ตอนที่ 13
ผ่านไปหนึ่งเดือน กลุ่มก๊วนของนางตื่นเต้นพากันไปเลือกลองชุดเพื่อไปร่วมงานแต่งงานน้ำนวลกับแวนในวันพรุ่งนี้ เพรียวก็ไปกับเขาด้วยแต่สีหน้าไม่สดชื่นเอาเสียเลย แต่พอข่ายแก้วทักว่าเป็นอะไร เพรียวก็ส่ายหน้าก่อนปั้นยิ้มให้
“งั้นข่ายขอคุยอะไรด้วยเดี๋ยวสิ”
“คุยกับผมสองคนไม่กลัวเจ้าดลมันเข้าใจผิดเอาอีกเหรอ”
“ข่ายเลิกกับดลแล้วล่ะ”
เพรียวสีหน้าตกใจ เดินตามข่ายแก้วไปคุยกันในร้านกาแฟใกล้ๆ
“ทำไมล่ะข่าย ก็เห็นไปกันได้ดีไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ดี แต่ว่าไงดีล่ะ เราต่างกันเกินไปมั้ง อายุเค้าก็ น้อยกว่า หน้าที่การงานเค้าก็สู้เราไม่ได้ เหมือนรับได้แต่ก็มีปัญหาทะเลาะกันบ่อย ดลเองเค้าก็รู้ตัวนะ เราก็เลยพูดกันตรงๆ แล้วก็จากกันด้วยดี”
“ถ้าข่ายตัดสินใจแล้วก็ตามใจเถอะ คนเราถ้ามันไปกันไม่ได้ยื้อกันไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“เอ้อ เพรียวจำคุณเฉินที่เป็นลูกค้าเราได้มั้ย”
“ลูกค้าชั้นดีของเรา ทำไมผมจะจำไม่ได้ล่ะ”
“ข่ายได้คุยกับเค้า ช่วงที่ทำโปรเจกต์ใหม่น่ะ เค้าก็เลยชวนข่ายให้ไปทำงานกับเค้าที่เซี่ยงไฮ้ ข่ายก็เลยอยากจะมาชวนเพรียวไปด้วยกัน เค้าให้เงินเดือนมากกว่าที่นี่ตั้งสี่ห้าเท่าเลยนะ”
“คิดดีแล้วเหรอข่าย ถึงเงินจะดี แต่งานหนักมากเลยนะ ข่ายอยู่ที่นี่ต่อ ยังไงก็ต้องได้ขึ้นแทนคุณน้ำอยู่แล้ว จะไปเสี่ยงทำไม”
“ถึงจะขึ้นแทนคุณน้ำ ก็ยังได้น้อยกว่าอยู่ดี ส่วนเรื่องลำบากข่ายไม่กลัวหรอก เพรียวก็รู้จักข่ายดีนี่”
“แต่ผมคงไปไม่ได้หรอก ยังไงผมก็ยังอยากอยู่ที่เซน–
ซูยามากกว่า”
“ข่ายว่าแล้วว่าเพรียวต้องตอบยังงี้ เพรียวนี่รักเซน–ซูยาจริงๆเลยนะ นี่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน ข่ายต้องนึกว่าเพรียวหวังอะไรที่นี่แน่ๆเลย”
เพรียวหน้าเจื่อนลงทันที เพราะจริงๆเขาก็ยังเป็นห่วง น้ำนวลอยู่นั่นเอง แต่พยายามทำใจไม่ให้ฟุ้งซ่านที่น้ำนวลกำลังจะแต่งงาน เพรียวกลับเข้ามาทำงานต่อจนถึงสี่ทุ่มแล้วจึงกลับออกไปนั่งเศร้าที่ผับแห่งหนึ่ง ดื่มไปสักพักก็มีสาวแวะเวียนมาทอดสะพานแต่เพรียวไม่สนใจ จนบริกรแปลกใจเข้ามาถามว่าพี่เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนคนอกหัก
โดนเข้าเต็มๆ เพรียวถึงกับเจ็บจี๊ด แทบจะร้องไห้ออกมา...ขณะเดียวกันนั้น น้ำนวลเตรียมเก็บสิ่งของจำเป็นเพื่อย้ายไปอยู่เรือนหอกับแวน ของสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือรูปของรัมภา แต่ของที่เป็นอดีตกับเพรียวทุกอย่าง เธอเลือกที่จะเก็บลงกล่องปิดตายทิ้งเอาไว้ที่นี่
ooooooo
งานตอนเช้าเป็นพิธีรดน้ำสังข์ที่บ้านฟ้างาม มีแขกเหรื่อเพื่อนฝูงที่สนิทมากันมากมาย ขณะงานดำเนินไปนั้น จู่ๆฟ้างามก็ให้ข่ายแก้วมาตามมานิดากับเมลานีที่กำลังช่วยต้อนรับแขกไปพบที่ห้องทำงาน
ฟ้างามโวยวายใส่มานิดา โดยมีอนุศรยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่เมลานีท่าทางหวาดกลัว ผิดกับมานิดาที่ดูเฉยๆ แล้วก็พร้อมที่จะตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว
“กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ตระกูลฉันดีกับเธอทุกอย่างแต่กลับไปเอาคนนอกเข้ามาซื้อกิจการของครอบครัวฉัน แบบนี้ไม่เรียกว่าเนรคุณแล้วจะเรียกว่าอะไร”
“แน่ใจเหรอคะว่าดีกับฉันทุกอย่าง มีใครเคยคิดแล้วให้เกียรติว่าฉันเป็นสะใภ้ของบ้านนี้บ้างคะ เห็นมีแต่คนจ้องจะเหยียบฉันให้จมดินกันทั้งนั้น”
“แล้วที่มีกินใช้กันฟุ่มเฟือยทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะเซน–ซูยาเหรอมานิดา เธอยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ”
“แต่อางามคะ ในพินัยกรรมของคุณพ่อ พวกเราก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าเราไม่ทำแบบนี้เมกับแม่ก็อดตายสิคะ”
“แต่เมกับแม่ได้ไปเยอะมากแล้วนะ พี่ว่าที่คุณพ่อทำพินัยกรรมแบบนี้ ก็น่าจะยุติธรรมดีอยู่แล้ว” อนุศรออกตัวแทนพ่อ
“ดิฉันน่ะเหรอคะได้เยอะ มันก็พอๆกับเมียน้อยทุกคนของพ่อคุณน่ะแหละ เพียงแต่ได้ออกหน้าออกตาเท่านั้นเอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามคุณสิทธิ์ดูสิคะ”
“คุณก็รู้ว่าผมห่วงสุขภาพคุณพ่อ ไม่อย่างงั้นจะต้องมาคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวอย่างนี้เหรอ”
“ฉันขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้ายนะมานิดา หยุดเอาบริษัทของฉันไปเร่ขายได้แล้ว ไม่อย่างงั้นเราได้เห็นดีกันแน่” ฟ้างามประกาศกร้าว แต่มานิดากลัวซะที่ไหน ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีกวนๆ
“ก็อยากเห็นอยู่เหมือนกันค่ะ รีบๆโชว์นะคะ ฉันจะอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้ว...ไปยัยเม ไปรับแขกต่อกันเถอะ”
ฟ้างามมองตามสองแม่ลูกอย่างเจ็บใจ แล้วถามอนุศรว่าพวกมันกว้านซื้อหุ้นเซนซูยาไปได้เท่าไหร่แล้ว
“สิบกว่าเปอร์เซ็นต์แล้วครับ คุณมานิดาเป็นตัวตั้งตัวตีพามิสเตอร์คิมไปไล่ซื้อ แถมให้ราคาดีซะด้วย ก็เลยกว้านซื้อได้เร็ว”
“รอให้เสร็จงานแต่งน้ำก่อนเถอะ ถึงเวลาต้องแตกหักซะที มีนิ้วร้ายก็ต้องรีบตัดทิ้ง”
จากนั้นสองอาหลานพากันออกมารดน้ำสังข์ให้บ่าวสาวด้วยความปลาบปลื้มยินดี แต่นึกไม่ถึงว่านันท์จะโผล่เข้ามาป่วนด้วยอาการมึนเมา ทำให้พ่อแม่แวนไม่พอใจ ศรสิทธิ์กับฟ้างามเกรงใจมาก พยายามปรามและไล่นันท์ออกจากงาน แต่นันท์หาได้สนใจ แม้แต่มานิดาที่เป็นพวกเดียวกันนันท์ก็ยังไม่ฟัง จนแวนทนไม่ไหวลุกขึ้นจะตะบันหน้านันท์
จังหวะนี้เองเพรียวเข้ามาล็อกนันท์แล้วลากออกไปนอกบ้าน นันท์โวยวายดิ้นรนตลอดแต่ก็สู้แรงเพรียวไม่ไหว พอถึงสวนหลังบ้านเพรียวยอมปล่อย นันท์โมโหมากด่าเพรียวว่าไอ้หมารับใช้ สะเออะไม่เข้าเรื่อง
“คุณนันท์คงลืมไปแล้วนะครับ ว่าระหว่างคุณกับผมยังมีคดีที่ยังไม่ได้สะสางกันอยู่”
“กูขายหุ้นไปหมดแล้ว มึงจะมาเอาเรื่องอะไรกูอีกวะ”
“ใช่ ผมรับปากคุณว่าถ้าคุณขายหุ้นแล้วออกจากเซน–ซูยาไป ผมจะไม่เอาเรื่องคุณ แต่คุณก็ต้องไม่ลืมนะครับว่าคดียังไม่หมดอายุความ ผมอาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาตอนไหนก็ได้”
“มึงหลอกกูเหรอ ไอ้...” นันท์กระชากคอเสื้อเพรียวจะชก
“คิดดูดีๆก่อนออกหมัดนะคุณ ถ้าเรื่องถึงโรงพักรับรองไม่จบง่ายๆแน่ และผมเชื่อว่าคงไม่มีญาติคุณคนไหนออกโรงปกป้องคุณอีกแล้ว”
นันท์แทบหายเมา กำหมัดค้างไม่กล้าต่อย เปลี่ยนเป็นผลักอกเพรียวแล้วชี้หน้าอาฆาตก่อนเดินไม่ตรงทาง
ออกไป เพรียวมองตาม ถอนใจหนักๆกับความเกเรไม่เลิกของนันท์...
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฟ้างามกับอนุศรคิดเห็นตรงกันว่านันท์ไม่ได้กลัวเกรงมานิดาสักเท่าไหร่ ที่รวมหัวกันก็เพื่อผลประโยชน์มากกว่า ต่อไปถ้าแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว คงไม่แคล้วทะเลาะกันเองแน่ ถึงตอนนั้นฝ่ายเราก็มีสิทธิ์พลิกสถานการณ์ได้เหมือนกัน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ มานิดากับเมลานีไม่พอใจอย่างมาก เสร็จพิธีในตอนเช้าจึงตามไปต่อว่านันท์เป็นการใหญ่ ซึ่งนันท์ก็เถียงไม่ลดละ
“นึกว่าฉันโง่เหรอ ที่ช่วยฉันไว้ก็เพราะต้องการผลประโยชน์จากฉันเหมือนกัน นี่ไง ฉันพามิสเตอร์คิมมาให้แล้ว ถ้าไม่ได้ฉัน พวกเธอจะมีไพ่อะไรไปสู้ไอ้นูกับน้างาม คิดๆดูแล้ว ฉันตะหากที่เป็นฝ่ายมีบุญคุณกับเธอ”
“ฟังมันพูดสิคะคุณแม่ ไม่ทันไรมันก็เนรคุณให้แล้ว”
“เบาๆกันหน่อยได้มั้ย เสียงดังออกไปนอกห้องแล้ว กลัวคนอื่นไม่รู้ปัญหาครอบครัวเรารึไง ฉันไม่ได้หน้าด้านหน้าหนาเหมือนเราสองคนหรอกนะ” ว่าแล้วมานิดาก็ปรับท่าทีเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “นันท์ ป้าขอนะจ๊ะ ป้าต้องการแค่เซนซูยาเท่านั้น ไม่ได้ต้องการสร้างศัตรูเพิ่ม โดยเฉพาะบิ๊กๆอย่างพ่อแวน ป้าไม่อยากเสี่ยง”
“ปอดแหกไปได้ป้า แต่เอาเหอะ เมื่อป้าขอผมก็จะให้ ถ้าไอ้แวนกับนังน้ำมันไม่มาขวางทางผม ผมก็ไม่ยุ่งกับมันอีก พอใจรึยัง” นันท์ลุกพรวดปึงปังออกไป เมลานีจ้องตามด้วยความแค้น
“เมบอกแล้วว่าไม่น่าช่วยมันไว้เลย ตอนไอ้นันท์มันกำลังสิ้นท่าน่าจะปล่อยให้มันขายหุ้นแล้วก็หนีไปเมืองนอกซะก็สิ้นเรื่อง แล้วดูสิคะว่าตอนนี้เป็นไง ช่วยงูเห่าเอาไว้ชัดๆ”
“ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รู้หรอกนะเม แต่เราต้องทนเอาไว้ ตอนนี้ นันท์มันเป็นเศรษฐีนะเม เป็นธรรมดาแหละ คนยิ่งรวยก็ยิ่งหัวเราะดัง ก็ยิ่งเอาแต่ใจ...เอาเถอะ หมดประโยชน์เมื่อไหร่ แม่เขี่ยมันทิ้งแน่” มานิดาหน้าเหี้ยม เกลียดนันท์ไม่น้อยเหมือนกัน...
