ตอนที่ 10
คุณชายพิริยพงษ์ต้อนรับการมาของ “วิศรุต ราชโยธิน” ด้วยความยินดีอย่างยิ่งจนคุณหญิงเอ่ยปากว่าพี่ชายดีใจมากกว่าหญิงเสียอีก
“ทำไมจะไม่ดีใจล่ะ ก็ในเมื่อมีคนมาเติมสิ่งที่หายไปจากวัง ทำให้การรอคอยของท่านย่าจบลง ท่านย่าทรงดีพระทัยไหมกระหม่อม ที่ลูกของท่านอาหญิงกลับมา” เมื่อพระองค์หญิงบอกว่าดีใจ “ชายก็ดีใจค่ะ ดีใจจริงๆ น้องหญิงเองก็ควรจะดีใจนะอย่ามัวรังเกียจกันเลย”
“หญิงไม่ได้รังเกียจ”
“ผมซาบซึ้งในน้ำใจของคุณชายกับคุณหญิงจริงๆ ผมสัญญาว่าจะเป็นสมาชิกที่ดีของที่นี่ หลานจะทำหน้าที่แทนแม่ไม่จากท่านยายไปไหนอีกกระหม่อม” ชัยบดีเลื่อนตัวลงนั่งที่พื้นกอดซบตักพระองค์หญิงประจบสุดๆ ส่วนคุณชายพิริยพงษ์ยิ้มให้พระองค์หญิงเสแสร้งเป็น
คนดีมาก
เมื่อชัยบดีไปหาคุณชายที่ห้องนอนจึงรู้ว่าในวังมีกล้องวงจรปิด คุณชายเองก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้เอง บ่นว่าไม่รู้ไอเดียใคร อยู่ๆก็ติดกล้อง ชัยบดีพูดขำๆว่าแสดงว่าเพิ่งติดกล้องหลังจากคุณชายติดพนัน คุณชายฉุนตงิดๆที่ถูกเยาะ ตัดบทว่าทีหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน แล้วย้ำกับชัยบดีว่า
“จำไว้นะ ท่านย่าน่ะชอบคนสุภาพเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน ประจบได้แต่อย่าเว่อร์ ยิ่งท่านทรงเมตตามากเท่าไหร่นายก็ทูลขอสมบัติได้มากเท่านั้น”
“ที่จริงน่าจะ 50/50 นะ ไม่น่าเป็นการจ้างเหมาเล้ย ผมเป็นคนเหนื่อยแท้ๆ” คุณชายตัดบทว่าบอกแล้วอย่าพูดเสียงดัง แล้วไล่ออกไปได้แล้ว “โอเค!! ไม่พูดละ เดี๋ยวจะไปอ่านหนังสือราชาศัพท์ ฝึกการเดินเบาๆ มารยาทบนโต๊ะอาหาร สวดมนต์ก่อนนอน อ้อ...แล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าใส่บาตร ทำบุญให้ท่านแม่...”
ชัยบดีส่ายหน้าขำๆกับพฤติกรรมของตัวเองแล้วออกไป พอประตูปิด พิริยพงษ์ก็เบะปากใส่
“ทำบุญ!! ฮึ...เผื่อชาติหน้าจะเกิดมาในที่ดีๆอย่างนี้กะเค้าบ้างไงล่ะ...ไอ้ขี้ข้า”
ooooooo
คุณหญิงประสงค์สมมาดูแลกำกับการทำอาหารใส่บาตรอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะไข่พะโล้ ที่ไข่จะต้องดำน้ำจะต้องเข้มข้น เสร็จแล้วจึงรีบไปตาม “พี่วิศรุต” มาใส่บาตร
พอคุณหญิงออกไปในครัวมีแต่อัศดงดูแลคนเดียว ชัยบดีก็เข้ามาทำทีถามว่าทำอะไรเช้านี้
“จัดสำรับใส่บาตรให้คุณไงคะ จะใส่ให้ท่านหญิงกิรติโสภณ ก็ต้องจัดของที่โปรด เขาว่าท่านหญิงน่ะโปรดไข่พะโล้แข็งๆ ดำๆ สีเข้มๆ”
ชัยบดีจึงได้ข้อมูลสำคัญ ทำก่อร่อก้อติกกับอัศดงทำเป็นช่วยหยิบโน่นฉวยนี่ถือโอกาสแต๊ะอั๋ง อัศดง บอกว่าไม่ต้องช่วยนี่เป็นหน้าที่ของตน ชัยบดีทำยิ้มซื่อๆ แล้วค่อยถอยไป
เมื่อไปใส่บาตรกับพระองค์หญิง และคุณหญิงประสงค์สม ชัยบดีพูดอย่างปลื้มอกปลื้มใจว่า
“ได้ใส่บาตรไข่พะโล้ของโปรดของท่านแม่ชื่นใจจังเลยกระหม่อม”
พอพระมา พระองค์หญิงใส่บาตร ตามด้วยคุณหญิง พอถึงชัยบดีเขาจะใส่บาตรพระองค์หญิงรีบบอกว่า
“เดี๋ยวก่อนพ่อวิศรุต...” ชัยบดีชะงักงง คุณหญิงจึงบอกให้ถอดรองเท้าก่อน เขาทำเป็นนึกได้รีบถอดรองเท้า “อยู่อังกฤษไม่เคยได้ใส่บาตรเลยไม่รู้เป็นธรรมดา” พระองค์หญิงตรัสอย่างเอ็นดู
“ขอประทานอภัยกระหม่อม” ชัยบดีแกล้งทำเก้ๆกังๆฉวยโอกาสแตะมือคุณหญิงที่ช่วยส่งของให้จนคุณหญิงเขิน
ooooooo
หลังจากเข้าใจและญาติดีกับลัดดาแล้ว วันนี้ สโรชามาส่งพิสิฐกับลัดดาที่จะไปประชุมและพักผ่อนที่ต่างประเทศ พิสิฐกำชับก่อนไปว่า เรื่องงานเปิดตัวโครงการทำดีๆล่ะ
“ไม่ต้องห่วงค่ะป๊า ตอนนี้ลูกก็เอาน้ำมนต์มาเป็นผู้ช่วยอยู่ใกล้ๆ จะได้ช่วยกันคิด ป๊าประชุมเสร็จ เที่ยวเสร็จ กลับมาคงพอดีเวลางานเปิดตัวโครงการนั่นแหละ”
