ตอนที่ 8
อัลบั้ม: หนึ่งในทรวง พร้อมลงจอ! ช่อง 3 ดัน ญาญ่า จิ้น เจมส์จิ
รุ่งเช้า หลังฝนตกอากาศสดชื่น เสียงรถแล่นเข้ามาในบ้านพักศรีราชา พรรณีเคาะประตูเรียกหทัยรัตน์ เธอเดินออกมาด้วยใบหน้าอิดโรย พรรณีบอกว่ารถหนึ่งเปลี่ยนยางเรียบร้อยแล้ว หทัยรัตน์จะเดินไป พรรณีเรียกเพื่อนไว้ด้วยรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องพี่นิจและเรื่องคุณแม่ คำขอโทษของฉันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรให้มันดีขึ้น แต่ฉันอยากให้เธอรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ดีจนบางครั้งฉันคิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ”
หทัยรัตน์เข้าจับมือ “ณี...อย่าคิดแบบนั้น เราสองคนไม่ได้มีใครดีไปกว่าใคร เราต่างมีหน้าที่ มีสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในบทบาทอะไร อยากให้ณีจำไว้ว่าเรายังเป็นเพื่อนกันเสมอ มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
พรรณียิ้มทั้งน้ำตากุมมือเพื่อนขอบคุณ...พรรณีเดินมาส่งหทัยรัตน์ขึ้นรถหนึ่ง ตัวเธอจะนั่งไปกับชมคนขับรถ แล้วเจอกันที่โรงพยาบาล หนึ่งกระซิบไม่รับปากว่าหทัยรัตน์จะเข้าไปเยี่ยมพินิจหรือเปล่า พรรณีพยักหน้าเข้าใจและตัวเธอก็จะไม่บังคับเพื่อนอีก แต่พอหทัยรัตน์บอกว่าจะไปนั่งรถพรรณี หนึ่งก็เสียงเขียว “ไม่ได้...เธอมากับฉันก็ต้องไปกับฉัน”
หทัยรัตน์มองหน้าพึมพำ ทำนอง...ก็บังคับอยู่ดี
พอถึงโรงพยาบาลพรรณีเดินตามชมเข้าไป หนึ่งหันมองหทัยรัตน์ถามไม่ลงจริงหรือ...เธอนั่งนิ่งไม่ตอบ หนึ่งถอนใจรีบเดินตามพรรณี สีหน้าหทัยรัตน์เครียดเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ
ไม่นานรถนวลแล่นมาจอด เธอได้รับการแจ้งจากชมว่าพินิจอาการหนักอยู่โรงพยาบาลศรีราชา เธอเดินบ่นทำไมพรรณีต้องรอเพื่อน เพื่อนเป็นใคร สำคัญอย่างไร... หทัยรัตน์มองมาเห็นนวล ก็ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับชีวิตตนอีกเลย นวลเดินจะผ่านอยู่แล้วเห็นรถพรรณีก็ชะงักแวะเข้าไปดูว่ามีใครอยู่ในรถไหม ทันใดสายตาเหลือบไปเห็นหทัยรัตน์นั่งอยู่ในรถหนึ่ง เธอปรี๊ดขึ้นมาทันทีตรงดิ่งไปหา ตวาดลั่น
“แกมาทำอะไรที่นี่หะ แกแอบมาหาตานิจใช่ไหม ลงมานี่เลย ลงมา...ฉันบอกให้ลงมา”
หทัยรัตน์ทำตัวไม่ถูกนั่งนิ่งไม่ยอมลงจากรถ พอดีชมเดินออกมาจากตึกเพราะหนึ่งให้มาดูแลหทัยรัตน์เห็นเธอกำลังโดนนวลโวยวายก็ตกใจรีบกลับเข้าไปบอกหนึ่ง... นวลเปิดประตูรถกระชากหทัยรัตน์ลงมาด่าเสียงดัง “นี่แกนัดพรรณีวางแผนแอบมาหาตานิจลับหลังฉันใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้วางแผนอะไรเลยนะคะ”
“ไม่ได้วางแผนแล้วแสล็นมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไงแกมันนังตัวซวย ตานิจอยู่ใกล้แกไม่นานอาการทรุดปางตาย แก...แกมันนังตัวกาลกิณี ใจหล่อนทำด้วยอะไรทำไมถึงเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้” เสียงนวลดังจนทำให้ผู้คนหันมองด้วยความสนใจ
หทัยรัตน์โต้เสียงสั่น “ก่อนที่คุณจะต่อว่าคนอื่น กรุณาตรวจสอบก่อนว่าความจริงคืออะไร ฉันขอย้ำฉันไม่ได้อยากมาหาลูกชายคุณ และฉันไม่ต้องการอะไรจากใครทั้งนั้น”
“หน็อย...ไม่ต้องมาทำพูดจาให้ตัวเองดูดี ถ้าหล่อนไม่อยากได้ใคร่มี จะตามมาเสนอตัวถึงโรงพยาบาลทำไม คนป่วยคนไข้ยังไม่เว้นไม่ต้องมาทำบีบน้ำตา มารยาหล่อนทำอะไรฉันไม่ได้”
หทัยรัตน์ตัวสั่นน้ำตาร่วง...ชมวิ่งมาบอกพรรณีกับหนึ่งว่านวลกำลังอาละวาดยกใหญ่ หนึ่งตกใจรีบวิ่งออกไปด้วยความเป็นห่วงหทัยรัตน์ ได้ยินเสียงนวลด่าว่า
“ถ้าหล่อนไม่ได้อยากยุ่งกับตานิจ แล้วถ่อมาถึงที่นี่ทำไม มาเฝ้าตั้งแต่เช้าแบบนี้ คงจะออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืนล่ะสิ ผู้หญิงดีๆที่ไหนออกจากบ้านค่ำมืดดึกดื่นเพื่อจะมาเจอผู้ชาย”
“พอได้แล้วค่ะ ฉันจะไม่ยอมให้คุณยืนด่าฉันอีกแล้ว ถ้าคุณยังไม่หยุดฟัง ฉันจะไม่พูดกับคุณอีก”
“ฉันไม่ฟัง เพราะคำพูดหล่อนไม่มีค่าพอที่ฉันจะหยุดฟัง คำพูดที่เต็มไปด้วยจริตมารยา ฉันจะฟังทำไม” หทัยรัตน์แค้นใจจะกลับขึ้นรถ นวลปรี๊ด “นี่หล่อนกล้าดียังไงมาหันหลังใส่ฉัน นังเด็กไม่มีมารยาทหันมาเดี๋ยวนี้ กลับมาคุยกับฉันให้รู้เรื่อง” นวลกระชากหทัยรัตน์อย่างแรง
หทัยรัตน์พยายามยื้อไม่ต้องการคุยกับคนที่พูดไม่รู้เรื่องอีก นวลยิ่งโกรธร้องกรี๊ด...หาว่าหทัยรัตน์ด่า จึงจิกด่านังเด็กกำพร้า นังเด็กไม่มีพ่อแม่ และเงื้อมือจะตบต่อหน้าผู้คนที่มุงดู นวลเหวี่ยงเธอลงไปกองกับพื้นและตามจะไปตบตี ไม่คาดคิดหนึ่งโผเข้ามากอดปกป้องหทัยรัตน์ ฝ่ามือนวลฟาดเข้าตัวเขาอย่างแรงเสียงคนรอบข้างร้องวี้ดว้าย...หทัยรัตน์ตกใจมองหน้าหนึ่ง
นวลเองก็ตกใจบอกหนึ่งให้หลบ พรรณีตามมาถึงดึงนวลไว้เรียกชมให้มาช่วย หนึ่งประคองหทัยรัตน์อย่างอ่อนโยนพาไปขึ้นรถ นวลโวยวายไล่หลังลั่น
“ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อย ฉันจะสั่งสอนมัน มันทำให้ตานิจต้องเป็นแบบนี้ ฉันจะตบมันนังปุ้ม นังหน้าด้าน แน่จริงอย่าไปสิ กลับมาสิโว้ย...ฉันบอกให้กลับมา...”
