สมาชิก

หนึ่งในทรวง

ตอนที่ 11

อัลบั้ม: หนึ่งในทรวง พร้อมลงจอ! ช่อง 3 ดัน ญาญ่า จิ้น เจมส์จิ




สร้อยข้อมือทองอร่ามบนข้อมือชุลีทำให้ส่องแสงมองด้วยความอิจฉา พอรู้ว่ารวยเป็นคนซื้อให้ก็ถามทำไมเขาถึงซื้อ ชุลียักไหล่ตอบว่าแค่ตนอยากได้ ส่องแสงไม่อยากเชื่อ ชุลีย้ำ

“ก็ฉันบอกแล้วว่าคุณรวยเขารวยมาก เงินแค่นี้ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอก นี่เขาใช้เวลาตัดสินใจจ่ายเงินให้ฉันเร็วซะยิ่งกว่าฉันหายใจซะอีก”

ส่องแสงถามรวยจีบเธอหรือ ชุลีหัวเราะคิก ถ้าให้ตนเดาคงจะใช่ ไม่คิดว่าจะมีคนมาหลงเสน่ห์แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คราวหน้าจะลองบอกอยากได้สร้อยเผื่อจะได้มาใส่เล่นอีก ส่องแสงเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้...

การที่หนึ่งหายไปไม่อยู่ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ทำให้ส่องแสงแปลกใจถามแม่พิมพ์ก็บอกแต่ว่าไม่ทราบ เธอหงุดหงิดมาเดินดูเครื่องเพชรสวยๆงามๆที่ร้านค้า เห็นแหวนถูกใจหยิบขึ้นมาดูแล้วต้องชะงักวางลงด้วยสนนราคาที่สูงเกิน เผอิญนายรวยผ่านมาเห็นรีบเข้ามาทักทาย เสนอตัวซื้อสร้อยเพชรให้ โดยมีข้อแม้ว่า วันหน้าให้เกียรติทานอาหารกลางวันเป็นการตอบแทน

สีสุกตื่นเต้นเมื่อฟังลูกสาวเล่าถึงที่มาของสร้อย แต่ก็เตือนอย่าให้หนึ่งรู้เรื่องนี้ ส่องแสงโอ้อวด “นังปุ้มมันจัดการตารางผู้ชายเดินเข้าออกแปรขบวนยังกะสวนสนามได้ ส่องก็ทำได้เหมือนกัน”

วันต่อมา ส่องแสงก็ออกไปทานอาหารกับรวยตามที่รับปากไว้ เธอตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของร้านอาหาร รวยแสดงความร่ำรวยสั่งอาหารแพงๆมากมาย จากนั้นก็พาเธอไปเลือกซื้อเสื้อผ้า กระเป๋าหรูหราอีกมากมาย...หทัยรัตน์เดินอยู่ในห้างเดียวกัน เห็นส่องแสงกำลังเลือกซื้อของท่าทางมีความสุขอยู่กับนายรวย ก็แปลกใจ นึกถึงคำพูดของเธอที่ว่า เธอให้เวลาหนึ่งแต่งงานไปแค่สามเดือนแล้วต้องหย่ามาแต่งงานกับเธอ ก็ให้รู้สึกสงสารหนึ่งอย่างมาก...

ตกดึก ส่องแสงยังเริงร่าเต้นรำอยู่ในไนต์คลับกับรวย เธอได้รับดอกไม้และแหวนขอแต่งงาน ส่องแสงชะงักอ้างมันเร็วเกินไปเพิ่งจะรู้จักกัน รวยจึงให้เธอเก็บแหวนไว้ เธอตาวาวรีบบอกว่าจะดูแลแหวนเป็นอย่างดี ถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะสวมแหวนนี้แทนคำตอบ

ตั้งแต่หทัยรัตน์ได้รับจดหมายของหนึ่ง เธอก็หลบหน้าประสาทพรจนเขาอึดอัดใจดักรอถาม แต่เธอกลับตอบว่ายังไม่ได้อ่านจดหมายของหนึ่ง แล้วขอตัวกลับเอง...ประสาทพรกลัดกลุ้มมาปรึกษาสุดาอีกตามเคย เธอก็ปลอบอย่าคิดมาก หทัยรัตน์อาจกำลังสับสนต้องให้เวลาสักพัก

“การรักใครสักคนโดยไม่คาดหวัง เหมือนที่คุณสุดาเคยบอกผม มันไม่ง่ายเลยนะครับ”

สุดายอมรับเพราะรู้ซึ้ง ประสาทพรถามเธอเคยรักใครโดยไม่คาดหวังบ้างไหม เธอรับว่าเคย ประสาทพรตื่นเต้น “ดีจังครับ คุณสุดาเก่งมากๆเลยนะครับที่ทำได้ มีเคล็ดลับยังไง บอกผมได้หรือเปล่าครับ”

“ดิฉันแค่อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ไม่คิดไปไกล ดิฉันจะทำทุกช่วงเวลา ทุกวินาทีที่ได้อยู่กับเขา ให้เป็นช่วงเวลาที่ดีและมีค่าที่สุดเพราะถึงแม้เวลาจะหมดลง เราก็ยังเหลือความทรงจำดีๆที่สวยงามตามติดตัวเราไปตลอดค่ะ” สุดาสบตาประสาทพรเหมือนบอกเป็นนัยๆ แต่เขาพยักหน้ารับโดยไม่รู้ถึงความหมายแฝงแม้แต่น้อย

สัทธาเริ่มทนไม่ไหว เก็บกระเป๋าจะไปหาหนึ่งที่เชียงใหม่ ไปถามให้รู้ความว่าเกิดอะไรขึ้น สุดาเห็นดีด้วยเพราะหทัยรัตน์ไม่ยอมปริปากใดๆ...