“ไปทูลเชิญพระองค์หญิงวิสุทธิโสภีด้วย โครงการนี้เกิดไม่ได้ ถ้าไม่ทรงขายที่ดินให้” สโรชาบอกว่าตนก็ตั้งใจอยู่เหมือนกัน “อ้อ...แหวนคุณวิศรุตที่ลูกยืมไปน่ะ ไปหามาคืนซะ พ่อขี้เกียจโดนถอนหงอกรู้ไหม”
สโรชารู้สึกเหมือนถูกทิ้งระเบิดใส่ เธอมองรถที่ขับเคลื่อนออกไปหน้าเสีย ว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที พอกลับเข้าไปก็เคี่ยวเข็ญน้ำมนต์ว่าตนไม่รู้จะไปหาที่ไหนแล้วให้น้ำมนต์ช่วยหาให้ที
บังเอิญน้ำมนต์มีเรื่อง เพราะมาริโอคนรักเก่าที่หายหน้าไปสองปีส่งดอกไฮเดรนเยียมาแทนคำขอโทษ พอดีประพันธ์ก็เอาดอกไม้มาให้น้ำมนต์ พอเห็นมาริโอมาดเท่เขาก็ถอยไปอย่างเงียบเชียบ น้ำมนต์คืนดอก
ไฮเดรนเยียให้มาริโอบอกว่าไม่ต้องขอโทษเพราะตนถือเขาเป็นเพื่อนเท่านั้น มาริโอออดอ้อน แต่แม็กกี้แฟนใหม่โผล่มาแสดงตัวตบน้ำมนต์หาว่าแย่งแฟนตน
สโรชาเห็นเพื่อนโดนตบก็เข้าขวางและให้ รปภ.มาเอาตัวทั้งสองคนออกไป น้ำมนต์คลำปากที่ถูกตบบอกสโรชาว่า
“เออไอ้ลี่...เรื่องแหวนแกน่ะไว้ว่างค่อยหากันนะ วันนี้เดี๋ยวเคลียร์งานแล้วฉันจะกลับบ้าน เจ็บปากว่ะ นังบ้าเอ๊ย...”
“แกนี่สุดยอดเพื่อนเลย มีเรื่องเจ็บตัวยังคิดถึงเพื่อนอีก” สโรชานึกรักเพื่อนคนนี้ขึ้นอีกพะเรอเกวียน พอดีหันไปเห็นตู้เบเกอรี่ที่วางอยู่หน้าห้องอาหารเลยฉุกคิดอะไรขึ้นมา
ooooooo
สโรชาไปที่เรือนพลับพลึง ธาราบอกว่าวิศรุตพาแขกไปตลาดน้ำ เธอพูดแก้เกี้ยวว่าขับรถผ่านมา เลยแวะเข้ามาไม่คิดว่าจะมาเจอวิศรุตหรอก
ธารายกโฮมเมดเค้กมาเสิร์พ สโรชาบอกว่ากำลังอยากรับประทานพอดี พอชิมแล้วชมว่าอร่อยวางขายที่ไหนหรือเปล่า ธาราบอกว่ายังเลยจะเปิดร้านก็ไม่มีทุน สโรชาบอกว่าถ้าจะเปิดร้านให้บอกจะหาพื้นที่ฟรีให้ ธาราถามว่าจริงหรือ
“จริงสิ ไปวางที่ห้องอาหารสโรชา ที่โรงแรมก่อน แล้วพอเปิดโครงการใหม่ ลิลลี่ให้พื้นที่ขายห้องนึงเลย เอ้อ...ในฐานะที่เป็นเพื่อนคุณวิศรุต”
ธาราดีใจสุดๆ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก พอดีประพันธ์เดินหน้าเครียดเข้ามา สโรชาดีใจเพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย
จากการคุยกับสโรชา ค่ำนี้ประพันธ์เอาช่อกุหลาบแดงไปให้น้ำมนต์ที่บ้านบอกว่ามาเยี่ยมคนป่วย พร้อมทั้งยาทาแผลให้ น้ำมนต์ถามว่าใครบอกเนี่ย ยุ่งจริงเลย แต่ยังไม่เปิดประตูให้ จนประพันธ์อ้อนว่าหิวน้ำจังเลย ขอกินน้ำเย็นสักแก้วน้ำมนต์จึงเปิดประตูให้เข้าบ้าน
ooooooo
ป้าหวานยังเอาของมาแลกผักจากเรือนพลับพลึง จึงรู้ว่าพลังพลึงกลับไปอยู่บ้านนอกแล้ว แกถามว่าแน่ใจหรือว่ากลับบ้านนอกท่าทางมันจะไปดีมีราศีจะตาย น่าจะไปได้ดีเป็นคุณนายเสียมากกว่า
วิศรุตสงสัยถามป้าหวานเอาจริงเอาจัง ป้าหวานก็เล่าฉอดๆอย่างออกรสว่า
“จริงๆนะ อย่างที่บอกนั่นแหละ ป้าเห็นเป็นประจำ แม่พลังพลึงน่ะ ผลุบเข้าผลุบออกกะเปิ๊บกะป๊าบน่าสงสัย กลางวันซ้อนมอเตอร์ไซค์วินออกไป เย็นมีรถเก๋งคันโก้มาส่งหอบข้าวของพะรุงพะรัง บางทีก็แต่งตัวซะซ้วยสวย ทาแป้งทาปากแดงแช้ดดด...บางทีก็แต่งตัวธรรมดา เหมือนอยู่บ้านนี่แหละ บางทีตอนออกใส่ชุดนึง ตอนกลับใส่อีกชุดก็มี แปลกไหมล่ะแม่คนนี้”
ฟังจากป้าหวานแล้ว วิศรุตคิดจะพิสูจน์ให้ได้ว่าพลับพลึงเป็นใครกันแน่? วางแผนจับเท็จโดยให้ริชาร์ดกับธาราร่วมมือ แล้วตัวเขาเองก็ไปเชิญสโรชามาที่เรือนพลับพลึงอ้างว่าให้มาชิมเค้กสูตรใหม่
ขณะเดินผ่านใต้ระเบียงนั้นเอง ริชาร์ดกับธาราทำเป็นเถียงกันแล้วทำน้ำหกรดใส่สโรชาจนเปียก วิศรุตขอโทษแทนทั้งสองแล้วให้ธาราพาสโรชาไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า และให้บอกว่าห้องพักเต็มให้เธอไปพักที่ห้องพลังพลึงแทน