ooooooo
รถหนึ่งแล่นออกจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว หทัยรัตน์นั่งร้องไห้มองออกนอกหน้าต่างไม่มองหน้าหนึ่งแม้แต่นิดเดียว หนึ่งทนไม่ได้จอดรถข้างทาง หยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้ หทัยรัตน์ปรายตามองกล่าวเสียงแข็งว่าไม่ต้องการ
“ฉันรู้ว่าเธอโกรธฉัน แต่ถ้าเธอไม่ดื้อจนเกินไป ตามฉันขึ้นไปเยี่ยมพินิจที่ห้องพัก คุณน้าก็อาจจะไม่เห็น เธอก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้”
หทัยรัตน์หันขวับมาระเบิดอารมณ์ “เพราะคุณเป็นคนคิดแบบนี้ มองทุกอย่างจากตัวเอง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น...ถ้าฉันขึ้นไปเยี่ยมพี่พินิจ เท่ากับฉันเป็นไปตามคำดูถูกของคุณนายนวล ฉันจะมีหน้าไปบอกใครเขาได้ว่าฉันไม่อยากมาในเมื่อเสนอหน้าขึ้นไปหาเขาถึงห้องพัก ใครจะเชื่อว่าฉันโดนบังคับฝืนใจให้มา โดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ”
หทัยรัตน์พรั่งพรูความในใจน้ำตาไหลพรากต่อว่าเขาทำทุกอย่าง พูดทุกอย่างเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะเขาคือหนึ่งอนวัช ผู้ไม่เคยผิด ไม่เคยแพ้ ไม่มีใครกล้าทำอะไร “แต่ฉันไม่ใช่ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่จะต้องรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว”
หนึ่งจ๋อยได้แต่นิ่งเงียบอย่างรู้สึกผิด หทัยรัตน์ปาดน้ำตาเบือนหน้าหันหลังให้เขา...
ด้านพรรณีโดนนวลลากขึ้นมาบนห้องคนไข้ ทั้งหยิกทั้งตีหาว่าไปหลอกหนึ่งให้พาหทัยรัตน์มา พินิจขยับตัวตื่นเรียกหาหทัยรัตน์ ถามพรรณีว่าหทัยรัตน์อยู่ไหน พรรณีถลาเข้าเกาะขอบเตียง พินิจถามซ้ำหทัยรัตน์อยู่ไหน นวลแทบกรี๊ด
“หยุดเลยนะพ่อนิจ จะไปถามถึงมันทำไม ไม่ต้องเจอแม่ไม่ให้เจอ แม่ไล่มันกลับไปแล้ว”
พรรณีสุดทนตวาด “เงียบก่อนได้ไหมคะคุณแม่ ขอณีคุยกับพี่นิจก่อนได้ไหมคะ”
นวลสะอึกลมแทบจับที่ลูกสาวกล้าตวาด...พรรณีบอกพินิจว่าหทัยรัตน์มาจริงๆแต่เขาหลับอยู่ตอนนี้กลับไปแล้ว สีหน้าซีดเซียวของพินิจดีใจ “ปุ้มมาเยี่ยมพี่จริงๆ ณีไม่ได้โกหกพี่นะ”
“ค่ะ...ณีไม่ได้โกหกค่ะ ปุ้มมาหาพี่นิจจริงๆค่ะ” พรรณีกุมมือพินิจน้ำตาคลอ
“แค่พี่รู้ว่าเขามาหาพี่...พี่ก็พอใจแล้ว แค่นี้...พี่ก็พอ...แล้ว...พอแล้ว...” เสียงพินิจอ่อนลง หลับตายิ้ม ลมหายใจเฮือกสุดท้ายลอยออกจากร่าง มือพินิจหลุดร่วงจากมือพรรณี
“พี่นิจ...พี่นิจ!” พรรณีร้องไห้โฮ
นวลตกใจเข้าจับตัวลูกชายร้องไห้โฮ พรรณีวิ่งออกไปเรียกหมอ พยาบาลมาช่วยดูพินิจ
ooooooo
ในบ้านเดือนประดับ วิทย์มาแต่เจ็ดโมงเช้านั่งคุยกับสุทธิ์และทิพย์หน้าเครียด สัทธากับสุดาชะเง้อมองหน้าบ้านอย่างกังวล เสียงรถหนึ่งแล่นเข้ามา ทั้งสองดีใจรีบรายงานผู้ใหญ่
วิทย์ให้สุดาไปตามหนึ่งเข้ามาบอกว่าตนรออยู่ ทิพย์รีบขอร้องวิทย์อย่าเพิ่งต่อว่าหนึ่งอาจมีความจำเป็นบางอย่างที่เขาทำแบบนี้
“พี่ไม่เห็นว่าเขาจะมีความจำเป็นอะไร นี่ดีนะที่เป็นเธอสองคน ถ้าปุ้มเป็นลูกเป็นหลานบ้านอื่น แล้วไอ้เจ้าหนึ่งไปทำแบบนี้ พี่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“แต่หนึ่งอาจจะเห็นว่าปุ้มไม่ใช่คนอื่นก็ได้นะครับ”
“ปุ้มไม่ใช่แป้นนะสุทธิ์ ถ้าเราพูดกันตามความจริง หนึ่งกับปุ้มก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย อีกคนเป็นหนุ่มอีกคนเป็นสาว ยังไงพี่ก็เห็นว่าไม่ถูกต้อง”
สุทธิ์ทิพย์ สัทธามองหน้ากันทำตาปริบๆ...หน้าบ้าน หทัยรัตน์ลงจากรถได้รีบเดินเข้าบ้าน หนึ่งตามมาจับมือถามจะไม่พูดอะไรกับตนเลยหรือ เธอสะบัดมือออก
“คุณต้องการให้ดิฉันพูดอะไรอีก ในเมื่อคุณเป็นคนชนะทุกอย่าง คุณต้องการพาดิฉันไปหาคุณพินิจ คุณก็ทำสำเร็จ แล้วคุณจะมาสนใจอะไรกับคำพูดของฉัน”
“ที่ฉันพาเธอไปเพราะคิดว่าคงจะกลับไม่เกินสี่ทุ่ม ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ฉัน...ฉันเสียใจ”
“คุณควรจะพูดว่า...สะใจ หรือสมใจ มันถึงจะถูก” หทัยรัตน์สวน
หนึ่งหน้าเสียอยากจะอธิบาย แต่หทัยรัตน์ไม่ต้องการฟังกลับบอกว่านอกจากชัยชนะที่เขาได้แล้ว เขายังทำให้ตนเกลียดเขามากขึ้น...ว่าแล้วก็วิ่งเข้าบ้านสวนกับสุดา หทัยรัตน์รีบบอกว่าขอตัว สุดาหันมองหนึ่งงงๆ ก่อนจะบอกเขาว่าวิทย์รออยู่ในห้องรับแขก หนึ่งชะงัก