ตกเย็นเตรียมตัวไปงานเลี้ยงฉลองสมรสน้ำนวลกับแวนที่โรงแรม เพรียวยิ่งเศร้า ยืนมองหน้าตัวเองในกระจก แล้วรำพึงออกมา
“รัมภา...ถ้าคุณได้ยินที่ผมพูดก็ขอให้คุณรู้ไว้ว่าวันนี้ เป็นวันที่ผมเจ็บปวดที่สุด แต่ผมก็จะทำเพื่อความสุขของคุณน้ำ คุณเองก็ให้พรผมด้วยนะ ให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี อย่าให้ผม ขาดใจตายกลางงานเค้าล่ะ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาของรัมภาเช่นเคย เพรียวหันไปหยิบกล่องของขวัญที่เตรียมไว้ก่อนจะออกจากห้องพัก...พอถึงในงานถูกแวนลากไปถ่ายรูปด้วย เพรียวต้องฝืนใจอย่างแรง ชมบ่าวสาวสวยหล่อสมกัน ก่อนจะพาตัวเองเลี่ยงออกจากงาน ไปด้วยหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี
ooooooo
ฟ้ายังไม่สาง หลวงลุงตื่นนอนจะลงมาทำวัตรเช้า เห็นรถเพรียวจอดอยู่หน้ากุฏิจึงเดินเข้ามาเรียกใกล้ๆ เพรียว สะดุ้งเล็กน้อยก่อนเปิดประตูลงจากรถไปกราบหลวงลุง
“ผมมารบกวนหลวงลุงรึเปล่าครับ”
“ไม่กวนหรอก ข้าตื่นตีสามมาสวดมนต์ทุกวันอยู่แล้ว เพรียวเอ๊ย รุ่มร้อนมาอีกล่ะซิ ถ้าเอ็งยังระงับเหตุไม่ได้ บวชแล้วจะได้พระธรรมเหรอ”
“ผมอยากบวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อกับแม่ครับ ส่วนเรื่องอื่น ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่พ่อกับแม่ ดีใจที่เห็นผ้าเหลืองก็พอแล้วครับ”
“ก็ดี เอ็งคิดได้อย่างงั้นก็ดี”
“หลวงลุงครับ ผมอยากจะทุกข์น้อยกว่านี้ ผมควรจะ ทำยังไงดีครับ ผมเชื่อเรื่องทำดีทำชั่วนะครับ เวลาผมทุกข์ ผมถึง ไม่คิดจะทำชั่ว แต่อยู่เฉยๆแบบนี้มันก็ทรมานเหลือเกินครับ”
“เอ็งก็ต้องทำความดีต่อไป คนเราถ้าหมั่นทำบุญทำกุศล อีกหน่อยจิตใจก็จะผ่องใสขึ้น ทุกข์ก็เบาบางลงไปเอง”
“อีกหน่อยเหรอครับ ผมไม่หวังหลายๆปีข้างหน้าหรอกครับ ขอแค่ผ่านแต่ละคืนไปได้ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ...คืนนี้ มันช่างยาวนานเหลือเกินหลวงลุง ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะเช้าซะที”
“ก็ลองเอ็งมีความสุขสิ ขี้คร้านเวลาจะติดปีกบินซะอีก มา...เอ็งตามข้ามาเจ้าเพรียว”
เพรียวยิ้มบางๆอย่างเห็นด้วย ลุกขึ้นเดินตามหลวงลุงไปในโบสถ์เพื่อทำสมาธิและสนทนาธรรม ซึ่งก็ทำให้เพรียวรู้สึกผ่อนคลาย จิตใจสงบลงได้บ้าง
ooooooo
เพิ่งผ่านการแต่งงานมาได้สองสามวัน น้ำนวลมีความจำเป็นต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัด แวนไม่ว่าแถมยังถือโอกาสนี้เป็นการฮันนีมูน แต่พอจะขึ้นรถ แวนนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่เพรียวบวช แวนอยากไปมาก เช่นเดียวกับศรีทรัพย์ที่ต้องการไปร่วมทำบุญด้วย
เมื่อดูเวลาแล้วน่าจะยังทันอยู่ สองแม่ลูกกระตือรือร้นจะไปด้วยกัน แต่จู่ๆแวนเกิดซวนเซมึนงงแทบยืนไม่ไหว ทั้งศรีทรัพย์และน้ำนวลต้องรีบพาเขาส่งโรงพยาบาลทันที
หลังจากหมอตรวจอาการแล้วให้แวนนอนพักผ่อน แต่แวนไม่ได้หลับ เขาแค่หลับตาจึงได้ยินศรีทรัพย์กับน้ำนวล พูดคุยกันเรื่องอาการเจ็บป่วยของเขาด้วยความเป็นห่วง
และกังวล นี่เองทำให้แวนรู้สึกแย่ที่ตนเหมือนคนเห็นแก่ตัวเอาชีวิตน้ำนวลมาผูกติดกับตนไว้...
พิธีบวชของเพรียวผ่านไปด้วยดีท่ามกลางความปลาบปลื้มชื่นใจของทุกคนในครอบครัว โดยมีหลวงลุงเป็นพระอุปัชฌาย์ แต่พอพระเพรียวต้องอยู่กุฏิเก่าๆโทรมๆ โยมพ่อโยมแม่ทำท่าจะไม่ยอม ก็เลยโดนหลวงลุงเทศนา อีกทั้ง พระเพรียวเองก็ตั้งใจจะศึกษาพระธรรม ถ้าอยู่สุขสบายเกินไปเกรงจะขัดเกลาจิตใจไม่ได้
เมื่อตกลงกันได้แล้ว พระเพรียวจะกลับเข้ากุฏิ ทันใดนั้นเองมีแสงสว่างเรืองรองอยู่เบื้องหน้า มองไปก็เห็นรัมภาในชุดสีขาวบริสุทธิ์นั่งพับเพียบก้มกราบสามครั้ง พระเพรียวยิ้มบางๆดีใจที่ได้เห็นรัมภาอีกครั้ง คาดว่าคงเป็นการลาจากกันอย่างถาวร
ใกล้ค่ำวันเดียวกันนี้ ศรสิทธิ์ต้องเดินทางไปรักษาตัวกับหมอที่อเมริกา โดยอนุศรได้ติดต่อจัดการทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว รวมทั้งแม่ของอนุศรที่อยู่ทางโน้นก็ยินดีให้ความช่วยเหลือและดูแลอดีตสามี...
ooooooo
เช้าวันหนึ่งในห้องประชุมออฟฟิศเซนซูยา ฟ้างามกับมานิดาเกิดงัดข้อกันต่อหน้าคณะกรรมการ ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์ โดยเฉพาะฟ้างามนั้นฉุนเฉียวเป็นอย่างมาก
“เธอถือดียังไงมาออกคำสั่งย้ายคนโน้นคนนี้ตามใจชอบ”
“คุณฟ้างามพูดขึ้นมาก็ดีแล้วค่ะ ดิฉันจะได้อธิบายให้ทุกท่านทราบพร้อมกันเลยทีเดียว” มานิดาสบตาเมลานี อย่างรู้กัน โดยไม่ต้องพูดอะไรเมลานีก็ลุกขึ้นเดินแจกเอกสาร
“นี่เป็นเอกสารแสดงสัดส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทค่ะ เผื่อจะกำลังยุ่งกันอยู่เลยไม่ทันได้เข้าเว็บเช็กข่าวจาก ก.ล.ต.
“สิริรวมตอนนี้คือมิสเตอร์คิมถือหุ้นเซนซูยาอยู่สี่สิบเปอร์เซ็นต์” มานิดาประกาศด้วยรอยยิ้ม ฟ้างามโต้ทันทีว่าเป็นไปไม่ได้ มันเร็วเกินไป เมลานีจึงแนะนำน้างามให้เลขาฯอัพเดตข้อมูลตอนนี้ดู ฟ้างามชะงักหน้าเสีย เช่นเดียวกับน้ำนวลและอนุศรที่ตกใจไม่แพ้กัน
“อำนาจเงินนี่ดูถูกไม่ได้นะคะคุณฟ้างาม ตอนนี้ฉันเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจที่ถูกต้องตามกฎหมายของมิสเตอร์คิม เอกสารแนบอยู่ด้านหลังเรียบร้อยแล้วนะคะ” มานิดาสำทับอย่างสะใจ
“พวกเธอมันเล่นตุกติก ใช้นอมินีกว้านซื้อหุ้นใช่มั้ย” ฟ้างามระเบิดเสียงลั่นห้อง มานิดาลอยหน้าลอยตาไม่แคร์ไม่ตอบ
“แต่ถึงจะมีสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับที่น้างาม น้ำ แล้วก็แวนมีรวมกันนี่คะ” น้ำนวลท้วงขึ้นมา
“แล้วถ้ารวมหุ้นของผมอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นหกสิบ คุณยังไม่มีสิทธิบริหารเหนือพวกเราหรอกนะครับคุณมานิดา”
“นั่นมันของคุณพ่อต่างหากค่ะพี่นู คุณพ่อทำพินัยกรรมยกให้พี่ก็จริง แต่ตอนนี้คุณพ่อท่านยังอยู่นะคะ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่หุ้นของพี่”
เมลานีพูดถูกจนพวกฟ้างามเถียงไม่ออก มานิดาจึงรวบรัดตัดบท
“เอาล่ะค่ะทุกท่าน เราพร้อมจะเริ่มประชุมกันได้รึยังคะ”
คณะกรรมการทุกคนหันมองกันตาปริบๆ ในขณะที่น้ำนวล ฟ้างาม และอนุศรสีหน้าเคร่งเครียดคิดหาทางแก้เกม สองแม่ลูกตัวแสบ...
สถานการณ์ในเซนซูยาเลวร้ายลงทุกที พนักงานหลายฝ่ายหลายคนกำลังเดือดร้อนจากผลพวงการเปลี่ยนแปลงระบบงานของมานิดาที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับฟ้างามอย่างชัดเจน นางกับดลที่เป็นคนของน้ำนวลก็พลอยจะโดนไปด้วย ส่วนข่ายแก้วรอดตัวเพราะกำลังจะลาออกในเดือนหน้านี้แล้ว
เมื่อมีปัญหา พวกนางอดคิดถึงเพรียวกับพิมมาลาขึ้นมาไม่ได้ น้ำนวลเองก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ไม่กล้าที่จะไปรบกวนพระ ส่วนพิมมาลาก็ไม่รู้ว่าหายไปอยู่แห่งหนตำบลใด
ผ่านไปเกือบเดือนสถานการณ์มีแต่แย่ลง ที่สุดดลกับนางก็อดรนทนไม่ไหวดั้นด้นไปหาพระเพรียวถึงวัด เท่านั้นเองพระก็ขอสึกในวันนี้ทันทีเลย จนพ่อแม่และพี่สาวแทบตั้งตัวกันไม่ทัน แต่สำหรับหลวงลุงนั้นไม่ว่าอะไร เพราะที่แล้วมาถือว่าเพรียวทำหน้าที่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว มีงานการ อะไรก็รีบไปทำซะ อย่าให้เสียหาย...