สโรชาอาบน้ำสระผมเสร็จ คราบสโรชาถูกชะล้างไปหมดสิ้น เหลือแต่ตัวตนที่เป็นพลับพลึง เธอตกใจ เครื่องสำอางก็หายหมด เธอว้าวุ่นใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นประตูเปิดออกป้าหวานโผล่มาทักพลับพลึงว่าไหนว่ากลับบ้านไปแล้ว
เมื่อจับได้คาตาเช่นนี้ วิศรุตมองเธออย่างผิดหวังมาก ป้าหวานถามว่าแม่คนนี้ตกลงชื่ออะไรกันแน่ ธารากับริชาร์ดตอบพร้อมกันว่า สโรชา/พลับพลึง แล้วต่างก็สับสนกันเอง
สโรชาได้แต่ทำหน้าเหมือนคนอยากจะร้องไห้ต่อหน้าวิศรุตที่ได้แต่มองเธอด้วยสายตาที่ผิดหวังอย่างมาก
สโรชามาเล่าให้น้ำมนต์ฟังขณะเดินอยู่ในร้านขายของเก่า น้ำมนต์ถามว่าทำไมไม่ยืนกระต่ายขาเดียวไปเลยว่าตนไม่ใช่พลับพลึง ไม่ใช่! ไม่ใช่!! แล้วทำท่าเหวี่ยงสุดฤทธิ์
สโรชาบอกว่าหลักฐานแน่นหนาขนาดนั้นตนเหวี่ยงกลบเกลื่อนไม่ออกหรอก คาดว่าวิศรุตคงโกรธมาก น้ำมนต์บอกว่าจะเกลียดหนักขึ้นไปอีกถ้ารู้ว่าเธอ
ทำแหวนของเขาหาย สโรชาเร่งให้ช่วยหาของเก่าที่ใกล้เคียงที่สุด
ooooooo
ชัยบดีสร้างภาพเป็นคนดี วันนี้ก็ไปบริจาคเงินเป็นค่าอาหารและค่าใช้จ่ายต่างๆแก่เด็กในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เจ้าหน้าที่ขอบคุณและขอชื่อนามสกุลเพื่อเขียนใบเสร็จให้
พอดีสโรชาและน้ำมนต์เดินผ่านสถานสงเคราะห์นี้ สโรชาจะแวะเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการที่เราจะทำ CSR จัดห้องสมุดให้เด็กๆ เพื่อผลบุญจะช่วยให้วิศรุตหายโกรธได้บ้าง เผอิญเหยียบถูกพื้นลื่นถลาจะล้ม ชัยบดีออกมาพอดีเขาประคองไว้ทัน พอเห็นหน้าสโรชาก็เกิดปิ๊งทันที สโรชาขอบคุณและน้ำมนต์ก็รีบเข้าแทรกทันที
พอเดินคล้อยหลังมาน้ำมนต์ถามว่า
“เอาสมุดเช็คมารึเปล่าคะคุณสโรชา เผื่ออยากบริจาค”
ชัยบดีได้ยินชื่อ เขาพึมพำอย่างติดใจว่า...ชื่อ สโรชา...
วันนี้ขณะสโรชานั่งทำงานอยู่ จู่ๆก็มีจดหมายจากสถานสงเคราะห์ในนาม “วิศรุต มรุพงษ์” มาวางตรงหน้า วิศรุตถามว่าตนไม่ได้บริจาคแล้วจดหมายขอบคุณมาได้อย่างไร สโรชาอ้างว่าไหนๆเขาก็ทำงานให้คุณพ่อตนเลยทำบุญเผื่อ
นอกจากไม่ขอบใจแล้ววิศรุตยังไม่พอใจบอกว่าเธอเป็นคนบริจาคก็ควรใส่ชื่อจริงของตัวเองหรือชอบหลอกลวงอย่างนี้ไม่เหนื่อยบ้างหรือ แล้วเขาก็เอาถุงเครื่องสำอางคืนให้บอกว่าธาราฝากมาคืน สโรชาทำหน้างง
“ผมให้ธาราเอามาจากกระเป๋าคุณเอง มันพิสูจน์ความจริงให้ผมได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คุณสโรชาผมไม่ใช่ คนที่เห็นความจอมปลอมเป็นเรื่องสนุกเหมือนคุณหรอกนะ”
วิศรุตพูดแล้วก็เดินไปทันที สโรชาวิ่งไปขวางไว้ บอกด้วยสีหน้าอ้อนวอนว่า
“แต่ฉันมีเหตุผลนะคะ”
ooooooo
สโรชาวิ่งตามมาขวางบอกว่าตนมีเหตุผล และเธอก็ชี้แจงเหตุผลของตน ในขณะที่วิศรุตยืนฟังหน้าเครียด
“มันเริ่มจากการตกกระไดพลอยโจน ฉันไม่ได้ตั้งใจหลอกคุณเลย...” แล้วเธอก็เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจสุดฤทธิ์ เริ่มจากเธอยังเบลอๆ เพราะความตกใจเลยตอบคำถามไม่ชัด นับแต่ที่บอกว่ามาจากแอลเอ เขาก็เข้าใจว่าเป็นร้อยเอ็ด ส่วนชื่อเขาก็เรียกเองว่า พลับพลึงตนจึงเลยตามเลย การศึกษาบอกว่าจบการตลาด เขาก็ฟังเป็นอยู่ตลาด
แต่คำชี้แจงของสโรชาไม่อาจทำให้วิศรุตหายเคืองได้ หาว่าเธอมาอยู่ที่โฮมสเตย์ปกปิดสถานะที่แท้จริงว่าเธอคือสโรชา สุนทรเกษม ทายาทเศรษฐีพันล้าน ถามว่า
“คุณทำเพื่ออะไร? สนุกเหรอที่ได้ปั่นหัวคนอื่นให้เข้าใจผิด สนุกที่เห็นตนเป็นไอ้โง่!!”