เมื่อหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องรับแขก วิทย์ถามเสียงเข้มว่าไปไหนมา หนึ่งบอกว่าไปบ้านพักพินิจที่ศรีราชา หนึ่งอธิบายความหวังดีของตัวเองให้ทุกคนฟัง ด้านสุดาเคาะประตูถามหทัยรัตน์เป็นอย่างไรบ้าง เธอตอบมาว่าปวดหัวขอนอนพักสักครู่ สุดาจึงบอกอย่างห่วงใยว่าต้องการอะไรเรียกตนได้ หทัยรัตน์นอนน้ำตาไหลแค้นระคนเสียใจ
สุทธิ์ฟังเรื่องจากหนึ่งแล้วเข้าใจว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ทิพย์เองก็คิดเช่นนั้น หนึ่งกราบขอบพระคุณแต่วิทย์ยังไม่สบายใจตำหนิ
“แกน่ะมันรนหาเรื่องแท้ๆ ทั้งหมดที่เล่ามามันไม่ใช่เรื่องอะไรของแกสักหน่อย ถึงอาสองคนจะเข้าใจแต่ชาวบ้านล่ะเขาจะคิดยังไง จู่ๆก็หายไปด้วยกันทั้งวัน ทั้งคืน ตัวแกอาจจะไม่เสียหาย แต่ปุ้มเขาเป็นผู้หญิงแกคิดหรือเปล่าว่าเขาจะเป็นยังไงบ้างจากการกระทำของแก”
หนึ่งจ๋อยเสียใจและยอมรับผิดทุกอย่าง วิทย์ให้จำคำพูดไว้ ไม่ช้าเร็วคงต้องรับผิดชอบแน่ สัทธาฟังเรื่องที่หนึ่งเล่าแล้วนึกห่วงพรรณี จึงตามออกมาคุยกับหนึ่งหน้าบ้าน ถามอาการพินิจเป็นอย่างไรบ้าง หนึ่งตอบว่าตอนไปเยี่ยมก็อาการหนักเอาการ
“ฉันห่วงทั้งพรรณีทั้งพินิจ ณีเขารักพี่ชายมาก ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ฉันจะพยายามติดต่อพรรณีให้ได้ ถ้าได้ข่าวแล้วจะบอก” สัทธาหน้าเครียด
ooooooo
คืนนั้น พรรณีกลับมาบ้านเพื่อเตรียมงานศพพินิจ เธอเก็บของเขาไปร้องไห้เสียใจไปเพราะจากนี้คงหว้าเหว่เดียวดายอย่างมาก
รุ่งเช้า พรรณีโทร.แจ้งข่าวการตายของพินิจแก่สัทธา เขาแสดงความเสียใจแล้วไปบอกหทัยรัตน์กับสุดา ว่าวันนี้จะมีการรดน้ำศพ หทัยรัตน์รู้สึกเศร้าเสียใจฝากสุดารดน้ำศพแทนตนด้วยเพราะตนคงไม่ไปงานนี้
พอหนึ่งรู้เรื่องการจากไปของพินิจ ก็เอาจดหมายพินิจมาอ่าน คิดถึงด้วยความอาลัย...ตกเย็น หนึ่งไปร่วมงาน เขาเห็นนวลนั่งร้องไห้ไม่สนใจใครทั้งนั้น ข้างๆมีจำปากับจำปีนั่งน้ำตานองหน้าเป็นเพื่อน จึงเดินไปแสดงความเสียใจกับพรรณี...สัทธานั่งมองนวล ทั้งสงสารและไม่เข้าใจ ในความคิดโลกแคบของว่าที่แม่ยาย
เสร็จงานหนึ่งติงสัทธาว่าหทัยรัตน์ใจร้ายจริงๆ งานศพก็ไม่ยอมมา สัทธาหันมาบอกเพื่อน
“ไม่มานั่นแหละดีแล้ว ถ้ามาก็คงโดนคุณนายนวลด่าต่อหน้าคนอื่น...คุณนายนวลเคยบุกมาด่าปุ้มถึงเดือนประดับมาแล้ว และยื่นคำขาดไม่ให้ยุ่งวุ่นวายหรือติดต่อกับพินิจ เพราะอย่างนี้ปุ้มมันถึงต้องใจแข็งไม่ไปเยี่ยม”
“ที่หทัยรัตน์ไม่ได้ไปเยี่ยมพินิจเพราะคุณน้าสั่งห้ามไว้เหรอ ฉันคิดว่าเขาไม่มาเยี่ยมเพราะรังเกียจ”
“ปุ้มต่างหากที่โดนรังเกียจ วันที่มาด่าปุ้มฉันได้ยินเองกับหู ไม่ใช่ด่าธรรมดา ทั้งด่าทั้งดูถูก ฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังทนฟังแทบไม่ได้เลย สมแล้วที่ยัยปุ้มไม่อยากจะไปยุ่งกับลูกชายแก”
หนึ่งแทบช็อกปะติดปะต่อเรื่องราวที่ผ่านๆมา... คำพูดที่หทัยรัตน์พูดกับพรรณีที่บ้านพักศรีราชา และตอนเธอระเบิดอารมณ์ในรถ หนึ่งเริ่มเข้าใจเธอ รู้สึกผิดมากขึ้นไปด้วย
ooooooo
เช้าวันใหม่ หทัยรัตน์ใส่บาตรหน้าบ้าน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่พินิจ...ทางบ้านพิเศษกุล สีสุกกำลังเล่าให้ส่องแสงฟังว่าตนไปเลียบเคียงถามคนรับใช้บ้านเดือนประดับและบ้านเพชรลดามาแล้วได้ความว่า
หนึ่งกับหทัยรัตน์หายไปด้วยกันทั้งคืนจริงๆ ส่องแสงกรี๊ด
“นังปุ้ม! มันไปกับพี่หนึ่งทั้งคืน มันจะเกินไปแล้ว มันกล้าทำถึงขนาดนี้ เรายอมไม่ได้นะคะคุณแม่...ส่องไม่ยอม”
วันต่อมาสองแม่ลูกบุกมาบ้านเดือนประดับ หทัยรัตน์นั่งอ่านหนังสืออยู่ เงยหน้ามารู้สึกถึงรังสีอำมหิตตรงหน้า ไม่ทันทักทายส่องแสงก็ใส่ไม่ยั้ง
“เธอนี่ช่างเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญชาญชัยจริงๆนะ ทำเรื่องน่าอับอายไว้แล้วยังมานั่งประจานตัวเองอยู่หน้าบ้าน ไม่รู้สึกรู้สาอะไร”
หทัยรัตน์ยืดตัวขึ้นตอบ “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องอาย”