เช้าวันใหม่ หนึ่งกำลังโวยวายสั่งบุญเติมออกไปซื้อเหล้ามาอีก สัทธามาถึงสั่งห้าม แล้วหันมาถามเพื่อนทำไมถึงปล่อยตัวจนมีสภาพแบบนี้ หนึ่งยังเมาค้าง
ไม่ตอบอะไร จะกินแต่เหล้า

“แกกับยัยปุ้มเนี่ยพอกันเลย คนนึงก็หนีมาที่นี่ไม่บอกใคร อีกคนก็เป็นใบ้ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ถามอะไรก็ไม่ตอบ ตกลงแกสองคนเป็นอะไรกันแน่ฮะ” สัทธาจี้ถาม

หนึ่งนิ่งอึ้ง สัทธาจึงบอกว่าจะลากตัวเขากลับกรุงเทพฯ ให้ไปเจอกับหทัยรัตน์ ดูสิจะยอมรับกันไหมว่าเกิดอะไรขึ้น หนึ่งโพล่งสวน “แกไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก น้องสาวแกเขาจะลำบากใจเปล่าๆที่ต้องเจอฉัน และอีกอย่างฉันคืนอิสระให้เขาแล้ว”

“แกว่าอะไรนะ!”

“ฉันถอนหมั้นน้องสาวแกแล้ว เพราะคนที่เขารักและต้องการแต่งงานด้วยคือคุณชายประสาทพร ฉันไม่อยากจะขัดขวางความรักของเขา”

“แล้วแกบอกรักปุ้มรึเปล่า”

“หน้าฉันเขายังไม่อยากมอง ความรักของฉันมันไม่มีค่าสำหรับเขาหรอก” หนึ่งยิ้มเยาะตัวเอง สัทธามองอย่างไม่อยากเชื่อ

ooooooo

ด้านประสาทพรเริ่มจะแน่ใจว่าหทัยรัตน์ไม่เคยรักตนเลย เขามองตุ๊กตาสุนัขและแมวที่หนึ่งกับหทัยรัตน์ซื้อให้กรกนกโดยไม่ได้นัดหมาย และกรกนกยังเล่าถึงความห่วงใยของทั้งสอง

“ก็ตอนที่คุณครูจมน้ำ พี่หนึ่งดำน้ำตามหาตัวคุณครูแบบไม่กลัวตายเลยนะคะ แล้วตอนที่พี่หนึ่งแวะมาหาหญิงตอนเรียนหนังสือ คุณครูก็จะตื่นเต้นแล้วก็เขินพี่หนึ่งตลอดเลยค่ะ ถ้าวันไหนไม่มาก็จะคอยมองหาตลอด แต่คุณครูไม่รู้ตัวหรอกค่ะ...หญิงรู้ค่ะ”

ประสาทพรเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด มองตุ๊กตาอย่างเข้าใจแล้วว่าสองคนมีใจตรงกัน...

วันต่อมา ประสาทพรมาถามความคิดเห็นของสุดา เธอตอบตามตรง ถ้าให้คิดในแง่ส่วนตัว ตนเชื่อว่าหนึ่งกับหทัยรัตน์รักกันแต่ยังไม่รู้ตัว ประสาทพรโกรธต่อว่าทำไมถึงไม่บอกแถมยังให้ความหวังตน สุดาแย้ง “คุณชายคะ ดิฉันไม่เคยบอกให้คุณหวัง ตรงกันข้าม ดิฉันคอยบอกไม่ให้คุณชายหวัง จะได้ไม่ต้องทุกข์”

“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมเป็นทุกข์ คุณควรจะบอกความจริงให้ผมรับรู้ ไม่ใช่หลอกให้ผมอยู่ในโลกของความฝันเพราะรู้ความจริงแค่ครึ่งเดียว”

สุดาโต้เขาไม่เคยถามถึงหนึ่ง ถ้าพูดไปเขาก็ต้องไม่เชื่อ ประสาทพรสวนว่าเชื่อ เพราะตนเชื่อเธอทุกเรื่อง เชื่อมากเกินไปจนต้องมาเสียใจแบบนี้ สุดาสะอึกน้ำตาปริ่มที่เป็นต้นเหตุจะขอโทษ เขายกมือห้ามอย่างโกรธๆ บอกมันสายเกินไปแล้ว และต่อไปตนจะไม่ขอให้เธอช่วยอะไรอีก เพราะตนไม่ไว้ใจเธออีกแล้ว...สุดาน้ำตาร่วงอย่างเจ็บปวดใจ