พอดีนารีมาบอกว่า “ท่านประธานทราบว่าคุณวิศรุตมาก็เลยให้มาเรียนเชิญที่ห้องค่ะ”
วิศรุตบอกพิสิฐว่าเรื่องซื้อขายที่ดินเรียบร้อยแล้วต่อไปตนก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาที่นี่อีก พิสิฐรู้ว่าวิศรุตยังโกรธสโรชาเขาตำหนิตัวเองว่าเลี้ยงลูกไม่ดีเองจะโกรธก็โกรธตนเถอะ
ด้วยศิลปะการเจรจาที่แพรวพราว ในที่สุดพิสิฐก็หว่านล้อมให้วิศรุตร่วมกันไปเชิญพระองค์หญิงมาร่วมเปิดตัวโครงการลิลลี่คอมเพล็กซ์กันได้สำเร็จ สโรชารีบอวยว่า
“พระองค์หญิงคงดีพระทัยหากคุณไปเฝ้าและมอบการ์ดเชิญให้ท่าน”
“ไปพร้อมกันนะคุณวิศรุต ผมถือว่าคุณคือผู้ร่วมบุกเบิกให้เกิดโครงการเหมือนกัน” พิสิฐรวบรัดเนียนๆ
ooooooo
ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ชัยบดีแกล้งทำใบเสร็จที่ทางสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าออกให้หล่น และคุณหญิงประสงค์สมเก็บได้เอาไปให้เขา บอกว่าเพิ่งทราบว่าที่เขาออกไปข้างนอกเพราะทำกิจกรรมการกุศลนี่เอง
ชัยบดีทำเป็นยิ้มเขิน แต่พูดเป็นคุ้งเป็นแควว่านี่เป็นสิ่งที่ตนชอบทำ แม่สอนว่ายิ่งให้ก็ยิ่งได้ โลกนี้มีคนยากลำบากกว่าเรามากมาย วันไหนมีมากก็ควรเอาส่วนเกินไปแบ่งคนอื่นบ้างเท่านั้นเอง พูดจนคุณหญิงเคลิ้ม ศรัทธาในความคิดของเขา แล้วชัยบดีก็ทำทีว่ามีธุระจะไปดูอะไรสักหน่อย ชวนคุณหญิงไปด้วยกันไหม ด้วยความเชื่อในความดีของเขาคุณหญิงยิ้มรับ
ชัยบดีเล่นละครฉากใหญ่ เขาพาคุณหญิงไปที่สนามบอลโกลหนู ดูเด็กเล่น เมื่อเด็กทำคะแนนได้ก็ปรบมือและให้รางวัล บอกว่าให้เอาไปเป็นทุนการศึกษาบ้าง ให้ไปกินจิ้มจุ่มกันบ้าง ซ้ำใครเรียนดีก็จะให้รางวัลเพิ่ม เขาแสดงตนเป็นผู้ใหญ่ใจดีอย่างน่าศรัทธา เมื่อเห็นคุณหญิงตายใจจึงชวนไปหาอะไรทานกัน
คุณหญิงยิ่งรู้สึกสนิทใจเมื่อชัยบดีบอกว่าตนเข้าใจเด็กเหล่านี้ดี เพราะตนเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน ทำให้คุณหญิงยิ่งมีอารมณ์ร่วม ชัยบดีได้ทีตอกย้ำอีกว่า
“ตอนนี้เราสองคนอยู่ในฐานะเดียวกัน ได้รับพระกรุณาจากท่านยายเหมือนกัน ก็ควรกตัญญูต่อท่านยายให้มากๆ เพราะท่านทรงเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวของเรา...จริงไหมครับ”
“ค่ะ พี่วิศรุต” คุณหญิงตอบยิ้มปลื้มในตัวชัยบดีอย่างไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมเขา
ooooooo
เมื่อวิศรุต พิสิฐ และสโรชา มาเรียนเชิญพระองค์หญิงไปงานเปิดตัวโครงการลิลลี่คอมเพล็กซ์ ท่านรับเชิญด้วยความยินดีและจะพากันไปทั้งหมด ยังความปลื้มปีติแก่ทั้งสามยิ่งนัก
เมื่อออกมาหน้าวัง สโรชาชมว่าเป็นความดีความชอบ ของวิศรุตที่ทำให้พระองค์หญิงยอมเสด็จไปร่วมงาน วิศรุตพูดอย่างเย็นชาว่าตนแค่ทำตามหน้าที่ สโรชาอด เหน็บไม่ได้ว่าแน่ใจหรือว่าทำตามหน้าที่ เพราะเขาเข้าออกวังก่อนที่จะเจอกับป๊าตน และคุณหญิงประสงค์สมก็โปรดเขา พระองค์หญิงก็โปรด เขาน่าจะรู้สึกได้
“คนในวังจะคิดยังไงไม่สำคัญ เพราะผมมาที่นี่เพื่อทำงานให้พ่อคุณ และวันนี้ผมทำหน้าที่ที่คุณพิสิฐมอบหมายให้เรียบร้อยแล้ว คงไม่จำเป็นต้องมาเจอ
คนที่นี่ และ...คุณอีก” พูดแล้ววิศรุตเดินแยกไปเลย พิสิฐ ตามมาถึงถามสโรชาว่า ทำไมวิศรุตไม่กลับพร้อมเรา สโรชาได้แต่นิ่ง เพราะไม้รู้จะตอบอย่างไร
ooooooo
สโรชาพยายามง้อวิศรุตกระทั่งกลับไปทำอาหาร เช้าสุดฝีมือเพื่อขอโทษ แต่ธาราบอกว่าสายไปแล้ว เพราะวิศรุตเดินทางไปต่างประเทศหลังจากนั่งอ่านจดหมายจากแนนซี่
