ตอนที่ 12
ติ่นกับผลพามิ่งและครอบครัวมาที่ค่ายพระยาตาก พบแต่ค่ายร้างเพราะพระยาตากพาทหารทิ้งค่ายไปแล้ว ครู่หนึ่งเจอเยื้อนที่ถือสร้อยทองเส้นเล็กๆเดินมาอย่างดีอกดีใจ พอผลเข้าไปหาก็ชักมีดเตรียมสู้ทันที
อินรีบบอกว่าพวกตนแค่จะถามว่าที่นี่เป็นค่ายพระยาตากใช่หรือไม่ เยื้อนรับว่าใช่ แต่พระยาตากตีฝ่าทัพอังวะหนีไปแต่เมื่อคืนแล้ว อินถามว่าพอจะรู้ไหมว่าพระยาตากหนีไปที่ใด
“หัวเมืองตะวันออก แต่จะเป็นหัวเมืองใดข้าไม่รู้”
มิ่งถามอินว่าจะตามไปหรือ อินบอกว่า
“อยู่ที่นี่ก็เสี่ยงภัยนัก แล้วเหตุใดเราจะไม่ลองเสี่ยงตามไปล่ะจ๊ะพ่อ อาจจะได้เจอพี่ม่วงก็เป็นได้”
ooooooo
พระยาตากไปที่บ้านพรานนกตามคำบอกเล่าของโพ พรานนกปันข้าวปลาอาหารให้ทหารกินกันจนอิ่มหนำ ทั้งยกม้าศึกที่เตลิดหนีมาให้พระยาตากถึง 5 ตัว ถือว่าได้มีส่วนช่วยท่านเจ้าคุณบ้าง
ขณะนั้นเองพันหาญเข้ามารายงานว่าพวกอังวะยกพลตามเรามา ข่าวแจ้งว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าสองพัน
ม่วงตกใจถามว่าพวกมันมาสองพันเรามีห้าร้อยแล้วจะรับมืออย่างไร หลวงพิชัยอาสาระวังหลังให้ ท่านเจ้าคุณล่วงหน้าไปก่อนเถิด พระยาตากหัวเราะใจเย็นขอบน้ำใจคุณหลวง แต่...
“ทหารเพียงสองพันยังไม่เพียงพอจะทำให้ฉันหนีได้ดอก”
ม่วงติงว่ามันมากกว่าเราถึงสี่เท่าเชียวนะขอรับ พระยาตากจึงถือโอกาสสอนลูกน้องในทีว่า
“การทำศึก วัดกันด้วยกำลังพลกระนั้นหรือเช่นนั้นก็เป็นเพียงแม่ทัพชั้นเลวเท่านั้น ผู้รู้จักใช้ชัยภูมิในการทำศึกจึงจะถือว่าเป็นแม่ทัพที่พอใช้การได้ แต่ผู้ที่สามารถใช้ธรรมชาติรอบตัว ทั้งดินน้ำลมไฟให้เป็นคุณได้นั้น จึงจะถือเป็นยอดแห่งแม่ทัพ”
มีการแสดงภาพระหว่างทัพอังวะเคลื่อนพลมา และกองทัพพระยาตากซุ่มอยู่สองข้างทาง พระยาตาก อธิบายว่า...
“อังวะเร่งเดินทางมา กำลังพลย่อมอ่อนล้า แต่เราได้พักเต็มที่ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่หนึ่ง เรามาถึงก่อน ชำนาญชัยภูมิกว่า นี่เป็นข้อได้เปรียบที่สอง ฉันจะแบ่งกำลังออกสองกอง ซุ่มไว้สองข้างทาง ทัพอังวะผ่านเข้ามาเมื่อใดก็โจมตีพร้อมกัน”
หลวงพิชัยติงว่าเรามีจำนวนน้อยกว่าศัตรูนัก เกรงว่า ถึงเราจะซุ่มโจมตีก็อาจจะไม่ชำนะ พระยาตากถามว่า
“ตอนที่ฉันหนีมา ฉันสู้กับอังวะเท้าเปล่า ฉันยัง ไม่กลัว ตอนนี้ฉันมีม้าเพิ่มมาถึงห้าตัว แล้วยังจะต้องกลัวอีกรึ”
ooooooo
ใกล้เช้าที่ชายป่า...นายกองอังวะนำทัพมาอย่างเร่งรีบเพื่อจะตามให้ทันพระยาตาก เป็นกำลังเดินเท้าทั้งหมด ทันใดนั้นนายกองก็สังเกตเห็นความผิดปกติข้างหน้า สั่งหยุดทันที