ในคืนเดียวกัน สัทธาออกมาโทรศัพท์ที่ไปรษณีย์ บอกสุดาถึงอาการของหนึ่ง หทัยรัตน์ที่นั่งอยู่ข้างๆเงี่ยหูฟัง เขาบอกว่าหนึ่งหมดสภาพ น้ำท่าไม่อาบ ข้าวปลาไม่กินกินแต่เหล้าจนต้องกำชับเด็กรับใช้ไม่ให้ซื้ออีก แต่ก็ร่ำๆจะออกไปซื้อเอง...สุดาอุทาน หนึ่งเป็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ระหว่างที่สัทธาคุยโทรศัพท์ หนึ่งแอบหยิบกุญแจรถในบ้านย่องออกไป...สุดาแกล้งทวนคำของสัทธาให้หทัยรัตน์ได้ยิน “เหตุผลนี้นี่เอง...แต่แป้นว่ามันก็สมควรแล้วนะคะที่พี่หนึ่งจะเสียใจมากขนาดนี้ เป็นแป้นก็คงจะเสียใจไม่น้อยไปกว่าพี่หนึ่งหรอกค่ะ ไม่รู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุเขาจะรู้ตัวรึเปล่านะคะ...แล้วพี่ปุ๊จะพาตัวพี่หนึ่งกลับมาเมื่อไหร่คะ”

“พี่ก็ไม่รู้เพราะเจ้าตัวไม่ยอมกลับ บอกว่าขอทำใจให้ได้ก่อน ไม่อยากไปเจอตอนนี้แต่พี่ก็เห็นใจไอ้หนึ่งนะ ถ้าเป็นพี่ก็คงจะทำใจลำบาก นี่แป้นพี่ถามหน่อยสิ...แป้นว่าที่ปุ้มบอกหนึ่งว่ารักและต้องการแต่งงานกับคุณชายน่ะ มันเป็นความจริงหรือว่าต้องการประชดกันแน่”

สุดาหันมองหทัยรัตน์ทำนองจะยอมบอกหรือ...พอสัทธากลับมาที่บ้านพัก ก็รู้ว่าหนึ่งแอบขับรถออกไปทั้งที่ใกล้ค่ำแล้ว เขารู้สึกเป็นห่วงมาก

หทัยรัตน์ครุ่นคิดถึงคำพูดของสุดา ที่ว่าหนึ่งกลายเป็นแบบนี้เพราะตน และตนก็รู้แก่ใจว่าจะช่วยหนึ่งอย่างไร ถ้าคิดว่าจะช่วยก็ไม่ควรปล่อยให้นานไปกว่านี้...หทัยรัตน์หยิบแหวนหมั้นออกมาดูและคิดถึงหนึ่ง แต่ก็สับสนกับคำพูดของส่องแสง แล้วภาพส่องแสงเดินควงผู้ชายในห้างสรรพสินค้าก็ผุดขึ้น ทำให้ทั้งห่วงและสงสารหนึ่ง

ในขณะที่หนึ่งออกมานั่งดื่มอยู่ร้านเหล้าจนเมามาย สัทธาและบุญเติมออกตามหา...หนึ่งขับรถกลับทั้งที่เมา จนเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งตกข้างทาง ขณะเดียวกัน หทัยรัตน์หลับฝันเห็นไฟรถสิบล้อส่องเข้ามาก็สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้น แหวนหมั้นในมือตกกระเด็นไปใต้เตียง

บุญเติมขี่จักรยานส่องไฟฉายไปตามทาง จะมุ่งหน้าไปดูตามร้านเหล้า ก็มาเจอรถหนึ่งตกข้างทางก็ตกใจมาก...ไม่นานสัทธารีบตามไปที่โรงพยาบาลและส่งข่าวบอกสุดา สุดามาเคาะประตูปลุกหทัยรัตน์ เพื่อบอกข่าวหนึ่ง เธอถึงกับช็อกเซทรุดนั่ง

พอสุทธิ์รู้ข่าวก็ส่งข่าวบอกวิทย์ วิทย์ตัดสินใจมานั่งรอฟังข่าวที่เดือนประดับอย่างกังวลใจ สุดาคอยบีบมือหทัยรัตน์ให้กำลังใจ แม้เธอจะยังปากแข็งว่าไม่เป็นอะไร

ooooooo

หลังจากหมอตรวจอาการหนึ่งและแจ้งแก่สัทธา เขาก็รีบโทร.บอกที่บ้านว่าหนึ่งพ้นขีดอันตรายแล้วแต่อาการยังหนัก มีอะไรคืบหน้าจะโทร.มาใหม่ หทัยรัตน์หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด

สัทธาอยู่เฝ้าหนึ่งในห้องพักให้บุญเติมกลับไปดูแลบ้าน พอหนึ่งฟื้นสัทธาก็ต่อว่า โตเป็นกระบือแล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ถ้าเป็นอะไรไปคุณลุงจะเสียใจแค่ไหน หนึ่งเสียงอ่อย

“แกจะด่าให้ฉันเสียใจตายไปเลยหรือไง”

“ถ้าแกตายไปจริงๆ ฉันจะไปจัดการกับยัยปุ้ม โทษฐานเป็นต้นเหตุทำให้แกต้องตาย”

หนึ่งแย้งหทัยรัตน์ไม่เกี่ยวมันเป็นความผิดตนเอง สัทธาสวน หทัยรัตน์ผิด ผิดที่ปากแข็งอวดดื้อถือดีไม่ยอมรับความจริงจนทำให้เขาเกือบตาย ถึงเวลาที่ตนต้องสั่งสอนน้องให้หลาบจำ หนึ่งถามจะทำอะไร สัทธาตอบว่าตนมีแผนที่เขาต้องช่วย...