กว่าจะรู้ว่าวิศรุตเดินทางไปไหนก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ด้วยความคุ้นเคยและเดาเก่ง ในที่สุดเธอก็รู้ว่าวิศรุตไปเวนิส อิตาลี เธอกลับมาจัดกระเป๋าตามไปทันที ไปถึงโทร.บอกน้ำมนต์ น้ำมนต์ถามว่าจะตามเจอหรือเวนิสไม่ใช่ตลาดน้ำขวัญเรียมนะ
“ฉันเชื่อว่าหัวใจจะพาฉันไปเจอเขาได้แน่ แค่นี้นะ ฉันจะเอาของไปเก็บที่พักแล้ว”
สโรชาวางสายเลย น้ำมนต์ได้แต่เอาใจช่วยว่า “หวังว่าหัวใจแกจะนำไปถูกทางนะยะ”
สโรชาออกตามหาวิศรุตทันที เริ่มจากที่ถนนหน้าที่พัก ไปจนถึงสวนสาธารณะ แต่พอเดินถึงสามแยกเธอเห็นวิศรุตเดินอยู่อีกฟากหนึ่ง เธอรีบวิ่งไปหาแต่ระหว่างนั้นถูกโจรชิงกระเป๋าไป เธอร้องขอความช่วยเหลือและเสียหลักหงายจะล้ม มือหนึ่งมาประคองไว้ทัน พอมองหน้าเธออุทานดีใจสุดชีวิต
“คุณวิศรุต!”
วิศรุตเองก็แปลกใจไม่แพ้กันที่มาเจอเธอที่นี่ แต่ความโกรธยังคุกรุ่น หลังจากช่วยประคองเธอไว้แล้วเขาก็เข้าไปนั่งดื่มกาแฟกับแนนซี่ ไม่สนใจเธอเลย สโรชายืนหนาวอยู่ข้างนอกมองเข้าไปในร้านกาแฟบ่นอย่างน้อยใจว่า
“คนบ้า คนใจร้าย ฉันลำบากขนาดนี้ยังทำไม่สนใจอีก”
แนนซี่สงสารเอากาแฟมาให้ดื่มถามว่าทำไม
ไม่เข้าไปในร้าน สโรชาบอกว่าตนถูกกระชากกระเป๋าไม่มีอะไรเหลือเลย พูดอย่างน้อยใจว่าตนมาคนเดียว
“ส่วนคนที่รู้จัก เขาไม่สนใจหนูเลย ทั้งที่หนูอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลเดินจนส้นรองเท้าหักมาหาเขาถึงนี่ จะถามสักคำว่าเป็นยังไงบ้างก็ไม่มี”
“เป็นไงบ้างครับ” วิศรุตเดินเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมของแนนซี่ สโรชาดีใจมาก แต่แล้วก็สลดวูบเมื่อเขาพูดกับแนนซี่ว่า “ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องออกมาก็ไม่เชื่อ เรากลับกันเถอะครับ แนนซี่” พลางเอาเสื้อคลุมให้
สโรชาจึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือแนนซี่ ไม่ทันไรทั้งสอง ก็ควงกันเดินจากไป ในนาทีนี้สโรชาที่ไม่เหลืออะไรแล้ว แต่เมื่อเจอวิศรุตแล้วก็จะไม่ยอมปล่อยเขาไป เธอเดินตามไปจนแนนซี่สงสาร บอกสโรชาว่า เขาไม่ช่วยหนูฉันจะช่วยเอง สโรชาดีใจแทบกระโดด ในขณะที่วิศรุตหนักใจขึ้นมาทันที
ooooooo
แนนซี่พาสโรชามาอยู่ในห้องเดียวกันในโรงแรม และดูแลเธออย่างดีหาเสื้อผ้าใหม่ให้ใส่ สโรชารู้สึกอบอุ่นบอกว่าไม่เหมือนใครบางคนที่แล้งน้ำใจที่สุด
“ปกติวิศรุติเขาไม่ใช่คนแล้งน้ำใจหรอกนะจ๊ะ เวลาที่เขาทำนิ่งเฉย ดูเขาเย็นชา มักอยู่ในอารมณ์ที่ผิดหวังหรือโกรธอยู่” สโรชาเลียบเคียงว่าแนนซี่รู้ใจวิศรุตจังเลย พอแนนซี่บอกว่าเห็นเขามาแต่แรกเกิดจนโตยืนหยัดอยู่ด้วยตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ เธอทำใจกล้าถามว่า
“แล้วเรื่องความรักล่ะคะ แนนซี่รู้เรื่องความรักของวิศรุตด้วยหรือเปล่า เขาเคยชอบใครบ้างไหมคะ”
“เท่าที่ฉันเห็นมีสองคนนะ คนที่วิศรุตชอบคนแรกเป็นผู้หญิงซื่อๆ ดูน่ารัก สดใส จริงใจ ส่วนอีกคนเป็นสาวเก่ง มั่นใจตัวเอง แต่ติดจะเอาแต่ใจ แล้วก็ขี้โมโห”
สโรชานึกรู้ทันทีว่าหมายถึงพลับพลึงและสโรชา แกล้งถามแนนซี่ว่าแล้วเขาชอบคนไหนมากกว่ากัน
“ฉันเดาไม่ถูกหรอกว่าเขาชอบคนไหนมากกว่ากัน”
สโรชายิ้มปลื้ม เดาไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาชอบพลับพลึงหรือสโรชา แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ลิลลี่ก็พร้อมจะเป็น...