ooooooo
อนุศรกลุ้มและว้าวุ่นใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัท นึกอยากจะปรึกษาพ่อที่อเมริกาบ้าง แต่พอโทร.ไปได้ยินเสียงพ่อไอ แค่นั้นลูกชายก็ไม่กล้าเอาเรื่องไม่สบายใจไปให้
“นูทำถูกแล้วล่ะที่ไม่บอกพ่อเค้า บอกไปพ่อเค้าก็กลุ้มใจเปล่าๆ ช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก อารู้นิสัยพี่สิทธิ์ดี เค้าเป็นคนอ่อน ช่วงแรกๆก็อาจจะโกรธ แต่พอยัยมานิดามันหลบฉาก เค้าก็หาย แล้วก็กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกนั่นแหละ สู้ให้เค้าพักรักษาตัวให้เต็มที่ไปเลยดีกว่า”
“ผมสงสารพ่อนะครับอา ถ้าพ่อรู้ว่าลูกกับเมียใหม่ต้องมาห้ำหั่นแย่งสมบัติกันเองแบบนี้ พ่อจะเสียใจขนาดไหน ทำไมคุณมานิดากับเมไม่คิดบ้างก็ไม่รู้”
“ผู้หญิงอย่างนั้นจะมีสมองส่วนไหนไปคิด ในหัวมันก็มีแต่เงิน ส่วนแม่เมก็เชื้อไม่ทิ้งแถวหรอก”
“ตอนนี้คุณมานิดาคุมฝ่ายบุคคลไว้ทั้งหมด เล่นย้ายคนเข้าออกกันตามใจชอบจนระบบงานเละไปหมดแล้ว ผมกลัวว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเซนซูยาจะเสียคนเก่งคนดีไปหมดนะครับ”
“แต่ยังไงฝ่ายการเงินทั้งหมดก็ยังอยู่ในมืออา พวกมัน จะกินนอกกินในก็ไม่ถนัดนักหรอก เราคงต้องช่วยกันประคองสถานการณ์เอาไว้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยคิดหาทางตอบโต้เล่นงาน พวกมันคืน”
แต่ดูเหมือนฝ่ายฟ้างามจะโดนเล่นงานซะมากกว่า เพราะบ่ายนี้เองน้ำนวลถูกนันท์เข้ามายึดห้องทำงาน แถมยัง จะยุบฝ่ายการตลาดและโฆษณา
“เซนซูยาเป็นห้างสรรพสินค้า จะไม่ทำการตลาดกับโฆษณาได้ยังไง”
“ทำสิ ใครว่าไม่ทำล่ะ เพียงแต่ป้ามานิดาเค้าเปลี่ยนไปให้คนอื่นทำแทนที่ไม่ใช่แก แต่เป็นฉันเอง แล้วก็ไม่ใช่แค่ตำแหน่งเดียวด้วย กลับมาคราวนี้ฉันกะจะควบซัก 4-5 เก้าอี้”
“ทำเกินไปแล้วนะพี่นันท์”
“โดนถอดหลุดเก้าอี้แค่นี้โกรธมากเลยเหรอน้องรัก แล้วทีตอนแกทำกับฉันล่ะ”
น้ำนวลถอนใจจะเดินหนีไป แต่โดนพี่ชายกระชากไหล่อย่างแรง
“ถ้าโกรธจนทนไม่ไหวก็เลือกเอา...รวบรวมหุ้นให้มากกว่าพวกฉัน หรือไม่ก็ขายหุ้นของแกให้พวกฉันซะ เหมือนที่แกเคยบีบให้ฉันขายหุ้นของฉันยังไงล่ะ”
“พี่นันท์กำลังสมคบกับคนอื่นพังบ้านตัวเองอยู่รู้ตัวมั้ย”
“ก็อยากบีบให้ฉันไม่มีบ้านจะอยู่ก่อนทำไมล่ะ เมื่อฉันอยู่ไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะอยู่กันอย่างมีความสุขอีกเลย” ว่าแล้วนันท์ก็เดินกระแทกไหล่น้องสาวกลับออกไป น้ำนวลมองตามด้วยความอ่อนใจ ความเคียดแค้นกำลังบังตานันท์จนมองไม่เห็นการกระทำอกตัญญูของตัวเอง
ต่อมา เมื่อแวนรู้เรื่องจากน้ำนวลก็โมโหแทน เขาเปรียบนันท์เป็นตัวเชื้อโรคที่ตายยากตายเย็น
“แวนว่าถ้ามันยังกลับเข้าป่วนน้ำได้แบบนี้ ก็อย่าไปทำมันเลย ลาออกมาทำงานกับป๋า หรือไม่ก็อยู่เฉยๆดีกว่า แวนมีปัญญาเลี้ยงน้ำอยู่แล้ว”
“เอาไว้ให้ถึงที่สุดก่อนนะแวน แต่ยังไงน้ำก็ขอรักษาสมบัติของคุณตาให้สุดกำลังความสามารถก่อน ถ้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ค่อยทำตามที่แวนแนะนำนะ”
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะน้ำ ที่แวนรู้สึกเซ็งตัวเองมากขนาดเนี้ย เวลาแบบนี้แวนน่าจะช่วยอะไรน้ำได้บ้าง แต่แวนก็ทำอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง ปล่อยให้น้ำต้องเผชิญปัญหาอยู่คนเดียว”
“พูดอะไรอย่างงั้นจ๊ะแวน แค่แวนเป็นกำลังใจให้น้ำแบบนี้ ก็ช่วยน้ำได้เยอะแล้วล่ะจ้ะ”
“ตอนนี้แวนคิดถึงพี่พิมกับพี่เพรียวจริงๆเลย นี่ถ้ามีพวกเค้าอยู่คงมีไอเดียดีๆ ช่วยกอบกู้สถานการณ์ ได้บ้างแหละ”
“น้ำเข้าใจนะว่าพี่สองคนนั่นเค้าเป็นคนเก่ง แล้วก็เคยช่วยเหลือเรามามาก แต่พี่พิมเค้าย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แล้ว ส่วนพี่เพรียว...น้ำละอายใจที่จะต้องไปขอให้เค้ามาช่วยเราอีก”
“ทำไมล่ะน้ำ แวนไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลยที่จะขอความช่วยเหลือจากพี่เค้า มีเรื่องอะไรต้องละอายใจเหรอ น้ำไปทำอะไรผิดกับพี่เค้าไว้เหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ น้ำใช้คำพูดผิดไปหน่อยน่ะแวน งั้นรอพระท่านสึกก่อนดีกว่า อย่าเอาเรื่องร้อนใจไปรบกวนพระท่านเลยนะ”
“พระเพรียวจะสึกเมื่อไหร่เหรอ”
“น้ำก็ไม่ได้จำซะด้วยสิ ไหนๆวันนี้น้ำก็ไม่ได้ทำงานแล้วเราไปดูหนังกันดีกว่านะ”
แวนย้ิมรับแต่ไม่วายประชดว่า เป็นหนังรอบแรกตั้งแต่ แต่งงาน คู่เราสวีตกันมากเลย...
ด้านเพรียว สึกปุ๊บก็รีบเข้ากรุงเทพฯปั๊บ แต่พอมาถึง เซนซูยากลับเจอทศกรเยาะหยันว่าจะรีบสึกมาทำไม กลับมา ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำหรอก
“ก็ไม่แน่หรอกพี่ทศ บางทีผมอาจจะมีงานให้ทำเต็มไปหมดเลยก็ได้”
ทศกรแค่นหัวเราะ เดินนำไปหยุดหน้าห้องทำงานเพรียวที่มีเอกสารและข้าวของกองสุมเอาไว้
“นี่มันอะไรกันน่ะพี่ทศ ของของผมทำไมถึงมาอยู่ข้างนอกห้อง ถึงคุณมานิดาจะคุมฝ่ายบุคคลแต่ก็มีอำนาจไล่พนักงานระดับล่างออกได้เท่านั้น ไม่ใช่รองกรรมการผู้จัดการอย่างผมนะพี่”
“ใครจะไปกล้าไล่ท่านรองอย่างท่านเพรียวออกได้ล่ะครับ เพียงแต่ตอนนี้เซนซูยาต้องปรับโครงสร้างพนักงานใหม่ ก็เลยให้แกพักผ่อนไปก่อนจนกว่าจะปรับเสร็จ แกน่าจะดีใจนะที่งานก็ไม่ต้องทำ แต่ยังได้เงินเดือนเหมียนเดิม ฉันยังอิจฉาแกเลยว่ะ”
เพรียวจ้องหน้าทศกรด้วยความไม่พอใจ “แล้วต้องใช้เวลาปรับนานเท่าไหร่”
“ไม่รู้ อยากรู้ก็ไปถามคุณมานิดาเอาเอง แล้วของพวกนี้ขนไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็ให้ลูกน้องเก่ามาช่วยแล้วกันนะ เพราะคนอื่นๆเค้ามีงานทำกันหมด ไม่ได้ว่างเหมือนพวกก๊วนแก”
ทศกรเดินหัวเราะหึๆจากไปอย่างสะใจ เพรียวอยากจะอัดซักทีแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่จ้องตามด้วยความแค้น จากนั้นก็เก็บรวบรวมสิ่งของตัวเองใส่กล่องเอากลับออกมา ขณะเขาเดินบ่นมาถึงหน้าออฟฟิศไม่นึกว่าจะเจอรัมภาในชุดสาวยาคูลท์ เพรียวดีใจมากทิ้งกล่องในมือแล้วโผเข้ากอดรัมภาแน่น
“นี่ปล่อยนะ เดี๋ยวก็สาปให้เป็นผู้หญิงอีกหรอก”
เพรียวฟังซะที่ไหน กลับอุ้มรัมภาหมุนไปรอบๆ จนผู้คนที่เดินผ่านไปมาพากันมองแปลกใจว่าเขาเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงทำท่าบ้าบออยู่คนเดียว...
หามุมสงบได้แล้ว รัมภานั่งกอดอกหน้าหงิกจ้องมองเพรียวตาขวางๆ
“ก็คุณเล่นหายไปเป็นเดือนๆ ผมเรียกยังไงก็ไม่ยอมตอบนี่นา ผมก็ต้องคิดถึงคุณมากเป็นธรรมดา”
“แล้วรู้มั้ยว่านายไม่สมควรมาแตะต้องเนื้อตัวฉัน”
“ขอโทษ...ตอนที่คุณมาหาผมวันบวช ผมนึกว่าจะได้เจอคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วซะอีก”
“แล้วมันเรื่องอะไรฉันถึงต้องมาหานายอีกด้วยล่ะ นายไม่ได้เป็นคนสำคัญขนาดนั้นซักหน่อย หลงตัวเองไปรึเปล่า”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องหลงไม่หลงเลยคุณ ก็คนเราเป็นเพื่อนฝูงกัน อยู่ๆหายไปมันก็เหมือนขาดอะไรไป”
“ลามปาม ฉันไปเป็นเพื่อนกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่ นายกับฉันมันคนละระดับกัน หัดเจียมตัวซะมั่ง หน็อย...หิ่งห้อยส่องก้นซู่ แสงจันทร์ปัดเทียบเทียมรัตน์อัน เอี่ยมข้า...เคยได้ยินรึเปล่ายะ ไม่เจียมตัว”
“ด่าเป็นกลอนเลยนะ สมอายุจริงจริ๊ง”
“พูดไม่เข้าหู เดี๋ยวไปซะเลย” รัมภาลุกยืน เพรียวไม่ให้ไปรีบดึงเธอนั่งลงอย่างเดิม
“แล้วตกลงนางฟ้าไฮโซอย่างคุณยอมกลับมาหาผมด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบครับ”
“ก็เรื่องเดียวกับที่นายกำลังกลุ้มใจอยู่นี่ล่ะ”
“ว่าไปคุณนางฟ้า”
“ในอนาคต หนูน้ำจะต้องเป็นผู้บริหารเซนซูยา แล้วก็ทำได้ดีไม่แพ้ฟ้างามด้วย แต่ถ้าเซนซูยายังเป็นแบบเนี้ย มันคงจะเจ๊งก่อนจะถึงมือหนูน้ำ”
“คุณก็เลยต้องการให้ผมช่วย เพราะนางฟ้าอย่างคุณทำเองไม่ได้ ผิดกฎใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วนายอยากจะช่วยลูกสาวฉันมั้ยล่ะ”
“อยากสิ ไม่เห็นต้องถาม แต่สภาพผมตอนนี้ท่าจะยากนะคุณ ถ้าเป็นพิมมาลายังจะพอมองเห็นช่องทาง”
“แล้วถ้าฉันสามารถให้พรนายได้ล่ะ นายจะเป็นพิมมาลาที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่นายต้องการ มีตัวช่วยอย่างนี้ปัญหาต่างๆพอจะง่ายขึ้นมั้ยล่ะ”
เพียงรัมภาดีดนิ้วมือ พร้อมๆกับเพรียวคิดอยากเป็นพิมมาลาก็ได้ดังใจ พออยากกลับเป็นเพรียวก็ได้ทันทีอีก จากนั้นก็คิดกลับไปกลับมาจนรัมภาชักจะเวียนหัว
“ขอบคุณมากครับคุณรัมภา ผมจะใช้เสน่ห์ของพิมมาลาให้เป็นประโยชน์ที่สุด หาทางช่วยคุณน้ำให้ได้”
และแล้วค่ำนั้นเอง พิมมาลาก็ไปปรากฏตัวหว่านเสน่ห์ทศกรเพื่อล้วงความลับว่ามานิดากำลังคิดจะทำอะไรบ้าง ตนอยากกลับมาทำงานที่เซนซูยาอีกก็เลยจำเป็นต้องรู้ความเคลื่อนไหว ทศกรเชื่อสนิทเพราะเคลิ้มความสวยเซ็กซี่ของพิมมาลา คุยน้ำลายแตกฟองว่าตอนนี้มานิดามีแผนจะสร้างเซนซูยาสาขาใหม่ งานนี้กะฟันเละ แล้วคนที่ได้รับความไว้วางใจให้คุมงานก็คือตนนั่นเอง
“พิมสนใจงานนี้จังเลยค่ะ พี่ทศช่วยเล่าให้พิมฟังอย่างละเอียดได้ไหมคะ” พิมมาลาไม่พูดเปล่า จงใจวางมือลงที่ต้นขาทศกรก่อนลูบไล้ไปมาเบาๆ
ทศกรสะดุ้งเฮือกตาเบิกกว้าง ปากคอสั่นด้วยความหวาดเสียว พูดลิ้นพัน “ดะ...ดะ...ได้สิครับคุณพิม พี่ทศพร้อมเปิดอกเล่าทั้งคืนเลย”
พิมมาลาโปรยยิ้มหวาน ส่งสายตาเซ็กซี่ยั่วยวนตลอด... ผ่านไปพักใหญ่ ทศกรก็เมาเละไม่เป็นท่า นอนแผ่สองสลึงที่เบาะหลังรถตัวเอง โดยมีพิมมาลายืนหอบอยู่ข้างรถ บ่นกับรัมภาว่าปวดไหล่แทบหลุด
“ต้องขอชมนะว่าลีลาการยั่วยวนของนายเนียนขึ้นเยอะ ไม่เก้ๆกังๆเหมือนตอนยั่วนายทวิชา”
“แล้วคุณจะให้ผมล้วงความลับไอ้ทศทำไม ถึงจะตอบโต้คุณมานิดาได้บ้าง แต่ก็แค่เล็กน้อย ยังแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้หรอก”
“ฉันรู้หรอกย่ะ ฉันอยากอัพเดตให้นายรู้ว่าพวกมันคิดทำอะไรกันอยู่ แล้วฉันก็อยากจะทดสอบลีลายั่วยวนของนายดูก่อนด้วย เพราะงานนี้พลาดไม่ได้”
“แล้วผ่านมั้ยล่ะ”
“ผู้หญิงแท้ๆยังอาย...นี่ ถ้าจะจัดการมานิดาตัดปีกตัดหางให้ได้จริงๆ ก็ต้องเล่นงานที่นายทุน ซึ่งก็คือมิสเตอร์คิม”
เมื่อได้คำแนะนำจากรัมภาแล้ว รุ่งขึ้นพิมมาลาจึงเดินหน้าเข้ามาในเซนซูยา เป็นจังหวะเวลาที่บรรดาพนักงานกำลังวุ่นวายกันพอดี เพราะมีคำสั่งปรับเปลี่ยนโยกย้ายครั้งใหญ่จากมานิดาอีกแล้ว พอนางกับดลเห็นพิมมาลาก็พากันแปลกใจ ก่อนทั้งหมดจะพากันไปกินอาหารกลางวันที่ร้านภายในห้างนั่นเอง
นางกับดลสวาปามอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เพราะไม่ได้กินของดีมานาน โดยมีพิมมาลานั่งมองอึ้งๆงงๆ ถามว่าตายอดตายอยากมาจากไหนกัน?
