ตอนที่ 9
อัลบั้ม: หนึ่งในทรวง พร้อมลงจอ! ช่อง 3 ดัน ญาญ่า จิ้น เจมส์จิ
หทัยรัตน์รับเครื่องเพชรที่หนึ่งซื้อให้เดินออกจากร้าน หนึ่งแกล้งดักคอ ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ ตนไม่ได้คาดหวัง และคิดว่าเธอเองก็คงไม่คิดจะพูดคำนี้เหมือนกันตนเข้าใจ หทัยรัตน์นิ่วหน้าที่รู้ทันกล่าวแผ่วเบา “ขอบคุณค่ะ...”
หนึ่งทำเป็นชะงักเงี่ยหูฟังอะไรลอยมา “เมื่อกี้เธอพูดอะไรหรือเปล่า ฉันได้ยินไม่ถนัด”
“พูดได้แค่ครั้งเดียวค่ะ เสียใจด้วยถ้าไม่ได้ยิน”
“ฉันได้ยิน แต่แค่อยากจะแกล้งด้วยแปลกใจ ทำไมเวลาขอบคุณฉัน พูดเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่เวลาเถียงไม่รู้ไปเอาเสียงมาจากไหน ชัดเจนทุกถ้อย
ทุกคำเลย”
“ก็คุณชอบหาเรื่องฉันก่อน ฉันไม่ใช่คนยอมใครและฉันก็ไม่ยอมคุณ”
“เห็นไหม...เสียงดังขึ้นมาทันที คราวนี้เชื่อหรือยัง” หนึ่งมองยิ้มกรุ้มกริ่ม
หทัยรัตน์รู้สึกเขินไม่ต่อล้อต่อเถียง พยายามเก๊กนิ่งไม่ให้รู้ว่าอาย...ทั้งสองไม่เห็นว่าชุลียืนมองอยู่อีกฝั่งอย่างคันปากยิบๆ...ไม่รอช้า ชุลีแล่นมาฟ้องส่องแสงทันที ส่องแสงวางฟอร์มว่าหนึ่งคงแค่บังเอิญมีธุระที่ร้านนั้น ชุลีจาระไนละเอียดยิบ
“เปล่าเลยฉันแอบถามคนขาย เขาบอกว่าพี่หนึ่งซื้อสร้อยกับตุ้มหูให้เข้าชุดกับแหวนหมั้นที่เขาให้นังเด็กปุ้ม อู้ย...ฟังแล้วหวานจนน้ำตาลปึกยังเรียกพี่เลยนะส่อง นี่ส่อง...เห็นทีที่เธอบอกว่าพี่หนึ่งจะถอนหมั้นเด็กปุ้มในเร็วๆนี้ คงจะไม่จริงซะละมั้ง เพราะดูท่าเขาสองคน รักกันจะตาย”
ส่องแสงยิ่งฟังยิ่งแค้น คิดหาทางแก้...เย็นวันนั้นส่องแสงมาดักรอหทัยรัตน์ที่บ้านเดือนประดับ พอเธอเดินผ่านห้องรับแขก ส่องแสงก็รีบออกมาวางฟอร์มสวมรอย
“เป็นยังไงจ๊ะปุ้ม สร้อยคอกับตุ้มหูที่พี่หนึ่งซื้อให้ถูกใจเธอหรือเปล่า”
“คุณรู้ได้ยังไง...” หทัยรัตน์แปลกใจ
“ที่ฉันรู้ก็เพราะ ฉันเป็นคนบอกให้พี่หนึ่งซื้อให้เธอเอง...พี่หนึ่งเขาพูดกับฉันว่าเขาสงสารเธอ เห็นเธอไม่ค่อยจะมีสมบัติติดตัว เวลาจะพาออกงานก็ต้องลำบากยืมของคนอื่น ฉันก็เลยบอกพี่หนึ่งให้ซื้อเครื่องเพชรให้เธอสักชิ้นสองชิ้น เลือกที่เข้ากับแหวนหมั้น เธอจะได้เอาไว้ใส่ออกงานไม่อายใคร” ส่องแสงเห็นหทัยรัตน์นิ่งก็ตอกย้ำ “ทำไมเงียบไปล่ะปุ้ม ดูท่าทางเหมือนผิดหวัง เอ๊ะ...นี่เธอคงไม่คิดว่าพี่หนึ่งเขาซื้อของให้เธอเพราะ...เขารักหรอกนะ”
“ดิฉันไม่เคยคิดแบบนั้นหรอกค่ะ” หทัยรัตน์สะอึกสวนกลับนิ่มๆ
“ไม่คิดก็ดีแล้ว ฉันกลัวว่าเธอจะลืมว่าการหมั้นของเธอกับพี่หนึ่งมันเป็นเพียงการจัดฉาก และที่พี่หนึ่งดีกับเธอก็เพราะเขากำลังเล่นบทเป็นคู่หมั้นที่แสนดีให้ชาวบ้านดู มันก็เท่านั้นเอง”
“ดิฉันทราบดีค่ะว่าทุกอย่างไม่ใช่ความจริง เพราะดิฉันเองก็กำลังเล่นบทคู่หมั้นที่แสนดีเช่นเดียวกับคุณอนวัช...คุณส่องแสงล่ะคะกำลังเล่นบทอะไรอยู่ หวังว่าคงจะไม่ใช่บทนางอิจฉานะคะ” ส่องแสงชะงักรอยยิ้มจางหายแทบกรี๊ด หทัยรัตน์ชิงตัดบท “ขอบคุณที่มาเตือนดิฉันนะคะ สวัสดีค่ะ” พูดจบจะเดินเลี่ยงขึ้นบ้าน
ส่องแสงตั้งสติได้หันมา หทัยรัตน์เดินไปแล้ว จึงเต้นเร่าๆตะโกนไล่หลัง “นังปุ้ม!นี่แกว่าฉันอิจฉาแกเหรอ หา!นังปุ้ม...นังลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ นังบ้า...”