ooooooo
เช้านี้ วิศรุตไปวิ่งออกกำลังกายกลับมาก็เห็นบนโต๊ะมีถาดใส่อาหารเช้าเป็นไข่ดาวรูปหัวใจ กาแฟ และดอกไม้แจกันเล็กๆ พร้อมกระดาษโน้ตเขียนว่า
“ฉันกับแนนซี่จะรอที่ล็อบบี้นะ ปล.ไข่ดาวฉันสั่งพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ”
อ่านแล้ววิศรุตเผลอยิ้มออกมา พอนึกได้ว่าควรโกรธเธออยู่ก็ปั้นหน้าตึง วางกระดาษลง
เมื่อไปเจอกันที่ล็อบบี้ แนนซี่บอกว่าวันนี้ตนจะไปงานเปิดตัวหนังสือของนักเขียนคนโปรด สายๆค่อยมาเจอกัน ฝากวิศรุตให้เทกแคร์ลิลลี่ด้วย สโรชาดีใจรีบถามว่าเราจะไปไหนกันดี วิศรุตหน้าตึงบอกว่าเธอควรจะไปตามหากระเป๋ามากกว่านะ เมื่อวิศรุตยังมีท่าทีเย็นชา สโรชาบอกกับตัวเองว่า “ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอก”
แล้วในที่สุดวิศรุตก็ต้องเป็นไกด์นำเที่ยวให้เธอจนได้ เขาพาไปที่อนุสาวรีย์มาร์โคโปโล แล้วพาไปจัตุรัสซานมาร์โค ที่นั่นวิศรุตตกใจเมื่อสโรชาหายไป ตามเจอขณะเธอกำลังให้อาหารนกอยู่ เลยดุ...
“เดินห่างผมแบบนี้เกิดหลงขึ้นมาจะทำยังไง เจอกันครั้งแรกคุณก็เจอโจรไล่ทำร้าย มาที่นี่ก็เจอโจรกระชากกระเป๋าอีกชีวิตคุณนี่จะรอดปากเหยี่ยวปากกาได้ไหมเนี่ย”
“รอดสิคะ เพราะทุกครั้งจะมีคุณวิศรุตอยู่ด้วย”
คำพูดและรอยยิ้มของเธอ ทำให้วิศรุตอดหวั่นไหวไม่ได้ ทั้งคู่มองกันเต็มตาแล้วเสทำเป็นให้อาหารนกแก้เกี้ยวมาถึงเจลาโต้ วิศรุตซื้อไอติมเจลาโต้ที่ได้ชื่อว่าอร่อยมากมาให้กิน สโรชาอร่อยจนเลอะปากเขาก็บ่นว่า
“กินเป็นเด็กไปได้คุณ เลอะหมด” แล้วก็เช็ดให้ จู่ๆนักท่องเที่ยวก็เดินชนสโรชาจนเกือบล้ม วิศรุตรับไว้ทัน สัมผัสนี้ทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ พอวิศรุตรู้ตัวก็รีบปล่อยมือ สโรชายิ้มกริ่มทำไม่รู้ไม่ชี้กินไอติมต่ออย่างมีความสุข
เจอกับแนนซี่ที่ท่าเรือ จึงลงเรือแท็กซี่ไปด้วยกัน แนนซี่เห็นวิศรุตยังหมางเมินกับสโรชา จนมาถึงทางเข้าบ้านจูเลียต แนนซี่เห็นวิศรุตเดินห่างออกไปถึงถามเบาๆ
“รักเขาแล้วยังโกรธเขาอยู่ทำไม ในเมื่อหัวใจบอกว่าใช่ จะลังเลอะไรอีก”
“ผมไม่ได้บอกว่ารักเขาสักหน่อย” พูดแล้วเดินเลี่ยงไป แนนซี่ได้แต่ส่ายหน้ากับความปากแข็งของเขาจนเย็น มาถึงท่าเรือกอนโดล่า แนนซี่ถามว่าสโรชายังไม่เคยนั่งเรือกอนโดล่าใช่ไหม บอกให้วิศรุตพาเธอนั่งเรือแล้วนัดเจอกันที่โรงแรมเลย แนนซี่ดันหลังทั้งสองลงเรือด้วยหวังว่าจะมีโอกาสเข้าใจกันเร็วขึ้น
แม้จะไม่ได้คุยกัน แต่อากาศหนาวและเที่ยวมาทั้งวัน สโรชาหลับซบไหล่วิศรุต เขามองอย่างอ่อนโยนเอ็นดู และอากาศเย็นลงอีกเขาก็เริ่มใจอ่อนโอบไหล่เธอไว้ให้ความอบอุ่น ท่ามกลางบรรยากาศยามพลบค่ำ...ที่เป็นใจ...
ooooooo
ในเมื่อวิศรุตยังปากแข็ง ขณะไปทานอาหารด้วยกันแนนซี่ออกอุบายให้พนักงานในร้านเอาดอกไม้ไปให้วิศรุตไปมอบแก่สโรชา เขากลับหาว่าเป็นแผนของเธอเองชอบทำอะไรไม่จริงใจ แทนที่จะดีกันเลยกลับกลายเป็นทะเลาะกัน
สโรชาโมโหจะพิสูจน์ความจริงใจของตน เธอถอดเสื้อโค้ตแล้วไปยืนที่ระเบียงริมน้ำทำท่าจะกระโดดลงไป วิศรุตตกใจเข้าไปกระชากตัวกอดไว้แน่นบอกว่า “พอแล้ว ผมไม่โกรธคุณแล้ว”
ประโยคนี้ประโยคเดียววิศรุต ทำให้สโรชารู้สึกโลกทั้งโลกสดใสขึ้นฉับพลัน เธอแอบกรี๊ดในใจ โอบกอดคอวิศรุตกระโดดจนเขาอดขำกิริยาแบบเด็กๆของเธอไม่ได้
แต่ดีใจสดชื่นกันไม่นาน สโรชาก็ถูกพิสิฐส่งคนมาตามตัวกลับโดยเตรียมเอกสารและพาสปอร์ตมาเรียบร้อย และให้คนไปเก็บของที่โรงแรมให้แล้ว สโรชาถามงงๆว่าพ่อรู้ได้ไง วิศรุตบอกหน้าตาเฉยว่า “ผมโทร.ไปบอกเอง!”