“โดนลดเงินเดือน 50 เปอร์เซ็นต์ขนาดนี้ จะมีปัญญามานั่งร้านหรูๆ กินอาหารแพงๆได้ไงคุณพิม”
“ไม่ติดว่าเป็นคู่กัดกันมาก่อนฉันจะสั่งใส่กล่องกลับไปกินบ้านอีกนะยะ แล้วนี่เธอมีธุระอะไรจะคุยกับพวกเรา อย่าบอกนะว่าอยากกลับมาเซนซูยาอีก...อย่ามาเลย ตอนนี้เซนซูยาเละเทะหมดแล้ว”
“เละยังไง” พิมมาลาซักเพื่อเก็บข้อมูล
“ก็ชิงอำนาจกันจนเละน่ะสิ คุณมานิดาก็ย้ายคนมั่ว บีบคนออกสารพัด คุณฟ้างามก็เลยแก้เผ็ดด้วยการคุมเงินซะอย่างเข้ม ค่าใช้จ่ายเห็บหอยอะไรก็ต้องมีบิลหมด”
“ไอ้ที่เคยหมกเคยเม้มได้มั่ง หมดกันเลย” ดลหลุดปาก เลยโดนนางหยิกแขนหมับเข้าให้
“ที่ฉันมาหาพวกเธอก็เพราะเรื่องนี้แหละ ฉันมีแผนที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อที่เซนซูยาจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพวกเธอนิดหน่อย”
นางกับดลถามเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอมีแผนการอะไร แล้วพวกเราจะช่วยได้ยังไง
“ง่ายๆ ฉันจะเจอมิสเตอร์คิมได้ที่ไหน ฉันอยากรู้ตารางเวลาแต่ละวันของเค้าว่าไปไหนมาไหน อยู่ที่ไหน ประชุมกับใคร ถ้าพวกเธออยากกลับไปทำงานตำแหน่งเดิม ก็ไปสืบหาข้อมูลของมิสเตอร์คิมมาให้ฉันอย่างเร็วที่สุด”
แน่นอน! นางกับดลต้องการตำแหน่งและเงินเดือนกลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นครั้งนี้ทั้งคู่จึงต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่...
เย็นนั้นน้ำนวลพาแวนไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เนื่องจากระยะนี้แวนมีอาการคลื่นไส้อาเจียนบ่อยๆ แต่แวนไม่ยอมตรวจคนเดียว น้ำนวลจึงต้องตรวจเป็นเพื่อน ผลปรากฏว่าน้ำนวลท้อง และที่แวนมีอาการอย่างนั้นก็เพราะแพ้ท้องแทนภรรยานั่นเอง
น้ำนวลดีใจมาก แต่แวนช็อก หน้าตาเคร่งเครียดเป็นกังวลจนน้ำนวลดูออก ถามเขาว่าเป็นอะไร ไม่ดีใจเหรอที่กำลังจะมีลูกกับเธอ
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกน้ำ...คือแวนไม่คิดว่าเราจะมีลูก คนอย่างแวนเนี่ยนะจะเป็นพ่อคนได้ นึกภาพไม่ออกเลย”
“เราแต่งงานกันก็ต้องคาดหวังจะมีลูกด้วยกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอแวน”
“ถ้าเป็นคนอื่นก็คงใช่ แวนพยายามป้องกันแล้ว ไม่คิดว่าจะพลาดได้”
น้ำนวลรู้สึกวูบ เสียใจที่แวนพูดแบบนี้ แวนจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่ล่วงรู้แล้วเก็บงำเอาไว้
“แวนไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนนะน้ำ ถ้าเรามีลูกด้วยกันอีกภาระทั้งหมดมันก็จะตกอยู่ที่น้ำคนเดียว”
“นี่แวนรู้เรื่องแล้วเหรอ” น้ำนวลสีหน้าตกใจ
“น้ำนึกว่าแวนดูอาการตัวเองไม่ออกเหรอ มันไม่เหมือนเดิม...แวนอยากรู้เลยไปตามจี้ถามจนคุณหมอบอกความจริงมาหมดแล้วล่ะ จริงๆแวนสงสัยตั้งแต่น้ำเลื่อนกำหนดการแต่งแล้ว ตอนแรกเราก็แค่คุยๆกัน อยู่ๆน้ำก็เร่งให้แต่งงานเร็วขึ้น แบบแวนตั้งตัวไม่ทันเลย ขอบคุณมากนะน้ำ ที่ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อดูแลแวน แวนเป็นห่วงน้ำมากนะ ถ้าแวนเป็นอะไรไป แวนอยากให้น้ำมีใครซักคนคอยดูแล ดีกว่าต้องเป็นแม่ม่ายเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว”
น้ำนวลจับมือแวนบีบให้กำลังใจ “แวนจ๋า...นี่แวนไม่อยากให้น้ำมีลูกเพราะกลัวเป็นแม่ม่ายลูกติดอย่างงั้นเหรอ แล้วถ้าเกิดแวนอยู่ได้ไปจนแก่ ไม่โชคร้ายอย่างที่กลัวๆกันอยู่ เราสองคนก็อดมีลูกน่ะสิ เราอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะความกลัวเลยนะแวน เชื่อน้ำนะ ทำชีวิตเราให้ดีที่สุดในปัจจุบันดีกว่า แล้วอนาคตก็จะดีเองแหละ”
“แวนจะเชื่อน้ำนะ แวนคิดไม่เข้าท่าเอง ขอโทษนะน้ำ แวนจะไม่คิดแบบนี้อีกแล้ว...แวนขอโทษนะน้ำ”
ทั้งคู่สวมกอดกัน ต่างแอบน้ำตาซึมออกมา...
ooooooo
ไม่ทันข้ามวัน นางกับดลหาข้อมูลมิสเตอร์คิมได้รวดเร็วทันใจพิมมาลา ค่ำนั้นพิมมาลาจึงไปปรากฏตัวยั่วยวนมิสเตอร์คิมถึงห้องพักในโรงแรม ก่อนจะกลายเป็นเพรียวจัดการเขาซะหมอบกระแต แล้วค้นหาข้อมูลส่วนตัวของเขาในคอมพิวเตอร์ตามคำบอกกล่าวของรัมภา
แต่ในระหว่างนี้เองนันท์ดันโผล่เข้ามา แต่ก็ขัดขวางเพรียวไม่ได้ เพรียวได้ข้อมูลนั้นไปแล้วหนีรอดลอยนวลเพราะมีรัมภาคอยช่วยเหลือ นันท์เจ็บใจและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก รีบโทร.บอกมานิดาให้รู้ตัว ส่วนเพรียวหลังได้ข้อมูลลับของมิส– เตอร์คิมมาก็รีบส่งอีเมลไปให้น้ำนวลในนามของ “รัมภาดิแองเจิ้ล”
“แวน...มีคนส่งข้อมูลของมิสเตอร์คิมมาให้น้ำ เค้าทำธุรกิจบังหน้า เราพอจะมีทางออกให้เซนซูยาแล้วล่ะ”
จากนั้นน้ำนวลโทร.ไปบอกเล่ารายละเอียดให้ฟ้างามฟัง ฟ้างามสะใจเป็นบ้า ตั้งใจจะโทร.ไปเยาะมานิดาให้กระอัก แต่เวลานั้นมานิดากำลังคุยโทรศัพท์กับมิสเตอร์คิมด้วยสีหน้าตื่นตกใจสุดๆ
“คุณจะขายหุ้นเซนซูยาทิ้งทั้งหมด พูดเล่นรึเปล่าคะคุณคิม...อะไรนะ คุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะ เรามีหุ้นในมือตั้งสี่สิบ เปอร์เซ็นต์ อีกนิดเดียวก็ยึดเซนซูยาได้แล้ว คุณ...ฮัลโหลๆไอ้บ้าเอ๊ย”
มานิดาตัดสายอย่างหงุดหงิด เพราะมิสเตอร์คิมวางสายไปดื้อๆ เมลานีร้อนรนถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายคิมต้องขายหุ้นทิ้ง
“ก็เบื้องหลังมันทำแต่ธุรกิจผิดกฎหมาย มันกลัวพวกนั้นเอาหลักฐานให้ตำรวจน่ะสิ ปอดแหกชะมัด”
“นังฟ้างามต้องอยู่เบื้องหลังแผนการครั้งนี้แน่ๆ อีแม่มด...”
ไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์มือถือมานิดาดังขึ้นพอดี มานิดาดูเบอร์ก่อนกดรับด้วยความโมโห แต่ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงฟ้างามดังมาก่อน
“จบเกมซะทีนะมานิดา เธอจะลาออกเองหรือให้ฉันไล่ออกดีล่ะ ฉันอยากจะทำตามใจเธอซักครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย” เสียงโทรศัพท์บ้านดังฟ้างามได้ทีเหยียบซ้ำให้อีก “แค่นี้ก่อนนะ เลขาฯฉันคงติดต่อมิสเตอร์คิมให้ได้แล้ว ดูซิว่าฉันจะกดราคาซื้อหุ้นคืนได้เท่าไหร่...กู๊ดไนต์”
มานิดาแค้นจนพูดไม่ออก แทบจะโยนโทรศัพท์ในมือทิ้ง
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้น พนักงานหลายคนช่วยกันขนของใช้ของทศกรออกจากห้องทำงานโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของทศกรที่ก้าวตามมาอย่างแตกตื่นตกใจ กลัวตกงาน พอเขาหันไปเห็นเพรียวเดินเข้ามาพร้อมนางกับดล ก็พุ่งไปอ้อนวอนปากคอสั่น
“เพรียว...แก...เอ่อ ท่านรองครับ ผมขอร้องนะครับ ขอโอกาสให้ผมแก้ตัวอีกซักครั้งเถอะครับ ผมจะไม่ทำตัวแบบเดิมอีกแล้ว ให้อภัยผมด้วยนะครับ”
“ทีทำคนอื่นเค้าไม่คิด พอโดนบ้างทำเป็นร้อง สมน้ำหน้า ขนไปทิ้งเลยพวกเรา” ดลสั่งการเสียงดัง ทศกรเหล่มองเจ็บใจ แต่ไม่กล้าออกฤทธิ์อะไร ตั้งหน้าอ้อนวอนเพรียวต่อไป
“น้องเพรียวคร้าบ...เห็นแก่ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องสถาบันเดียวกัน อย่าทำพี่เลยนะ อภัยให้พี่เถอะ ลดตำแหน่งพี่ขนาดนั้นพี่จะเอาเงินที่ไหนไปผ่อนบ้าน ผ่อนรถ แล้วไหนจะหนี้บัตรเครดิตอีก พี่ต้องอดตายแน่ๆเลยน้องเพรียว”
“อย่าหาว่าผมใจร้ายใจดำเลยนะพี่ แต่ตอนนี้คุณนูเอา ฝ่ายบุคคลไปดูแลเองหมดแล้ว ผมคงช่วยพี่ไม่ได้หรอก พี่คงต้องไปขอร้องคุณนูที่เกลียดขี้หน้าพี่มากๆเอาเองแล้วล่ะ”
เพรียวเดินเลี่ยงไป ทศกรหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เข่าอ่อนแหกปากร้องไห้โฮอย่างหมดฟอร์ม เพรียวกลับไปที่ห้อง
ทำงานของตน เจอน้ำนวลกับแวนนั่งรออยู่ แวนมาบอกข่าวดี ว่าน้ำนวลท้อง เพรียวได้ฟังถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปั้นยิ้มทำทีกระตือรือร้นเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ
“ยินดีด้วยครับ...ยินดีด้วยนะคุณน้ำ คุณน้ำต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ”
“ค่ะพี่เพรียว”
“ตอนผมรู้เรื่อง ผมช็อกแทบหงายหลังเลยนะพี่ น้ำเค้าไม่มีอาการอะไรเลย ไม่แพ้ท้อง ไม่เวียนหัว ผมเองซะอีกอ้วกแทบตาย สงสัยจะแพ้ท้องแทนน้ำเค้า น้ำเค้าต้องทำงานแล้วก็ยังมีความรับผิดชอบอีกตั้งหลายอย่าง ถ้าทำได้ผมอยากจะท้องแทนน้ำจริงๆเลย ผมว่างงานอยู่แล้ว น้ำจะได้ไม่ต้องลำบาก”
เพรียวมองเห็นความรักที่แวนมีให้น้ำนวลแล้วก็หน้าสลดลงอย่างเจ็บปวดใจ แต่ก็ต้องตั้งสติให้ทำใจ ตัดใจจากน้ำนวลให้ได้เร็วที่สุด
ถึงจะพยายามสักแค่ไหนแต่เพรียวก็ยังตกอยู่ในความหมองเศร้า ออกไปนั่งเหม่อคนเดียวจนโดนรัมภาโผล่มาก่อกวนแกล้งแหย่
“แหม พอรู้ว่าลูกสาวฉันกำลังจะมีลูก ถึงกับซึมไปเลยเหรอ จริงๆน่าจะทำใจได้ตั้งนานแล้วน้า...”
