังมุก”
“ก็เพราะมันมายืมเงินฉันไปหาหมอบ่อยๆน่ะสิแม่ ระยะหลังมันถึงไม่ยอมรับแขกอีก ก็เพราะมันเป็นโรคนี่แหละแม่”
“งั้นก็อาจจะเป็นไปได้ครับที่คุณเดือนฆ่าตัวตายเพื่อหนีโรคร้ายที่เป็นอยู่”
“โธ่...ทำไมมันไม่บอกแม่...ทำไม” ผกาเสียงสั่นพร่า ก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเสียใจ
ooooooo
แล้ววันถัดมา ผกาก็นัดพบบุปผาตามลำพัง บุปผาเห็นผกาแต่งชุดดำก็เอะใจว่าน่าจะรู้เรื่องเดือนตายแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจนักจึงแกล้งทักถามเพื่อให้ผกาพูดออกมา...
ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผกาพูดไปร้องไห้ไปอย่างทำใจไม่ได้ ขณะที่บุปผาก็แสร้งตกใจและซักถามเป็นการใหญ่ว่าเดือนเป็นอะไรตาย ตายได้ยังไง
“ตำรวจสันนิษฐานว่ามันโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อหนีโรคร้ายที่มันเป็น แม่ไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นโรค แต่นังมุกเล่าว่านังเดือนมันแอบออกไปรับแขกข้างนอกเองเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนหักหัวคิว มันเลยติดโรคมาจากแขก”
บุปผาตีหน้าเศร้า หยิบเงินส่งให้ผกาจำนวนหนึ่ง “ฉันคงไม่ได้ไปงานศพนังเดือนมันหรอกนะ ฉันฝากเงินนี่ให้แม่เอาไปทำบุญแทนฉันทีนะจ๊ะ ส่วนหนึ่งฉันฝากช่วยทำศพมัน แล้วอีกส่วนแม่ช่วยส่งไปให้แม่นังเดือนที่บ้านนอกทีนะแม่”
“ขอบใจนะ นี่ถ้านังเดือนมันรู้ว่าแกมีน้ำใจกับมันมากอย่างนี้ มันคงดีใจ แม่มาส่งข่าวแค่นี้ละ แม่ต้องรีบไปแล้ว จะไปจัดงานศพให้นังเดือนมัน ป่านนี้พวกนังมุกไปรอแม่อยู่ที่วัดแล้ว”
“ฉันก็ต้องรีบไปเหมือนกันจ้ะแม่ นี่ฉันมากับนังคุณหนู นังคุณหนูมันมาซื้อของที่ตลาด ฉันเลยแอบแวบมาที่นี่”
“แม่ดูแลรักษาตัวเองดีๆด้วยนะจ๊ะ ฉันเป็นห่วงแม่นะ”
ผกาพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินออกไป บุปผามองตามอย่างโล่งใจ แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสงสัยเลยว่าเดือนถูกเธอฆ่าตาย...หลังจากนั้นบุปผากลับไปที่ตลาดแต่ยังหามัทนาไม่เจอ มัทนาเดินเข้าไปซื้อผลไม้กับคนขับรถแล้วเจอไอ้หลงโดยบังเอิญ มัทนาคลับคล้ายคลับคลาจึงบอกให้คนขับรถไปตามไอศูรย์มา ส่วนเธอจะถ่วงเวลาพาไอ้หลงไปกินข้าว
ระหว่างนี้เองใกล้ๆร้านอาหาร บุปผายังตามหามัทนา จู่ๆตาเถาโผล่พรวดเข้ามาล็อกตัวบุปผาออกไปทางหนึ่ง ไอ้หลงเหลียวไปเห็นก็ตกใจ มีอาการลนลานกลัวตาเถาถึงกับวิ่งเตลิดหนีไปทั้งที่ไอศูรย์ยังมาไม่ถึง ส่วนมัทนาก็ทันเห็นบุปผาถูกลากตัวไป จึงวิ่งตามหมายช่วยเหลือ
บุปผาสู้แรงตาเถาไม่ได้ เกือบโดนน้ำกรดสาดหน้าถ้าไอศูรย์เข้ามาช่วยไว้ไม่ทัน ตาเถาตั้งใจทำให้บุปผาเสียโฉม เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน เมื่อไม่สำเร็จจึงลนลานหาทางหนี และผลักมัทนาที่อยู่ใกล้จนกระเด็นล้มไป ส่วนบุปผาก่อนหน้านี้ก็ถูกแกบีบคอจนระบมไปหมด
