ตอนที่ 1
27 ปีก่อน...
ณ โถงวังเทวาสถิตย์ มีงานพิธีหมั้นจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ดอกไม้สดสวยบานสะพรั่งทุกแจกัน เป็นพิธีหมั้นระหว่าง หม่อมเจ้าหญิงกิรติโสภณ กับพันโทวินิตนายทหารหนุ่ม มีวงดนตรีไทยบรรเลงเพลงหวานตลอดเวลา...
พระองค์หญิงวิสุทธิโสภีกับพระองค์เจ้ามรุพงษ์ประพัฒน์ ประทับที่เก้าอี้ประธาน อีกด้านเป็นนายพลผู้มาเป็นผู้ใหญ่ของพันโทวินิต
“ลูกสาวเรายังเด็กนัก นี่ถ้าไม่ใช่ท่านแม่ทัพมาเป็นเถ้าแก่ เห็นทีจะไม่ยกให้ละ” พระองค์เจ้ามรุพงษ์ประพัฒน์เอ่ย
“เป็นพระกรุณา กระหม่อมเองก็เมตตาผู้พันวินิต พ่อแม่รึก็สิ้นเสียแต่ยังเยาว์ ทิ้งไว้แต่มรดกมากมาย ถึงร่ำรวยเป็นหนุ่มเนื้อทอง ก็น่าสงสาร” นายพลเย้าหยอกสร้างบรรยากาศ
ม.จ.กิรติโสภณ สบตาเขินพันโทวินิตเขินๆ
“เงินทองมีไว้มันก็ดี แต่ถ้าเป็นคนดีมีศีลมีธรรม รักเดียวใจเดียว จะยิ่งวิเศษ จริงไหมคะ” พระองค์หญิงเอ่ย
“จริงที่สุดกระหม่อม” นายพลยิ้มแย้ม ผู้ใหญ่
ทั้งสามสรวลเสกันอย่างรื่นรมย์
พระองค์หญิงหันไปมองนาฬิกา เป็นเวลา เก้าโมงห้านาที
ooooooo
ที่ห้องเตรียมอาหารในวัง...
สาวใช้ทยอยยกถาดอาหารจากในครัวมาตั้งเตรียม ทิวาเอ่ยกับราตรีและเพื่อนๆว่า
“ทรงสนทนารอฤกษ์อยู่ เร็ว...เร้ว...จะสวมแหวนแล้ว พวกเราออกไปดูกัน” บรรดาสาวคึกคักตื่นเต้น ทิวากับราตรีประคองถาดเครื่องน้ำชาและของว่างเดินตามกันออกไปวางที่มุมโถง แล้วรีบลงนั่งชะเง้อดูพิธีอย่างปลาบปลื้ม
พระองค์หญิงเหลือบมองนาฬิกา ใกล้จะเก้าโมงเก้านาทีแล้ว จึงหันมองท่านนายพล
“สวมแหวนท่านหญิงได้แล้ว วินิต” ท่านนายพลเอ่ย พันโทวินิตหยิบแหวนจากกล่องที่เปิดอยู่ หยิบแหวนออกมา เอื้อมไปรับมือท่านหญิงที่ค่อยๆยื่นออกมา แหวนกำลังแตะที่ปลายนิ้วนางเรียวงาม
“หยุดเดี๋ยวนี้!!” เสียงแหลมปานฟ้าผ่าดังก้องจนทุกคนสะดุ้ง “ฉันไม่ยอมให้คุณหมั้นกับใครเด็ดขาด คุณวินิต!”
พระองค์หญิงตวาดถามว่า “เธอเป็นใคร บังอาจเข้ามาแสดงกิริยาหยาบในวังของฉัน”
“กราบขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันชื่อจริยา เป็นภรรยาของคุณวินิต”
“หล่อนเป็นเมียผู้ชายคนที่กำลังจะหมั้นกับลูกสาวฉันงั้นรึ!” พระองค์เจ้ามรุพงษ์ประพัฒน์ลุกยืน
“ไม่ใช่แค่เมียเพคะ แต่กำลังเป็นแม่ของเด็กในท้องนี่” จริยาก้มมองท้องตัวเอง
“ท้อง!!” หม่อมเจ้าหญิงอุทาน มองหน้าวินิต ในขณะที่จริยายังประกาศให้รู้ทั่วกันว่า
“ใช่! ฉันจำเป็นต้องมาทวงสิทธิ์ให้กับลูก...ไม่ให้น้องเกิดมาโดยไม่มีพ่อ!”
วินิตหน้าซีดสนิทมองหน้าหม่อมเจ้าหญิงขยับถอยออก พยายามจะชี้แจงว่าตนไม่...ไม่...จริยาถามทันทีว่า
“ไม่ปฏิเสธใช่ไหมคะคุณวินิต ว่าคุณกับฉันเป็นอะไรกัน คุณก็รู้ว่าคุณไม่มีสิทธิ์แต่งงานกับใคร นอกจากฉัน!”
ท่านนายพลลุกยืนค้อมไหว้พระองค์เจ้ามรุพงษ์และพระองค์หญิงซึ่งยืนหน้าตึงเครียด หม่อมเจ้าหญิงกิรติโสภณร้องไห้วิ่งหนีออกไปจากโถงขึ้นห้องบรรทม จริยามองตาม ยิ้มอย่างพอใจ ส่วนวินิตพยายามหว่านล้อมจริยา
“ออกไปจากวังของฉันไป ไปให้พ้น แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก!!” พระองค์เจ้ามรุพงษ์ประพัฒน์ตวาดไล่
พันโทวินิตกราบบาทแล้วถอยออก จริยาสะบัดตามไป ท่านนายพลเดินตามออกไปอีกคน
ทุกคนในงานแตกตื่นตกใจ พระองค์เจ้ามรุพงษ์ เหวี่ยงหัตถ์ปัดแจกันดอกไม้แตกกระจาย ดอกไม้ที่เบ่งบานกลีบปลิดปลิวกระจาย...
ooooooo
หม่อมเจ้าหญิงกิรติโสภณ...นอนร้องไห้น้ำตาไหลพราก...ลุกเดินไปที่หน้าต่าง...ก้มมองท้องตัวเอง... เศร้า...เครียด...