หทัยรัตน์เข้าห้องด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ คิดถึงคำพูดของหนึ่งที่บอกว่าอยากซื้อเครื่องเพชรชุดนี้ให้เพราะคล้ายกับแหวนหมั้น และคำพูดของส่องแสงลอยเข้ามาว่า เธอเป็นคนบอกให้เขาซื้อเพื่อจะได้มีเครื่องเพชรใส่ไม่อายใคร...คำพูดทั้งหมดของส่องแสงทำให้หทัยรัตน์สะเทือนใจอย่างมาก เธอเก็บกล่องเครื่องเพชรพยายามดึงสติ ความเข้มแข็งของตัวเองกลับมา
หน้าบ้าน ส่องแสงเดินอย่างกระฟัดกระเฟียดฉุนเฉียว ชนเข้ากับแหววอย่างแรง จดหมายในมือแหววหล่นกระเด็น ส่องแสงโวยวายตามนิสัยแต่พอเห็นจดหมายจ่าหน้าถึงประสาทพร รู้ว่าเป็นของหทัยรัตน์ให้ไปส่ง ก็ยิ้มร้ายอาสาไปส่งให้เอง
ooooooo
หลายวันผ่านไป ส่องแสงทำหน้าเศร้ามาขอพาหนึ่งไปเลี้ยงอาหาร อ้างเป็นการไถ่โทษที่ไม่ได้ไปงานหมั้น หนึ่งแสดงความเป็นสุภาพบุรุษขอเลี้ยงเอง ส่องแสงยิ้มกริ่มเริ่มแผนการยุยง
“พี่หนึ่งว่าไหมคะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆนะคะ ชั่วพริบตาคุณชายประสาทพรก็จะกลับมาประเทศไทยแล้ว ส่องว่าวันที่คุณชายมาถึงจะมีผู้หญิงสองคนที่ดีใจมากๆ คนแรกก็คุณหญิงกรกนก ส่วนอีกคนก็คงจะเป็นปุ้ม” เห็นหนึ่งชะงักส่องแสงใส่ต่อ “ส่องได้ยินเด็กในเดือนประดับพูดว่า ปุ้มเขาเขียนจดหมายถึงคุณชายบ่อยมากนะคะ เดือนนึงก็หลายฉบับ เมื่อไม่กี่วันนี้ก็ยังส่งไปอยู่เลยนะคะ...ปุ้มนี่ก็แปลกเป็นคู่หมั้นพี่หนึ่งแต่ยังให้ความหวังคุณชาย เอ...หรือว่าปุ้มเขาคิดจะจับปลาสองมือ”
หนึ่งแย้งว่าหทัยรัตน์อาจเขียนรายงานการเรียนของกรกนก ไม่มีอะไรมาก ส่องแสงใส่ไฟเข้าไปอีกว่า ตนหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น หทัยรัตน์คงจะเลิกนิสัยชอบหว่านเสน่ห์ ที่ตนพูดเพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้เขาต้องเจ็บปวดเหมือนพินิจ ส่องแสงทำหน้าสงสาร หนึ่งขอบใจ บอกเธอสบายใจได้เพราะตนไม่มีวันเหมือนพินิจแน่นอน
เผอิญหทัยรัตน์มาเดินเล่นกับผ่องฉวี เห็นหนึ่งกับส่องแสงนั่งคุยชื่นมื่นในร้านอาหาร ก็ยิ่งตอกย้ำให้เชื่อคำพูดของส่องแสงมากขึ้น จึงถอดแหวนหมั้นออกจากนิ้วเก็บใส่กระเป๋าเงยหน้าพยายามทำใจให้เข้มแข็ง
หลังส่งส่องแสงแล้ว หนึ่งมาหาหทัยรัตน์ที่บ้านเดือนประดับ ทิพย์บอกว่าเธอไปซื้อผ้าตัดเสื้อกับเพื่อนเห็นว่าจะตัดชุดใส่ไปรับคุณชายประสาทพร หนึ่งสะอึกที่ถึงกับต้องตัดชุดใหม่...หนึ่งรอจนหทัยรัตน์กลับมา พอเธอเห็นเขา อารมณ์ขุ่นที่ค้างกรุ่นขึ้นมาทันทียิ่งได้ยินคำถาม
“ได้ข่าวว่าเธอตัดชุดสำหรับใส่ไปรับคุณชายหรือ”
หทัยรัตน์รับว่าใช่ทันที พอเขาถามอีกว่าประสาทพรสำคัญมากขนาดนี้เชียวหรือ จึงประชดกลับ...ว่าใช่ หนึ่งเสียงเขียว “สำคัญมากกว่าฉันรึเปล่า”
ภาพเขากับส่องแสงในร้านผุดขึ้น “คุณน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพราะคุณเองก็มีผู้หญิงอื่นที่สำคัญมากกว่าฉันเช่นกัน การที่ฉันจะเห็นว่าคุณชายสำคัญกว่าคุณก็คงไม่แปลก”
“ดี ยิ่งคุณชายสำคัญฉันยิ่งมีความสุข การที่เธอหมั้นกับฉัน ทำให้เธอไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้เพราะคำว่าคู่หมั้นมันค้ำคอ ต่อให้เธอพยายามแค่ไหน คุณชายก็คงจะไม่สมยอมได้ เพราะฉะนั้น ยิ่งคุณชายสำคัญมาก เธอก็ยิ่งทุกข์มาก...ฉันก็ยิ่งมีความสุข วันที่คุณชายกลับ ฉันจะมารับเธอไปสนามบินพร้อมฉัน” หนึ่งประชดและอดไม่ได้ที่จะออกคำสั่ง
หทัยรัตน์ปรายตามองเชิดกลับ “ถ้าคุณต้องการมารับดิฉันเพราะมันเป็นหน้าที่คู่หมั้นที่แสนดีก็ไม่ต้องนะคะ เพราะดิฉันไปเองได้”
“ฉันจะมารับเธอเพราะเหตุผลอะไรมันเรื่องของฉันแต่เธอต้องไปกับฉันในฐานะคู่หมั้น”
“คู่หมั้นไม่ใช่คนรับใช้นะคะ จะได้ทำทุกอย่างตามที่คุณต้องการ”
“ถึงไม่ใช่แต่ก็ต้องทำ เพราะมันเป็นคำสั่งของคุณพ่อ ท่านให้เราสองคนไปเป็นตัวแทนท่าน เธอก็เลือกเอาแล้วกัน ระหว่างขัดใจตัวเองกับขัดคำสั่งคุณพ่อ...จะเลือกอะไร”
หทัยรัตน์เม้มปาก ตอบกลับด้วยความน้อยใจ ถ้าเป็นความต้องการของคุณลุง ตนก็จะไปกับเขา หนึ่งแอบยิ้มสมใจ กำชับวันนั้นอย่าลืมสวมแหวนหมั้นไปด้วยขี้เกียจตอบคำถามใครๆ
หทัยรัตน์นึกได้มองนิ้วนางว่างเปล่าของตัวเองอย่างขัดใจ หนึ่งเองก็เจ็บปวดกับคำพูดของหทัยรัตน์ที่ดูไม่มีเยื่อใยต่อตนบ้างเลย...ต่างคนต่างเข้าใจผิดกัน
ooooooo
ใกล้วันประสาทพรจะกลับ ทางบ้านกนกพรมีการทำความสะอาดยกใหญ่ ส่วนสุดาเอาจดหมายที่ประสาทพรส่งถึงออกมาอ่านซ้ำอย่างปลื้มใจ แล้วนึกบางอย่างได้รีบออกไปข้างนอก
วันต่อมา สุดาฝากขนมฝอยทองหทัยรัตน์ไปให้ประสาทพร เป็นขนมจากร้านโปรดของเขา หทัยรัตน์ถามทำไมถึงไม่ไปด้วยกัน เธอตอบว่ามีนัดสัมภาษณ์งานใหม่ แล้วถามย้ำว่าส่งข่าวเรื่องหมั้นแก่เขาแล้วยัง หทัยรัตน์ตอบว่าเขียนแล้วให้แหววไปส่ง สุดาพยักหน้ายิ้มๆ
“ดีแล้ว อย่างน้อยได้รู้จะได้เตรียมใจไว้บ้าง ดีกว่าไม่รู้เลย...อ้าว พี่หนึ่งมาแล้วรีบไปเถอะ”
สุดาดันหทัยรัตน์ให้ไปที่รถหนึ่ง เธออึดอัดใจต้องไปกับเขาจริงหรือ...หนึ่งเห็นหทัยรัตน์อยู่ในชุดใหม่และยังมีกล่องขนมในมือก็อดประชดประชันไม่ได้
“นี่เหรอชุดที่ลงทุนตัดเพื่อต้อนรับคุณชาย...มีของฝากอีกด้วย เธอนี่ใจปํ้าเหมือนกันนะ”
หทัยรัตน์ค้อนประชดกลับ ว่าตนคิดแล้วมันคุ้มก็ต้องลงทุนกันหน่อย หนึ่งไม่พอใจดึงมือซ้ายมาดู เธอดึงมือกลับอย่างรู้ทันบอก ตนไม่ลืมหรอกว่าวันนี้ต้องเล่นบทอะไร