ไม่นานหนึ่งอยู่ในสภาพขาเข้าเฝือก ใบหน้ามีผ้าพันแผลทำนองหน้ามีแผลฉกรรจ์ หนึ่งโวยวายน่ารำคาญ สัทธาเอ็ด “แกต้องฝึกไว้ให้มันชิน เพราะตอนนี้แกกำลังอยู่ในอาการโคม่าจะตายไม่ตายแหล่ แกต้องทำเป็นอาการหนักปางตายเคลื่อนไหวไม่ได้หายใจขัด พอยัยปุ้มมามันจะได้ตกใจ ยิ่งแกดูทรมานใกล้ตายมากเท่าไหร่ยิ่งดี”

หนึ่งแย้งตนไม่ใช่นักแสดง สัทธาให้ประสงค์แนะนำ ว่าคนโคม่าควรทำตัวอย่างไร และเขาต้องอยู่ในสภาพนี้จนกว่าหทัยรัตน์จะสารภาพความในใจออกมา

ทางกรุงเทพฯ สุทธิ์กับทิพย์จะไปเยี่ยมหนึ่งพร้อมวิทย์ หทัยรัตน์ลังเลทั้งที่ในใจร้อนรนอยากไปดูแลหนึ่ง สุดาจึงยุให้ไปก่อน แล้วตนลางานได้จะตามไปอยู่เป็นเพื่อน

หทัยรัตน์เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า นึกได้พยายามค้นหาแหวนหมั้นที่ทำหล่น สุดามาเห็นก็รีบกลบเกลื่อนว่าไม่มีอะไร สุดารู้ถึงแผนการของพี่ชายดีจึงแสดงอาการเศร้า พูดถึงหนึ่งให้ดูน่าสงสารสุดๆ และแกล้งเน้นว่าไม่ใช่ความผิดหทัยรัตน์ ยิ่งทำให้หทัยรัตน์รู้สึกผิดมากขึ้น

พอทุกคนเดินทางไปแล้ว สุดาก็รีบโทร.บอกสัทธา แล้วถามว่าไม่กลัวหทัยรัตน์โกรธหรือ สัทธาตอบ “โกรธก็ช่างปะไร พี่อยากให้มันโกรธ โกรธมากยิ่งดี หมั่นไส้จริงๆ ทำเป็นปากแข็งอยู่ได้ คอยดูคราวนี้มันจะได้เจอดี พี่เตรียมการเรียบร้อยแล้วพี่ให้คุณหมอประสงค์รีบมาช่วยอีกแรง รับรองงานนี้สนุกแน่ ตกลงแป้นช่วยพี่ตามที่คุยกันไว้แล้วกัน” สุดารับคำแต่อดหวั่นใจไม่ได้ สัทธาฝากอีกเรื่องคือให้สุดาพาพรรณีไปลองชุดแต่งงานแทนตนด้วย

ในขณะที่ประสงค์หนักใจเกรงจะเป็นการโกหกผิดจรรยาบรรณที่ร่วมมือกับหนึ่ง สัทธารับรองจะระมัดระวังไม่ให้เขาหมดความน่าเชื่อถือ อีกเหตุผลที่ประสงค์ยอมร่วมมือเพราะ

“ภรรยาผมเขามีลางสังหรณ์แม่นนะครับ เขาบอกผมว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณปุ้มและคุณหนึ่งแน่ๆ ก่อนมาผ่องเขายังกำชับให้ผมช่วยให้สำเร็จ ไม่สำเร็จเมียไม่ให้กลับบ้าน”

ทั้งสามหัวเราะกันครืน...หนึ่งออกตัวถ้าเกิดเรื่องตนจะโทษสัทธาเพียงคนเดียว

ooooooo

สีสุกแวะมาที่บ้านเดือนประดับ รู้จากสาวใช้ว่าหทัยรัตน์ไปเชียงใหม่ ก็มาโวยวายถามสุดาว่าหทัยรัตน์เสนอหน้าไปหาหนึ่งใช่ไหม สุดาจึงบอกว่าไปกับสุทธิ์และทิพย์ ไปเยี่ยมหนึ่ง สีสุกตาโตรีบถามหนึ่งเป็นอะไร พอรู้เรื่องอุบัติเหตุของหนึ่งก็รีบกลับมาจะบอกส่องแสง