“แล้วที่หายไปกับผู้ชายทั้งคืนน่ะ ยังเรียกว่าไม่ได้ทำอะไรผิดอีกเหรอ หรือว่าแค่คืนเดียวเลยยังไม่พอจะทำให้เธอรู้สึกอาย”
หทัยรัตน์สะอึก ไม่เพียงแค่นั้น สีสุกเสริมต่อ “ลูกส่องอย่าเอาตัวเองมาเป็นมาตรฐานวัดคนอื่นแบบนี้สิคะ ลูกน่ะหน้าบาง ผู้ดีอย่างเราผิดนิดผิดหน่อยก็อายจะแย่ แต่ผู้หญิงบางคนสะกดคำว่าอายไม่เป็น ต่อให้ทำเท่าไหร่มันก็ไม่อาย แบบที่เราเรียกว่า...ไร้ยางอายไงคะลูก”
ส่องแสงตอกย้ำหาว่าหทัยรัตน์ใจถึงอยากให้หนึ่งสนใจถึงขนาดเอาตัวเข้าแลก เพราะตัวเองไม่มีอะไรนอกจากตัว...หทัยรัตน์ทนไม่ไหวตอกกลับเสียงนุ่มนวล
“แต่มันก็ดีกว่าผู้หญิงบางคนทั้งเสนอหน้าและเสนอตัวแต่ผู้ชายเขาก็ไม่เอา”
ส่องแสงเต้นผางชี้หน้าว่า...ว่าใคร สีสุกช่วยแก้ต่าง ลูกสาวตนไม่ต้องออกไปเสนอตัวที่ไหนเพราะมีแต่คนมารอรับถึงบ้านหัวกระไดไม่แห้ง หทัยรัตน์แย้งตนไม่ได้เอ่ยชื่อใครทำไมต้องร้อนตัว และอีกอย่างตนก็ไม่ได้เสนอตัวไปกับหนึ่ง แต่เขาบังคับขู่เข็ญให้ไป ส่องแสงปรี๊ดกรี๊ดกระจาย
“ไม่จริง...ฉันไม่เชื่อ...แกโกหก”
“จะเป็นเรื่องโกหกหรือเรื่องจริง คุณส่องแสงไปถามคุณอนวัชเอาเองนะคะ เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น มีแต่ฉันกับคุณอนวัชเท่านั้นที่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” พูดจบหทัยรัตน์เดินไป
ส่องแสงกับสีสุกแค้นสุดๆด่าไล่หลัง ว่าจองหอง หน้าด้าน ทำปากดีอยากรู้นักว่าถ้าชาวบ้านรู้เรื่องนี้จะลอยหน้าอยู่อย่างนี้ได้ไหม...สองแม่ลูกคิดแผนร้าย
ส่องแสงวางแผนยืมมือชุลี โดยเล่าเรื่องหทัยรัตน์ไปค้างอ้างแรมกับหนึ่งทั้งคืน หวังให้เขามาสู่ขอแต่ผ่านมาหลายวันก็ไม่มีอะไรคืบคลาน เพื่อให้ชุลีกระจายข่าวให้คนดูถูกเหยียดหยามหทัยรัตน์ทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะคติของเธอคือ...คนล้มต้องข้าม สองสาวหัวเราะชอบใจ
จากนั้นชุลีก็เอาเรื่องนี้มาเล่าสู่เพื่อนอีกกลุ่ม ข่าวกระจายเข้าไปในตลาด ร้านทำผม ร้านตัดเสื้อ ปากต่อปากกันไปเรื่อย จนมาเข้าหูทิพย์ที่ไปทำผม...แม่พิมพ์ที่มาจ่ายตลาดและสุดาที่ไปร้านเสื้อ แม้แต่หทัยรัตน์เองก็ต้องเดินหนีเมื่อได้ยินคนพูดเรื่องของตนในทางเสียหาย
แม่พิมพ์รีบรายงานวิทย์ว่าคนทั้งตลาดพูดถึงหทัยรัตน์เสียๆหายๆ วิทย์ครุ่นคิด ถึงเวลาที่หนึ่งจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้แล้ว...พอหนึ่งกลับมา วิทย์จึงถามหนึ่งว่า มีผู้หญิงที่เขาสนใจบ้างหรือยัง หนึ่งตอบว่ามีแค่เป็นเพื่อนเป็นน้องเท่านั้น
“ก็ถ้าหนึ่งยังไม่มีใครเป็นพิเศษ พ่อจะหมั้นผู้หญิงให้”
หนึ่งตกใจหน้าเสีย วิทย์เน้นว่าเป็นคนที่เขาทำให้ชื่อเสียงเธอเสียหาย หนึ่งตาโพลงหัวใจเต้นแรง “หทัยรัตน์!”
“ใช่ ตอนนี้เรื่องหนึ่งกับปุ้มน่ะบานปลายไปใหญ่ ใครต่อใครเขาก็พูดถึงปุ้มเสียๆหายๆ ถ้าเราไม่รับผิดชอบ ปุ้มเขาจะต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต พ่อเลยคิดว่าการหมั้นของหนึ่งจะทำให้ข่าวไม่ดีพวกนี้เงียบลงได้... ตกลงว่าจะขัดข้องไหมถ้าพ่อจะหมั้นหมายปุ้มให้หนึ่ง”
“ผมเคยเรียนคุณพ่อแล้วว่าผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และผมยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง” หนึ่งเก็บความตื่นเต้นดีใจไว้ภายใต้แววตาที่รู้สึกผิด
ooooooo
เมื่อหทัยรัตน์รู้เรื่องวิทย์มาขอหมั้นตนให้หนึ่ง ให้เวลาคิดสามวัน ก็รีบตอบทิพย์ทันทีว่าไม่ต้องรอสามวัน ตนตอบได้เลยว่าไม่ตกลง สุดาท้วงให้ค่อยๆคิดก่อน
“ปุ้มคิดดีแล้วค่ะพี่แป้น ปุ้มทนไม่ได้หรอกค่ะที่จะให้ใครต่อใครมาหัวเราะเยาะหาว่าปุ้มถือโอกาสผูกมัดคุณอนวัชด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ”
“แต่เรื่องนี้ไม่เล็กนะปุ้ม ใครๆเขาก็พูดกันทั้งนั้น ปล่อยไว้ปุ้มจะเสียชื่อเปล่าๆ” ทิพย์ค้าน
“แต่ความจริงมันไม่ใช่นี่คะ คุณอนวัชไม่ได้ล่วงเกินปุ้ม ยังไงปุ้มก็ไม่รับหมั้นค่ะ”
ทิพย์อ่อนใจ สรุปว่าให้หทัยรัตน์ไปคิดดูอีกที...พอสุดาเล่าเรื่องนี้ให้สัทธาฟัง เขาหัวเราะก๊าก สุดาแปลกใจทำไมต้องหัวเราะ
“อ้าว...ก็พี่สะใจน่ะสิ นี่ถ้าไอ้พวกปากหอยปากปูมันรู้ว่าเพราะคำพูดของพวกมัน ทำให้คุณลุงตัดสินใจยกขันหมากมาหมั้นไอ้ปุ้ม คงจะหัวเราะกันไม่ออก”...