“ดี...รู้หน้าที่แบบนี้ก็ดี ใส่แหวนหมั้นแต่ทำไมไม่ใส่สร้อยกับตุ้มหูที่ฉันซื้อให้”
“ถ้าคุณอายชาวบ้านที่คู่หมั้นไม่มีสมบัติเอาไว้ใส่อวดคนอื่น เราแยกกันไปก็ได้นะคะ”
“อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง ฉันไม่หลงกลและฉันไม่มีทางปล่อยให้เธอไปคนเดียว ถึงเธอไม่ใส่สร้อยกับตุ้มหู เธอก็ต้องไปกับฉัน” หนึ่งเปิดประตูรถ หทัยรัตน์กระแทกตัวนั่งเคืองๆ
ทั้งสองมารอที่บ้านกนกพรร่วมกับกรกนก พอประสาทพรมาถึงก็โผกอดน้องสาวด้วยความคิดถึง แล้วหันมองหทัยรัตน์ หนึ่งแทรกทักสวัสดี เขาทักทายกลับแต่ยังคุยกับเธอ
“ผมนึกว่าคุณหทัยรัตน์จะไม่มาซะแล้ว”
“ปุ้มเขาต้องมาสิครับ เขาตื่นเต้นมากนะครับถึงกับตัดชุดใหม่เพื่อใส่มารับคุณชาย” หนึ่งชิงตอบแทน
หทัยรัตน์หมั่นไส้ค้อนขวับ ประสาทพรยิ้มปลื้ม เธอส่งกล่องขนมให้พร้อมกับบอกว่า “พี่แป้นฝากขนมมาให้คุณชายค่ะ”
หนึ่งมองตาดุที่เธอไม่บอกก่อน ประสาทพรฝากขอบคุณไปถึงสุดา หนึ่งออกอาการหึงแทรกถามถึงการเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง ประสาทพรตอบว่า เรียบร้อยดียิ่งเห็นหน้าทุกคนแล้วหายเหนื่อย เขาส่งยิ้มให้หทัยรัตน์ หนึ่งยิ่งขุ่นใจจึงแสดงความเป็นเจ้าของออกไป
“คิดแล้วก็น่าเสียดายนะครับ คุณชายน่าจะกลับมาเร็วกว่านี้ จะได้มาทันงานหมั้นของเราสองคน”
รอยยิ้มบนใบหน้าประสาทพรเลือนหายไปทันที หทัยรัตน์แปลกใจทำไมเขายังไม่รู้เรื่อง หนึ่งจับมือหทัยรัตน์ย้ำว่างานหมั้นที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน สีหน้าประสาทพรเศร้าลงและเครียด...เมื่อทั้งสองกลับไป ประสาทพรก็ถามแม่โอ เธอเล่าว่าเป็นงานหมั้นที่จัดเล็กๆ ไม่ได้เชิญแขกมากมาย แม่โอแปลกใจทำไมหทัยรัตน์ไม่ได้เขียนจดหมายไปบอก หรือจะสวนทางกัน เขาพยักหน้าอาจเป็นไปได้ ไม่ทันไรเด็กรับใช้มาเรียนว่ามีแขกมาขอพบสองแม่ลูกสีสุกกับส่องแสงนั่งยิ้มอยู่ในห้องรับแขก พอทักทายเป็นพิธีส่องแสงก็เริ่มเรื่อง
“พอทราบข่าวจากพี่หนึ่งว่าคุณชายกลับวันนี้ ส่องกับคุณแม่ดีใจมากๆเลยค่ะ รีบมาเพื่อจะแจ้งความจริงให้คุณชายได้ทราบ ก่อนที่คุณชายจะไปรับข้อมูลผิดๆจากคนอื่น”
ด้านหทัยรัตน์กลับมาถึงบ้าน เลียบเคียงถามแหววจนรู้ว่าส่องแสงอาสาเอาจดหมายไปส่งไปรษณีย์ให้ สุดาเชื่อว่าจดหมายไม่ได้ถูกส่งแน่ เธอชักเป็นห่วงความรู้สึกของประสาทพร...
ส่วนประสาทพรก็ฟังส่องแสงกับสีสุกปั้นเรื่อง ว่าระหว่างหนึ่งกับหทัยรัตน์หมั้นกันเพราะผู้ใหญ่บังคับ จัดงานเงียบๆไม่มีแขกเหรื่อเพียงเพื่อกลบคำครหาของชาวบ้าน พอข่าวซาก็คงจะถอนหมั้น ประสาทพรหลงเชื่อเบาใจขึ้นโข
เช้าวันใหม่ ประสาทพรมาสอบถามหทัยรัตน์เพื่อความแน่ใจ เธอเอือมกับเรื่องนี้เต็มทนจึงยอมรับไปว่า ตนกับหนึ่งไม่ได้หมั้นกันด้วยความรัก เขายิ้มดีใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมก็สามารถพูดคุยและติดต่อกับคุณได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเกรงใจกลัวว่าหนึ่งจะเข้าใจผิด”
หทัยรัตน์กำลังจะตอบ เสียงหนึ่งขัดขึ้น “คุณชายมาถึงนานแล้วเหรอครับ”
ประสาทพรหันมายิ้มๆบอกว่ากำลังพูดถึงเขาอยู่พอดี เรื่องการหมั้นที่ตนเพิ่งทราบเหตุผล เพิ่งเข้าใจคำพูดของเขาที่ว่า...ถ้าตนกลับเร็วกว่านี้ก็คงดี มันหมายความว่าอย่างไร หนึ่งทำหน้างง
“ก็ถ้าตอนนั้นผมอยู่ที่นี่ ผมจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ผมยินดีที่จะหมั้นกับหทัยรัตน์แทนหนึ่ง เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ได้ฝืนใจที่จะต้องหมั้นกับเธอ”
หนึ่งสะอึกหึงสุดๆยิ่งเห็นสายตาประสาทพรที่มองหทัยรัตน์ จึงเปลี่ยนเรื่อง สั่งหทัยรัตน์ไปช่วยดูเด็กอุ่นเป็ดพะโล้ที่ตนซื้อมาที หทัยรัตน์จึงบอกประสาทพรว่าขอตัวสักครู่เดี๋ยวกลับมา หนึ่งยิ่งตาเขียวเดินตามไปยังครัว ภายในครัวไม่มีเด็กรับใช้ หนึ่งหาเรื่องหทัยรัตน์ทันที
“เธอร้อนตัวมากนักหรือไง ถึงต้องรีบบอกคุณชายเรื่องการหมั้นของเรา”
“ดิฉันไม่ได้เป็นคนบอก แต่คงจะเป็นผู้ที่หวังดีกับคุณมั้งคะ ถึงได้บอกให้คุณชายทราบเพราะต้องการให้คุณเป็นอิสระ”
“นี่เธออย่ามาพาลใส่ฉัน คนของฉันที่ไหนไม่มีสักหน่อย เธอต่างหากที่ต้องการเป็นอิสระโดยหลอกใช้คุณชายเป็นเครื่องมือ”
“ฉันไม่ได้หลอกใช้!อย่ามาดูถูกกันแบบนี้”
“ฉันไม่ได้ดูถูก...ฉันแค่รู้ทัน แต่ฉันจะบอกให้นะ ถึงคุณชายรู้เขาก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้ เธอยังต้องเป็นคู่หมั้นของฉันจนกว่าฉันจะพอใจและเป็นฝ่ายปล่อยเธอไป แต่ถ้าฉันไม่ต้องการปล่อย เธอจะเปลี่ยนสถานะไม่ได้” หนึ่งเสียงเข้ม
“ก็คอยดูแล้วกันว่าคุณชายจะช่วยฉันได้รึเปล่า ไหนๆคุณก็เดินมาถึงที่นี่แล้ว อุ่นเป็ดเองก็แล้วกัน” หทัยรัตน์ ไม่พอใจสวนกลับแล้วกระแทกหม้อใส่ เดินเชิดออกไป หนึ่งยิ่งหึงตาขุ่น
ooooooo
ตกเย็น ส่องแสงมาถามประสาทพรว่าได้คุยกับหทัยรัตน์หรือยัง เขาตอบว่าหทัยรัตน์พูดเหมือนที่เธอบอก ส่องแสงยิ้มสมใจเพราะรู้นิสัยหทัยรัตน์ดี จึงยุส่งว่าหนึ่งกับหทัยรัตน์ไม่ได้รักกันแน่นอน ประสาทพรยิ้มอย่างยินดีและบอกว่าพรุ่งนี้ตนนัดทานข้าวกับเธอ