ปรากฏว่าสาวใช้รายงาน ส่องแสงไปศรีราชากับเพื่อนชื่อรวย สีสุกตกใจ...รวยพาส่องแสงมาบ้านพักริมทะเลและบอกเธอว่าจะยกบ้านนี้ให้เธอเอาไว้เป็นบ้านพักตากอากาศ ส่องแสงซ่อนความตื่นเต้นออกตัวยังไม่ได้รับปากว่าจะแต่งงานกับเขา รวยทำทีบอกว่าไม่ต้องห่วงเพราะบ้านนี้ตั้งใจซื้อให้ถึงจะไม่ได้แต่งงานกัน ส่องแสงตาโตทำท่าเอียงอายเกรงใจ

ระหว่างที่สุดาไปกับพรรณีก็ได้เล่าเรื่องแผนการของสัทธาให้ฟัง พรรณีชอบใจภาวนาขอให้สำเร็จแล้วหันมาถามสุดาบ้าง “ณีเห็นแป้นเป็นห่วงเรื่องความรักของคนอื่นมาตลอดเลย แล้วแป้นไม่มีความรักหรือคนรักเหมือนคนอื่นเขาเหรอ”

สุดาชะงักแอบเศร้านิดๆ พรรณีย้ำ อย่ามัวแต่แก้ปัญหาของคนอื่น จนไม่มีเวลาแก้ปัญหาของตัวเอง สุดาปฏิเสธยังไม่มีเวลาหาคนรักเลย พรรณีไม่อยากเชื่อ...

ขณะเดียวกัน ประสาทพรไม่มีกระจิตกระใจจะอ่านหนังสือหรือทำอะไร เพราะมักจะมีภาพสุดาทำโน่นนี่ให้ผุดขึ้นในสมอง เขารู้สึกผิดที่พูดรุนแรงกับเธอ แต่ด้วยทิฐิจึงไม่ไปขอโทษ

ooooooo

ระหว่างที่สัทธารอทุกคนเดินทางมา หนึ่งเกิดอาการคันขาจนถอดเฝือกออกนั่งเกาคะเยอ พอสัทธาเห็นทุกคนมาถึงก็เข้ามาเตือนหนึ่งให้เตรียมพร้อม เห็นเขาถอดเฝือกก็เอ็ดและเร่งให้ใส่โดยเร็ว ขยับผ้าพันแผลบนใบหน้าให้เข้าที่เข้าทาง

หทัยรัตน์เปิดประตูให้วิทย์ สุทธิ์และทิพย์เข้าไปในห้องคนไข้ พอเห็นสภาพหนึ่งนอนซมก็อดสงสารและห่วงใยไม่ได้...ประสงค์อธิบายถึงอาการของหนึ่งให้ทุกคนฟัง

“นอกจากขาข้างขวาของคุณอนวัชที่เรายังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง เพราะต้องรอให้แผลผ่าตัดแห้งกว่านี้อีกสักวันสองวัน ถึงจะให้คุณอนวัชลองเดินดู ตอนนั้นเราถึงจะรู้ว่าขาใช้การได้ตามปกติหรือเปล่าน่ะครับ”

วิทย์เอ่ยถามถ้าเดินไม่ได้แปลว่าอะไร ประสงค์ตอบว่า จะเดินไม่ได้ตลอดไป ทุกคนตกใจ ทิพย์ถามถึงแผลที่หน้าหนึ่ง ประสงค์ลำบากใจแต่ต้องโกหกไปว่า “นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมจะบอกให้ทราบ จากการชนทำให้คุณอนวัชมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ใบหน้า ถึงแม้แผลจะหายแล้วแต่จะเหลือแผลเป็นขนาดใหญ่ประมาณเกือบครึ่งใบหน้า...จะทำให้คุณอนวัชหน้าตาไม่เหมือนเดิม”

“พูดง่ายๆก็คือหนึ่งอาจจะทั้งพิการและเสียโฉมนั่นเองครับ” สัทธาย้ำให้เข้าใจง่าย

ทุกคนตกใจ หทัยรัตน์หน้าเสียสงสารหนึ่งจับใจ หนึ่งทำทีหลับอยู่ สัทธาจึงจะพาผู้ใหญ่ไปพักผ่อนและรับประทานอาหารก่อน หทัยรัตน์ขออยู่ดูแลหนึ่ง สัทธาแอบยิ้มกระซิบกับเธอว่า

“ปุ้ม...ถึงแม้ว่าการที่หนึ่งมาที่นี่เพราะปุ้ม และกินเหล้าหนักจนเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ก็เพราะปุ้ม แต่พี่ไม่อยากให้ปุ้มคิดมาก เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มันไม่เกี่ยวกับปุ้ม มันเป็นเพราะไอ้หนึ่งทำใจไม่ได้เอง...ปุ้มอย่าโทษตัวเองนะ”

หทัยรัตน์รู้สึกผิดเต็มๆ นั่งเฝ้าหนึ่งสักพัก หนึ่งทำเป็นรู้สึกตัวร้องขอน้ำ พอหทัยรัตน์เอาน้ำมาป้อนเขาก็พึมพำขอบคุณสัทธา แต่พอลืมตามาเห็นเป็นเธอก็ตกใจ “นี่ฉันฝันไปใช่ไหม!”