ไอศูรย์ไม่ตามตาเถาเพราะเป็นห่วงมัทนา แต่มัทนาห่วงบุปผามากกว่าจึงเร่งให้เขาพากลับบ้านเพื่อเยียวยารักษา...บุปผาหมดสติไปนานกว่าจะฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ภายในห้องพักที่บ้านเทพบริบาล โดยมัทนากับไอศูรย์อยู่ใกล้ๆ และมีใครอีกหลายคนชะเง้อมองอยู่ห่างๆ
มัทนาดีใจที่บุปผาฟื้น ขณะที่ไอศูรย์ให้ความมั่นใจว่าบุปผาไม่เป็นอะไรมาก แต่คงจะระบมแผลที่ถูกทำร้ายมาอีกสักสองสามวัน สร้อยขยับเข้ามาเมียงมองแล้วพูดโพล่งขึ้นว่า
“ก็ไม่รู้มันไปก่อคดีกับใครมาน่ะนะ ถึงได้ถูกโจทก์ตามคิดบัญชีเสียน่วมอย่างนี้ โจทก์คนนี้ของแกมันใครกันนะนังบุปผา”
“ฉันไม่รู้จักเลยจ้ะ ทีแรกฉันคิดว่ามันเข้ามาปล้น แต่พอฉันบอกว่าฉันไม่มีเงินหรอก มันก็เลยจะลากตัวฉันไป”
“นี่ถ้าคุณหนูไม่ตามไปช่วยแกจนต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปด้วย ป่านนี้แกอาจจะถูกคนร้ายมันลากไปปู้ยี่ปู้ยำแล้ว”
“สร้อยอย่าพูดให้บุปผากลัวไปมากกว่านี้เลยจ้ะ แค่นี้บุปผาก็คงจะขวัญเสียมากพออยู่แล้ว”
สร้อยหุบปากทันทีที่มัทนาเอ่ยปากปราม...บุปผาเหลือบเห็นไอศูรย์มองมา เลยตัดสินใจยกมือไหว้มัทนา
“บุปผาขอบคุณคุณหนูมากนะคะที่ช่วยบุปผาไว้ แล้วก็ขอบคุณคุณหมอด้วย ถ้าไม่ได้คุณหมอ...บุปผาคง...” บุปผาแสร้งพูดต่อไม่ออก แต่สะอึกสะอื้นตัวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร
“เอาเถอะ เรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ฉันว่าบุปผาพักผ่อนเถอะ”
“พักให้มากๆนะจ๊ะบุปผา”
บุปผายกมือไหว้มัทนากับไอศูรย์อีกครั้ง พอทุกคนออกไป สีหน้าเศร้าๆของบุปผาก็เปลี่ยนเป็นเคียดแค้นเจ็บใจ นึกถึงตาเถาแล้วอยากจะฆ่ามันให้ตายเสียวันนี้พรุ่งนี้!
ooooooo
คุณหญิงมณีเดินโอบมัทนาด้วยความเป็นห่วงกลับขึ้นมาบนตึก ไอศูรย์เดินตามติด ส่วนสร้อยรั้งท้ายทิ้งระยะห่างพอสมควร
“ลูกมัท...ทำไมถึงได้กล้าหาญเข้าไปช่วยนังบุปผา ไม่กลัวภัยอันตรายจะเกิดแก่ตัวเองเลย ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะลูกนะ มันไม่คุ้มเลยที่มัทจะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนใช้ในบ้านน่ะ”
“ถึงบุปผาจะเป็นแค่คนในบ้าน แต่บุปผาก็เป็นคนเหมือนเรานะคะคุณแม่ แล้วมัทเห็นอยู่กับตาว่าบุปผากำลังถูกทำร้ายอย่างนั้นจะให้มัทยืนมองเฉยๆโดยไม่ช่วยเหลืออะไร ก็คงจะใจจืดใจดำเกินไปล่ะค่ะ”
คุณหญิงมณีพูดไม่ออก ได้แต่ทำหน้าเหนื่อยใจ... มัทนาหันไปยกมือไหว้ขอบคุณไอศูรย์ที่เข้ามาช่วยพวกตนทันเวลา
“แต่ก็เกือบไม่ทันเหมือนกัน...ทำไมคนเดี๋ยวนี้ใจคอโหดเหี้ยมกันจริง เอ้อ แล้วเด็กคนที่น้องมัทพบล่ะ ไปไหนแล้ว”
“ตอนที่เกิดเรื่องชุลมุนกัน เขาวิ่งหนีไปค่ะ”