ส่องแสงตาวาวเลียบเคียงถามไปร้านไหนแล้วคิดแผนร้ายทันที...พอเที่ยงวันถัดมา ประสาทพรพาหทัยรัตน์มาร้านเรียบหรูกำลังเลือกอาหาร ส่องแสงก็ควงหนึ่งเดินกรีดกรายเข้ามา หนึ่งเห็นทั้งสองก็ชะงัก ส่องแสงแกล้งทำไม่เห็นชี้เลือกโต๊ะใกล้ๆหทัยรัตน์ พอเดินมาก็ทำตกใจ
“เอ๊ะ!นั่นคุณชายประสาทพรนี่คะ แหม...บังเอิญจริงที่มาร้านเดียวกัน เอ๊ะ...คุณชายมากับผู้หญิงอีกคนนี่นาใครนะ...เอ๊ะนั่น! ปุ้มนี่คะพี่หนึ่ง”
หนึ่งยืนอึ้ง ส่องแสงทำทีเห็นอกเห็นใจ บอกเขาจะเปลี่ยนร้านใหม่ก็ได้ หนึ่งเสียงเข้ม ไม่ต้องตนจะทานร้านนี้ แล้วเดินตรงเข้าไปทักทายประสาทพร หทัยรัตน์ปรายตามอง เห็นมือส่องแสงเกาะแขนหนึ่งก็หงุดหงิดในใจ ส่องแสงทำเสียงหวานบอกหนึ่งอย่ารบกวนทั้งสองเลย เพิ่งกลับจากต่างประเทศคงมีเรื่องคุยกันมากมาย หนึ่งจึงประชดฝากประสาทพรดูแลคู่หมั้นตนด้วย
ส่องแสงกับหนึ่งขยับมานั่งโต๊ะไม่ห่าง หญิงสาวเริ่มยุแยง “ปุ้มเนี่ยเขาใจร้ายจริงๆนะคะ ไม่ให้เกียรติพี่หนึ่ง สักนิด จะทักสักคำก็ไม่มี สงสัยคงจะไม่อยากให้คุณชายเข้าใจผิดมั้งคะ...แต่พี่หนึ่งไม่ต้องห่วงนะคะ ถึงปุ้มจะไม่สนใจพี่หนึ่ง แต่ส่องสนใจพี่หนึ่งคนเดียวเท่านั้น ส่องสั่งอาหารโปรดของพี่หนึ่งให้นะคะ ทานของอร่อยๆ จะได้อารมณ์ดี”
หนึ่งปรายตามองหทัยรัตน์ด้วยความหึง ส่องแสงพยายามเอาอกเอาใจหนึ่ง ตักอาหารใส่จานแทบจะป้อน หทัยรัตน์หมั่นไส้แกล้งตักอาหารให้ประสาทพรบ้าง หนึ่งเคืองทำเป็นมีความสุขกับส่องแสงประชด...เผอิญทั้งสี่คนไม่มีใครเห็นว่าสัทธากับพรรณีนั่งอยู่ในร้านนี้ด้วย สัทธาเห็นการกระทำทุกอย่างและสีหน้าของทั้งหนึ่งและหทัยรัตน์
หลังออกจากร้านอาหาร ส่องแสงทำเป็นขอโทษขอโพยหนึ่งที่ชวนไปร้านนั้น โกหกว่าไม่รู้มาก่อนว่าหทัยรัตน์จะมากับประสาทพร หนึ่งส่ายหน้าไม่เป็นไร ตนไม่ได้ใส่ใจ
“นี่พี่หนึ่งไม่รู้สึกอะไรเหรอคะที่เห็นคู่หมั้นตัวเองไปนั่งกินข้าวกับผู้ชายอื่น แถมยังระริกระรี้แบบนี้ ปุ้มก็เหลือเกินนะคะหวานช่ำกับคุณชายไม่เกรงใจ พี่หนึ่งเลย ตอนจะกลับก็ไม่ยอมแม้แต่จะมาล่ำลา คุณชายต้องเดินมาคนเดียว ส่องน่ะเคืองแทนจริงทำยังกับคนไม่รู้จักกันงั้นแหละ”
ส่องแสงเห็นหนึ่งนิ่งเครียด จึงเป่าหูอีกว่าหทัยรัตน์ไม่น่าเอาอกเอาใจประสาทพรมากกว่าหนึ่ง ทำอย่างกับเขาเป็นคู่หมั้นไม่ใช่หนึ่ง...หนึ่งยิ่งขุ่นเคือง
หลังจากส่งส่องแสง หนึ่งมาดักรอหทัยรัตน์ที่บ้านเดือนประดับ พอเธอลงจากรถยืนโบกมือส่งประสาทพรจนลับตาก็เดินเข้าบ้าน ต้องสะดุ้งเมื่อเจอหนึ่งยืนตาขวางอยู่
“เธอกำลังทำอะไรน่ะหทัยรัตน์”
“ดิฉันไม่ได้ทำอะไรนี่คะ ก็แค่ไปทานข้าวกับคุณชายเหมือนที่คุณไปกับคุณส่องแสง”
“เธอไม่ต้องมาตีฝีปากกับฉัน เธอคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยเธองั้นเหรอ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกนะ เธอเป็นของฉัน ฉันไม่ปล่อยเธอไปเป็นของคนอื่น”
“คุณเลิกพูดแสดงความเป็นเจ้าของฉันได้แล้ว คุณจะพูดแบบนี้ทำไมในเมื่อคุณก็รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงการเล่นละครเท่านั้น”
“ถึงแม้จะเป็นเพียงละครแต่มันยังไม่จบฉันก็ไม่ปล่อย ยังไงๆเธอก็ต้องแต่งงานกับฉันเท่านั้น”
“แค่หมั้นกันก็มากเกินไปแล้ว ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคุณ ฉันจะไม่แต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้รัก” หทัยรัตน์ตอบโต้ไม่ลดละ
หนึ่งทนไม่ไหวจับไหล่เธอกระชากเข้ามาถาม เธอไม่ได้รักตนหรือ หทัยรัตน์ตอบหนักแน่นว่าใช่ ไม่ได้รักเขา...หนึ่งสวนแล้วเธอรักใคร หทัยรัตน์หวั่นไหวพยายามตอบไม่ตรงกับใจ
“ฉันรักใครก็ได้ ที่ไม่ใช่คุณ”
หนึ่งโกรธดึงหทัยรัตน์มาจูบหนักหน่วง เธอตกใจผลักเขาออกมองด้วยแววตาโกรธแค้น
“โกรธเหรอ...คราวนี้จะร้องไห้แล้ววิ่งหนีขึ้นบ้านหรือจะตบฉันดีล่ะ” หนึ่งเย้ย
“ฉันไม่ตบคุณให้เปลืองแรงฉันหรอก และฉันจะไม่มีวันเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียวให้กับผู้ชายป่าเถื่อนอย่างคุณ คุณก็ดีแต่ใช้กำลังบังคับและดูถูกฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณได้จากฉัน ถือซะว่าเป็นเวรกรรมที่ฉันต้องชดใช้ เราหมดเวรหมดกรรมกันเมื่อไหร่ก็อย่าหวังเลยว่าเราจะได้เจอกันอีก...คุณอาจจะได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ จำไว้นะว่าคุณไม่มีวันได้หัวใจของฉัน”
หนึ่งหน้าชารู้สึกโหวงเหวงในใจ หทัยรัตน์พูดจบผละเดินหนีเข้าบ้าน เจอกับสุดา เธอบอกว่าหนึ่งมารอพบ หทัยรัตน์รีบตอบว่าเจอแล้ว และเขาก็กลับไปแล้ว สุดางงทำไมกลับเร็ว
สุดามาเล่าให้สัทธาฟัง แต่พอได้ฟังเรื่องของสัทธากลับกลายเป็นตกใจเสียเอง อุตส่าห์ได้หมั้นกันแล้วนึกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น กลายเป็นแย่ลง สัทธาเชื่อว่าเพราะมือที่สามอย่างส่องแสง
ต่างจากส่องแสงที่กลับบ้านอารมณ์เบิกบาน เล่าให้สีสุกฟังว่าอีกไม่นานหนึ่งต้องถอนหมั้นหทัยรัตน์แน่...ด้านหนึ่ง กลับถึงบ้านดื่มหนักจนเมาหลับอยู่ริมระเบียง
รุ่งเช้า แม่พิมพ์มาเจอตกใจมาก เพราะหนึ่งเป็นไข้ตัวร้อนจี๋ รีบพาขึ้นห้อง เช็ดตัวเอายาให้ทาน เขาดื้อไม่ยอม แม่พิมพ์จะโทร.ตามหมอมาดูอาการเขาก็โวยวายไม่ให้ตาม แม่พิมพ์ถอนใจ
“เฮ้อ...ดื้อเป็นเด็กๆไปได้ ทำยังไงดีล่ะเนี่ย”
แม่พิมพ์ทำข้าวต้มมาวางให้ หนึ่งก็ไม่ยอมกิน จนเวลาบ่ายคล้อยแม่พิมพ์ยิ่งหนักใจ...