หทัยรัตน์บอกไม่ได้ฝันตนมาพร้อมคุณลุงคุณป้า อีกสักพักพวกท่านก็กลับมา หนึ่งตัดพ้อ “พวกเขาคงบังคับให้เธออยู่ดูแลฉันล่ะสิ ถ้าเธอลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะเพราะฉันจ้างพยาบาลพิเศษ มีอะไรฉันเรียกพยาบาลได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันไม่รู้สึกว่ามันลำบากอะไรและก็ไม่มีใครบังคับให้ฉันดูแลคุณ แต่ถ้าคุณรังเกียจไม่อยากให้ฉันอยู่ ดิฉันจะไปก็ได้นะคะ” หทัยรัตน์ทำท่าจะลุก

“อย่าไปนะหทัยรัตน์...ฉันไม่มีวันจะรังเกียจเธอ ถ้าเธออยู่ด้วยความสมัครใจก็อยู่ต่อเถอะนะ” หทัยรัตน์เห็นแววตาอ้อนวอนของเขาก็นั่งลง หนึ่งโล่งใจถามเธอเจอกับหมอหรือยัง

หทัยรัตน์พยักหน้า หนึ่งเล่นบทบาทเศร้า ถามเธอคงรู้แล้วว่าตนต้องเสียโฉมและพิการ หทัยรัตน์รีบปลอบว่าเขามีโอกาสจะกลับมาเดินได้ หนึ่งแค่นหัวเราะ ถึงเดินได้แต่ก็หน้าตาอัปลักษณ์ตลอดชีวิต หทัยรัตน์สงสารเขาจับใจ

ช่วงเย็น พยาบาลเอายาแก้ปวดมาให้ หทัยรัตน์จึงป้อนยาแก่หนึ่ง เพราะเขาร้องครวญครางว่าปวดขา หนึ่งเห็นว่าเธอยอมปรนนิบัติจึงเอ่ยถาม “เธอได้รับจดหมายที่ฉันฝากประสาทพรไว้แล้วใช่ไหม...งั้นเธอก็คงจะรู้แล้วว่า ทำไมฉันถึงได้หนีเธอมาที่นี่”

“ดิฉันไม่ทราบค่ะ เพราะว่ายังไม่ได้อ่าน” หทัยรัตน์โกหกไปดื้อๆ

“ทำไมไม่อ่าน มันเป็นข่าวดีนะ เธออ่านแล้วจะได้ดีใจ...แล้วคุณชายไม่อยากรู้เหรอว่าจดหมายของฉันเขียนว่าอะไร”

“ดิฉันไม่ทราบค่ะ ไม่ได้ถามคุณชาย”

“แล้วที่เธอมาดูแลฉันแบบนี้ คุณชายรู้รึเปล่า”

หทัยรัตน์โบ้ยว่าให้สุดาเป็นคนไปบอก หนึ่งจะถามอีกเธอตัดบท อย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่นเลย มาสนใจดูแลสุขภาพ ทำใจให้สบายจะดีกว่า หนึ่งจึงถามว่าเธอจะอยู่ดูแลนานแค่ไหน

“จนกว่าคุณจะหาย...”

“แล้วถ้าฉันไม่มีวันหายล่ะ”

หทัยรัตน์นิ่งอึ้งตอบไม่ได้...ขณะเดียวกัน สัทธายกธูปเทียนขอขมาพ่อแม่และวิทย์ ที่สร้างเรื่องโกหกนี้ขึ้นมา เพียงหวังจะให้หทัยรัตน์ยอมรับออกมาว่ารักหนึ่ง วิทย์หัวเราะร่า ทิพย์เอ็ดกับความคิดพิเรนทร์ของลูก สุทธิ์โล่งใจไม่มีอะไรต้องห่วงตอนเย็น หทัยรัตน์ป้อนอาหารหนึ่งจนหมด เขานอนสำออยเรียกร้องความสนใจสุดๆ พอเธอกำลังเก็บถาดอาหาร หนึ่งก็เอ่ยถาม “วันนั้นที่เธอเห็นส่องแสงป้อนอาหารให้ฉัน ทำไมเธอถึงได้กลับไปโดยไม่เข้ามาหาฉัน เธอไม่พอใจอะไรรึเปล่า”

“เปล่านี่คะ...”

“เธอ...หึงฉันเหรอ” หนึ่งโพล่งขึ้น หทัยรัตน์ปฏิเสธพัลวัน “ไม่หึงแล้วทำไมต้องทำเหมือนไม่พอใจแล้วรีบกลับไปแบบนั้น”

“ดิฉันไม่ได้ไม่พอใจ แต่ฉันเห็นคุณกำลังมีความสุขก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ”

“ฉันไม่เชื่อ”

“ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ” หทัยรัตน์เสียงเข้ม

“อย่าดุนักสิ ฉันกำลังป่วยอยู่นะ ดุแบบนี้เดี๋ยวก็ตกใจไม่หายกันพอดี หรือเธออยากเห็นฉันตรอมใจจะได้ตายเร็วๆ โอย...โอย...” หนึ่งครวญครางปวดขา

“ขอโทษค่ะ ก็คุณอยากพูดกวนฉันก่อนนี่”