ไอศูรย์รับรู้อย่างผิดหวัง จังหวะนี้นายพลเทพเดินข้ามา พอเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าลูกสาวก็ตกใจซักถามเป็นการใหญ่...เช่นเดียวกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ พอลูกชายกลับมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังก็แทบนั่งไม่ติด บอกว่าพรุ่งนี้แม่ต้องไปเยี่ยมมัทนาสักหน่อยแล้ว อิ่มจ้องจะไปบ้านเทพบริบาลสบโอกาสรีบขออนุญาต
“คุณหญิงคะ ขอดิฉันไปเยี่ยมคุณหนูมัทนากับแม่บุปผาด้วยคนได้ไหมคะ เพราะตอนที่ดิฉันป่วยอยู่ที่โรง– พยาบาล แม่บุปผาก็ช่วยดูแลดิฉันหลายครั้ง ตอนนี้แม่บุปผามาเจ็บตัวอย่างนี้ ดิฉันก็อยากไปเยี่ยมเขาบ้างน่ะค่ะ”
“ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวแกก็ไปเป็นลมเป็นแล้งที่โน่นอีก เขาจะวุ่นวายกันมากขึ้นอีก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับป้าโฉม ให้อิ่มไปเยี่ยมด้วยก็ดี คนเราใครเคยมีน้ำใจกับเรา เมื่อมีโอกาสเราก็ควรแสดงน้ำใจกลับคืนเขาบ้าง”
“ค่ะคุณหมอ” โฉมเสียงอ่อย แอบค้อนอิ่ม...แต่อิ่มไม่สนใจเพราะกำลังดีใจที่จะได้ไปบ้านเทพบริบาลอีกครั้ง หวังว่าคราวนี้เธอจะมีโอกาสพบท่านนายพลและได้บอกเรื่องสำคัญแก่เขาเสียที...
เมื่อถึงเวลาเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น อิ่มกระตือรือร้นเป็นพิเศษแต่ก็ไม่มีใครสังเกตเพราะมัวจดจ่อเป็นห่วงมัทนา โดยเฉพาะคุณหญิงแจ่มจันทร์ พอไปถึงก็สำรวจเนื้อตัวว่าที่ลูกสะใภ้และปลอบขวัญ จากนั้นก็เอ่ยชวนคุณหญิงมณีขึ้นไปหาคุณชไมอีกครั้งเพื่อให้หาฤกษ์หมั้นอย่างเร็วที่สุด
“ดีครับ ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ” ไอศูรย์พูดยิ้มๆ ทำเอามัทนาเขินอายจนหน้าแดง...
นายพลเทพลงมาใส่บาตรร่วมกับทุกคน อิ่มเฝ้ามองอยู่ห่างๆ และตั้งใจหาทางพูดคุยกับท่านตามลำพัง และแล้วก็ได้โอกาสเมื่อคนอื่นๆพากันตามมัทนากับไอศูรย์ไปดูอาการบุปผากับนายสิน ส่วนนายพลเทพกลับขึ้นตึกเพื่อแต่งตัวออกไปทำงาน
“ท่านนายพลคะ รอเดี๋ยวค่ะ” เสียงเรียกของอิ่มทำให้นายพลเทพหันกลับมา
“เธอมีอะไรรึ ถึงตามฉันขึ้นมาถึงบนนี้”
“ท่านนายพลจำดิฉันได้หรือไม่คะ ดิฉันชื่ออิ่มเป็นพี่สาวของนังอุ่นไงคะ”
นายพลเทพตะลึง เดินเข้าหาพร้อมกับมองหน้าอิ่มชัดๆ “อิ่มจริงๆหรือนี่ ไม่ได้เห็นกันร่วม 20 ปี ฉันจำอิ่มไม่ได้เลย แล้วนี่หายไปไหนมา ตั้งแต่แม่อุ่นตายเสียในไฟ เธอก็หายหน้าไปเลย”
“ท่านนายพลคะ ดิฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องเรียนให้ท่านทราบค่ะ คืนนั้นก่อนไฟไหม้...ลูกนังอุ่นมันคลอดก่อนกำหนด แต่ทำยังไงเด็กก็ไม่ร้อง ดิฉันก็เลยจะอุ้มไปหาหมอในเมือง เราสองป้าหลานจึงรอดตายจากกองไฟมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ดิฉันก็เคราะห์ร้ายโดนรถชน พอฟื้นขึ้นมาความคิดความจำของดิฉันก็วิปลาสไป จนดิฉันเตลิดเปิดเปิงออกไปเร่ร่อนอยู่ตามที่โน่นที่นี่เสียหลายปีกว่าความจำจะกลับคืนมา แต่ท่านนายพลเจ้าขา...”