ooooooo
วันนี้เป็นวันหยุด หทัยรัตน์นั่งปักผ้าให้สบายใจ สัทธากับสุดายืนมองข้องใจทำไมช่วงนี้หนึ่งหายหน้าหายตาไป โทร.ไปหาที่ทำงานก็ลาหยุด จึงลองถามหทัยรัตน์เจอเขาบ้างไหม เธอส่ายหน้านิ่งๆ สัทธาหยั่งเชิงถามทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า เธอก็ปฏิเสธ
“เอ๊ะแล้วทำไมพี่หนึ่งไม่มาเดือนประดับเลยนะ เมื่อก่อนต้องมาทุกวัน ถ้าไม่มาก็ต้องโทร.แต่นี่อยู่ๆก็หายไปเลย”
“ถ้าพี่แป้นอยากรู้ก็ลองไปถามคุณส่องแสงดูสิคะ เธออาจจะรู้ก็ได้” หทัยรัตน์เผลอกระแนะกระแหน สัทธาอมยิ้ม
“เอ๊ะ ปุ้มนี่พูดแปลกๆนะ พูดยังกับว่า...หึงไอ้หนึ่ง”
หทัยรัตน์สะอึกปฏิเสธพัลวัน จะไปหึงทำไม ไม่ทันไรแหววมารายงานว่าแม่พิมพ์โทรศัพท์มาหาบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ ทั้งสามมองหน้ากันหวั่นใจ
หทัยรัตน์รับสาย แม่พิมพ์รีบบอกว่าหนึ่งเป็นไข้นอนซมมาสองวัน ไม่ยอมทานข้าวทานยาขอให้มาช่วยดูหน่อย...ในใจหทัยรัตน์กระวนกระวายแต่อ้างว่าต้องขออนุญาตคุณป้าก่อน พอทิพย์ทราบเรื่องรีบเร่งให้
หทัยรัตน์ไปดูแลหนึ่งโดยเร็วเพราะรู้มาว่าวิทย์ไปต่างจังหวัด และเห็นว่าเป็นคู่หมั้นกันแล้วไม่น่าเกลียดอะไร ด้วยความห่วงหนึ่งมากหทัยรัตน์จะรีบไป สุดาท้วงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรือ เธอชะงักหันกลับขึ้นห้อง สุดายิ้มอย่างรู้ทันบอกจะให้รถมารอหน้าบ้าน
“น้องสาวเธอ...มาดเยอะจริงๆ เป็นห่วงแต่ก็ไม่ยอมแสดงออก” สัทธาเย้า สุดากับทิพย์เห็นด้วยหัวเราะเบาๆกับพฤติกรรมของหทัยรัตน์
พอมาถึงบ้านเพชรลดา แม่พิมพ์ก็ฟ้องว่าหนึ่งดื้อไม่ยอมทานข้าวทานยา ไม่ยอมให้หมอมาตรวจ ถ้าไม่ตัวร้อนจัดตนคงไม่รบกวน หทัยรัตน์ส่ายหน้าเอือมๆ จัดแจงให้แม่พิมพ์โทร.ตามประสงค์ แม่พิมพ์ขอให้หทัยรัตน์นั่งรออยู่ในห้องหนึ่ง เพราะหนึ่งหลับไม่นานก็คงตื่น
หทัยรัตน์นั่งเก้าอี้ข้างเตียง มองรอบๆห้องอย่างขัดเขิน ค่อยๆหันมองหนึ่งเห็นใบหน้าตอนหลับช่างไม่มีพิษมีภัยจึงเผลอมองเคลิ้มๆ พอรู้สึกตัวก็เบนสายตาหนีทำใจแข็งไม่สนใจ พอดีเหลือบเห็นแดดไล่มาเกือบถึงเตียง จึงลุกขึ้นไปดึงม่านปิด หันกลับมาต้องสะดุ้งเพราะหนึ่งนั่งมองอยู่ เขาเอ่ยถามมาได้อย่างไร จึงตอบกวนกลับไปว่า...นั่งรถมา เขาจิกตาขุ่น
“อย่ามายวน ฉันถามดีๆ”
“ฉันทราบว่าคุณไม่สบาย เลยแวะมาดูอาการ”
“ใครบังคับให้เธอมาล่ะ คุณพ่อ คุณอาทิพย์หรือว่าคุณอาสุทธิ์”
หทัยรัตน์ปฏิเสธก่อนจะบอกว่าแม่พิมพ์เป็นคนโทร.ตามตนมา หนึ่งหัวเราะเศร้าๆตัดพ้อ ถึงทายไม่ถูกก็ใกล้เคียงเพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าเธอไม่มีวันมาเยี่ยมตนเพราะความตั้งใจโดยเด็ดขาด ก่อนจะถามว่าวันนี้ไม่มีนัดกับประสาทพรหรือ...หทัยรัตน์เคืองประชดกลับ จะมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่ธุระของเขา หนึ่งอ้าปากจะเถียงก็พอดีแม่พิมพ์โผล่เข้ามาเหมือนระฆังช่วยชีวิต
“อ้าวคุณหนึ่ง ตื่นแล้วเหรอคะ...อีกครึ่งชั่วโมงคุณหมอประสงค์จะมาถึงเพชรลดาค่ะ”
หนึ่งเอ็ดตนบอกแล้วว่าไม่ต้องตามหมอ ตนไม่ได้เป็นอะไร แม่พิมพ์อึกอักๆ หทัยรัตน์แทรกเสียงเข้ม
“ดิฉันบอกให้แม่พิมพ์โทรศัพท์เรียกหมอเอง พอคุณหมอมาแล้วคุณจะเป็นหรือไม่เป็นอะไรเดี๋ยวหมอประสงค์จะเป็นคนบอกเอง”
แม่พิมพ์มองหนึ่งลุ้นว่าจะเถียงอย่างไร แต่เขากลับนิ่งเงียบ...พอประสงค์มาก็ยอมให้ตรวจแต่โดยดี ประสงค์บอกอาการของหนึ่งไม่มีอะไรมาก มีไข้เล็กน้อยและมีอาการเครียด ตนจะจ่ายยาคลายเครียดไว้ให้ทานสองสามวัน แต่ต้องพักผ่อนอย่าคิดมากอีก
แม่พิมพ์กระซิบหทัยรัตน์ “เห็นไหมคะ พอบอกว่าคุณปุ้มเป็นคนให้ตามหมอ คุณหนึ่งก็ยอม ป้าบอกแล้วว่าคุณหนึ่งยอมคุณปุ้มคนเดียว”