ที่หน้าห้องบรรทม พระองค์เจ้ามรุพงษ์กับพระองค์หญิง เดินไปมาเครียดหนัก...
“ลูกหญิงไม่ออกจากห้องเลยเพคะ”
“ไอ้ผู้ชายสารเลว มีเมียมีลูกแล้วยังมีหน้าพาแม่ทัพภาคมาสู่ขอลูกเรา”
“ลูกหญิงรักผู้ชายคนนี้มากด้วยเพคะ”
“นี่ถ้ามันมาทำผิดประเพณีกับลูกเรา แบบที่ทำกับผู้หญิงคนนั้นล่ะก็...จะฆ่าเสียให้ตายทั้งคู่เลย”
หลังประตูในห้องบรรทม... ม.จ.กิรติโสภณ ได้ยินทุกถ้อยคำที่พ่อพูด ก้มมองท้องตัวเองอย่างหวาดหวั่น...
คืนหนึ่งหลังจากนั้น... ม.จ.กิรติโสภณ เก็บเสื้อผ้าจากตู้ หยิบกล่องแหวนในโต๊ะออกมาเปิดดูแล้ววางในกระเป๋าเดินทาง เปิดหน้าต่างมองออกไปเบื้องล่างอย่างระแวดระวัง...
“หม่อมเจ้าหญิงกิรติโสภณ จำเป็นต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต แบบที่คนไทยเรียกว่าไปตายเอาดาบหน้านั่นแหละ...” แนนซี่เพื่อนรักของหม่อมเจ้าหญิงที่อยู่อังกฤษ รำพึงอย่างเข้าใจและเห็นใจ
จนเมื่อเวลาผ่านไป...แนนซี่มองหม่อมเจ้าหญิงเพื่อนรัก ที่ไกวเปลกล่อมทารกเพศชาย แนนซี่เอ่ยยิ้มๆ...
“เธอเลือกที่จะเลี้ยงเด็กชายน้อยคนนี้เพียงลำพังในต่างแดน อาจเป็นเพราะเธอรักผู้ชายคนนั้นมาก จนไม่อยากให้บิดาไปทำร้ายเขา หรืออาจจะเพราะเธอต้องการรักษาพระเกียรติของสกุลวงศ์...” จนเวลาผ่านไป 6 ปี จึงได้รับคำตอบว่า
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ฉันต้องหักใจอย่างมากที่จะไม่ติดต่อกลับไปหาใครที่เมืองไทยอีก...” ม.จ.กิรติ นอนมองเด็กชายวิศรุตวัย 6 ขวบที่นั่งเล่นอยู่บนเตียงข้างกาย “ลูกอาจจะเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจอะไรที่เราเล่านะแนนซี่ แต่ฉันอยากให้เขารู้ไว้บ้าง...เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด...ฉันอยากจะฝากฝังเขาไว้กับเธอ จนกว่าจะถึงเวลาที่เขาโตพอจะกลับไป...”
แนนซี่ถามว่ากลับทำไม ที่ผ่านมาเธอเคยส่งจดหมายไปก็ไม่มีใครตอบมา แม้เด็กชายวิศรุตจะยังเด็กมากแต่ก็พยายามจำคำพูดของแม่ที่พยายามพูดกับแนนซี่ทั้งที่ไอหนักเป็นระยะ
“มันอาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่าง...ยังไงเสีย เขาก็ต้องกลับไปทวงสิทธิ์ของเขา” ม.จ.กิรติพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เอื้อมหยิบกล่องแหวนที่หัวเตียงหยิบแหวนออกมา “แหวนนี่จะทำให้เขาได้รับสิ่งที่เขาควรได้รับ ...แหวนเทวาสถิตย์” เอ่ยแล้วพยายามสวมแหวนให้วิศรุต แต่แหวนร่วงจากมือ วิศรุตคว้าไปถือไว้
“รอโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนค่อยใส่จ้ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะหญิงกิรติ...ฉันจะทำตามที่เธอต้องการ จะดูแลลูกชายเธอ จนกว่าเขาพร้อมที่จะกลับไป”
เป็นคำมั่นสัญญาจากเพื่อนรักก่อนที่ ม.จ.กิรติจะจากไป
จนเมื่อประกอบพิธีศพที่อังกฤษเสร็จ แนนซี่กับเด็กชายวิศรุต ออกจาก Funeral Home มือประคองโถอัฐิหน้าเศร้า วิศรุตมือถือช่อลิลลี่ แนนซี่ถามวิศรุตขณะมาขึ้นรถว่า
“จำได้ไหม ว่าแม่สั่งอะไรไว้”
“จำได้ฮะ...ผมไม่อยากโตเลย...”