“ตกลงคุณเป็นนางฟ้าแน่รึเปล่า ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นเค้าซะจริง”
“แต่ยังไงฉันก็ขอชื่นชมนะ ไปบวชแล้วดีขึ้นเยอะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่โวยวายก็คงฟูมฟายไปแล้ว”
“ก็เพราะผมทำตามที่หลวงลุงสอนน่ะสิ ท่านสอนให้ผมดีใจที่เห็นคนที่เรารักมีความสุข ผมก็พยายามทำนะ แม้ว่าจะดีใจแห้งๆ ยิ้มแหยๆก็เหอะ”
รัมภามองเพรียวแล้วยิ้มบางๆ รู้สึกว่าเพรียวดีขึ้นกว่าเดิมเยอะจริงๆ
ooooooo
ศรสิทธิ์เดินทางกลับบ้านโดยไม่บอกคนทางนี้ ล่วงหน้า อนุศรเห็นสภาพพ่อซีดเซียวทรุดโทรมลงมากก็ใจเสียอยู่เหมือนกัน
“พ่อน่าจะโทร.มาบอกผมก่อนนะครับ ผมจะได้บินไปรับ ไม่ต้องนั่งเครื่องบินมากับพยาบาลแบบนี้”
“พ่อไม่อยากรบกวน ทุกคนก็มีงานทำกันทั้งนั้น พ่อก็แค่อยากกลับมาตายที่บ้านเท่านั้นเอง”
“คุณอย่าคิดมากเลยนะคะ โรคแทรกนิดๆหน่อยๆ รักษาหายก็หมดปัญหา รับรองอยู่ได้เป็นสิบๆปี” มานิดาปั้นยิ้มปลอบใจ แต่พอโดนศรสิทธิ์แขวะเธอก็ชักสีหน้าเล็กน้อย
“ไม่ต้องเป็นสิบๆปีหรอก แค่เธอไม่รังเกียจฉัน ฉันก็ดีใจมากแล้วล่ะ”
“คุณพ่อเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ เมว่านอนพักผ่อนก่อนดีกว่านะคะ มีอะไรค่อยคุยกันทีหลังก็ได้”
ศรสิทธิ์เอนตัวลงนอนบนเตียงตามที่เมลานีบอก อนุศร ดึงผ้าห่มห่มให้พ่อก่อนเดินตามมานิดาและเมลานีออกมาจากห้อง
“ทำไมอาการของคุณพ่อถึงทรุดลงได้ล่ะคะพี่นู ตอนไป ยังดีกว่านี้ตั้งเยอะ ไหนคุณพ่อบอกว่ายาต้านใช้ได้ผลดี
ไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณพ่อมีโรคแทรกหลายโรค พออาการทรุดลงคุณพ่อก็ไม่มีกำลังใจจะสู้ต่อ มันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ ปัญหาของเราพักไว้ชั่วคราวก่อนนะครับ ผมไม่อยากให้คุณพ่อไม่สบายใจ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงคุณสิทธิ์ก็เป็นสามี เป็นพ่อของลูกสาวฉันเหมือนกัน ฉันรู้ว่าควรปฏิบัติตัวยังไง ถึงเค้าจะไม่เขียนพินัยกรรมยกอะไรให้ฉันกับลูกเลยก็เถอะ”
“ก็ดีครับ” พูดจบอนุศรเดินเลี่ยงไป มานิดาหันมองกลับมาที่ห้องนอนศรสิทธิ์ด้วยสีหน้าหนักใจ ถ้าศรสิทธิ์เกิดเป็นอะไรขึ้นมาตอนนี้ตนกับลูกสาวเดือดร้อนแน่ๆ
ooooooo
รู้เรื่องน้ำนวลท้องในตอนสาย พอตกเย็นเพรียวได้ไปซื้อหนังสือหลายเล่มจะเอามาให้เธอ แต่พอเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของเธอ เพรียวกลับลังเลกระสับกระส่ายไม่กล้าเข้าไป กระทั่งได้ยินเสียงน้ำนวลดังขึ้นข้างหลัง
“มีอะไรเหรอคะพี่เพรียว”
เพรียวสะดุ้ง หันมองน้ำนวลด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย
“น้ำไปพบลูกค้าเพิ่งจะกลับเข้ามาค่ะ มีธุระอะไรกับน้ำรึเปล่าคะ”
“เผอิญตอนไปทานข้าวผมเดินผ่านร้านหนังสือนึกถึงคุณน้ำก็เลยซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำนวลรับถุงหนังสือมาเปิดดู ล้วนเป็นหนังสือคู่มือคุณแม่มือใหม่
“ผมเห็นว่าคุณน้ำต้องทำงานอาจจะไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองเท่าไหร่ ก็เลยซื้อหนังสือมาให้อ่านน่ะครับ วางทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงานเล่มนึง ในรถเล่มนึง ส่วนเล่มเล็กๆบางๆนั่นติดกระเป๋าถือเอาไว้ มีเวลาว่างจะได้อ่านเล่นๆ เตรียมตัวเอาไว้ไงครับ”
“ขอบคุณมากนะคะพี่เพรียว”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อน้องสาวน้อยกว่านี้ได้ยังไงล่ะ”
น้ำนวลกับเพรียวสบตา ลึกๆทั้งคู่ยังมีเยื่อใยต่อกัน
แต่น้ำนวลรีบดึงสายตากลับแล้วเดินเลี่ยงเข้าห้องทำงาน เพรียวมองตามไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเลิกห่วงน้ำนวลไม่ได้เสียที
ooooooo
ค่ำแล้ว ศรสิทธิ์ลงมาเอนหลังที่ห้องรับแขกและยังมีอาการไอเป็นระยะ เมลานีเข้ามาดูแลป้อนยาพ่อก่อนจะกราบลงที่ตักท่านอย่างรู้สึกผิดจริงๆ
“พ่อคะ ที่ผ่านมาถ้าเมทำอะไรไม่ดี เมขอโทษพ่อด้วยนะคะ”
“เรื่องอะไรที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมันเถอะ พ่อเองก็ไม่ใช่พ่อที่ดีเด่นอะไรนัก เห็นแก่ตัว รักสบาย เวลามีปัญหาก็โยนเงินใส่ท่าเดียว ไม่เคยมีเวลาให้แกกับนูเลย คิดๆดูแล้วพ่อต่างหากที่ควรจะขอโทษพวกแกมากกว่า”
ศรสิทธิ์เริ่มไอถี่ขึ้นจนเมลานีใจคอไม่ดี บอกพ่ออย่าเพิ่งคุยเลย พักก่อนดีกว่า
“เมขึ้นไปหยิบเครื่องวัดความดันให้พ่อที พ่อรู้สึกปวดหัวแปลกๆ”
“ค่ะ พ่อนอนพักก่อนนะคะ”
เมลานีผละไปจะขึ้นบันได แต่ทันใดนั้น นันท์เดินสวนเข้ามาโดยไม่เห็นศรสิทธิ์อยู่มุมห้อง
“เม...ฉันไปหาแกที่คอนโดฯก็ไม่อยู่ นึกไงกลับมาอยู่ที่นี่วะ แล้วป้าล่ะ”
เมลานีไม่อยากให้พ่อรู้เรื่องที่พวกตนรวมหัวจะยึดบริษัท ตอบตัดบทนันท์ว่า “แม่อยู่ข้างบน เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังแล้วกันนะ พี่นันท์กลับไปก่อนเถอะ”
“อะไรวะ แกจะออกไปเที่ยวอีกล่ะสิ หัดช่วยงานมั่งสิวะ ถอดใจไม่อยากฮุบเซนซูยาแล้วรึไง”
“ใครจะฮุบเซนซูยา แกพูดมาให้ชัดๆซิไอ้นันท์!” ศรสิทธิ์ตวาดลั่นด้วยความโมโห นันท์ตกใจหันมองลุง แล้วฝืนยิ้มแหยๆอยู่ไปมา...
เมื่อนันท์ชิ่งหนีเอาตัวรอดไปแล้ว ศรสิทธิ์จึงขึ้นไปเอาเรื่องกับมานิดาที่เป็นตัวตั้งตัวตีคิดไม่ซื่อกับบริษัทของตน
“เนรคุณ! เสียแรงที่ฉันหยิบเธอขึ้นมาจากดินประเคนให้ทุกอย่าง แต่เธอก็ยังแว้งกัดครอบครัวฉันจนได้”
“ฉันยอมรับผิดทุกอย่าง แต่คุณก็ควรจะเห็นใจฉันบ้าง ที่ฉันทำไปก็เพราะคุณทำพินัยกรรมยกสมบัติทุกอย่างให้
อนุศรคนเดียว ถ้าฉันไม่สู้ฉันก็ไม่เหลืออะไรเลย”
“ก็แล้วที่เธอได้มาตลอดมันยังไม่พออีกรึไง ถึงคิดมาโกงเอากับลูกฉันอีก”
“ยัยเมไม่ใช่ลูกคุณรึไง แล้วก็ช่วยเลิกทวงบุญคุณฉันซะทีเถอะ เพราะคุณไม่ได้หยิบยื่นให้ฉันฟรีๆ ตอนนั้นถ้าฉันไม่สาวไม่สวย สตางค์แดงเดียวคุณก็คงไม่ให้ฉันหรอก”
ศรสิทธิ์ชี้หน้ามานิดาด้วยความเจ็บแค้น ไอจนพูดไม่ออก มานิดาขบกรามแน่นน้ำตาคลอเบ้า ความแค้นใจที่กดเอาไว้เป็นสิบๆปีเริ่มระเบิดออกมา
“ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาคุณไม่เคยหยุดไม่เคยพอ มีผู้หญิงเปลี่ยนหน้าเข้ามาตลอด ที่ฉันไม่พูดไม่ใช่ฉันไม่เจ็บ ไม่ใช่ฉันไม่เสียใจ”
“แต่เธอก็ได้มากกว่าทุกคน นอกจากแม่ของนูแล้ว ฉันก็ไม่เคยยกย่องใครเท่ากับเธอ อย่ามาอ้างเรื่องที่ฉันเจ้าชู้ดีกว่า เธอมันคนทรยศ เลี้ยงไม่เชื่อง หักหลังตระกูลฉันที่มีบุญคุณกับเธอท่วมหัว”
“แล้วคนในตระกูลคุณมันทำอะไรกับฉันไว้มั่ง ฟ้างามมันเคยคิดว่าฉันเป็นพี่สะใภ้บ้างมั้ย ไหนจะลูกหลานคุณอีก แต่ละคนลึกๆก็ดูถูกฉันกันทั้งนั้น นึกว่าฉันไม่รู้เหรอ สมควรแล้วที่คุณต้องเป็นโรคนี้ รู้มั้ยว่าฉันสะใจแค่ไหนตอนที่รู้ว่าคุณป่วย มันสาสมแล้วกับสิ่งที่พวกคุณทำไว้กับฉัน”
“หยุดพูดก่อนที่ฉันจะฆ่าเธอให้ตายคามือ” ศรสิทธิ์เงื้อง้าเข้าใส่มานิดา แต่ฉับพลันร่างเขาก็โงนเงน กล้ามเนื้อ
อ่อนแรงจนยกมือไม่ขึ้น ปากเริ่มเบี้ยวกระตุกก่อนจะทรุดร่วงลงกับพื้น มานิดากรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ
ศรสิทธิ์ถูกส่งตัวโรงพยาบาลแต่ไม่ทันกาล เขาสิ้นใจระหว่างทางด้วยอาการของคนเส้นเลือดในสมองแตก ญาติทุกคนเศร้าเสียใจมาก แม้แต่มานิดาก็ช็อกไปเหมือนกัน
“เพราะเธอคนเดียว พี่ชายฉันถึงต้องตาย เธอพาแต่ความอัปมงคลมาให้ครอบครัวฉัน”
“มันจะมากไปแล้วนะฟ้างาม เอะอะก็โทษฉันตลอด เธอคิดว่าตัวเองวิเศษอยู่คนเดียวรึไง”
“ออกไปจากบ้านพี่ชายฉันเดี๋ยวนี้เลย นับแต่นี้เธอกับตระกูลฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ไปให้พ้น”
“อางาม...เมขอนะคะ คุณพ่อเพิ่งจะเสีย อางามอย่าไล่คุณแม่ออกไปจากบ้านเลยนะคะ”
“นึกว่าเห็นแก่ลุงสิทธิ์เถอะนะคะน้างาม อย่าให้ลุงสิทธิ์ต้องจากไปอย่างมีห่วงเลยนะคะ”
“ไม่ต้องทำเป็นแสนดีมาช่วยฉันหรอกย่ะ” มานิดาตวาดแว้ดใส่น้ำนวลแล้วหันไปจ้องหน้าฟ้างาม “ฉันเองก็เบื่อจะอยู่ที่นี่เต็มทนแล้วเหมือนกัน...เค้าไล่เรายังกะหมูกะหมา จะอ้อนวอนขอความเมตตาเค้าอีกทำไม ศักดิ์ศรีเราก็มี ไปกับแม่เดี๋ยวนี้”
มานิดากระชากแขนเมลานีออกไป นันท์ลุกขึ้นอีกคนด้วยท่าทีเบื่อๆเซ็งๆ
“งั้นผมกลับก่อนนะ คนป่วยเป็นโรคแบบนี้ถึงไม่ตายตอนนี้อีกสี่ห้าปีก็ไม่รอดอยู่ดี ไม่รู้จะอะไรนักหนา น่าจะทำใจได้ตั้งนานแล้ว”
“ไอ้พวกปากเสีย ไม่ป่วยมันก็ตายได้เหมือนกันนะไอ้นันท์” แวนโพล่งขึ้นมาอย่างมีอารมณ์ นันท์จ้องหน้าแวนด้วยสายตาอาฆาต ก่อนจะเดินกร่างออกจากบ้านไป
อนุศรเศร้ามาก ขอตัวขึ้นไปพักข้างบน ฟ้างามปลอบหลานชายว่าพ่อเขาไปสบายแล้ว เท่านั้นเองอนุศรตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ รีบเดินเลี่ยงไปทันที
“ขอให้ปัญหาทุกอย่างจบลงซะทีนะคะน้างาม” น้ำนวลกอดน้าสาว ร้องไห้ไปด้วยกัน...