หทัยรัตน์ตื่นเต้นแต่พยายามเก็บอารมณ์...ประสงค์ถามหนึ่งอีกว่าช่วงนี้งานยุ่งหรือถึงได้เครียด เขาก้มหน้าพยักหน้า แม่พิมพ์รู้ทันว่าโกหก ประสงค์หันมาสั่งแม่พิมพ์ ถ้ามีอะไรก็โทร.เรียกตนได้ตลอดเวลา แม่พิมพ์ยิ้มรับและเดินออกไปส่งประสงค์กลับ หทัยรัตน์จึงจัดยาให้หนึ่ง
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเธอต้องทำเหมือนเป็นห่วง ฉัน ทั้งที่เธอเกลียดฉัน” หนึ่งไม่รับยา
หทัยรัตน์ตำหนิ จำไม่ได้หรือว่าหมอไม่ให้คิดมาก ห้ามเครียด ให้ทานยาแล้วเข้านอน หนึ่งทวงคำตอบก่อนถึงจะยอมกินยา หทัยรัตน์ถอนใจวางยาลงที่โต๊ะหันมาตั้งใจตอบเขา
“ดิฉันไม่ได้เป็นห่วงคุณ แต่ดิฉันทำเพราะแม่พิมพ์บอกให้ทำ”
หนึ่งสะเทือนใจถามว่าแม่พิมพ์บอกให้ทำอะไร หทัยรัตน์ไม่ตอบ บอกให้ถามแม่พิมพ์เอง เธอวางยาไว้ให้เขาทานเองแล้วขอตัวกลับเนื่องจากหมดหน้าที่ หนึ่งใจหายถามเสียงแผ่ว
“หทัยรัตน์...เธอมาดูอาการฉันแค่นี้เองเหรอ”
หญิงสาวรับว่าใช่แล้วเดินออกไป หนึ่งมองตามอยากรั้งเธอไว้แต่ไม่กล้า ก้มหน้าเศร้า
ooooooo
ขณะเดียวกัน ประสาทพรมาหาหทัยรัตน์ที่บ้านเดือนประดับ สุดาบอกว่าแม่พิมพ์โทร.มาตามเธอไปดูหนึ่งซึ่งป่วยหนัก เขาตัดพ้อถ้าเป็นตนป่วยบ้าง หทัยรัตน์จะไปดูแลแบบนี้ไหม
“คุณชายอย่าพูดเปรียบเทียบแบบนี้สิคะ ถ้าคนอื่นได้ยินจะไม่งาม เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สองคนนั้นเขาอยู่ในฐานะคู่หมั้น ถ้าปุ้มไม่ไปดูแลพี่หนึ่งก็จะถูกคนเขาครหา...แป้นต้องขอโทษที่ต้องพูดตรงๆแต่ที่พูดเพราะไม่อยากให้คุณชายต้องเสียหาย ถ้าคำพูดนี้ไปเข้าหูพวกชอบนินทาจะกลายเป็นอาหารปากไปซะ” สุดาตัดสินใจพูดตรงๆทั้งที่กลัวเขาโกรธ
ประสาทพรสะอึก แต่ก็ขอบคุณที่สุดาเตือนสติ เธอโล่งใจที่เขาไม่โกรธ ประสาทพรบอกว่าตนจะโกรธได้อย่างไร ในเมื่อเธอเตือนด้วยความหวังดีแถมชมว่าเธอทำหน้าที่สมกับเป็นผู้ช่วยพิเศษจริงๆ...แต่เขาก็อดรำพึงไม่ได้ว่าถ้าหทัยรัตน์เข้าใจและเห็นใจตนแบบนี้บ้างก็คงจะดี สุดาได้ยินแล้วรู้สึกเศร้าลึกๆ
ไม่ต่างจากหนึ่ง ต่อว่าแม่พิมพ์ที่ไปบอกหทัยรัตน์ทำไม เธอตอบว่าเพราะมีหทัยรัตน์คนเดียวที่ปราบพยศเขาได้จนยอมให้หมอตรวจและทานยา หนึ่งค้านว่าไม่จริง ตนไม่เคยยอมใคร แม่พิมพ์เย้า แล้วเมื่อกี้เรียกว่าอะไรยอมให้หมอตรวจและทานยาไม่เถียงสักคำ หนึ่งยอมจำนนแต่ยังทิฐิเฉไฉไล่แม่พิมพ์ออกจากห้องอ้างตนต้องการนอนพักผ่อน แม่พิมพ์อมยิ้มอย่างรู้ทัน
หทัยรัตน์กลับถึงบ้าน เล่าอาการของหนึ่งให้สุดากับทิพย์ฟัง ทิพย์จึงบอกให้เธอต้มซุปร้อนๆไปให้เขาแต่เช้า สุดาเห็นดีงามเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับแม่จะต้มให้เอง หทัยรัตน์รับคำหน้างอ
แต่พอรุ่งเช้า ส่องแสงโผล่มาหาหนึ่ง ทำทีห่วงใยเขาสุดๆ ถ้าตนไม่โทร.มาคงไม่รู้ว่าเขาป่วย หนึ่งปัดว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ส่องแสงก็ถือโอกาสใส่ไคล้
“นิดหน่อยอะไรคะ ดูสิหน้าซีดไปตั้งเยอะ แล้วพี่หนึ่งป่วยแบบนี้ไม่มีใครมาอยู่ดูแลเหรอคะ...แม่คู่หมั้นของพี่หนึ่งล่ะคะ ทำไมไม่มาดูแลหรือมัวแต่ควงผู้ชายอื่นเพลินจนไม่มีเวลาสนใจคู่หมั้นที่นอนป่วยอยู่ที่นี่ อุ๊ย! ขอโทษนะคะที่ส่องพูดให้พี่หนึ่งไม่สบายใจ แต่ส่องน้อยใจแทนพี่หนึ่งน่ะค่ะ”
หนึ่งเศร้าหมดแรงจะตอบโต้...ในขณะที่หทัยรัตน์ถือกระติกใส่ซุปเข้ามาจัดแจงในครัว แม่พิมพ์เห็นรีบเข้าแย่ง
“เดี๋ยวป้าจัดการให้เองค่ะ คุณปุ้มขึ้นไปหาคุณหนึ่งก่อนนะคะ ป้าเพิ่งให้เด็กยกโจ๊กขึ้นไป รบกวนคุณปุ้มบอกคุณหนึ่งด้วยว่าซุปของคุณแป้นจะรีบตามขึ้นไปอย่าเพิ่งอิ่มเสียก่อน”
หทัยรัตน์อึกอักไม่อยากไป แต่แม่พิมพ์คะยั้นคะยอ...