ooooooo
20 ปีต่อมา...เรือลำหนึ่งแล่นมาจอดที่ท่าน้ำ วิศรุต หนุ่มหล่อ เท่ ก้าวขึ้นท่าน้ำ หยุดมองตัวบ้านเบื้องหน้านิ่ง
พลันก็ชะงัก เมื่อธาราเดินตรงมาหาในมือถือแอร์เมล
“คุณวิศรุต...ไปขับเรือเล่นเหรอคะ จดหมายค่ะ มาส่งเดี๋ยวนี้เอง”
วิศรุตรับจดหมายไปแกะอ่าน เป็นจดหมายของแนนซี่ที่เขียนด้วยลายมืออย่างสวยงาม
“หลานรัก...หวังว่าหลานคงสนุกกับชีวิตที่เมืองไทย ส่วนป้าสบายดีและกำลังจะเดินทางไกลไปเที่ยวทิเบตกับเพื่อนๆ หลานคงรู้ว่าป้าเกลียดอินเตอร์เน็ต ดังนั้นเราคงไม่ได้ติดต่อกันอีกสักพัก...ที่เขียนมาครั้งนี้ ก็เพื่อจะเตือนไม่ให้หลานลืมคำสั่งของแม่ว่าให้มาเมืองไทยเพื่ออะไร อย่ามัวเพลินกับการใช้ชีวิต จนลืมเป้าหมายของชีวิตนะหลานรัก...ป้าจะเขียนมาอีกครั้ง เมื่อกลับจากทิเบตจ้ะ ...รัก...แนนซี่”
วิศรุตถอนใจ พับจดหมายช้าๆ มองแหวนที่สวมอยู่อย่างใช้ความคิด
“อย่าลืมไปรับแขกที่สนามบินนะคะ ธาราเตรียมห้องพักไว้พร้อมแล้ว” ธาราที่แอบมองปลื้มอยู่เดินมาเตือน
“ไม่ลืมหรอก จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” วิศรุตบอก พลางเดินผ่านพลับพลึงกอเล็กๆที่มีป้ายเขียนไว้ว่า
“Greenery Homestay”
ooooooo
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ...
ท่ามกลางผู้คนที่ลากกระเป๋าเดินกันขวักไขว่นั้น สโรชา สุนทรเกษม สาวสวยเปรี้ยวปรี๊ด เดินพลางหยิบโทรศัพท์กดโทร.ออกบอกเพื่อนที่เมืองนอกอย่างร่าเริง...
“Hello...ฉันมาถึงเมืองไทยแล้วนะ แกจะตามมาเมื่อไหร่...ไม่ล่ะ...ฉันไม่เข้าบ้านหรอก เหม็นหน้าคน ฉันจะไปนอนโรงแรม แกอย่าบอกป๊าแล้วกันว่า ฉันกลับมาแล้ว...”
สโรชาเดินสวยเชิดเข็นรถมาโดยไม่มองทาง เกือบเฉี่ยววิศรุตที่เดินสวนมา ดีแต่เขาเอี้ยวตัวหลบทัน
“Hey! You!”
“Hey! I’m sorry sorry” วิศรุตเอ่ย พอจะเดินก็นึกได้ “no! It’s you, not me to say I’m sorry”
พอสโรชามองหน้าวิศรุตเต็มตาก็ตะลึงในความหล่อเท่ของเขา อุทานตาโต
“Oops!” แล้วแกล้งทำเสียงฝรั่งพูดไทย “ก็ได้ค่ะ ขอโทษค่ะ ฉันผิดเองค่ะ ขอโทษ”
“ครับไม่เป็นไร ผมก็ขอโทษเหมือนกัน” วิศรุตหายโกรธและไม่ติดใจ ค้อมศีรษะให้แล้วเดินไปโบกมือทักทายลูกทัวร์ที่เดินตรงมาหา
สโรชาถอดแว่นกันแดดอันโตออก มองตามวิศรุตไปราวกับต้องมนต์...
สโรชาไปเช็กอินที่โรงแรมของพิสิฐผู้เป็นพ่อ ขณะกำลังยื่นพาสปอร์ตให้พนักงาน พิสิฐเดินมา พนักงานยกมือไหว้พิสิฐตลอดทาง สโรชารีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น จนเมื่อพิสิฐเดินผ่านไปแล้ว เธอจุ๊ปากกับพนักงานบอกเบาๆ
“อย่าบอกป๊าว่าลูกสาวมาพักที่นี่...ตกลงไหม” พลางวางแบงก์ร้อยดอลลาร์ ใช้นิ้วดันเลื่อนไปให้พนักงาน แต่พนักงานดันกลับ ยิ้มให้บอกว่า
“เรารักษาความลับให้แขกที่มาพักค่ะ”
สโรชายกนิ้วโป้งให้ เซ็นชื่อในเอกสารแล้วผละออกมา เบลบอยรับกุญแจแล้วเดินนำไป...
ooooooo
พอเข้าห้อง สโรชาทิปพนักงานแล้วสั่ง อีกสามชั่วโมงตนจะออกไปช็อปปิ้งจัดรถไปส่งด้วย
จากนั้นเดินสำรวจความสะอาดเรียบร้อยของห้องอย่างละเอียด ชมว่าเรียบร้อยดีมาก แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ
ตรงกันข้ามกับบ้านวิศรุต กลับถึงบ้านเขาอาบน้ำที่ลานอาบน้ำกลางแจ้ง ใช้ฝักบัวเปิดน้ำแรงพุ่งราดตัว น้ำไหลเป็นสายไปตามแผ่นหลังกว้าง ธารามองจากด้านหลัง ตะโกนบ่น
“แบบนี้ได้ยังไงคะ ไปรับแขก แต่ไม่ได้แขกกลับมา ปล่อยให้เขาไปเที่ยวที่อื่นก่อนอย่างนี้ก็จัดบ้านเก้อสิคะ”
วิศรุตอาบน้ำเสร็จคว้าผ้าขนหนูคลุมตัวเดินออกจากลานอาบน้ำ พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า
“ไม่เก้อหรอก เขาไปฟังเพลงที่หัวหินแค่สองคืน มะรืนก็มา” ธาราถามเสียงสูงว่าแล้วที่จองไว้วันนี้ล่ะ? “จองไว้ก็เปลี่ยนได้ เราทำโฮมสเตย์ตามใจแขก ไม่ซีเรียส” ธาราบ่นว่าแบบนี้ก็ขาดทุนตาย “ขาดทุนอะไร บ้านของเราเอง มีคนมาพักก็ได้เงิน ถึงไม่มีคนมาพักเราก็จัดบ้านสวยๆ สะอาดๆ แค่นี้ก็กำไรแล้ว”