นันท์ออกมาจากบ้านด้วยใบหน้าบึ้งตึง มานิดากับเมลานียืนรออยู่ที่รถ มานิดามีสีหน้าเคร่งเครียดใช้ความคิด ในขณะที่เมลานีเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น นันท์กำลังอารมณ์เสียก็เลยตวาดด้วยความรำคาญ
“แกจะร้องทำไมเม ร้องให้ตายลุงสิทธิ์ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก ไม่เห็นเหรอ ลุงยังตายไม่ข้ามวันเลยเค้าก็ไล่แกออกจากบ้านแล้ว”
“หุบปากไปเลยไอ้นันท์ ถ้าไม่ใช่เพราะแก พ่อฉันก็ไม่ตายหรอก”
“แต่นันท์ก็พูดถูกนะลูก หนูก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าเค้าทำยังไงกับพวกเราบ้าง แม่บอกแล้วไง ถ้าเราไม่สู้ เราก็ต้องอดตาย แม่จะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นกับเราเด็ดขาด”
แล้วมานิดาก็ฮึดสู้อย่างที่พูดไว้จริงๆ เธอยื่นคัดค้านพินัยกรรมของศรสิทธิ์ สร้างความโมโหโกรธาแก่ฟ้างามเป็นอย่างมากหลังรู้เรื่องนี้จากทนาย
“คัดค้านพินัยกรรม จะบ้ารึไง มันเอาอะไรมาคัดค้าน”
“ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันครับว่าคุณมานิดาจะกล้ายื่นคัดค้านพินัยกรรมของคุณศรสิทธิ์ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความตั้งใจของคุณศรสิทธิ์จริงๆ ก็ยังกล้าบอกว่าเป็นพินัยกรรมปลอมอีก”
“มันหวังจะแบ่งครึ่งสมบัติของตานูให้ลูกสาวน่ะสิ เกิดมาฉันไม่เคยพบเคยเห็นคนอะไรมันจะร้ายกาจได้ขนาดนี้... ฉันจะสู้คดีกับมันให้ถึงที่สุด อย่าเจรจายอมความกับมันเด็ดขาด”
“ครับคุณฟ้างาม”
“แม้แต่กรวดซักเม็ด ฉันก็จะไม่มีวันยอมให้มันเอาไปจากบ้านเราได้อีก” ฟ้างามสีหน้าขึงขังเอาจริง เจ็บแค้นใจมานิดาที่ยังไม่ลามือไปเสียที...
ooooooo
ตอนเที่ยง น้ำนวลกับแวนนัดเพรียวกินข้าว ปรึกษาปัญหาที่มานิดาก่อขึ้นอีก เพรียวฟังแล้วอ่อนใจแทนทุกคนจริงๆ
“หมดเรื่องนายคิมไปได้ก็มาเจอเรื่องพินัยกรรมอีก คราวนี้กว่าจะจบไม่รู้กี่ปี ได้ไม่คุ้มเสียเลยนะครับ”
“นั่นสิคะ แต่ทำยังไงได้พี่นูกับน้างามไม่ยอม น้ำก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน คราวก่อนเซนซูยาก็เสียหายไปตั้งเยอะ ถึงคราวนี้ป้ามานิดาจะไม่มีคนหนุนหลังแล้ว แต่ก็ยังมีพี่นันท์กับลูกน้องเก่าๆอีก ยังไงก็จบด้วยดียากค่ะ”
“เออ แล้วที่คุณแวนกับคุณน้ำนัดผมทานข้าวเพื่อจะคุยเรื่องพินัยกรรมแค่นี้เองเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกพี่ คือผมกับน้ำตกลงกันแล้วว่าถ้าลูกเป็นผู้หญิงผมอยากให้ชื่อว่าพิมมาลา ผมกับน้ำประทับใจพี่เค้ามากเลยนะครับ เราอยากติดต่อพี่พิมขออนุญาตก่อนเพื่อความสบายใจ พี่เพรียวพอจะติดต่อพี่พิมได้ไหมครับ”
“ผมก็ติดต่อเค้าไม่ได้เหมือนกันครับ ทุกครั้งพิมเป็นฝ่ายติดต่อผมมาเอง”
“ที่จริงเรื่องอยากให้ลูกชื่อเดียวกับพี่พิมมันก็เป็นข้ออ้างบังหน้าเพื่อขอเจอ แต่ลึกกว่านั้นเราอยากขอร้องให้พี่พิมไปเยี่ยมพี่นูซักครั้ง เผื่อจะช่วยให้พี่นูมีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง”
“คุณนูเป็นอะไรเหรอครับ”
“พี่นูเค้าไม่สบายมากน่ะพี่ ช่วงนี้เจอแต่เรื่องหนักๆ เครียดๆทั้งนั้น เค้าก็เลยทรุด เมื่อเช้าผมกับน้ำไปเยี่ยมมา พี่นูไข้ขึ้นจนเพ้อเรียกชื่อพี่พิมเลยนะครับ ผมงี้ สงสารจับใจเลย”
เพรียวหน้าเจื่อน อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ แล้วเย็นนั้นเพรียวตัดสินใจไปเยี่ยมอนุศรที่บ้าน โดยตอนมาถึงเป็นเพรียว แล้วเปลี่ยนเป็นพิมมาลาเมื่อเข้าไปเยี่ยมอนุศรในห้องนอน พอเห็นอนุศรนอนละเมอเรียกหาพิมมาลา ก็รู้สึกแหยงๆขึ้นมาจนต้องถอยออกห่าง
“คิดถึงฉันจนเก็บไปฝันร้องไห้เลยเหรอเนี่ย อยู่ไม่ได้แล้วกู ไปดีกว่า”
พิมมาลากำลังจะออกจากห้อง ทันใดรัมภาปรากฏตัวฉุดแขนเอาไว้ ถามว่าจะรีบไปไหน ทำไมไม่รอคุยกับเขาก่อน
“ไม่เอาดีกว่า”
“ทำไมล่ะ จะมีน้ำใจกับเค้าทั้งทีทำไมไม่ทำให้ตลอด”
“ผมก็ไม่อยากมีน้ำใจอะไรหรอก แต่กลัวจะกลายเป็นก่อบาปก่อเวรเพิ่ม ต้องตามมาชดใช้ไถ่โทษอีกน่ะสิ”
“เข็ดว่างั้น”
“แน่นอน ไม่เข็ดก็บ้าแล้ว”
“อยากช่วยอนุศรง่ายนิดเดียว กลับไปสวนขวัญกับฉันมั้ยล่ะ รับรองว่าผู้หญิงครึ่งค่อนโลกต้องอิจฉานายแน่นอน”
“ไม่ต้องเลย ที่ผมยอมเป็นพิมมาลามาเยี่ยมเค้าก็เพราะผมรู้สึกผิดที่ทำให้เค้าอกหักยับเยิน แต่ผิดยังไง ผมก็ไม่บ้าจี้ยอมไปเป็นแฟนเค้าจริงๆหรอก”
“ถ้างั้นนายจะทำไง จะปลุกอนุศรขึ้นมาแล้วบอกให้ลืมพิมมาลางั้นเหรอ พูดตั้งหลายครั้งแล้วมันเคยได้ผลมั้ยล่ะ”
“แล้วผมจะทำยังไงดีรัมภา ช่วยผมคิดทีสิ”
“งั้นลองดูหลายๆวิธีก็แล้วกัน”
“ยังไงเหรอ”
รัมภากะพริบตาปิ๊ง! พลันก็มีประกายดาวสว่างไสวทั่วห้องเกิดเป็นความฝันของอนุศรว่าเจอพิมมาลาที่สรรหาผู้หญิงหน้าตาดี เก่งฉลาดครบสูตรมานำเสนอ แต่จะกี่คนอนุศรก็ยังไม่สน ปักใจอยู่กับพิมมาลาเพียงคนเดียว รัมภาจึงเปลี่ยนความฝันใหม่ให้อนุศรเจอพิมมาลาในสภาพท้องแก่ใกล้คลอด แถมยังจูงลูกแฝดสี่คนมาด้วย อนุศรเห็นแล้วซึมจ๋อย พิมมาลานึกว่าเขาจะตัดใจจากตนได้เสียที แต่ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นว่า
“ผมหมดห่วงคุณพิมแล้วจริงๆ แต่ผมคงไม่มีใครใหม่หรอกครับ ผมขอจำคุณพิมไว้จนชั่วชีวิตของผม ผมคงไม่คิดมีใครอีกแล้ว”
“โอ้แม่เจ้า!!!” พิมมาลาอุทานอึ้งๆ แล้วก็โวยวายใส่รัมภาเมื่อหลุดออกจากความฝันนั้นมา
“ไอ้วิธีเข้าฝันอะไรของคุณเนี่ย ไม่เห็นจะได้เรื่องเลย”
“ฉันพยายามจะเข้าไปเปลี่ยนจิตใต้สำนึกของเค้า”
“แต่ทำไม่ได้”
“โอเค ฉันยอมรับความผิดพลาดครั้งนี้ก็ได้ แต่ผู้ชายอย่างอนุศรนี่ก็หายากนะ มันน่าตั้งศูนย์อนุรักษ์พันธุ์ผู้ชายรักเดียวใจเดียวให้นักเชียว”
“จนปัญญาแล้ว สงสัยคงต้องปล่อยให้อกหักรักคุดต่อไปยังงี้ล่ะ”
“อืม...อย่างน้อยๆ ก็สิบปี”
“สิบปี หมายความว่าหลังจากสิบปีไปแล้วเค้าจะลืมพิมมาลาได้เหรอ”
“ดูสภาพแล้วฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะลืมได้หมดหรอกนะ แต่อย่างน้อยถ้าเค้าได้เจอเนื้อคู่ของเค้าแล้ว ก็คงดีขึ้นแหละ”
“คุณนูมีเนื้อคู่ด้วยเหรอ”
“มันก็มีทุกคนล่ะย่ะ สำหรับมนุษย์เนื้อคู่ก็คืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิต แล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละคนว่าจะหากันเจอรึเปล่า”
“แล้วเนื้อคู่ของคุณนูหน้าตาเป็นยังไง ผมอยากรู้แล้วสิว่าผู้หญิงที่ทำให้คุณนูลืมพิมมาลาได้จะสวยซักแค่ไหน”
“ไม่ค่อยจะสอดรู้สอดเห็นเลยนะยะ” ปากทำเป็นว่าเขา แต่รัมภาก็ยอมส่งรูปสาวน้อยคนหนึ่งมาให้ดู
“เฮ้ย นี่ยังใส่คอซองอยู่เลยนี่ เดี๋ยวก็ติดคุกหัวโตหรอก”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าอีกสิบปี ถึงตอนนั้นก็เป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะ”
“เออ ลืมไป...ก็ดูเรียบร้อยน่ารักดีล่ะนะ แต่จืดเป็นแกงจืดไม่ใส่น้ำปลาอย่างงี้จะพิชิตใจคุณนูได้จริงๆเหรอ”
“แล้วไอ้ที่นายทุรนทุรายอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะผู้หญิงหน้าจืดๆ เมื่อหลายปีก่อนเหรอยะ”
โดนเข้าเต็มๆ พิมมาลากลายร่างเป็นเพรียวทันที หน้าตาซึมจ๋อยเดินหงอยไปนั่งงอนอยู่ปลายเตียง รัมภาเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ พูดพึมพำเหมือนรู้อะไรล่วงหน้า
“อดทนอีกหน่อยนะนายเพรียว”
เพรียวได้ยินแว่วๆหันขวับมองรัมภาด้วยความสงสัยว่าพูดอะไร แต่รัมภาทำเฉไฉ ไม่ยอมหลุดความลับสวรรค์อย่างแน่นอน
ooooooo
ตั้งแต่น้ำนวลท้อง แวนเอาอกเอาใจและติดตามเธอแทบทุกฝีก้าว ตามรับตามส่งกันทุกวัน บางวันก็ขลุกอยู่ด้วยที่ออฟฟิศตั้งแต่เช้ายันมืด
“นี่แวน เมื่อวานพวกต้อมเค้าโทร.มานัดแวนไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ ไปสิ แวนไม่ได้เจอเพื่อนๆมาตั้งนานแล้วนะ”
“ไม่ล่ะ แวนอยากไปเป็นเพื่อนน้ำที่โรงพยาบาลมากกว่า แวนอยากเห็นเจ้าตัวเล็กว่ามันจะหน้าตาเหมือนแวนหรือน้ำมากกว่ากัน”
“จะเห็นได้ยังไง เพิ่งไม่กี่สัปดาห์เอง จะยาวถึงเซ็นรึเปล่าก็ไม่รู้”
“แค่นั้นก็เอาแล้ว ยังไงแวนก็อยากเห็นลูกเราอยู่ดีแหละ...มหัศจรรย์จังเลยนะน้ำ ขอให้แวนมีบุญได้อยู่จนเห็นหน้าเค้าทีเถอะ”
“พูดอะไรยังงี้แวน แวนไม่เป็นอะไรแล้วนะ แวนต้องเชื่อมั่นนะว่าแวนหายแล้ว เราสองคนต้องอยู่ช่วยกันดูแลลูกจนแก่จนเฒ่า เข้าใจมั้ยแวน”
“จ้ะน้ำ ลูกคือยาวิเศษที่จะช่วยให้แวนหาย แวนต้องหาย”
“จ้ะแวน อย่าพูดให้น้ำเสียกำลังใจแบบนี้อีกนะ น้ำไม่ชอบ”
แวนซบหน้ากับท้องน้ำนวลนิ่งเงียบไป สีหน้าแววตาเขายังดูกังวลไม่คลาย...