สโรชาหน้าละห้อยจำใจเดินตามคนของพิสิฐลงเรือไป แต่วิศรุตหายไปจากตรงนั้นแล้ว เขาไปยืนดูอยู่อีกมุมหนึ่ง จนแนนซี่บ่นว่า ทำตัวเป็นผู้ชายปากแข็งไปได้ เขาบอกว่าตนแค่ไม่อยากถือโทษใคร แนนซี่เองก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ แนนซี่ตอบอย่างรู้ทันหมั่นไส้ว่า
“จ้ะ...พ่อหลานชายผู้แสนดี...”
พอสโรชากลับถึงบ้าน พิสิฐเห็นสโรชาสดชื่นเป็นพิเศษก็ถามว่าวิศรุตหายโกรธแล้วใช่ไหม อย่างนี้ก็ให้กลับมาช่วยงานได้แล้วสิ สโรชาบอกว่าตนไม่ได้ถามเขา ที่จริงเธอไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่
ooooooo
ในวันเปิดตัวโครงการลิลลี่คอมเพล็กซ์ เสมือนเป็นการประกาศเปิดตัวทายาทพระองค์หญิง “วิศรุต ราชโยธิน” ไปด้วย นักข่าวต่างสนใจกรูกันมาถามว่า คุณวิศรุตไปอยู่ไหนมา ทำไมไม่เคยเห็นหน้า
ชัยบดีทำเขินบอกว่าตนเป็นคนธรรมดาไม่ใช่ดารา นักข่าวคนหนึ่งบอกว่า
“โอ๊ย!! เปิดตัวทายาทหนุ่มแห่งวังเทวาสถิตย์ไม่ธรรมดาล่ะค่ะ”
สโรชาได้ยินพึมพำ “ทายาทวังเทวาสถิตย์งั้นเหรอ ...ไม่ใช่มั้ง?” พลางจะเดินเข้าไปหาสื่อ ถูกวิศรุตดึงไว้ถามดุๆว่า
“คุณจะทำอะไร สโรชา!”
สโรชาสงสัยและไม่เชื่อว่าชัยบดีจะเป็นทายาทของวังเทวาสถิตย์ ส่วนวิศรุตสงสัยว่ามีคนมาแทนที่ตัวเองได้อย่างไร?
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของคุณชาย
พิริยพงษ์และจริยาตลอดเวลา จนกระทั่งพระองค์หญิงเสด็จกลับ ชัยบดียื่นแขนให้ท่าเกาะทำท่าโก้หล่อเท่เต็มที่ ขณะเดินผ่านคุณชายและจริยา ชัยบดีชำเลืองมองทั้งสองแอบยิ้มให้ คุณชายฝืนยิ้มให้ จริยามองสโรชาและวิศรุตแล้วยิ้มเยาะ สบตากับคุณชายแล้วแยกย้ายกันไป
ooooooo
หลังจากการเปิดตัว “วิศรุต ราชโยธิน” แล้ว กลับถึงบ้านวินิตาสงสัยว่าทำไมคุณชายพิริยพงษ์ ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ตนฟัง จริยาบอกว่า คุณชายบอกว่าท่านยายอยากให้เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนจนกว่าจะพร้อม
พลโทวินิตมาได้ยิน ซักถามจนรู้ว่าวิศรุตคนนี้เป็นลูกชายของท่านหญิงกิรติโสภณ พลโทวินิตสะเทือนใจเฮือก รุ่งขึ้นจึงไปที่ที่ดินริมน้ำ เจอวิศรุตอยู่กับเด็กเฝ้าที่แทนลุงหมาก วิศรุตรู้ว่าวินิตเป็นพ่อ แต่วินิตไม่รู้ว่าเขาเป็นใครนึกว่าเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดิน
วิศรุตบอกว่าเขาไม่ใช่นายหน้า พาวินิตไปดูโฮมสเตย์ วินิตชอบใจมากไม่นึกว่าในกรุงเทพฯจะมีสถานที่อย่างนี้อยู่อีก
จนเมื่อได้เห็นกอพลับพลึงที่สวยงามมากมายและได้รับการดูแลอย่างดี เขาถามว่าวิศรุตชอบพลับพลึงหรือ
“พลับพลึงเป็นดอกไม้ที่แม่ผมชอบครับ”
วินิตชะงักไปเล็กน้อย หันกลับไปมองแปลงพลับพลึง นึกถึงท่านหญิงกิรติโสภณขึ้นมาทันที
วิศรุตสังเกตปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่อเงียบๆ
คืนนี้เขาอดคิดถึงคำถามของสโรชาที่ว่า นายคนนั้นมีอะไรมาอ้างว่าเป็นทายาท คิดแล้วก็พลิกดูมือตัวเองที่บัดนี้ไม่มีแหวนของแม่อยู่แล้ว...