“คิดซะอย่างนี้เมื่อไหร่จะรวย”
“รวยแล้วเหาะได้ไหม ธารา” วิศรุตถามยิ้มๆ ธาราเถียงไม่ออก พอวิศรุตเดินไปธารานึกได้รีบเดินตามไปต่อปากต่อคำว่า ตนก็ไม่ได้อยากเหาะได้หรอก แต่ทำโฮมสเตย์มาสองปีรายได้ไม่คุ้มรายจ่าย อยากถามว่าทำไปเพื่อ... “เพื่อให้บ้านไม่เหงา...จริงๆนะ ฉันเคยอยู่ตัวคนเดียวมานาน พอมีโอกาสก็อยากมีเพื่อนเยอะๆ บ้านนี้ยังรับคนได้อีกมาก”
“มิน่า ถึงได้รับไอ้พวกนี้มานั่งขุดเห็ดช้อนผักตบ ก็ดีค่ะรู้อย่างนี้แล้วธาราจะได้ไม่บ่นอีกเวลาคุณลดแลกแจกแถมให้ราคาพิเศษลูกค้า” ธาราพูดๆบ่นๆ แล้วหันไปค้อนใส่ริดกับจ้อน สองหนุ่มวัยนมแตกพานตัวดำเป็นเหนี่ยงที่ทำสวนอยู่
วิศรุตเดินไปที่กอพลับพลึงหน้าบ้าน เห็นกอพลับพลึงไหวๆ มีรอยย่ำใกล้ๆ ธาราร้องบอกว่าอย่าลุยเข้าไป รีบเอาไม้ให้วิศรุตแหย่ไม้เข้าไปเขี่ยๆ แมวกับหมาวิ่งไล่กันออกมา วิศรุตบ่นว่ากอพลับพลึงพังหมด
“ริชาร์ด จอห์นนี่ มาจัดการเกลี่ยดินตรงนี้ด้วย” ธาราบอกว่ามันชื่อไอ้ริดกับไอ้จ้อน เลยถูกริดกับจ้อนถามว่าตัวเองชื่อทะเล่อทะล่า แล้วมาเปลี่ยนเป็นธาราใช่ไหมล่ะ ธาราด่าแก้เขิน จ้อนกับริดแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหยอกกันขำๆ วิศรุตยิ้มมีความสุขกับการหยอกล้อกันของทั้งสาม
ooooooo
สโรชาไปเดินห้าง เธอพอใจกับความใหญ่โตโอ่โถง เดินเข้าร้านเสื้อผ้าชี้ดะเอาตัวนี้ ตัวนั้น ตัวโน้น จนพนักงานใส่ถุงให้หิ้วเต็มสองมือ เดินไปแผนกของประดับบ้านเห็นของประดับชิ้นหนึ่งมีลายธงชาติอเมริกาก็นึกถึงน้ำมนต์...
ก่อนกลับเมืองไทย น้ำมนต์ถามว่าจะไม่ไปเที่ยวกันก่อนหรือ สโรชาบอกว่าไม่อยากไปเป็น กขค.ของเธอ
“ทำอย่างกับไม่เคยไปด้วยกัน แต่ก็ดีนะ ป๊าแกจะได้หายคิดถึง” สโรชาเบ้หน้าบอกว่าไม่เห็นอยากเจอเลย “ไอ้ลี่ แกจบโทมาร์เก็ตติ้ง ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะที่จะมางอนเรื่องพ่อมีเมียใหม่น่ะ”
“มีได้ แต่ต้องไม่ใช่คนนี้ ฉันรับไม่ได้ คอยดูนะฉันจะแกล้งไม่กลับบ้านต่อไปเรื่อยๆ ใช้เงินป๊าไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย” น้ำมนต์ด่าขำๆเอือมๆ ซื้อของจนหิ้วเต็มสองมือแล้ว สโรชามาเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม ระหว่างนั่งในรถคนขับขยี้จมูกแบบคนติดยาแต่สโรชาไม่ได้สังเกต ได้ยินเสียงคนขับพูดโทรศัพท์ “เออ...รีบอยู่...จวนถึงแล้ว...”
จู่ๆคนขับก็จอดรถข้างทางรับชายคนหนึ่งขึ้นนั่งข้างหน้า สโรชาตกใจ คนขับบอกว่าไม่มีอะไร เพื่อนขอติดรถไปส่งรถด้วย เธอได้แต่พึมพำงงๆ “มีงี้ด้วยเหรอ?!”
แต่พอนั่งๆไปสโรชารู้ว่าคนขับพาไปนอกเส้นทาง พอเธอถามมันบอกว่าจะไปส่งรถ
“เอ๊า...บ้ารึเปล่า ถ้าจะรีบไปส่งรถก็จอดให้ฉันลง ฉันจะได้ไปคันอื่น”
สโรชาจะเปิดประตูรถ ปรากฏว่าล็อก พอเธอโวยวายก็ถูกเพื่อนคนขับที่ขึ้นมาเผยตัวเป็นโจร จับเธออุดปากกระชากเข้าไปแล้วชักปืนออกมาขู่ “อยู่นิ่งๆถ้าไม่อยากตายตอนนี้”
เวลานั้นฝนเริ่มตกปรอยๆแล้วหนักขึ้นทุกที ชายคนนั้นเร่งคนขับให้รีบไป บ่นว่าจะทำงานยังจะรับอีนี่ขึ้นมาอีก คนขับบอกว่าดูท่ามันเงินหนาหน้าตาก็ขายได้ ถือว่าแถมๆก็แล้วกัน
คนขับทิ่มรถเข้าไปจอดในหลืบมืดที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แล้วมันก็จะปล้นเงิน แต่เพื่อนคนขับเห็นสโรชาขาวอวบก็หื่นขึ้นมา สโรชาทั้งดิ้นทั้งตะโกนให้ปล่อย ถูกมันตบจนหน้าหัน สโรชาฉวยโอกาสที่คนขับกับเพื่อนเถียงกัน คนขับจะรีบไปทำงานให้เสร็จแต่เพื่อนหื่นหน้ามืด เธอฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำแรง
พวกมันวิ่งไล่ตาม แต่สโรชาซุกตัวเข้าไปในพลับพลึงกอใหญ่ มันหาไม่เจอจึงพากันกลับ สโรชาทั้งกลัวทั้งหนาวจนเป็นลมหมดสติไปในกอพลับพลึง...