ขณะเดียวกันนั้น เพรียวกินข้าวเที่ยงอยู่กับดลและนาง เพรียวแปลกใจที่ได้ยินดลคุยโทรศัพท์ด้วยสำเนียงใต้ นางก็เลยขยายว่าดลมีกิ๊กใหม่เป็นสาวใต้ พ่อของหล่อนเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ดลมันฉลาดอยากเป็นหนูตกถังน้ำมัน
“ไอ้ดลนี่ไม่เบา” เพรียวพูดยิ้มๆ
“ก็มีแต่พี่เพรียวคนเดียวแหละที่มือตก เมื่อก่อนสับรางแทบไม่ทัน เดี๋ยวนี้ไม่เห็นควงใครเลย”
“ไอ้เรื่องเจ้าชู้แบบเมื่อก่อนมันคงไม่มีอีกแล้วล่ะนาง”
“เข็ดเหรอพี่”
“ก็ไม่เชิง เข้าใจอะไรมากขึ้นมากกว่ามั้ง ความรักของพี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่ใช่อะไรที่ฉาบฉวยอีกแล้วล่ะ พี่ไม่อยากดำเนินชีวิตผิดพลาดอีก สำนึกได้ตอนนี้มันก็หมดโอกาสได้แก้ไขอะไรได้อีกแล้วล่ะ”
นางชะงัก หน้าตางงๆกับความเปลี่ยนแปลงทั้งคำพูดและความคิดของเพรียว...หลังอาหารมื้อนั้น เพรียวแยกตัวไปเดินเล่นภายในห้างฯ แล้วไปเจอผู้คนกำลังมุงดูแวนที่ ท่าทางเหมือนเป็นลมเดินแทบไม่ไหว เพรียวเข้าช่วยเหลือพาแวนไปล้างหน้าตาในห้องน้ำ แต่แวนกลับอาเจียนออกมาจนหมดแรง
“ไปหาหมอดีกว่าคุณแวน อาการแบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะครับ”
“อาการทางสมองมันก็อย่างงี้ล่ะครับ คงหายขาดยาก ยังอยู่ได้ถึงวันนี้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“นี่คุณแวนรู้เรื่องแล้วเหรอครับ”
“นี่พี่ก็รู้อาการผมด้วยเหรอ” เพรียวชะงักที่เผลอหลุดปาก “สรุปว่าผมรู้เป็นคนสุดท้ายเลยใช่มั้ยเนี่ย”
“ผมก็ไม่รู้ละเอียดหรอกครับ คุณแวนอย่าเพิ่งคิดมากนะครับ ประคองไปก่อน อนาคตอาจจะมีวิธีรักษาให้หายขาดก็ได้”
“ผมเลิกคิดมานานแล้วพี่ ทำตัวของตัวเอง ทั้งแม่ทั้งน้ำห้ามตลอด ผมก็ไม่ยอมฟัง ตอนนี้ก็ห่วงแต่น้ำกับลูกเท่านั้นล่ะครับ พี่เพรียวอย่าบอกน้ำนะว่าผมอาการไม่ค่อยดี ผมกลัวน้ำไม่สบายใจอีก เค้ากำลังท้องไม่อยากให้มีเรื่องกังวล”
“ผมไม่พูดหรอกครับ”
“ขอบคุณครับพี่...เย็นนี้พี่เพรียวว่างมั้ย นัดสาวที่ไหนไว้รึเปล่า”
“ไม่มีหรอกคุณแวน ว่างยาวถึงสิ้นเดือนเลยครับ”
“ผมรบกวนพี่หน่อยสิ เย็นนี้น้ำเค้าต้องไปตรวจท้อง ผมเป็นห่วงไม่อยากให้เค้าขับรถไปเองคนเดียว”
“จะดีเหรอครับ”
“ดีกว่าให้ผมไปแน่ๆ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากนอนพักมากกว่า เจอน้ำตอนค่ำๆคงจะดีขึ้น มีพี่กับพี่พิมเท่านั้นแหละที่ผมไว้ใจให้ดูแลน้ำแทนผม ผมรู้สึกได้ว่าพี่สองคนรักและจริงใจกับน้ำจริงๆ ช่วยผมหน่อยนะพี่”
เพรียวฝืนยิ้มบางๆ อดรู้สึกผิดต่อแวนไม่ได้ที่ตนแอบคิดไม่ซื่อกับน้ำนวลถึงขั้นพยายามแย่งจากแวนมาตลอดเวลา
ooooooo
เย็นนั้นที่แผนกสูตินารี น้ำนวลต้องรอหมอที่ยังติดคนไข้อื่นอยู่ เพรียวคนพาน้ำนวลมาก็เลยอึดอัดกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อต้องใกล้ชิดกันแบบนี้ ไม่รู้จะคุยอะไรกัน ที่สุดเพรียวก็เป็นฝ่ายขอตัวไปคุยธุระ แต่ความจริงเขาออกไปเปลี่ยนตัวเองเป็นพิมมาลาแล้วเดินเข้ามาทักน้ำนวล
“สวัสดีค่ะคุณน้ำ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
“นี่พี่พิมมาได้ยังไงคะเนี่ย เอ๊ะ รึว่าพี่พิมกำลังตั้งท้องเหมือนน้ำ”
“อุ๊ย เปล่าค่ะเปล่า พี่ยังไม่ได้แต่งงานค่ะ เผอิญมาเป็นเพื่อนญาติน่ะค่ะ”
“พี่เพรียวก็มานะคะ”
“เจอกันแล้วค่ะ เห็นกำลังคุยโทรศัพท์หน้าดำคร่ำเครียดเลย”
“เกรงใจพี่เค้าจังเลย แวนน่ะสิคะขอให้พี่เพรียวมาเป็นเพื่อนน้ำ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถ้าอึดอัดเดี๋ยวพี่ไล่ตะเพิดไปให้เอง พ่อก็ไม่ใช่แจ๋นมาทำไมก็ไม่รู้”
“พี่พิมอ่ะ ไปว่าเขา...พี่พิมคะ น้ำกลัวๆเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“กลัวอะไรคะน้องน้ำ”
“กลัวท้องลมน่ะสิคะ ตัวอ่อนไม่ผสม หรือผสมแล้วไม่ติด หรือบางที...”
“ไม่เอาค่ะ อย่าคิดอะไรในแง่ร้ายสิคะ อ่านหนังสือเยอะก็ยังเงี้ย รู้งี้ไม่ซื้อมาให้ดีกว่า” เห็นน้ำนวลทำหน้างงๆ พิมมาลารู้ตัวรีบแก้ทันที “พวกพ่อแม่มือใหม่เนี่ยชอบอ่านหนังสือกันจัง พี่ก็ซื้อให้เพื่อนบ่อยๆ”
ขณะนั้นเองเสียงพยาบาลเรียกคุณน้ำนวลเชิญเข้าห้องตรวจ พิมมาลาจับมือให้กำลังใจ แต่น้ำนวลยังกลัวอยู่ดี คะยั้นคะยอพิมมาลาเข้าไปเป็นเพื่อนจนได้
ผลการตรวจผ่านไปด้วยดี น้ำนวลถึงกับน้ำตารื้นที่เห็นลูกน้อยในครรภ์แข็งแรง พิมมาลาเองก็เป็นปลื้มชื่นใจไปด้วย
“พี่บอกแล้วว่าอย่ากังวล ไม่มีอะไรเลยเห็นมั้ยคะ หลานแข็งแรงจะตายไป หัวใจเต้นแรงด้วย”
“เห็นเค้าแล้วค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย น่าตื่นเต้นจังเลยนะคะพี่พิม ตอนนี้ตัวน้ำมีหัวใจเต้นพร้อมๆกันสองดวง”
“รู้อย่างนี้แล้วคุณน้ำก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าหักโหมงานให้มากนักนะคะ ไม่ไหวก็โยนให้เพรียวทำไป ไม่ต้องไปเกรงใจ เค้าเป็นลูกน้อง คุณน้ำต้องเห็นแก่ลูกก่อนรู้ไหมคะ”
“ค่ะพี่พิม...แล้วตอนนี้พี่พิมพักอยู่ที่ไหนคะ”
“อยู่โรงแรมค่ะ พี่ไปๆมาๆ ไม่อยู่เป็นหลักแหล่งหรอกค่ะ”
“พี่พิมไม่คิดจะกลับมาทำงานที่เซนซูยาจริงๆเหรอคะ น้ำช่วยพูดกับน้างามให้ได้นะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ พี่อยู่อย่างงี้มันลงตัวดีทุกอย่างแล้ว”
“เพราะพี่นูรึเปล่าคะ”
“ไม่เกี่ยวกับคุณนูหรอกค่ะ ช้าเร็วยังไงพี่ก็ต้องไปอยู่ดี ถึงพี่จะมาอยู่ใกล้ๆคุณน้ำไม่ได้ตลอดเวลา แต่พี่ก็ยังรักแล้วก็เป็นห่วงคุณน้ำเสมอนะคะ พี่สัญญาว่าถ้าคุณน้ำเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ พี่จะมาหาคุณน้ำทันทีเลยค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะพี่พิม” น้ำนวลซาบซึ้งสวมกอดพิมมาลาที่แย้มยิ้มมีความสุข แต่ครั้นแยกจากน้ำนวลกลับไปถึงห้องพักได้เป็นตัวเอง เพรียวกลับถูกรัมภาตำหนิอย่างไม่ชอบใจ
“ไปสัญญาอย่างงั้นได้ไงยะ อย่างงี้ก็ต้องแปลงร่างกลับไปกลับมาตลอดสิ เห็นพรของฉันเป็นของเล่นรึไง”
“คุณอย่าเห็นลูกสาวตัวเองเป็นเด็กเล็กๆหน่อยเลย คุณน้ำไม่ใช่คนอ่อนแอที่เวลามีปัญหาก็ร้องเรียกพี่พิมๆหรอกน่า”
“แต่ถึงไงนายก็ไม่ควรแปลงร่างพร่ำเพรื่อ อยู่ๆเพรียวหายไปแล้วพิมมาลาเข้ามาแทนแบบเนี้ย คิดว่าหนูน้ำจะไม่สงสัยรึไง”
“มันก็ดีกว่าน่าเกลียดล่ะน่า คุณน้ำแต่งงานแล้วจะให้ผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่สามีมาคอยดูแลได้ไง โดนนินทาตายพอดี”
“เดี๋ยวนี้รู้จักคิดขึ้นเยอะนี่ ฉันขอชมนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนได้โอกาสอยู่กับหนูน้ำของฉันสองต่อสองแบบเนี้ย มีหวังแอบตีท้ายครัวแหงๆ”
“ประสบการณ์มันสอน ผมไม่ทำหรอก มันบาป”
“ขอให้คิดได้จริงอย่างปากพูดเถอะ นายรู้จักให้เกียรติกลัวลูกสาวฉันเสียหาย ถือว่าประพฤติตัวดีขึ้น ฉันจะให้รางวัลไม่เอาพรคืนตอนนี้ก็ได้ นายสามารถเป็นพิมมาลาได้จนกว่าปัญหาทุกอย่างจะดีขึ้น”
“เป็นพระคุณอย่างสูง ช่วยลูกสาวตัวเองแท้ๆกลายเป็นว่าคนช่วยต้องมาติดหนี้บุญคุณแถมโดนด่าฟรีอีก” เพรียวพูดประชดแล้วหันหลังเดินหนี จึงไม่ได้ยินเสียงรัมภาพึมพำอย่างพึงพอใจ
“ถ้านายไม่ดีขึ้นแล้วจะคู่ควรเป็นอีกครึ่งนึงของชีวิตหนูน้ำได้ยังไงล่ะ”
ด้านน้ำนวลเมื่อกลับถึงบ้าน นึกไม่ถึงว่าแวนจะมีเซอร์ไพรส์ด้วยการเล่นกีตาร์ร้องเพลงเป็นการชดเชยที่ไม่ได้พาเธอไปหาหมอด้วยตัวเอง
“แวนขอโทษนะที่ไม่ได้ไปหาหมอเป็นเพื่อนน้ำ”
“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะแวน หมอนัดทุก 2 อาทิตย์ ยังมีเวลาไปด้วยกันอีกนานหลายครั้งเลยล่ะ”
“ยังงี้ค่อยยังชั่ว...งั้นพ่อร้องเพลงให้ฟังอีกรอบ”
“พอแล้ว เดี๋ยวลูกตกใจ”
“หนังสือเค้าบอกว่าต้องให้ลูกฟังเพลงบ่อยๆจะได้อารมณ์ดี” แวนลุกขึ้นทั้งร้องทั้งโยกไปตามจังหวะเพลง จนน้ำนวลอดยิ้มขำออกมาไม่ได้
ooooooo
สายวันหนึ่ง แวนแวะไปเอายาสมุนไพรอย่างดีจากฟ้างามที่บ้านเพื่อเอามาให้น้ำนวลกินบำรุงครรภ์ แล้วเผอิญแวนเห็นคนรับใช้ขนเสื้อผ้าข้าวของของน้ำนวลที่เก็บใส่กล่องไว้ออกมาทำความสะอาด เขาเดินเข้าไปดูด้วยความสนใจ คิดจะเก็บรูปเก่าๆของเธอสมัยยังเฉิ่มเฉยเอาไปล้อ แต่ไม่คิดว่าจะเจอรูปถ่ายน้ำนวลกับเพรียวและของที่ระลึกอีกหลายอย่าง...