อิ่มสะอื้นแล้วทรุดลงกราบแทบเท้านายพลเทพที่ยืนสีหน้าฉงนฉงายไม่เข้าใจว่าอิ่มพยายามจะบอกอะไรอีก
“ถึงดิฉันจะพาลูกสาวของท่านหนีตายออกมาจากกองไฟได้ แต่ตอนนั้นดิฉันก็เลอะเลือนเสียจนไม่รู้ว่าใครเอาตัวหลานไปค่ะ ดิฉันขอโทษ” พูดจบอิ่มก็กราบขอโทษนายพลเทพอีกครั้ง
“เอาเถอะแม่อิ่ม อย่าโทษตัวเองไปเลย รู้ไหมเมื่อไม่กี่วันก่อนฉันเกิดไปได้เบาะแสมาว่าคืนที่แม่อุ่นตายในกองไฟ แล้วแม่อิ่มพาลูกของฉันหนีออกมาได้น่ะ มีคนมารับลูกฉันไปเลี้ยงต่อ”
“ใครกันคะ”
“ตามฉันมานี่สิ ฉันจะให้เธอดูรูปใครบางคน เผื่อว่าเธอจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
นายพลเทพเดินนำอิ่มเข้าไปในห้องนอนโดยไม่ทันได้คิดอะไร อิ่มรีบก้าวตามอย่างอยากรู้เหลือเกินว่าท่านจะให้ดูรูปใครกัน?
เวลานั้นในห้องพักบุปผา สร้อยเพิ่งสังเกตว่าอิ่มไม่ได้มาด้วย จึงถามโฉมที่ยืนอยู่ข้างกันว่า
“แม่คนใช้ใหม่ที่บ้านเธอไม่ได้มากับเราด้วยรึ”
“เออ...นั่นสิ มันไปเดินเกะกะอยู่ที่ไหนเนี่ย”
“ไม่เป็นไร ฉันไปดูเอง” สร้อยผละไปเงียบๆเดินหาทั่วบ้านก็ไม่เจอ “แม่นั่นมันหายไปไหนของมันนะ” บ่นเสร็จเงยหน้ามองบนตึก ก่อนเดินตัวปลิวไปทันที!
นายพลเทพนำรูปถ่ายผกาที่ถูกคุณหญิงมณีฉีกขาดมาปะติดปะต่อให้อิ่มดู “เธอจำผู้หญิงคนนี้ได้ไหมอิ่ม”
อิ่มพยายามทบทวนเหตุการณ์วันถูกรถชน ซึ่งวันนั้นเธอเห็นหน้าผกาชัดเจน ผกาเข้ามาช่วยเหลือและพาเธอกับหลานไปส่งโรงพยาบาล
“ว่าไงอิ่ม จำได้มั้ย”
“ใช่ค่ะท่าน ผู้หญิงคนนี้แหละที่อุ้มลูกท่าน...หลานดิฉันไป”
นายพลเทพตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดเรื่องราวที่เขาตามสืบมานานก็เริ่มปะติดปะต่อจนเห็นเค้าลาง
“เธอจำได้ไม่ผิดนะแม่อิ่ม”
“ไม่ผิดหรอกค่ะท่าน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านจะต้องรู้ค่ะ”
อิ่มยังไม่ทันจะพูดต่อ...เสียงสร้อยร้องเรียกท่านนายพลดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตูหน้าห้อง ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ
“นี่ถ้าสร้อยมันเห็นเธออยู่ในห้องนี้กับฉัน มีหวังคุณหญิงคงเข้าใจผิดแน่” นายพลเทพคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว แล้วก็ชี้ให้อิ่มไปยืนหลังบานประตู ส่วนตัวเองเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถามสร้อยว่ามีอะไร?