หทัยรัตน์อ่อนลง“ฉันไม่กวนเธอแล้วก็ได้ เข้ามาใกล้ๆฉันหน่อยสิ ฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะถาม”

“คุณนี่...ตั้งแต่มาถามไม่หยุดเลย สงสัยอะไรกันนักหนา”

“ก็เธอนั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องถาม ฉันอยากรู้ว่า

ที่เธอพูดว่า...ฉันรักส่องแสง ทำไมเธอคิดแบบนั้น มีใครบอก หรือว่าเธอคิดเอง”

“มันไม่สำคัญหรอกค่ะ คุณอย่ารู้เลย”

“สำคัญสิ เพราะถ้าเธอคิดฉันก็จะบอกว่าเธอคิดผิด แต่ถ้ามีใครมาพูดกับเธอ แสดงว่าเขาโกหก อย่าไปเชื่อเขา เชื่อฉัน เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันรักใคร” หนึ่งจับมือหทัยรัตน์สบตาอย่างจริงใจ

หทัยรัตน์สะท้านไปทั้งกายและใจ หลบสายตาด้วยความอาย...

ooooooo

ตกดึก หทัยรัตน์จัดที่นอนตรงโซฟา หนึ่งปรายตามองแล้วแกล้งร้องครวญคราง เธอรีบลุกมาถามเขาปวดแผลอีกหรือ จะออกไปขอยาจากพยาบาลให้หนึ่งห้ามไว้ ขอแค่ให้เธอมาช่วยจับมือตนไว้จนกว่าจะหลับ หทัยรัตน์ทำหน้าเคืองๆ หนึ่งอ้อน

“ตอนฉันยังเด็ก แม่พิมพ์ก็คอยจับมือเวลาฉันเป็นไข้ มันช่วยให้ฉันหายป่วยเร็วขึ้น”

หน้าห้อง สัทธากลับมาแอบมองผ่านช่องประตู ขำขันกับความเจ้าเล่ห์ของเพื่อน...หทัยรัตน์ลังเล หนึ่งคราง “โอย...คิดถึงแม่พิมพ์ ถ้าอยู่ด้วยแม่พิมพ์จะจับมือ ปลอบใจให้ฉันหายป่วย”

“ก็ได้ค่ะ...คิดซะว่า ฉันทำหน้าที่แทนนมพิมพ์ก็แล้วกัน” พอหนึ่งจับมือ เธอก็ถามเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบว่าค่อยยังช่วย แต่ต้องให้เขาจับจนกว่าจะหลับ เขาจะได้ฝันดี หทัยรัตน์หน้านิ่ว “จับมือจนหลับเนี่ยนะคะ”

หนึ่งจะร่ายถึงแม่พิมพ์อีก หทัยรัตน์ตัดบทด้วยความรำคาญบวกกับใจอ่อนลง จึงบอกยอมให้เขาจับ ให้รีบๆหลับเสีย เขาอมยิ้มรับปากจะพยายาม หนึ่งอมยิ้มมีความสุข...สัทธาส่ายหน้าอย่างขำๆอยู่หน้าห้อง

ในคืนเดียวกัน ส่องแสงเที่ยวสนุกสนานอยู่กับรวยตามไนต์คลับ ดื่มจนเมาผล็อยหลับไปในรถเขา รวยฉวยโอกาสพาเข้าโรงแรมตามระเบียบ...

กลางดึก สัทธาเข้ามาสะกิดหทัยรัตน์ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียง เธอสะดุ้งตื่นเห็นเขามองมือที่จับกับหนึ่งก็เขินค่อยๆดึงมือออก ถามเขามานานแล้วหรือ สัทธาบอกว่ามาตอนหัวค่ำเห็นหลับกันอยู่เลยกลับไปรอบหนึ่งแล้ว

เอ่ยถามถึงอาการหนึ่ง เธอตอบไม่มีอะไรแค่เจ็บแผล

“ปุ้มจะกลับไปนอนพักก็ได้นะ พี่เฝ้าแทนเอง”

“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อคืนพี่ปุ๊อยู่ทั้งคืนแล้ว คืนนี้ปุ้มเฝ้าเองก็ได้ค่ะ”

“เป็นห่วงไอ้หนึ่งมันล่ะสิ” สัทธาเย้า

หทัยรัตน์ปัดไม่ใช่ แล้วถามถึงคุณลุงคุณป้า สัทธาตอบว่านอนอยู่ที่ที่พัก แล้วบอกพวกท่านจะกลับพรุ่งนี้ ส่วนวิทย์จะกลับไปเตรียมโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ถามเธอจะกลับด้วยหรือไม่ ท่าทางหทัยรัตน์ครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจตอบว่าจะอยู่เฝ้าหนึ่งต่อ สัทธาแอบยิ้ม