วันเดียวกันที่เซนซูยา น้ำนวลนัดประชุมพนักงานเอาไว้ แต่พวกเพรียวรอจนเกินเวลาก็ยังไม่เห็นน้ำนวลมาที่ห้องประชุม เพรียวจึงอาสาไปตามน้ำนวลที่ห้องเอง แต่ทันทีที่เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป เพรียวตกใจสุดๆ ที่เห็นน้ำนวลนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา
“คุณน้ำเป็นอะไรครับ”
“น้ำปวดท้องแปลกๆ มีเลือดออกด้วยค่ะพี่เพรียว น้ำไม่กล้าลุกไปไหนแล้ว ในหนังสือบอกว่าเลือดล้างหน้าเด็กอะไรก็ไม่รู้ ล้างทำไมคะ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน โทร.หาหมอสิครับ”
“คุณหมอผ่าตัดอยู่ค่ะ พยาบาลบอกให้นอนพักก่อนแล้วค่อยมาหาคุณหมอ”
เพรียวร้อนรนรอไม่ไหวกลัวน้ำนวลแท้ง ตัดสินใจอุ้มน้ำนวลออกจากห้องไปหาหมอเดี๋ยวนั้นเลย ระหว่างทางรถติดมาก เพรียวกระสับกระส่ายเป็นห่วงน้ำนวล แต่ก็ไม่ลืมโทร.บอกแวน ซึ่งขณะนั้นแวนกำลังอาการไม่สู้ดี ตาพร่าและปวดศีรษะเหมือนจะไม่ไหว แต่เขาก็แข็งใจขับรถออกไป จนเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนรถคันอื่นทำให้เสียเวลาไปอีก
ส่วนน้ำนวลพอถึงโรงพยาบาลก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที เพรียวกระวนกระวายเดินไปมาอยู่หน้าห้อง
“รัมภานะรัมภา หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างงี้หายหัวไปไหน ถ้าไม่ช่วยกันคราวนี้ขอแช่งให้ไอ้ที่เด้งๆตึงๆ เหี่ยวให้หมดเลย... เพี้ยง!!” พูดขาดคำ เพรียวมีอันต้องกระเด็นไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ พร้อมๆกับการปรากฏตัวของรัมภาในชุดพยาบาล
“รัมภา...ทำไมเพิ่งมาเอาตอนนี้ รู้มั้ยว่าคุณน้ำจะแย่แล้วนะ รีบเข้าไปช่วยเร็วๆเลย คุณจะปล่อยให้คุณน้ำแท้งไม่ได้เด็ดขาดเข้าใจมั้ย คุณเป็นนางฟ้า คุณต้องช่วยคุณน้ำได้”
“นี่ หยุดดันแล้วฟังฉันก่อนได้มั้ยไอ้เพรียว...แท้งเทิ้งอะไร ทุกอย่างถูกกำหนดโดยกรรมหมดแล้ว ลูกกับหลานฉันไม่เป็นอะไรหรอกย่ะ”
“จริงเหรอ”
“คุณแม่มือใหม่ก็กระต่ายตื่นตูมยังงี้แหละ แล้วนายเป็นใคร แจ๋นมาตื่นตูมไปกะเค้าด้วย ทำยังกะลูกตัวเองงั้นแหละ”
เพรียวแอบจ๋อย แต่ก็อมยิ้มดีใจที่น้ำนวลปลอดภัย ผ่านไปสักพักหมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ เพรียวดีใจโล่งใจที่น้ำนวลกับลูกปลอดภัยจริงๆ
“คุณหมอบอกว่าน้ำกังวลเกินไป ช่วง 3 เดือนแรก เลือดออกกะปริดกะปรอยเป็นเรื่องปกติไม่อันตรายอะไร”
“กังวลไว้ก่อนก็ดีแล้วล่ะคุณน้ำ เลือดออกอีกมั้ย”
“ไม่แล้วล่ะ”
“ค่อยยังชั่ว แต่นอนโรงพยาบาลซักคืนก่อนก็ดีครับ ใกล้หมอคุณน้ำจะได้สบายใจ”
“ขอบคุณมากนะคะพี่เพรียว ถึงเวลามีปัญหาทีไรก็ต้องรบกวนพี่เพรียวทุกทีเลย”
เพรียวยิ้มรับ เต็มใจให้รบกวนอยู่แล้ว จังหวะนี้เองเสียงโทรศัพท์มือถือเพรียวดังขัดขึ้น แวนโทร.มาถามเลขห้องนั่นเอง แล้วไม่นานนักแวนก็ตรงดิ่งเข้ามากุมมือน้ำนวลไว้
“น้ำกับลูกปลอดภัยดีนะ”
“ลูกยังอยู่กับเราแวน...”
แวนจับมือน้ำนวลขึ้นมาจูบมาหอม เพรียวยืนมองเงียบๆจ๋อยๆ รู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกิน ค่อยๆเบี่ยงตัวเดินเลี่ยงออกไปเงียบๆ
“แวนขอโทษที่มาช้า แวนรีบมากเลยขับรถไปเฉี่ยวเค้า”
“แวนไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
แวนส่ายหน้า ลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง
“แวนต้องระวังให้มากกว่านี้นะ คุณหมอห้ามกระทบ กระเทือนแรงๆ จำไม่ได้เหรอ โชคดีที่เรายังได้อยู่พร้อม หน้าพร้อมตากันนะแวน”
“แวนจะไม่ยอมอยู่ห่างน้ำกับลูกแบบวันนี้อีกแล้ว”
สองคนสวมกอดกันแน่น เพรียวแอบมองผ่านช่องกระจกประตูห้อง เจ็บช้ำแต่ก็ดีใจที่คนที่ตนรักเจอคนรักจริงและมีความสุข...
ooooooo
ค่ำนั้นเพรียวไปนั่งดื่มด่ำบรรยากาศในผับโดยไม่แตะต้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พอจะกลับออกมาก็เห็นเมลานีเมาแอ๋อยู่ในกลุ่มผู้ชาย บริกรหนุ่มคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับเพรียวเห็นท่าทีของเพรียวจึงเดินเข้ามาถามว่า
“พี่รู้จักเหรอครับ เตือนๆเพื่อนไว้บ้างก็ดีนะพี่”
“ทำไมเหรอ”
หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของบริกรคนนี้แล้ว เพรียวเดินตามไปดักเมลานีหน้าห้องน้ำในคราบของพิมมาลา เมลานี ไม่ค่อยชอบหน้าพิมมาลานัก ทำท่าจะเดินหนี แต่พิมมาลารีบจับแขนเธอไว้
“มากับฉันค่ะ คุณเมอย่ากลับไปที่โต๊ะอีกเลยนะคะ”
“แล้วเธอมายุ่งอะไรด้วย ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน”
“แต่ไอ้พวกที่คุณอยู่ด้วยมันไม่ใช่คนดีนะคะ ถ้าขืนอยู่ต่อคุณจะเดือดร้อน ไปค่ะ”
เมลานีพยายามดิ้นสะบัดมือหนีแต่ไม่สำเร็จ ถูกพิม–มาลาลากออกไปด้วยกันจนได้
“ฉันบอกให้ปล่อยไงล่ะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง เธอนี่มันตัวยุ่งจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของเธอซะหน่อย มาวุ่นวายอะไรด้วย”
“ก็ฉันบอกคุณแล้วไง ว่าพวกที่คุณอยู่ด้วยเป็นตัวอันตราย”
“ฉันไม่กลัวหรอก อยากจะเกิดอะไรก็เกิดไปเลย ยังไง ชีวิตฉันก็ตกต่ำถึงที่สุดแล้ว ต่อให้มันเลวร้ายยิ่งกว่านี้ ฉันก็ไม่แคร์”
“คุณเมคะ กลับไปพักผ่อนที่คอนโดฯดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“อย่างเธอมันจะไปเข้าใจอะไร ชีวิตฉันมันไม่เหลืออะไรแล้ว พอไม่มีเงิน เพื่อนก็ไม่มี ผู้ชายที่เคยมาตามจีบฉันก็หายหัวไปหมด ญาติพี่น้องก็เกลียดกันจนไม่มองหน้า ชีวิตฉันจบสิ้นแล้ว เธอเข้าใจมั้ย ชีวิตฉันพังพินาศหมดแล้ว” เมลา– นีระบายความอัดอั้นแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร
พิมมาลาถึงกับยืนอึ้ง ไม่คิดว่าคนที่ใช้ชีวิตหวือหวาฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยอย่างเมลานีจะต้องลงเอยด้วยสภาพแบบนี้... เมื่อเพรียวไปบอกเล่าให้ฟ้างามกับอนุศรฟังในเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ก็อดเวทนาสงสารเมลานีไม่ได้
“เมเป็นไปได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เวรกรรมแท้ๆ”
“โชคดีที่เพื่อนผมไปเจอตัวแล้วพาคุณเมไปส่ง
คอนโดฯได้ทัน ไม่อย่างงั้นก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น”
“ฟังจากคำพูดของเม แสดงว่ามานิดาเข้าตาจนแล้วนะครับอางาม”
“แม่นี่มันเคยเก็บเงินที่ไหนล่ะ ใช้เป็นเบี้ย หน้าใหญ่ใจโต นี่คงหวังจะชนะคดีมรดกแล้วได้กลับมาสุขสบายเหมือนเดิม แต่กว่าจะถึงวันนั้นอาว่าคงจะอดตายซะก่อน”
“แต่คนยิ่งจนตรอกก็ยิ่งน่ากลัวนะครับ ผมว่าเราเสนอเงินให้คุณมานิดาซักก้อนจะได้จบกันไม่ดีกว่าเหรอครับ” เพรียวแนะนำ แต่อนุศรสวนทันควันว่า
“ไม่มีทาง เขาทำอะไรไว้กับครอบครัวผมบ้าง คิดยึดเซนซูยา แล้วยังเป็นตัวการทำให้พ่อต้องตายอีก เรื่องแบ่งอะไรให้เขา เลิกพูดได้แล้ว”
“แล้วคุณนูจะทนเห็นคุณเมทำตัวประชดชีวิตอยู่แบบนี้ได้เหรอครับ ยังไงก็ลูกพ่อคุณเหมือนกันนะครับ”
“ผมไม่ได้ใจดำขนาดนั้นหรอก น้องคนเดียวผมเลี้ยงได้ แต่ไม่ใช่กับผู้หญิงอย่างมานิดา”
“อาเห็นด้วยกับนูนะ เราดูอยู่ห่างๆไปก่อน ถ้าเมไม่ไหวจริงๆ เราก็ค่อยยื่นมือเข้าช่วย...อาว่าตอนนี้คนผิดก็สมควรได้รับบทลงโทษไปก่อน ไม่ยังงั้นก็คงไม่มีวันสำนึกได้หรอก”
เพรียวสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ ยิ่งถือทิฐิก็ยิ่งไปกันใหญ่... กลับออกจากบ้านฟ้างามมาแล้ว เพรียวตั้งใจไปเยี่ยมน้ำนวลที่ยังอยู่โรงพยาบาล แล้วเจอแวนพอดี จึงเดินคุยกันไปเรื่อย
“ผมไม่เห็นด้วยจริงๆนะครับคุณแวน งัดข้อกันคราวก่อนเซนซูยาก็เสียหายไปเยอะแล้ว ทำไมไม่หันมาคุยกันดีๆ”
“น้างามกับพี่นูแค้นฝังหุ่นซะด้วย ถ้าไม่บี้ป้าแกจมธรณี คงไม่ยอมเลิกแน่”
“แล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะครับ ยังไงก็ญาติกันทั้งนั้น แทนที่จะฉวยโอกาสตอนคุณมานิดากำลังแย่เจรจาให้เรื่องมันจบ กลับคิดจะเอาชนะให้ได้ สุดท้ายก็ได้แค่ความสะใจ...ว่าก็ว่าเถอะ คุณฟ้างามเก่งทุกอย่าง เสียดายมาตายน้ำตื้น”
“คุณน้าแกชอบตายน้ำตื้นอยู่แล้ว จำตอนไอ้ทวิชาไม่ได้เหรอ”
“คุณแวนนี่ขำดีเนอะ คุยด้วยแล้วไม่ค่อยเครียด”
“น้ำก็ชอบบอกยังงี้เหมือนกัน แต่งงานกับผมเอาไว้ขำ”
เห็นแวนอารมณ์ดี เพรียวก็พลอยยินดี พอเดินมาหยุดหน้าห้องพักผู้ป่วย แวนกำลังจะเปิดประตูเข้าไป เพรียวฉุกคิดแล้วท้วงทันที
“เดี๋ยวครับ...ผมฝากคุณแวนเยี่ยมคุณน้ำด้วยแล้วกัน”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ลืมไปว่าผมนัดลูกค้าเอาไว้...คุณสองคนเป็นคู่ที่เหมาะสมลงตัวมาก ดูแลกันให้ดีแบบนี้ตลอดไปนะครับ”
“ที่จริงผมว่าน้ำเหมาะกับคนที่ทำงานเก่ง มีความเป็นผู้ใหญ่อย่างพี่มากกว่าผมนะ”
“ไม่จริงหรอกครับ เหมือนกันเกินไปอยู่ด้วยกันแล้วเครียดตายเลย”
“ยังไงก็ขอบคุณพี่มากนะครับที่เป็นห่วงน้ำและคอยดูแลน้ำแทนผมอยู่ตลอดเวลา”
“มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันไปน่ะครับคุณแวน งั้นพี่ไปก่อนนะ”
เพรียวส่งกระเช้าเยี่ยมไข้ให้แวนแล้วเดินจากมา โดยมีสายตาแวนมองตามอย่างค้างคาใจ เขายังสงสัยและอยากรู้ ความจริงเรื่องระหว่างเพรียวกับน้ำนวล...
ooooooo