สร้อยถือวิสาสะชะโงกหน้าเข้ามาดูภายในห้อง กวาดตามองแต่ไม่เห็นใครนอกจากท่านนายพลคนเดียว
“สร้อยจะมาถามว่าท่านจะออกไปที่กรมเลยหรือเปล่าคะ สร้อยจะได้สั่งให้คนเตรียมรถน่ะค่ะ”
“ไปสิ เดี๋ยวฉันแต่งตัวเสร็จก็จะไปเลย”
สร้อยรับคำแล้วถอยกลับไป นายพลเทพปิดประตูแล้วถอนใจเฮือกก่อนเดินไปหยิบเครื่องแบบมาทั้งไม้แขวนโดยไม่เสียเวลาเปลี่ยนชุด และหันมาบอกอิ่มว่า
“ฉันจะลงไปข้างล่างเลย เธอค่อยๆตามลงไปอย่าให้ใครเห็นเชียวนะว่าเธอขึ้นมาบนนี้น่ะ แค่นี้ฉันก็มีเรื่องให้ปวดหัวมากพออยู่แล้ว”
“เดี๋ยวค่ะท่าน ดิฉันมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องบอกท่านค่ะ”
“เอาไว้ก่อนเถอะ ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวนังสร้อยกลับขึ้นมาอีกจะยุ่งกันใหญ่ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธออยู่บ้านพ่อต้น แล้วฉันจะหาทางติดต่อไป”
พูดจบเขาก็หิ้วเครื่องแบบออกไป อิ่มถอนใจกลัดกลุ้มที่ไม่มีโอกาสบอกท่านนายพลเรื่องที่สร้อยเป็นคนฆ่าอุ่น...อุ่นไม่ได้ตายเพราะไฟไหม้บ้านอย่างที่นายพลเทพเข้าใจมาโดยตลอด
ooooooo
หลังจากนายพลเทพนั่งรถออกไปทำงานแล้ว คุณหญิงแจ่มจันทร์ก็บอกลาคุณหญิงมณีกลับบ้าน แต่เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นอิ่มจึงหันไปถามโฉม
“แล้วแม่อิ่มไปไหนล่ะเนี่ย”
อิ่มเดินเข้ามาพอดี โฉมชักสีหน้าใส่ทันที “ไปไหนมายะหล่อน”
“อิ่มไปเข้าส้วมมาค่ะ”
“เอ้า...ลาท่านซะ เราจะกลับกันแล้ว”
อิ่มไหว้ลาคุณหญิงมณีกับมัทนา แล้วก้มหน้างุดเมื่อเห็นสร้อยจ้องเขม็งมา...
ด้านนายพลเทพที่รีบร้อนออกจากบ้าน เขาไม่ได้เข้ามาทำงานในกรมทหาร แต่ชวนดำเกิงออกไปที่หอโคมแดงเพื่อเจรจากับผกาให้รู้เรื่อง!
ผกาต้อนรับแขกทั้งสองคนด้วยความอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยมีมุก สิรี พิกุล และเพ็ญแอบสังเกตการณ์อยู่ห่างๆด้วยความสงสัย อยากรู้เหลือเกินว่าคุยเรื่องอะไรกัน ทำไมท่าทางเคร่งเครียดกันทั้งสองฝ่าย...
“ยอมรับมาเถอะแม่ผกา ว่าเธอเป็นคนรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยง อย่าปากแข็งกับฉันต่อไปเลย เพราะตอนนี้ฉันมีคนที่จะเป็นพยานให้กับฉันได้ว่าเธอรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงจริงๆ”
นายพลเทพคาดคั้นแต่ผกายังไม่ยอมพูดอะไร จนเขาทนไม่ไหวจับตัวเธอเขย่าอย่างร้อนใจ
“บอกฉันมาเถอะ ว่าเธอรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงใช่มั้ย”
ผกายังคงนิ่ง ทำให้นายพลเทพยิ่งโมโห พูดจาข่มขู่ “เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร...แล้วถ้าเธอปากแข็งไม่ยอมบอกฉัน ฉันจะสั่งให้ตำรวจมาปิดที่นี่ ให้เธอกับคนของเธอไม่มีที่ซุกหัวนอนกันเลยทีเดียว”
“อย่านะคะท่าน” ผการ้องห้ามเสียงหลง
“งั้นก็บอกมาสิแม่ผกา ว่าเธอรับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาเลี้ยงใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” ผกาจำใจยอมรับในที่สุด นายพลเทพดีใจมาก ละล่ำละลักถามต่อไปว่า
“แล้วตอนนี้เด็กคนนั้น...เขาอยู่ที่ไหน บอกมาเร็ว...เขาอยู่ที่ไหน”
“ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วค่ะ”
“อ้าว...แล้วไปอยู่ที่ไหน แม่ผกาบอกฉันมาสิ ฉันจะไปหา ฉันอยากเจอเขาเต็มทีแล้ว”
“ตอนนี้เด็กคนนั้นออกจากที่นี่ไปอยู่ที่บ้านท่านนายพลเทพ เทพบริบาล แล้วค่ะ”
คำตอบชัดถ้อยชัดคำของผกาทำเอานายพลเทพถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปเลย!
ooooooo