จริงอย่างที่สัทธาคิด ส่องแสงกับสีสุกลั้ลลาสะใจกับข่าวเสียหายของหทัยรัตน์ โดยยังไม่รู้ข่าวการหมั้น...หนึ่งร้อนใจอยากรู้คำตอบของหทัยรัตน์เหลือเกิน แม่พิมพ์ยุให้ไปถามเธอที่บ้าน ระหว่างนั้นสุดาเอากล่องขนาดแหวนมาวางให้หทัยรัตน์ลอง เพื่อไปปรับขนาดแหวนหมั้น เธอมองแล้วคิดถึงคำถากถางของส่องแสงที่หาว่าใจถึงเอาตัวเข้าแลก ทำให้เครียด เศร้าสะเทือนใจ
ไม่ทันไรแหววเข้ามาบอกว่าหนึ่งรอพบที่สวนหน้าบ้านมีธุระสำคัญมาก ถ้าไม่ลงไปพบจะขึ้นมาหาเอง หทัยรัตน์ชักสีหน้าที่เขารู้ทัน
เมื่อเผชิญหน้ากับหนึ่ง เขาอยากถามคำตอบแต่ด้วยทิฐิที่วางไม่ลงทำให้พูดไปว่า “ฉันมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอไม่ต้องการให้เธอเสียชื่อ ฉันยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้เธอพ้นคำครหา”
“ขอบคุณคุณอนวัชมากนะคะที่มีน้ำใจกับดิฉัน แต่ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะรับหมั้นคุณเพียงเพราะต้องการเอาตัวรอดจากการโดนนินทา คุณไม่จำเป็นต้องเสียสละเพื่อดิฉันมากขนาดนั้น เก็บโอกาสของคุณไว้หมั้นและแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันเถอะค่ะ”
หนึ่งกำลังยิ้มอย่างมีชัยต้องหุบยิ้มย้อนถาม
“เธอหมายความว่า...”
“ดิฉันไม่รับหมั้นคุณ...”
ระหว่างนั้นสัทธาเดินหาหทัยรัตน์ พอแหววบอกว่าคุยกับหนึ่งอยู่ในสวนก็แปลกใจ...หนึ่งกำลังข้องใจถามหทัยรัตน์ทำไมไม่รับหมั้นตน เธอตอบเชิดว่าไม่ต้องการให้คนอื่นมาดูถูกว่าฉวยโอกาสผูกมัดเขา หนึ่งแย้งถ้าเธอไม่รับหมั้นก็โดนดูถูกเหมือนกัน
“เรื่องนั้นดิฉันทนได้และมั่นใจว่าในอนาคต เมื่อ คุณหรือดิฉันแต่งงานกับคนอื่น จะทำให้ทุกคนลืมเรื่องนี้ไปเอง”
“แต่งงานกับคนอื่น! พูดเหมือนมีเป้าหมายอยู่ในใจ...ใคร”
“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คุณ” หทัยรัตน์ตอบหนักแน่น
หนึ่งโกรธคิดเอาชนะทันที “ผู้หญิงอย่างเธอไม่มี สิทธิ์ปฏิเสธฉัน คำว่า...ไม่ใช่ฉัน ต่อให้เธอย้ำเป็นล้านครั้ง ฉันก็ไม่สนใจ เพราะสุดท้ายเธอต้องรับหมั้นฉันและแต่งงานกับฉันเท่านั้น”
“ดิฉันไม่เข้าใจ ทำไมคุณต้องบังคับให้ฉันรับหมั้นคุณด้วย ทั้งๆที่คุณก็คงไม่อยากหมั้นกับดิฉันแล้วจะบังคับฉันทำไม...ตอบมาสิคะว่าทำไม” หทัยรัตน์รุกให้หนึ่งตอบ
หนึ่งโดนคาดคั้น ด้วยแรงทิฐิทำให้โพล่งออกไปว่า “เพราะฉันต้องการเอาชนะเธอ...”
หทัยรัตน์หน้าตึง หนึ่งสะอึกอยากถอนคำพูดแต่มันสายเกินไป หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าคุณต้องการหมั้นเพียงเพราะต้องการเอาชนะฉัน คุณเตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ได้เลย เพราะฉันไม่มีวันหมั้นกับคุณ” พูดจบหทัยรัตน์เดินกลับเข้าบ้าน
หนึ่งเสียใจกับคำพูดด้วยอารมณ์ของตน อยากรั้งเธอไว้ให้ฟังคำพูดใหม่แต่ก็ทำไม่ได้ เดินคอตกกลับไปขึ้นรถ...สัทธาวิ่งออกมาไม่ทัน รู้ว่าทั้งสองต้องทะเลาะกันอีกแน่ๆ ไม่ทันไรเสียงส่องแสงดังแสบหู “พี่ปุ๊...เมื่อกี้พี่หนึ่งมาที่นี่ใช่ไหมคะ แล้วพี่หนึ่งมาหาใคร มาทำไมคะ”
สัทธามองเซ็งๆ ตอบกวนๆ “คำตอบที่ 1 ใช่หนึ่งมาที่นี่ คำตอบที่ 2 หนึ่งมาหาปุ้ม คำตอบที่ 3 หนึ่งคงจะมาคุยกับปุ้มเรื่องงานหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้”
“อ๋อ หา! เมื่อกี้พี่ปุ๊พูดว่าพี่หนึ่งมาคุยกับปุ้มเรื่องอะไรนะคะ” ส่องแสงพยักหน้าแล้วชะงัก
สัทธาเน้นว่าเรื่องงานหมั้น ส่องแสงถามตะกุกตะกักว่างานหมั้นของใครกับใคร เขาเยาะ
“งานหมั้นของหนึ่งกับปุ้มไงจ๊ะ หรือจะให้พี่หมั้นกับเจ้าหนึ่ง...ฟ้าผ่าแน่”
“งานหมั้นของพี่หนึ่งกับนังปุ้ม...ไม่จริง...กรี๊ด...” ส่องแสงแผดเสียงลั่น
สัทธาต้องเอามืออุดหู บอกถ้าไม่เชื่อก็ให้ไปถามลุงวิทย์ เพราะท่านเป็นคนมาขอหมั้น ส่องแสงแว้ด ทำไมต้องขอหมั้นหทัยรัตน์ สัทธาได้ทีถากถางเยาะเย้ย
“เรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณพวกผู้หญิงขี้อิจฉาที่ปากอยู่ไม่สุข ชอบเอาเรื่องของปุ้มกับหนึ่งไปพูดเสียๆหายๆ
คุณลุงไม่อยากให้ปุ้มต้องอับอายขายขี้หน้าเลยมาขอหมั้นเพื่อสยบข่าวลือทั้งหมด”
ส่องแสงช็อก สัทธาสนุกปากย้ำผู้หญิงปากบอนพวกนั้นคงหน้าหงายไปเป็นแถว ถ้ารู้ว่าคำพูดมั่วๆทำให้ทั้งสองลงเอยกันด้วยดี...พูดจบสัทธาเดินยิ้มเข้าบ้าน
ส่องแสงยืนอึ้งไม่อยากเชื่อ
ooooooo
หนึ่งกลับมาครุ่นคิดถึงคำพูดของหทัยรัตน์ ยอมไม่ได้ที่เธอจะไม่รับหมั้น จะต้องทำให้เธอรับหมั้นให้ได้ ต้องหาคนช่วย แล้วหนึ่งก็นึกถึงหน้าแต่ละคน ตั้งแต่ พ่อ ทิพย์ สุทธิ์ แม่พิมพ์ กรกนก สัทธาและสุดา...แล้วก็มาปิ๊งที่หน้าสุดา คนนี้แหละที่จะช่วยได้