ooooooo
เช้านี้ วิศรุตมาวิ่งออกกำลังตามปกติ แต่พื้นดินค่อนข้างแฉะ เชือกรองเท้าหลุด ขณะเขาก้มผูกเชือกรองเท้าเห็นบริเวณกอพลับพลึงมีรอยย่ำ นึกว่าหมาเมื่อวานมาย่ำอีก แต่พอมองเข้าไปในกอพลับพลึง เขาตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวนอนอยู่!
วิศรุตจับตัวเขย่า สโรชาสะดุ้งตื่นร้องอย่างขวัญเสีย
“อ๊าย...ปล่อยนะ...อย่ามาจับตัวฉัน...”
ธาราได้ยินเสียงผู้หญิงร้องจึงวิ่งจากครัวออกไปดู เห็นวิศรุตจับสองมือของสโรชาไว้ เธอดิ้นขลุกขลักจนล้มไปด้วยกัน วิศรุตฉุดขึ้นมา ธารามองอย่างไม่ไว้ใจ บอกวิศรุตว่าไม่น่าไว้ใจ คนดีๆที่ไหนจะมานอนซุกอยู่ข้างทาง ถามว่าเธอเป็นใคร แต่สโรชามัวจ้องหน้าวิศรุตนึกไม่ออกว่าเคยเห็นหน้าที่ไหน
“ลูกเต้าเหล่าใคร? บ้านอยู่ไหน? จะพาไปส่ง” วิศรุตถาม พอสโรชาได้ยินว่าจะพาไปส่งบ้านก็ปฏิเสธไม่เอาไม่ต้อง ทั้งสี่รุมกันถามว่าทำไมไม่ต้อง เป็นพวกไร้บ้านหรือโจร สโรชาในสภาพอ่อนเพลียเห็นทุกคนจ้องอยู่ก็โงนเงนแล้วทรุดฮวบลง วิศรุตรับไว้ทันแล้วพาเข้าไปนอนพักที่โซฟาในบ้าน
ธาราถามว่าจะให้แม่คนนี้นอนอย่างนี้อีกนานแค่ไหน เขาบอกว่าจนกว่าจะตื่น ไม่เป็นไรเพราะวันนี้เราไม่มีแขก ธาราเลยจะปลุกขึ้นมาถามให้รู้เรื่องว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่พอแตะตัวก็สะดุ้งเพราะสโรชาตัวร้อนจี๋ ถามว่าจะเอาอย่างไรดี จะเรียกตำรวจหรือตามหมอ
“เอางี้ ไปเอากะละมังใส่น้ำมา ขอผ้าขนหนูเล็กผืนนึง ฉันจะเช็ดตัวลดไข้”
ธาราเดินไปเอาของตามที่บอก วิศรุตเห็นสภาพสโรชาที่เปรอะเปื้อนมอมแมมเต็มไปด้วยโคลน มองตัวเองสภาพก็ไม่ต่างกัน เขาจึงถอดเสื้อตัวเองออกพลางเดินไปทางห้องนอน เขาใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวออกมาเพื่อเช็ดตัวให้สโรชา
พอเธอรู้สึกตัว เห็นหน้าวิศรุตก็จ้องมองจำได้ว่าเป็นคนที่เคยเจอ...พลันก็พยายามลุกขึ้น
“ลุกได้แล้วเหรอ แม่พลับพลึง” วิศรุตทัก สโรชาถามว่าใคร? พลับพลึง? “ก็เรานั่นแหละ มุดไปซุกเป็นลูกหมาอยู่ในดงพลับพลึง ไหนเล่าให้ฟังซิ ว่าไปยังไงมายังไง” พลางชุบผ้าขนหนูบิดหมาดๆ โปะที่หน้าผากเธอ สโรชายังมึนๆ เอามือแปะมือเขาไว้ วิศรุตดึงมือตัวเองออก แล้วบอกให้ตอบคำถามตน
“ข้อแรก เธอมาจากไหน” สโรชาตอบมึนๆว่ามาจากเมืองนอก เขาได้ยินเป็นบ้านนอกถามว่าจังหวัดอะไร พอสโรชาบอกว่าแอลเอ วิศรุตพูดขำๆว่า “เล่นคำซะด้วย แอลเอ ร้อยเอ็ด” ถามต่อว่าแล้วเธอชื่ออะไร
“เอาเหอะ เมื่อกี๊คุณเรียกฉันว่าอะไร ฉันก็ชื่อนั้นแหละ” วิศรุตถามว่าเรียนหนังสือหรือทำมาหากินอะไร สโรชาตอบเสียงแผ่วว่า เรียน...ตลาด... “อะไรนะตลาด ขายของอยู่ในตลาดงั้นเหรอ ขายอะไรล่ะ ตลาดไหน”
สโรชาอ่อนใจ พยายามเรียกสติตั้งหลักจะเริ่มเล่า...
“คือยังงี้ค่ะ...”