จวงวางโจ๊กให้หนึ่ง ส่องแสงเสนอตัวป้อนเอง หนึ่งขัดไม่ได้...พอดีหทัยรัตน์เดินมาถึงหน้าประตู เห็นท่าทางส่องแสงป้อนโจ๊กหนึ่งสวีทหวานก็รู้สึกกรุ่นๆในใจ หันหลังเดินกลับ แม่พิมพ์ยกซุปสวนมารีบถามจะไปไหน เธออ้างมีงานด่วนต้องขอตัว แม่พิมพ์เข้ามาในห้องจึงรู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้หทัยรัตน์กลับไปแบบนั้น
“อะแฮ่ม...คุณหนึ่งคะ คุณแป้นฝากซุปเยื่อไผ่มาให้คุณหนึ่งค่ะ ไม่ทราบว่าจะรับประทานเลยหรือเปล่าคะ หรืออิ่มโจ๊กไปแล้ว” แม่พิมพ์ประชดเล็กๆ
หนึ่งถามสุดาฝากใครมา แม่พิมพ์บอกว่าก็คู่หมั้นเขาไง ส่องแสงชักสีหน้า หนึ่งรีบถามว่าหทัยรัตน์อยู่ไหน แม่พิมพ์ตอบน้ำเสียงเคืองๆ
“กลับไปแล้วค่ะ สงสัยคุณปุ้มจะเห็นว่าคุณหนึ่งมีคนดูแลแล้ว ถึงได้รีบกลับไปแบบนี้”
“แหมที่จริงปุ้มไม่น่าคิดมากเลยนะคะ ส่องมาดูแลพี่หนึ่งในฐานะน้องสาวเท่านั้นเอง ทีตัวเองควงกับผู้ชายอื่นไปดูหนัง ฟังเพลง พี่หนึ่งยังไม่เห็นว่าสักคำ”
“ก็เพราะคุณหนึ่งทราบว่าคุณปุ้มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจน่ะสิคะ ถึงได้ไม่ว่า แต่กับผู้หญิงบางคนที่ไม่น่าไว้ใจ มาเกาะแกะพัวพันกับคุณหนึ่ง คุณปุ้มก็น่าคิดมากไม่ใช่เหรอคะ”
ส่องแสงแว้ดถามว่าหมายถึงใคร หนึ่งรีบตัดบทบอกแม่พิมพ์ให้เอาซุปมาให้ตนและขอกินเองโดยไม่ให้ส่องแสงป้อน เธอค้อนปะหลับปะเหลือก วางกระแทกชามโจ๊กลงบนโต๊ะ
ooooooo
นวลพรวดพราดเข้ามาถามพรรณี รู้ข่าวการหมั้นของหนึ่งกับหทัยรัตน์ไหม พรรณีชะงักโกหกว่าไม่เชื่อ นวลถอนใจเพราะตนก็ไม่เชื่อว่าหนึ่งจะหมั้นกับเด็กแบบนั้น แล้วคิดแผนกลบข่าวลือด้วยการจะทำให้ลูกสาวหมั้นกับหนึ่งเสียเอง พรรณีหน้าเสีย หนักใจอย่างมาก
ด้านสัทธามาขออนุญาตสุทธิ์กับทิพย์แต่งงานกับพรรณี ทั้งสองเอ็นดูเธออยู่แล้วจะรีบดำเนินการให้ สุทธิ์ดีใจมากที่ที่บ้านจะมีงานมงคลถึงสองงาน ทิพย์หันมาถามสุดาไม่เห็นพาผู้ชายมาให้พ่อแม่รู้จักบ้างเลย มีใครอยู่ในใจหรือยัง สุดาอึกอักปฏิเสธยังไม่เจอใคร
บ่ายวันนั้น แม่พิมพ์เข้ามาดูหนึ่งเห็นว่าส่องแสงไม่อยู่จึงถามว่ากลับไปแล้วหรือ หนึ่งบอกเธอออกไปซื้อผลไม้เย็นๆจะมาใหม่ แม่พิมพ์บ่นจะกลับมาอีกทำไม หนึ่งสงสัยย้อนถามว่ามีอะไร
“ก็แปลกใจน่ะค่ะ คุณส่องแสงเธอจะเป็นห่วงคุณหนึ่งทำไมนักหนา ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“ก็ยังดีกว่าคนที่เป็นอะไรกันแต่ไม่คิดจะเป็นห่วง มีอย่างที่ไหน เอาของมาให้ถึงที่บ้านแต่ไม่คิดจะมาเจอหน้าทักทายกันสักนิด...ใจดำ” หนึ่งค่อนขอด
ในคืนนั้นมีสี่คนที่ดูท่าจะไม่มีความสุขเอาเสียเลย หทัยรัตน์ว้าวุ่นใจนึกถึงแต่ภาพส่องแสงป้อนข้าวหนึ่งท่าทางสนิทสนม...สุดาได้แต่อ่านจดหมายของประสาทพรเพื่อให้หัวใจชุ่มฉ่ำเพราะรู้ว่าเขาคงไม่สนใจตนแน่...ส่วนหนึ่งนอนไม่หลับ คำพูดของส่องแสงสะกิดใจให้ครุ่นคิดที่หทัยรัตน์เที่ยวควงผู้ชายดูหนังฟังเพลงไม่ไยดีคู่หมั้นอย่างตน...อีกคนคือประสาทพรที่กลัดกลุ้มครุ่นคิดว่าหทัยรัตน์มีใครอยู่ในใจไหม จะรับรักตนหรือไม่...ทุกคนต่างอยากได้คำตอบ
รุ่งเช้า วิทย์กลับมารู้เรื่องหนึ่งไม่สบายก็ตำหนิคนในบ้านที่ไม่ส่งข่าว แม่พิมพ์อธิบายว่าหนึ่งห้ามไว้ ถ้าตนไม่ขัดคำสั่งขอให้หทัยรัตน์มาช่วยคงแย่กว่านี้ วิทย์ถอนใจกับความดื้อของลูกแต่ก็ดีใจที่มีคนปราบได้
“ไอ้เจ้าหนึ่งนี่มันแพ้ทางหนูปุ้มจริงๆนะ”
“แพ้ความน่ารักด้วยมั้งคะ คุณหนึ่งเธอโชคดีนะคะ ที่ได้คุณปุ้มเป็นคู่หมั้น แต่อิฉันไม่แน่ใจว่าจะโชคดีได้มาเป็นภรรยาหรือเปล่า”
“ทำไมแม่พิมพ์คิดแบบนั้นล่ะ”
“คุณท่านก็ทราบดีนี่คะว่ามีผู้ชายมารุมล้อมสนใจคุณปุ้มตั้งมากมาย คุณหนึ่งเธอก็เนื้อหอมมีสาวๆมาติดตั้งหลายคน ถ้าไม่รีบจัดการแต่งงานให้เรียบร้อย อะไรที่ว่าแน่ก็อาจจะไม่แน่”
“นั่นสินะ ฉันก็ใจเย็นไป เห็นทีคงจะต้องหาเวลาไปคุยกับคุณสุทธิ์และคุณทิพย์เรื่องงานแต่งงานของหนึ่งกับปุ้มให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที”
เผอิญส่องแสงมาถึงแอบได้ยิน ยืนตัวสั่นด้วยความอิจฉาริษยา...กลับบ้านขว้างปาข้าวของที่เตรียมไปให้หนึ่งทิ้ง สีสุกงงว่าลูกสาวเป็นอะไร ส่องแสงโวยหมั่นไส้แม่พิมพ์ที่ยุวิทย์ให้รีบจัดงานแต่งงานหนึ่งกับหทัยรัตน์ สีสุกตกใจตบอกผาง มีสิทธิ์อะไรมายุแยง
“ก็นั่นน่ะสิคะ เป็นแค่คนใช้ทำสาระแนไม่เข้าท่า ชูหางนังปุ้มจนน่าหมั่นไส้ คอยดูนะถ้าส่องได้แต่งงานกับพี่หนึ่งเมื่อไหร่ ส่องจะไล่มันออกเป็นคนแรกเลย”
“ตายแล้ว นี่ถ้าคุณพี่จับคุณหนึ่งแต่งงานกับนังปุ้มจริงๆ เราก็แย่นะลูก”
ส่องแสงเต้นผางไม่ยอม ครุ่นคิดจะต้องหาทางขัดขวางให้ได้
ooooooo