หนึ่งนัดสุดาออกมาพบที่ร้านอาหาร ทำทีว่าตนเห็นดีที่จะแก้ปัญหาด้วยการหมั้นกับหทัยรัตน์ แต่เกรงว่าเธอจะไม่ยอม จึงอยากให้สุดาช่วยพูด โดยเอาผู้ใหญ่มาเป็นข้ออ้าง
รุ่งเช้า สุดาจับเข่าคุยกับหทัยรัตน์ทันที หทัยรัตน์ยืนกรานจะไม่รับหมั้นหนึ่ง สุดาจึงให้คิดถึงหน้าผู้ใหญ่ ทั้งวิทย์และพ่อกับแม่ตนบ้าง เพราะพวกท่านได้รับผล
กระทบกับคำนินทานั้นด้วย...เมื่อวางบอมบ์ไว้แล้ว สุดาก็มาสอนหนังสือกรกนกที่บ้านเพชรลดา กรกนกบอกข่าวดีว่าเดือนนี้อาจเป็นเดือนสุดท้ายที่ได้เรียนหนังสือที่นี่ เพราะประสาทพรกำลังจะกลับมา สุดานึกได้ยังไม่ได้รายงานเรื่องการหมั้นของหทัยรัตน์ให้เขาทราบเลย
หทัยรัตน์ครุ่นคิดถึงคำพูดของสุดา พอดีเห็นสีสุกกับส่องแสงมาคุยกับทิพย์ จึงย่องมาแอบฟัง สีสุกพยายามชี้ให้ทิพย์เห็นว่า ใครต่อใครลือกันว่าทิพย์กับหลานรวมหัวกันขุดหลุมดักหนึ่ง ตนกับลูกช่วยกันชี้แจงว่าไม่จริงก็ไม่มีใครฟัง ทิพย์กล่าวยิ้มๆ
“ขอบคุณมากนะจ๊ะที่อุตส่าห์ไปเถียงกับพวกมนุษย์ปากเสีย...ที่ชอบด่าว่าคนอื่นเสียๆหายๆ แต่เรื่องของตัวเองกลับเอาฝังดินไม่พูดถึง”
สองแม่ลูกสะท้าน ส่องแสงกลบเกลื่อน “แหมแต่ปุ้มเขาก็หายไปกับพี่หนึ่งทั้งคืน คนอื่นเขาก็มีสิทธิ์คิดอกุศลแบบนั้นนะคะ”
“ข้อนี้ป้าก็เข้าใจ เราเอาความจริงยันกับคำพูดชาวบ้านไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณพี่วิทย์ถึงต้องมาขอหมั้นแม่ปุ้ม เอางานหมั้นสยบข่าวลือ”
สีสุกรีบถามว่าตอบตกลงไปหรือยัง ทิพย์บอกว่าวิทย์จะมาฟังคำตอบพรุ่งนี้แล้วแกล้งถามกลับถ้าเป็นเธอจะตอบอย่างไร สีสุกจีบปากจีบคอเสนอแนะทันที
“อุ๊ย...ถ้าฉันเป็นคุณทิพย์นะ ฉันตอบไปเลยว่า...ไม่ตกลง เพราะถ้าตกลงก็เท่ากับยอมรับว่าเราขุดหลุมดักไว้จริงๆ เราน่ะเป็นฝ่ายหญิงมีแต่เสียกับเสีย ยังไงก็ไม่ยอมรับหมั้นเป็นอันขาด”
หทัยรัตน์ซึ่งแอบอยู่ตั้งใจฟังทิพย์แย้ง “แต่ดิฉันคิดตรงข้ามกับคุณสีสุกนะคะ ในเมื่อไหนๆเราถูกกล่าวหาแล้ว เราก็ควรจะดักเอาไว้จริงๆ จะได้ไม่อับอายขายหน้าซ้ำสองว่าคว้าน้ำเหลว ให้ชาวบ้านสมน้ำหน้าว่าขุดหลุมแล้วก็ยังพลาด”
สีสุกกับส่องแสงมองหน้ากัน พยายามค้านว่ามันน่าอาย แต่ทิพย์กลับบอกว่าอายทำไม ในเมื่อตนไม่ได้เอาหลานสาวไปเร่ขาย แต่ฝ่ายชายเสนอมา เราก็แค่ตอบรับ ยิ่งไปกว่านั้น การรับหมั้นครั้งนี้ก็เท่ากับได้ตอกหน้าพวกปากอยู่ไม่สุขที่รอกระทืบซ้ำถ้าเราล้ม การตอบรับเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของเรา สมศักดิ์ศรีที่สุดแล้ว
สีสุกกับส่องแสงแทบนั่งไม่ติด ร้อนรนทั้งตาทั้งใจแต่พูดไม่ออก หทัยรัตน์ยืนแอบฟังคิดตามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
ด้านสุดามาสอนหนังสือกรกนกที่บ้านเพชรลดา หนึ่งดักถามว่าคุยกับหทัยรัตน์ให้หรือยัง เธอบอกว่าพูดตามคำของหนึ่งทุกคำ แต่ไม่รู้จะคิดอย่างไรเห็นเงียบๆ หนึ่งคิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ไปฟังคำตอบอ้างมีงานต้องสะสางให้พ่อไปฟังคนเดียว สุดารู้ว่าหนึ่งกังวลแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
ooooooo
คืนนั้นหทัยรัตน์ครุ่นคิดถึงคำพูดของสีสุกกับส่องแสง และความคิดเห็นของสุดากับทิพย์ ทำให้เครียดกับการตัดสินใจในครั้งนี้ จนต้องอธิษฐานขอให้พ่อกับแม่ช่วยให้ตนคิดถูก
รุ่งเช้าวิทย์มาฟังคำตอบ หทัยรัตน์เครียดแต่ก็ตัดสินใจไม่ทำให้เดือนประดับมัวหมอง...หนึ่งรอฟัง
คำตอบที่บ้าน พอวิทย์กลับมาบอกว่า หทัยรัตน์ตอบตกลงก็ดีใจสุดๆ พอรู้ตัวรีบวางฟอร์มว่าดีใจที่แก้ปัญหาได้หมด แม่พิมพ์รู้ทันเย้าว่าแค่นั้นแน่หรือ หนึ่งแอบค้อน แม่พิมพ์หันมาถามวิทย์ได้ฤกษ์หมั้นหรือยัง
“ได้แล้ว วันอังคารหน้า ปุ้มเขาอยากให้จัดแบบเงียบๆกันเอง เราก็คงจะไม่ต้องเตรียมอะไรมาก เราล่ะหมั้นอาทิตย์หน้าเตรียมตัวทันไหม”
หนึ่งตอบทันควันว่าทัน ไม่มีปัญหา แต่พอเห็นสายตาแม่พิมพ์ที่มองยิ้มๆก็ทำทีบอกว่าแค่อยากให้มันจบไปเร็วๆ แล้วปั้นหน้านิ่งแต่ในใจลิงโลดสุดๆ
ต่างกับสองแม่ลูก สีสุกกับส่องแสงที่แค้นใจ หาว่าทิพย์ต้องการเอาหลานใส่พานถวายหนึ่งอยู่แล้ว น่าหมั่นไส้จริงๆ ตอนนี้เป็นทีของพวกเขา ต่อไปจะเป็นทีของตนบ้างตนจะหัวเราะให้ดังกว่า คิดถึงขั้นเมื่อหมั้นได้ก็ต้องถอนหมั้นได้เช่นกัน ตนไม่มีวันยอมแพ้
วันต่อมา หนึ่งมาหาหทัยรัตน์ เธอทำท่าหมางเมินไม่ยินดียินร้าย หนึ่งติง “คนกำลังจะเป็นคู่หมั้นกัน พูดจาให้มันดีๆหน่อย ไม่ใช่ทำตัวห่างเหินเหมือนคนไม่คุ้นเคย”
“คนที่กำลังจะหมั้น เพราะความจำเป็นและความจำใจ คงจะฝืนทำตัวให้สนิทสนมได้มากที่สุดเท่านี้”
หนึ่งสะอึกเจ็บจี๊ดในใจตอกกลับ “ไม่ต้องย้ำว่าเธอหมั้นกับฉันเพราะความจำเป็นและจำใจ เพราะฉันเองก็หมั้นกับเธอเพราะ...”