“นั่นสิ... ถ้าไม่ใช่แหวน เขาจะเอาอะไรมาอ้าง... แนนซี่จะว่ายังไงเนี่ย” วิศรุตมองรูปแนนซี่ เชื่อว่าตนต้องถูกดุเป็นแน่
ooooooo
คุณชายพิริยพงษ์จะชวนชัยบดีไปข้างนอก จึงเข้าไปขัดจังหวะขณะเขากำลังนวดให้พระองค์หญิง อ้างกับท่านย่าว่าจะชวนพี่ชายไปเปิดหูเปิดตา
พระองค์หญิงถามว่าจะไปไหนกัน ชัยบดีรีบบอกว่าคงจะพาไปคุยเรื่องงาน ดีเหมือนกันเพราะอยู่เฉยๆ มานาน ประเดี๋ยวเงินเก็บจะร่อยหรอต้องแบมือขอท่านยายตลอดก็ไม่ดี
พอออกมาพ้นจากท่านย่าคุณชายปรามชัยบดีว่าอย่าล้ำเส้น ชัยบดีบอกว่าตนทำหน้าที่ของตนเพื่อให้ได้ความรักจะได้มรดกไวๆ ทำเคลิ้มกับมรดกที่จะได้ พอถูกคุณชายจ้องหน้าก็กะล่อนว่า “เออน่า...ผมไม่ลืมหรอกว่าเราต้องแบ่งกัน”
บังเอิญคุณหญิงได้ยินถามว่าแบ่งอะไรกัน คุณชายตกใจถามคุณหญิงว่ามาตั้งแต่เมื่อไร คุณหญิงบอกว่าเข้าไปรื้อตู้หยิบของจะเอาไปใช้ในห้องเครื่อง เดินมาก็พอดีได้ยินพี่ชายพูดว่าแบ่งอะไรกัน ถามว่าแบ่งอะไรหรือ คุณชายกะล่อนไม่พอคิดไม่ทัน ชัยบดีชิงตอบว่า
“แบ่งกันดูแลน้องหญิงไงครับ ที่เรานัดกันเมื่อคืนไงครับ จะไปกันหรือยัง”
ที่นัดกันไว้คือจะไปขอโทษสโรชาที่ไม่ได้เล่าเรื่องพี่ชายคนใหม่ให้ฟัง เมื่อไปพบกัน คุณหญิงชี้แจงว่า
“ต้องอดใจปิดปากเงียบอยู่ตั้งนาน ก็ท่านย่าสิคะ รับสั่งให้รอเวลาเหมาะๆก่อน”
สโรชาชมว่าเป็นการเปิดตัวที่น่าทึ่งมาก ทำให้งานของโรงแรมมีสีสันทันที จ้องหน้าชัยบดีแล้วถามว่าเหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน ชัยบดีบอกว่าเธอจำตนไม่ได้แต่ตนจำเธอได้แม่น เราเจอเคยกันที่บ้านเด็กกำพร้า สโรชาจึงจำได้ว่าที่วันนั้นเขาช่วยเธอไว้ไม่ให้ล้ม ทำให้มีความรู้สึกดีๆกับเขาขึ้นมา
และยิ่งเมื่อคุณหญิงเล่าถึงการไปดูเด็กเล่นบอลและแจกทุนการศึกษาเป็นรางวัลสโรชาก็ยิ่งทึ่ง
“นี่แหละค่ะพี่ชายคนใหม่ ที่หญิงภูมิใจแนะนำให้คุณสโรชารู้จัก” คุณหญิงยิ้มปลื้ม ชัยบดีทำเป็นเขิน
ชัยบดีตื่นตาตื่นใจกับความใหญ่โตโอ่โถงของบ้านพิสิฐ เมื่อเดินห่างจากคุณหญิง สโรชาถามชัยบดีว่าก่อนมาปรากฏตัวเขาไปอยู่ที่ไหนมา ชัยบดีบอกว่าตนตอบนักข่าวเมื่อคืนมาแล้วแต่เมื่อเธอถามก็จะตอบอีกครั้ง
“ผมไปอยู่ทางใต้หลายปี ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับชาติกำเนิดตัวเอง จนกระทั่งเจอแหวนที่แม่เก็บไว้แล้วก็เขียนสั่งให้ผมนำมาถวายท่านยาย เรื่องก็มีอยู่แค่นี้” สโรชาบอกว่าอยากเห็นแหวนจังคงสวยมาก “คืนท่านยายไปแล้วครับ ถ้าคุณอยากเห็น เจอกันคราวหน้าผมจะสวมมาให้ดู”
สโรชาพยักหน้าทำเป็นเชื่อ แต่พอพ้นสายตา ชัยบดีสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปทันที
วันต่อมา สโรชาเล่าให้น้ำมนต์ฟัง น้ำมนต์บอกว่าถ้าเป็นแหวนวงเดียวกันจะฉกมาเฉยๆคงไม่ได้ สโรชาบอกว่าถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที แต่ถ้าเขาคือคนที่เจอที่บ้านเด็กกำพร้าก็ไม่น่าจะเป็นคนเลวร้ายอะไรนัก
ooooooo
วันต่อมา ขณะที่น้ำมนต์คุยกับสโรชามาตามทางเดินในโรงแรมนั้น วิศรุตได้ยินชื่อตนจึงแอบฟัง
สโรชาบอกว่าสำหรับวิศรุตนั้นตนไม่ได้เห็นเขาเลอเลิศอะไรแต่เห็นครั้งแรกก็....น้ำมนต์แทรกทันทีว่า
“แกปิ๊งเค้า ฉันรู้ แถมแกยังเป็นเด็กมีปม เกลียดแม่เลี้ยงจนน่าหมั่นไส้ บ้านช่องไม่อยากอยู่ การที่แกหนีตัวเองไปสร้างตัวตนใหม่ มันก็เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว...คือหนีสิ่งที่ไม่ชอบแล้วก็ได้เรียนรู้โลกใหม่” สโรชาบอกว่าน้ำมนต์เข้าใจตนดีกว่าตนเข้าใจตัวเองอีก “ก็ฉันเป็นเพื่อนแกมาสิบกว่าปี ถึงบางเรื่องที่แกทำ ฉันจะไม่เห็นด้วย แต่ฉันยอมรับในเหตุผลของแกเสมอแหละ ไม่งั้นจะเรียกเป็นเพื่อนเหรอ”
“แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณวิศรุตเขาจะโกรธฉันอีกไหมนะ ถ้ารู้ว่าฉัน...”
พอดีรถเข็นผ่านมาทั้งสองจึงหยุดคุยกัน แล้วโอบไหล่กันเดินไปอีกทาง
วิศรุตเสียดาย สงสัยสิ่งที่สโรชาพูดค้างไว้ว่าเธอจะพูดอะไร?
ooooooo