สุดาเอาแต่เก็บตัวอ่านจดหมายประสาทพรอยู่บนห้อง สัทธาเปิดประตูผางเข้ามาชวนลงไปทานของว่าง สุดารีบเก็บจดหมายใส่ลิ้นชักทำตัวให้เป็นปกติเดินออกไป สัทธารู้สึกผิดสังเกตมองที่โต๊ะเห็นจดหมายแพลมออกมา จึงดึงลิ้นชักเพื่อจะปิดใหม่ แต่แล้วตกใจกับกองจดหมาย
วันต่อมา ส่องแสงมาถามประสาทพรรู้เรื่องงานแต่งงานของหนึ่งกับหทัยรัตน์หรือยัง เขาตกใจยังไม่มีใครบอก
“ส่องว่าแล้วต้องเป็นการเตรียมการเงียบๆของพวกผู้ใหญ่แน่ๆ”
“ผู้ใหญ่...นี่หมายความว่าหทัยรัตน์กับหนึ่งยังไม่รู้เรื่องเหรอครับ”
“ส่องคิดว่าอย่างนั้นนะคะ ที่ส่องรู้เพราะแอบได้ยินคุณลุงวิทย์กับแม่พิมพ์คุยกัน คุณชายคะ แล้วถ้าการแต่งงานมันต้องเกิดขึ้นจริงๆ คุณชายจะยอมไหมคะ”
ประสาทพรหน้าเศร้าตอบว่าตนไม่มีสิทธิ์อะไร การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนตนคงต้องยินดีด้วย ส่องแสงใส่ไคล้ทันทีว่าสองคนไม่ยินดี เพราะไม่ได้รักกัน
“คุณชายคะ ส่องคิดว่ามันถึงเวลาแล้วนะคะที่คุณชายต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อยับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ครั้งก่อนที่ปุ้มจำเป็นต้องหมั้นกับพี่หนึ่งเพราะไม่มีคุณชายมารับหน้าแทน แต่ตอนนี้คุณชายอยู่ที่นี่แล้วอย่าปล่อยให้ปุ้มต้องจำใจแต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้รักนะคะ คุณชายยังมีโอกาสที่จะเป็นเจ้าบ่าวของปุ้ม แต่ถ้าช้าไปกว่านี้โอกาสดีๆมันอาจจะหลุดลอยไปก็ได้นะคะ”
ประสาทพรคิดหนัก ตัดสินใจมาที่บ้านเพชรลดา เจอแม่พิมพ์บอกว่าวันนี้หนึ่งกลับช้าหน่อย ต้องสะสางงานเพราะลาป่วยไปหลายวัน ประสาทพรจึงถือโอกาสเลียบเคียงถามแม่พิมพ์
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมแม่พิมพ์ถึงได้คุมเด็กๆเก็บกวาดบ้านกันยกใหญ่เลย”
“อ๋อ...ก็เตรียมตัวไว้น่ะค่ะ เพราะไม่นานนี้ที่เพชรลดาอาจจะมีงานใหญ่ค่ะ”
ประสาทพรหวั่นใจถามว่างานอะไร แม่พิมพ์ตอบว่าคุณท่านจะไปเจรจาเรื่องงานแต่งงานหนึ่งกับหทัยรัตน์ ถ้าไม่มีปัญหาก็คงจัดงานเร็วๆนี้ แล้วขอร้องเขาอย่าเพิ่งเอ็ดไป ข่าวนี้ยังเป็นภายในอยู่ ทำให้ประสาทพรรู้สึกว่าเป็นจริงอย่างที่ส่องแสงบอกว่าเจ้าตัวยังไม่รู้เรื่อง
ประสาทพรกลับมาบ้าน หยิบแหวนประจำตระกูลออกมาครุ่นคิด...
ให้บังเอิญนวลไปทำผมที่ร้าน ได้ยินช่างคุยเรื่องข่าวลือการหมั้นของหนึ่งกับเด็กในบ้านเดือนประดับ นวลจะอ้าปากอธิบายก็พอดีมีเสียงลูกค้าที่นั่งทำผมอยู่ชิงตอบ
“โอ๊ย...เรื่องนั้นมีตื้นลึกหนาบาง ถ้าไม่ใช่คนในไม่รู้หรอก”
นวลหูผึ่งเพราะเสียงคุ้นๆ พยายามชะเง้อมองว่าใคร เสียงเธอเม้าท์ต่อว่า หนึ่งขัดใจผู้ใหญ่ไม่ได้ถึงยอมหมั้น เพื่อกลบข่าวลือเสียๆหายๆของหทัยรัตน์ ไม่ได้ชอบพออะไรกัน...นวลอึ้งนึกถึงคำพูดของพรรณีที่บอกว่าไม่เป็นความจริง แต่แล้วต้องปรี๊ดเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า
“ทุกวันนี้คุณหนึ่งนับวันรอที่จะถอนหมั้น เปรยๆให้ลูกส่องใจเย็นๆ อดทนรอน่ะค่ะ”
“ไม่จริง!” นวลลุกพรวดขึ้นมองหน้าคนที่พูด พอเห็นว่าเป็นสีสุกก็ใส่ไม่ยั้ง “คุณอนวัชไม่มีทางทำแบบนั้น ตอนนี้เขากำลังศึกษาดูใจกับพรรณีลูกสาวฉัน”
“ว้าย! ศึกษาดูใจ...กล้าพูดนะ” สีสุกทำเสียงดูถูก
นวลโอ้อวดว่าหนึ่งพาพรรณีไปดูหนังฟังเพลงกินข้าวบ่อยๆ จะไปหมั้นกับใครได้อย่างไร สีสุกเยาะ
“ต๊าย...ไปอยู่ภพไหนมา ถึงไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองควงตาปุ๊ร่อนไปทั้งพระนคร คุณหนึ่งเขาไม่ได้ไปด้วยสักหน่อย แค่เอาชื่อไปอ้างซะมากกว่า”
นวลโกรธตัวสั่น สีสุกย้ำเอาเวลาเก็บค่าแผงไปนั่งจับพิรุธลูกบ้างหูตาจะได้สว่าง นวลปรี๊ดตวาดแว้ด “หุบปากไปเลยนะอีดอกกะทือ แกไม่มีดีพอจะมากดหัวด่าใคร ถือว่าเคยเป็นเมียผู้ดี ผัวตายไปตั้งนานแล้วสมบัติก็ไม่มีเหลือจะให้ผลาญ ที่เดินหน้าบานตามงานสังคมก็เพราะกินบุญเก่า”
“กะ...แก...อีมะม่วงหมาเลีย ต่ำ สถุล กาก” สีสุกด่ากลับ คนในร้านมองตาค้าง
“ถึงต่ำแต่ก็รวยเว้ย เงินฉันก็มีเป็นถุง ทองฉันก็มีเป็นถัง มาซี้...มาด่าแข่งกันดู อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะชนะ”
นวลตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคายกลับ สีสุกได้แต่กรี๊ดๆด่าไม่ถูก
นวลเยาะมาหาว่าลูกตนโกหก ลูกตัวเองวันๆ ไม่ทำงาน ลอยไปลอยมาจับผู้ชาย ด่านังกระเบนกรางหน้าผากไม่อยากเจ็บ...ช่างแปลให้ว่าหน้าด้าน สีสุกแว้ดไม่ต้องมาแปล ออกตัวไม่อยากเอาทองไปรู่กระเบื้องให้เปลืองตัว ตนจะรอหัวเราะถ้าพรรณีท้องป่องขึ้นมา พูดจบคว้ากระเป๋าเดินออกทั้งที่หัวยังม้วนโรลคาอยู่ นวลเจ็บใจตะโกนไล่หลัง...ลูกสาวตนไม่มีวันเป็นอย่างนั้น
ooooooo