วิศรุตจ้องเป๋ง ทั้งอย่างคาดคั้นและจับพิรุธ
ooooooo
ฟังสโรชาเล่าเรื่องที่ตนเผชิญมาในวันนี้แล้ววิศรุต ถามว่า
“สรุปว่าเธอหลงทางในกรุงเทพฯ แล้วก็เลยโดนโจรในคราบแท็กซี่หลอกมาปล้น” สโรชาบอกว่ามันจะปล้ำด้วย “ดีนะที่รอดมาได้ เธอจะไปแจ้งความไหมฉันจะพาไป”
สโรชาส่ายหัวดิกอ้างว่าตนไม่อยากดัง ทำตาเศร้าถามว่าเขาจะไล่ตนไหม วิศรุตถามว่าเธอมีที่ไปไหมล่ะ ตนจะไปส่งที่หมอชิตกลับร้อยเอ็ดก็ได้ สโรชาพูดไม่ออกเฉไฉทำเป็นจัดหนังสือท่องเที่ยวที่วางอยู่บนโต๊ะ วิศรุตเห็นท่าทางแล้วบอกว่า
“งั้นฉันก็คงไล่เธอไม่ลงหรอก” พูดแล้วลุกไปสโรชาเอานิ้วกลางไขว้นิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้า ลุ้นว่าจะเป็นยังไงต่อไป
เมื่อตัดสินใจให้อยู่ด้วยแล้ว วิศรุตเอาเสื้อทีเชิ้ตกับกางเกงเลยัดใส่มือสโรชาไล่ให้ไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวค่อย
ว่ากัน เตือนว่าอย่าอาบนานล่ะเดี๋ยวไข้ขึ้นอีกจะยุ่ง
พอเข้าไปอาบน้ำ ถูกอึ่งอ่างที่อยู่ในห้องน้ำกระโดด เกาะขา เธอตกใจร้องลั่นคว้าผ้าขนหนูคลุมวิ่งฟองแชมพูเต็มหัวออกจากห้องน้ำ
ที่กรีนเนอรี่ โฮมสเตย์นี้ นอกจากริดกับจ้อนแล้วมีประพันธ์ เซลส์แมนมือทองอารมณ์ดีขี้เล่นและขี้หลีเจ้าชู้ไก่แจ้เจอสาวเป็นป้อใส่ กับสุทิศ หนุ่มชนบททิ้งบ้านมาหางานทำและวิศรุตช่วยไว้ รวมทั้งธาราหนุ่มหน้าสวย
รักงานบ้านงานเรือน ได้ยินเสียงร้องของสโรชาก็วิ่งมาดูเธอบอกปากคอสั่นว่า
“เอ่อ...ในห้องน้ำมี...มีคางคก...เอ่อ...กบ...เอ่อ...เขียด” เธอนึกอะไรได้ก็บอกหมดเพราะไม่รู้ว่ามันคืออึ่งอ่าง!
ประพันธ์เข้าไปดูเจออึ่งอ่างพองลมตัวกลมอยู่ จึงหยิบเหวี่ยงออกไปนอกรั้วไม้ระแนง สโรชามองอึ้งแล้วเข้าห้องน้ำไป ประพันธ์ชะเง้อคอยาวจนสุทิศกับธาราเรียกปรามจึงสะดุ้งหันกลับมาทำหน้าเหลอหลา
เมื่อประพันธ์กับสุทิศรู้ว่าวิศรุตรับสโรชาที่เขาเรียกเธอว่าพลับพลึงให้อยู่ที่โฮมสเตย์ด้วย ก็ยินดีเพราะทั้ง ประพันธ์และสุทิศแม้กระทั่งธาราที่ได้งานทำก็เพราะวิศรุตช่วยหางานให้ทั้งนั้น แต่ทั้งสามถือว่าพวกตนเป็นรุ่นพี่ จึงใช้งานสโรชาเป็นการรับน้องใหม่ ประเดิมที่โต๊ะอาหารเย็นนี้ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยธารา
แต่วิศรุตไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่าง ให้มานั่งกินข้าว ด้วยกัน พอสโรชาตักผัดกะเพราเข้าปากก็คว้าน้ำดื่มแทบไม่ทันเพราะเผ็ดจนปากสั่น วิศรุตบอกว่าแถวบ้านเธอน่าจะกินอาหารรสจัด แต่ก็บอกว่า
“จะกินอะไรก็ช่วยๆกันทำกับธาราแล้วกันระหว่างนี้ไม่มีแขกพักก็ฝึกงานไป ถ้าเธอทำงานคล่อง ธาราเขาก็จะเหนื่อยน้อยลง”
“แต่ถ้าไม่คล่องก็หาที่อยู่ใหม่” ธาราพูดหน้าตาเฉย พอถูกสุทิศกับประพันธ์เรียกปรามก็ทำไม่รู้ไม่ชี้บอก
สโรชาให้รีบกินเดี๋ยวจะได้เริ่มงานกัน
พอกินอาหารเสร็จเข้าครัว ธาราก็ยืนชี้นิ้วเป็น รุ่นพี่สอนให้สโรชาทำโน่นนี่นั่นสบายอารมณ์
สายๆก็ให้ไปกวาดกิ่งไม้ใบไม้ที่ถูกลมฝนร่วงเมื่อคืน ให้กวาดเก็บโกยใส่ถังเอาไปหมักทำปุ๋ย สโรชา
ถามทึ่งว่าที่นี่ทำปุ๋ยด้วยหรือ ธาราบอกว่าทำเองเพราะที่นี่ เป็นกรีนโฮมสเตย์ ถามว่ารู้จักรึเปล่า กรีนน่ะ...กรีน... แต่พอสโรชาพึมพำว่า
“อ๋อ...Eco Tourism ทำไมจะไม่รู้จัก”
ธาราฟังแล้วงงถามว่าอะไรนะ พูดใหม่ซิ สโรชา
ทำเหลอหลาไม่รู้เรื่องเฉไฉกวาดใบไม้งุดๆ
“กวาดเข้า กวาดรวมไว้ทางโน้น” ธาราสั่งการ สโรชาก้มหน้าก้มตากวาด พอเงยหน้าอีกธาราหายไปแล้ว ส่วนริดกับจ้อนซนเป็นทโมนปีนต้นไม้เล่นกันสนุกสนาน
ooooooo
แม้จะตัดสินใจอยู่ที่โฮมสเตย์แล้ว แต่เจอพวก ที่อยู่ร่วมด้วยแต่ละคนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน สโรชาก็ยังลังเล ครั้นจะกลับไปก็เสียเหลี่ยม ตัดสินใจอยู่รบกับกะเทยสักตั้งดู
สโรชาลากเข่งที่ใส่ใบไม้ออกมา ประพันธ์แถเข้ามาช่วยแต่แทนที่จะคว้าเข่งกลับคว้าทั้งมือทั้งเข่ง ทำเป็นพูดตื่นเต้น
“โอ๊ย...มาถึงก็ขยันขันแข็ง มาครับ ผมช่วยดีกว่า ไอ้จ้อนไอ้ริดหนีไปเล่นอีกละสิ โธ่...น้องใหม่ ตัวสักกะตี๊ดเดียว ธาราก็ช่างใจร้ายเนาะ ใช้งานหนักตั้งแต่วันแรก”
“ไม่ทำวันแรก จะอู้ไปทำเมื่อไหร่ แล้วจะต้องดูฤกษ์ดูยามก่อนรึไง ถึงจะทำงานได้ กินข้าวยังต้องกินทุกวัน งานก็ต้องไปทำทุกวันเหมือนกัน ใครจะทำวันหยุดสองวันเหมือนคุณประพันธ์ล่ะ ไม่เคยได้ยินรึไง อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้น...”