“เพราะต้องการเอาชนะ” หนึ่งพูดไม่ทันจบหทัยรัตน์แทรก หนึ่งเจ็บแต่ฝืนทำเป็นยิ้มรับ
“จำได้ก็ดี ฉันเองก็ไม่อยากให้เธอคิดไปเป็นเหตุผลอื่น”
“คนอย่างฉันไม่เคยคิดเองเออเองอยู่แล้ว ฉันคิดตามสิ่งที่เห็นและสิ่งที่เป็น เราสองคนไม่ได้รักกัน การหมั้นครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรัก ถ้าคุณจะมาเพียงเพื่อตอกย้ำในจุดนี้ ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจำได้ขึ้นใจ ฉันขอตัวก่อนนะคะมีธุระต้องทำอีกมาก” หทัยรัตน์จะเดินไป
หนึ่งโพล่งขึ้น “หทัยรัตน์! ถึงฉันจะเป็นผู้ชนะ ทำให้เธอยอมรับหมั้นฉัน แต่ฉันก็จะทำหน้าที่คู่หมั้นของเธอให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าเธอต้องการอะไรบอกมาได้เลย ฉันพร้อมจะทำให้ทุกอย่าง”
หทัยรัตน์ชะงักหันมองหนึ่งรู้สึกถึงความจริงใจ แต่เธอกลับตอบนิ่งๆ “ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันไม่ต้องการอะไร นอกจากรีบจัดการงานหมั้นให้จบเร็วที่สุด เพื่อความสบายใจของทุกคน และฉันจะกลับไปใช้ชีวิตของฉันตามปกติ นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันต้องการ”
หนึ่งรู้สึกจุกกับคำพูดของหทัยรัตน์อย่างบอกไม่ถูก มองเธอเดินเข้าบ้านอย่างไม่ไยดี
ooooooo
ประสาทพรได้รับจดหมายจากหทัยรัตน์เขาดีใจมากรีบเปิดอ่าน อดน้อยใจไม่ได้ที่เธอพูดถึงแต่เรื่องการเรียนของกรกนก แต่ก็อบอุ่นใจ...ด้านสุดา ลงมือจะเขียนจดหมายหาประสาทพร แต่แล้วก็ไม่กล้าบอกเรื่องหมั้นของหนึ่งกับหทัยรัตน์กลัวเขาจะเสียใจ
ก่อนวันงาน หทัยรัตน์ถูกจับลองแต่งหน้าแต่งตัวราวกับตุ๊กตา ส่วนหนึ่งเลือกชุดที่จะใส่อย่างตั้งอกตั้งใจ สัทธากับสุดาดูแลการจัดงาน วิทย์ควบคุมขบวนขันหมากและของหมั้น
ต่างจากบ้านพนัสพงษ์ที่ดูเงียบเหงา พรรณีจัดเตรียมอาหารวางไว้ให้นวลแล้วแต่งตัวจะออกไปข้างนอก จู่ๆนวลก็ขอออกไปด้วย เธอชะงักรีบบอกว่า หนึ่งจะพาไปรู้จักเพื่อนๆถ้าอยากให้ตนสนิทสนมกันมากขึ้นก็ปล่อยให้เราไปกันสองคน นวลจึงยอมทั้งที่ในใจครุ่นคิดบางอย่าง
พอพรรณีออกพ้นบ้าน นวลก็โทร.หาหนึ่ง ถามว่าเขานัดกับพรรณีหรือเปล่า หนึ่งตอบตามที่นัดแนะกันไว้ว่านัดแต่ตนมีงานที่ต้องสะสางจึงไม่ได้ไปรับพรรณี นวลหลงเชื่อฝากเขาดูแลลูกสาวด้วย หนึ่งรับคำวางสายแล้วถอนใจ จะต้องโกหกแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
พรรณีมาตีเทนนิสกับสัทธาอย่างสนุกสนาน แต่พอเขาถามว่าขออนุญาตนวลไปงานหมั้นของหทัยรัตน์หรือยัง เธออึกอักตอบยังไม่กล้า สัทธาเครียด
“ณี ถ้าเรื่องแค่นี้ณียังไม่กล้าบอก แล้วเมื่อไหร่ณีจะกล้าพูดเรื่องของเรา และถ้าณีไม่กล้า สักวันพี่จะพูดเอง พี่จะไม่ยอมหลบๆซ่อนๆแบบนี้อีกแล้ว พี่พร้อมจะทำทุกอย่างให้คุณแม่ณียอมรับพี่ในฐานะลูกเขยให้ได้”
พรรณีน้ำตาคลอมองสัทธาอย่างซาบซึ้งขอบคุณกับความอดทนของเขา...
กลับมาบ้าน สัทธานั่งคุยกับครอบครัวเรื่องงานหมั้นวันพรุ่งนี้ สุดาขอกั้นประตูสุดท้ายกับสัทธา เพราะเขาบอกว่าจะเรียกให้หนัก สุทธิ์เย้าลูกๆว่าอย่าเรียกหนักมาก เดี๋ยวเขายกขันหมากกลับไม่ขอหมั้นน้องสาวเรา หทัยรัตน์ แทรกว่าก็ดี...ทุกคนหันมอง เธอยิ้มแหยๆบอกว่าพูดเล่น ทันใดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สุดาเดินไปรับสายแล้วกลับมาบอกหทัยรัตน์ว่าหนึ่งจะคุยด้วย อดกระเซ้าไม่ได้ว่าอย่าคุยจนดึกเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสายจะไม่สวย หทัยรัตน์ค้อนเล็กๆ
หนึ่งได้ยินเสียงหทัยรัตน์ก็ตื่นเต้นถามดึกแล้วทำไมยังไม่นอน หญิงสาวตื่นเต้นไม่แพ้กันคุมน้ำเสียงเข้มว่ากำลังจะนอน...หนึ่งอึกอักอยากพูดอะไรหลายอย่างแต่พูดไม่ออก เธอจึงตัดบท
“ถ้าจะถามแค่นี้ วางนะคะ”
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่งวาง ที่ฉันโทร.มาก็แค่...เอ่อ...นึกถึงเธอขึ้นมา” หนึ่งไม่กล้าพูดคำว่าคิดถึง
หทัยรัตน์งงว่านึกถึงทำไม หนึ่งตอบเก้อๆว่า นึกถึงว่าเธอมีอะไรจะให้เขาช่วยหรือเปล่า หญิงสาวบอกไม่มี ทุกอย่างคุณลุงคุณป้าจัดการให้หมด หนึ่งน้อยใจที่ถูกตัดบท จึงรวบรัดว่า
“งั้นก็...ไม่มีอะไร แค่นี้นะ” หนึ่งวางสายแล้วพึมพำ...ราตรีสวัสดิ์ หทัยรัตน์
ooooooo
รุ่งเช้า เสียงขบวนขันหมากดังเข้ามาในบ้านเดือนประดับ หน้าบ้านคึกคักไปด้วยประตูเงินประตูทอง ผ่องฉวีกับประสงค์ กรกนกกับแม่โอมาร่วมงานอย่างสนุกสนาน สีสุกมาเพียงลำพัง สัทธาถามทำไมลูกสาวที่รักไม่มาด้วย สีสุกหน้าตึงตอบว่าส่องแสงป่วยมาไม่ไหว
“อ๋อ...สงสัยจะเห็นคนอื่นได้ดีกว่าเลยคิดมากจนปวดหัว...ใจ”
สีสุกเหล่มองด้วยความไม่สบอารมณ์ สัทธาแอบขำคิกคัก...สุดามาดูหทัยรัตน์แต่งตัว ถึงกับตะลึงที่น้องสาวสวยไม่มีที่ติ หทัยรัตน์พยายามเก็บความเขินอาย
หนึ่งกับขบวนขันหมากค่อยๆผ่านด่านประตูเงินประตูทองมาจนถึงประตูสุดท้าย สุดาเข้าห้องไปพาว่าที่เจ้าสาวออกมา หนึ่งถึงกับตาค้างกับความสวยสง่าของหทัยรัตน์ จนเธอเข้ามานั่งข้างๆเขาก็ยังไม่วางตา เสียงเถ้าแก่บอกให้ว่าที่เจ้าบ่าวสวมแหวน เขาจึงสะดุ้ง
ทุกคนยิ้มปลื้มปีติดูทั้งคู่สวมแหวนให้กันและกัน มีเพียงสีสุกที่ตาเขียวอย่างหมั่นไส้...