“ควายยยยให้ลูกท่านเล่น” ประพันธ์ต่อให้จบ
แล้วโวย “โอ๊ย...เหนื่อยมั่งไหม ยืนอู้น่ะ”
“ใครว่าอู้ นี่กำลังสอนงานง่ายๆ เดี๋ยวเสร็จจากนี่จะพาไปตรวจโรงผัก ไปขัดท่าน้ำ แล้วก็ล้างรถให้คุณวิศรุต จากนั้นก็จะพาเข้าครัวเตรียมอาหารเย็น เสร็จแล้วจะให้ไปจัดห้องพักแขก เผื่อพรุ่งนี้มีทัวร์มาลงจะได้ไม่ต้องให้แขกรอนาน”
สโรชาอ้าปากค้างกับงานที่จะต้องทำ ประพันธ์หมั่นไส้ ด่าว่า “เยอะ! เยอะ ปกติแกกับไอ้จ้อนไอ้ริด
ทำทุกอย่างพวกนี้เสร็จในครึ่งวันรึเปล่า” ธาราทำหน้าตายบอกว่าก็ค่อยๆทำไป วันละหน่อย วันไหนพวกเขาหยุดก็มาช่วยกันไง ประพันธ์พยักหน้าอย่างรู้ทันความกะล่อน ของธารา เลยไปช่วยสโรชาโกยใบไม้ใส่เข่ง
วิศรุตสังเกตอากัปกิริยาของสโรชาตลอดเวลา
เมื่อกลับมาที่ห้องพัก เป็นห้องโล่งๆ มีเตียงที่นอนสะอาด มีตู้หลังหนึ่งกับโต๊ะหนึ่งตัว ธาราบอกว่า
“ห้องนี้ของเธอ คงอยู่ได้นะ พลับพลึง”
“เหนื่อยชะมัด พลับพลึง...ลิลลี่ พลับพลึง ชื่อนี้ก็เก๋ดีเหมือนกันนะ” สโรชาพึมพำกับตัวเอง แล้วกระโจน
นอนแผ่บนเตียง หลับตาลงอย่างหมดแรง...
ooooooo
นอนที่โฮมสเตย์ที่จัดอย่างง่ายๆ แต่สะอาดแล้ว สโรชาอดคิดถึงอดีตไม่ได้...
เวลานั้นเธออยู่ในวัย 5-6 ขวบ เธอนอนอยู่บนเตียง ละเมอร้องไห้สะอึกสะอื้น พิสิฐกับลัดดาในชุดไว้ทุกข์เดินเข้ามาปลุก สโรชาสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นผวาถามว่าแม่ไม่อยู่แล้วตนจะอยู่กับใคร
พิสิฐบอกว่าอยู่กับป๊าไง ลัดดาก็บอกว่าอยู่กับน้าด้วย จะให้เป็นน้าเป็นแม่ได้ทั้งนั้น
ลิลลี่มองพ่อกับลัดดาสลับไปมางงๆ ส่วนพี่เลี้ยงยืนดูอยู่ห่างๆ
หลายปีต่อมา เมื่อสโรชาเรียนอยู่ในชั้นมัธยม เธอปะเหลาะพิสิฐขอไปเรียนเมืองนอก สัญญาว่าจะตั้งใจเรียน พิสิฐถามว่าทำไมไม่รอให้เรียนจบมัธยมก่อน
“ไปเมื่อไหร่ก็เหมือนกันล่ะค่ะป๊า... ถึงอยู่เมืองไทย ป๊าก็ส่งลูกไปโรงเรียนประจำอยู่ดี” พิสิฐบอกว่าลูกขอไปเองป๊าก็ตามใจลูกไง “งั้นตอนนี้ ป๊าก็ตามใจลูกอีกสิคะ ลูกอยากเรียนเมืองนอกค่ะ” สโรชาอ้อน
“ลูกไม่ชอบน้าลัดดาใช่ไหม”
สโรชาชำเลืองไปทางลัดดา ไม่ตอบคำถามแต่พูดว่า “ลูกสัญญาว่าลูกจะกลับมาช่วยป๊าทำงานเมื่อเรียนจบค่ะ คนมีการศึกษาเท่านั้นที่จะรักษาสมบัติของป๊ากับแม่ไว้ได้”
ขณะนั้นเองลัดดาบอกพิสิฐว่า “เลขาโทร.มาบอกว่า ลูกค้ารออยู่นานแล้วค่ะ”
พิสิฐส่ายหน้าเดินไป ลัดดามองสโรชานิ่งๆอย่าง เข้าหน้าไม่ติดแล้วเดินตามพิสิฐไป
“ป๊าไม่รู้เหรอ ว่าลูกไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับคนที่มาแทนที่แม่” สโรชาพึมพำ มองตามลัดดาไป
ขณะกำลังคิดเพลินอยู่นั้น วิศรุตมาเคาะประตูเธอเด้งขึ้นอย่างรู้ตัวว่ามาอยู่บ้านคนอื่น พอเปิดประตูออกไป เห็นวิศรุตส่งกองผ้าขนหนู เสื้อผ้าของใช้ให้ สโรชารับไว้ มองเขาอย่างขอบคุณ
“ถ้าอยากอยู่ที่นี่ก็ทำตัวดีๆ หลับให้สบาย ต้องการอะไรบอกธารา แล้วถ้าธาราสั่งให้ทำอะไรก็เชื่อฟังเขาด้วย ราตรีสวัสดิ์ ล็อกห้องซะ”
วิศรุตพูดนิ่งๆ ขรึมๆ แล้วเดินออกไป พอสโรชาปิดประตูล็อก ก็ยืนพิงประตู พึมพำเพ้อ...