ชุลีแวะมาที่บ้านพิเศษกุล เพราะคิดว่าส่องแสงต้องไม่ยอมไปร่วมงานแน่ ส่องแสงเสียงกร้าว จะเสียเวลาไปงานหมั้นจอมปลอมทำไม
“แหม...แต่ข่าววงในเขาว่าคุณวิทย์ให้สินสอดอย่างหนักเลยนะ คงจะไม่ได้หมั้นกันปลอมๆซะละมั้ง”
“ก็...คุณลุงเขาไม่อยากเสียหน้าต่างหาก และอีกอย่างก็คงจะเอาเงินฟาดหัวเป็นค่าเสียหายให้นังปุ้มมันก็เท่านั้น”
“ฉันว่านะ จะให้เพราะอะไรก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้เขาก็หมั้นกันจริงๆ เธอไม่อิจฉาบ้างเหรอส่อง”
“อย่างฉันเนี่ยนะจะอิจฉานังปุ้ม มันเป็นได้ก็แค่คู่หมั้นในนามของพี่หนึ่งเท่านั้น พี่หนึ่งไม่ได้รักมันและอีกไม่นานพี่หนึ่งก็จะถอนหมั้นจากมัน คอยดูก็แล้วกัน” ส่องแสงประกาศก้อง
เสร็จจากพิธีสวมแหวนหมั้น สัทธากับสุดาช่วยกันดันให้หนึ่งกับหทัยรัตน์ถ่ายภาพคู่กันแบบชิดใกล้ ให้กุมมือกัน ให้ว่าที่เจ้าสาวซบอกว่าที่เจ้าบ่าว ทั้งสองใจเต้นรัวตื่นเต้นไม่รู้ตัว สีสุกจิกตาขวาง ภาพคู่ของทั้งสองออกมาสวยในทุกอิริยาบถ
ooooooo
เช้าวันใหม่ หทัยรัตน์แต่งตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นแหวนหมั้นบนนิ้วนางซ้ายของตัวเองแล้วถอนใจ นี่เราหมั้นจริงๆแล้วหรือ...เธอพยายามไม่คิดมาก ทำตัวตามปกติ
สุดาเห็นมีจดหมายจากประสาทพรถึงหทัยรัตน์ จึงเอ่ยถามว่า เล่าเรื่องหมั้นกับหนึ่งให้คุณชายทราบหรือยัง หทัยรัตน์ตอบว่ายังเพราะมัวแต่มีเรื่องยุ่งจนลืม
เรื่องนี้ไปเลย
“พี่คิดว่าปุ้มควรจะบอกคุณชาย ให้คุณชายรู้จากปุ้มเองดีกว่าให้รู้จากข่าว หรือคนอื่นตอนที่มาถึงประเทศไทย อย่างน้อยคุณชายจะได้เตรียมใจไว้บ้าง”
หทัยรัตน์ครุ่นคิดตาม...เปิดจดหมายประสาทพรอ่าน เขาติงน้อยใจที่จดหมายจากเธอไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเขาบ้าง และบอกว่าเขาจวนจะทำภารกิจสำเร็จได้กลับบ้าน ตอนนี้ได้ส่งสัมภาระบางส่วนมาทางเรือบ้างแล้ว เขาตื่นเต้นที่จะได้พบกันเร็วๆนี้
อ่านจบ หทัยรัตน์ตัดสินใจจะเขียนจดหมายไปบอกเรื่องหมั้นแก่ประสาทพร ก็พอดีแหววมาบอกว่าอนวัชให้มาเรียนว่าจะพาไปทำธุระสำคัญ เขารออยู่
หน้าบ้าน...
หน้าร้านขายเครื่องเพชร หทัยรัตน์แปลกใจที่หนึ่งพามาที่นี่ทำไม เขาดึงเธอเข้าไปในร้าน เลือกเครื่องประดับขึ้นมาชุดหนึ่ง เป็นสร้อยคอกับตุ้มหู แล้วถามเธอชอบไหม เธอตอบโดยไม่มองว่าไม่ชอบ...
หนึ่งชักสีหน้าไม่พอใจ หยิบสร้อยมาสวมที่คอเธอ
“อยู่เฉยๆ ยังไม่ได้ลองจะรู้ได้ไงว่าไม่ชอบ” แล้วหนึ่งก็เอาตุ้มหูมาทาบก่อนจะบอกว่าเหมาะกับเธอดี
หทัยรัตน์มองในกระจกรู้ว่ามันเลอค่ามาก จึงบอกว่าไม่เหมาะกับตนเพราะเกินฐานะ หนึ่งบอกตนซื้อให้ เธอจะปฏิเสธแต่เขาหันไปบอกพนักงานว่าตกลงเอาชุดนี้ พนักงานยิ้มรับ
“คุณไม่จำเป็นต้องซื้อให้ดิฉันก็ได้ค่ะ”
“ฉันอยากซื้อให้เพราะเครื่องเพชรชุดนี้คล้ายกับแหวนหมั้นที่ฉันหมั้นเธอ เธอจะได้ใส่คู่กัน” หนึ่งอธิบายไปยิ้มไปอย่างจริงใจ
หทัยรัตน์ถามทำไมต้องซื้อของพวกนี้ให้ หนึ่งตอบเพราะตนเป็นคู่หมั้นเธอ หญิงสาวถามอีก “แล้วทำไมฉันต้องรับของของคุณ”
“เพราะเธอเป็นคู่หมั้นฉัน” หนึ่งตอบกวนๆ
หทัยรัตน์มองหน้าทำนองจะมากวนอะไรกัน หนึ่งแกล้งเมินหน้ามองไปทางอื่นไม่สนใจ
ooooooo