“ผู้ชายอะไร หล่อแล้วยังใจดี แบบนี้เขาเรียกว่าแรงดึงดูด ป๊าคะ ลิลลี่มีเหตุผลไหมที่จะไม่กลับบ้าน?”
ooooooo
สโรชาตื่นแต่เช้ามารดน้ำต้นไม้ เจอคนส่งหนังสือพิมพ์ขี่จักรยานผ่านมาเหวี่ยงหนังสือพิมพ์ข้ามรั้วเข้ามาสามฉบับ
วิศรุตนั่งจิบกาแฟอยู่เห็นสโรชาถือหนังสือพิมพ์มาก็รับไปอ่านฉบับหนึ่ง สโรชายืนมองบอกว่าที่บ้านตน อ่านข่าวจากอินเตอร์เน็ตกัน อ่านหนังสือพิมพ์ก็ไม่ซื้อวันละสามยี่ห้อแบบนี้หรอกมันเปลือง
“อย่าคิดว่าคนทั้งโลกจะเห่ออินเตอร์เน็ตเหมือนกันหมดสิ ฉันชอบกลิ่นกระดาษ” พอดีสุทิศเดินหาวปากกว้างมากู๊ดมอร์นิ่งวิศรุตและมอร์นิ่งพลับพลึงแล้วคว้าหนังสือพิมพ์ไปฉบับหนึ่ง วิศรุตยังคงพูดต่อว่า
“รู้อะไรไหม คนบางคนต้องอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเข้าห้องน้ำ ไม่งั้นถ่ายไม่ออก” สโรชาทำหน้าย่นร้องยี้ “ไม่ได้พูดเล่นนะ ญี่ปุ่นเขาว่ามันเป็นสัญชาตญาณที่ติดมาตั้งแต่อยู่ป่า ต้องเข้าไปขับถ่ายในทุ่ง พอได้กลิ่นใบไม้ต้นไม้ก็จะถ่ายสบาย”
“อ๋อ...กระดาษทำมาจากต้นไม้” สโรชานึกได้ วิศรุตชมว่าฉลาดนี่ แล้วลุกจะไปทำงาน สโรชาจึงพลิกหนังสือพิมพ์ฉบับที่เหลือในมือดูหน้าซุบซิบข่าวสังคม เธอตกใจตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นรูปตัวเองสวยเปรี้ยวโชว์หราเต็มๆ
“...พิสิฐ สุนทรเกษม คุยฟุ้งโปรเจกต์ใหม่ เตรียมให้ลูกสาวบริหาร อวดว่าลิลลี่ สโรชา กลับจากแอลเอเมื่อไหร่ เมืองไทยตะลึงแน่ เพราะทั้งสวย ทั้งเก่ง...”
สโรชารีบปิดหนังสือพิมพ์ มองซ้ายมองขวาพอเห็นปลอดคนก็ขยุ้มหนังสือพิมพ์กอดไว้ บ่นเสียงสั่น
“ตายๆๆๆ รูปใหญ่เท่าบ้าน เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดี” แล้วก็ตัดสินใจขว้างหนังสือพิมพ์ลงคลองไปเลย
พอดีธารามาเรียก ถามว่าทำอะไรอยู่ บ่นว่าให้มาเสิร์ฟกาแฟคุณวิศรุตแล้วหายจ้อยไปเลย สโรชาชำเลืองดูหนังสือพิมพ์ที่ยังลอยตุ๊บป่องอยู่ในคลอง รีบพูดเรียกความสนใจจากธาราบอกว่าจะให้ไปกวาดใบไม้หรือไปเดี๋ยวนี้เลย
“ไปล้างห้องน้ำให้ฉันหน่อยสิ”
“ฮ้า! ล้างห้องน้ำ!!” สโรชาตาเหลือก
ooooooo
พิสิฐกำลังเดินลงบันไดมากับลัดดาเตรียมจะไปทำงาน พลางบ่นว่า ลิลลี่ไม่ติดต่อมาเลย เรียนจบแล้วไม่รู้จะฝึกงานไปถึงไหน ตามสัญญาเรียนจบแล้วต้องกลับมา
“เขาคงชินกับการไม่อยู่บ้านน่ะค่ะคุณ คุณก็ลองตามตัวสิคะ ให้ฉันตามก็คงไม่ได้”
“น้อยใจลูกผมเหรอ...เอาน่า...เดี๋ยวมาอยู่ด้วยกัน เขาก็จะเห็นเองว่าคุณใจดี”
“ขอให้มาเถอะค่ะ” ลัดดาพูดยิ้มๆ แต่แอบถอนใจ
ooooooo