“ดีแล้วปุ้ม...เพราะวันพรุ่งนี้หมอประสงค์จะตรวจเส้นประสาทขาข้างที่หัก แล้วก็จะรู้ว่าหนึ่งเดินได้อีกหรือเปล่า” หทัยรัตน์ใจหายร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ “ใช่...ถ้าเดินไม่ได้เหมือนเดิม หนึ่งคงต้องการกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป และคนที่ให้กำลังใจได้ดีที่สุดก็คือปุ้ม ตอนแรกหนึ่งเพ้อถึงปุ้มตลอด วันนี้ดูดีกว่าวันก่อนเยอะมาก เมื่อวานก็บ่นแต่ว่าอยากตาย ยังไงๆพี่ก็ฝากหนึ่งด้วยนะปุ้ม” สัทธาพยายามพูดให้ดูขึงขังจริงจัง จนทำให้หทัยรัตน์สงสารหนึ่งสุดๆ

สัทธากลับออกมาจากห้องหนึ่งก็หัวเราะสะใจ แอบมองเข้าไปดูในห้องอีกครั้ง เห็นหทัยรัตน์กุมมือหนึ่งอย่างเดิม เขี่ยผมบนใบหน้าให้เขาดูห่วงใย ก็ยิ้มอย่างพอใจ

ooooooo

พอประสาทพรรู้ข่าวหนึ่งจากแม่พิมพ์ก็ตกใจและยิ่งรู้ว่าหทัยรัตน์ตามไปเยี่ยมหนึ่งก็ยิ่งใจหาย...มาหาสุดาที่บ้านเดือนประดับ สุดาถามงอนๆจะมาต่อว่าอะไรตนอีก เขาก้มหน้ารู้สึกผิด

“ผม...ผมขอโทษที่พูดไม่ดีกับคุณไปครั้งที่แล้ว ที่ผมมาวันนี้เพราะอยากรู้เรื่องหนึ่ง...ตอนนี้หนึ่งเป็นอย่างไรบ้าง”

สุดาเล่าเรื่องอุบัติเหตุ แต่ก็ต้องเลยตามเลยว่าอาการหนักไปตามแผนของสัทธา และถือโอกาสบอกว่า หทัยรัตน์ฝากลาหยุดการสอนสักระยะ เพราะต้องดูแลหนึ่ง จนกว่าจะกลับกรุงเทพฯ ตนตั้งใจจะเขียนจดหมายไปบอก เขาก็มาพอดี...ประสาทพรยิ่งรู้สึกผิดขอโทษที่เคยพูดไม่ดี สุดาตัดบท เรื่องนั้นช่างมันตนไม่โกรธ แต่เขา หายโกรธตนแล้วหรือ

“ผมไม่โกรธแล้วครับ จริงๆผมไม่ควรโกรธตั้งแต่แรก ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าคุณสุดาคิดอะไรผมเห็นด้วยครับผมไม่เคยถาม ไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าหนึ่งกับหทัยรัตน์จะรักกันแบบนี้” ประสาทพรพูดอย่างอายๆ สุดาสงสารอยากปลอบใจแต่ไม่อาจทำได้

ในขณะที่ส่องแสงตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจอย่างมีความสุข พอหันมาเห็นรวยนอนอยู่ข้างๆก็ร้องกรี๊ด...ขว้างปาหมอนใส่เขายกใหญ่แล้ววิ่งเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ รวยแอบยิ้มสมใจ หลังจากนั้น ส่องแสงกลับมาฟูมฟายเล่าให้สีสุกฟัง สีสุกแทบลมจับเมื่อรู้ว่าลูกสาวพลาดท่าเสียทีนายรวยไปแล้ว แม้เขาจะยืนยันว่ารับผิดชอบทุกอย่าง สีสุกถามลูกสาวจะแต่งงานกับรวยไหม

“ตอนนี้ยังหรอกค่ะ เพราะคนที่ส่องจะแต่งงานด้วยก็คือพี่หนึ่ง”

สีสุกจึงบอกว่างั้นต้องรีบไปเพราะหนึ่งประสบอุบัติเหตุ รักษาตัวอยู่ที่เชียงใหม่ และหทัยรัตน์ก็กำลังไปดูแลอยู่ ส่องแสงปรี๊ด...ความริษยาพลุ่งพล่าน จะต้องทำให้หนึ่งแต่งงานด้วยให้ได้

ooooooo

บ่ายวันนั้น หนึ่งตื่นขึ้นมาเห็นหทัยรัตน์ยังนั่งเฝ้าอยู่ก็ดีใจ เธอบอกว่าวิทย์ สุทธิ์และทิพย์มาเยี่ยมแต่เขาหลับ ตอนนี้พวกท่านกลับกรุงเทพฯไปแล้ว หนึ่งพยักหน้ารับรู้ ถามเวลากี่โมงเพราะวันนี้ประสงค์จะเข้ามาตรวจขาและชี้ชะตาว่าตนจะเดินได้อีกหรือไม่

หทัยรัตน์ปลอบใจเขาต้องเดินได้ หนึ่งอ้อนขอให้เธออยู่เป็นกำลังใจ เธอบีบมือเขาพยักหน้ารับปาก หนึ่งยิ้มมีความสุข...พอถึงเวลาที่ประสงค์มาตรวจอาการ หนึ่งนอนเก๊กหน้าเครียด หทัยรัตน์คอยให้กำลังใจข้างๆ เธอคอยปลอบเขาไม่ต้องกังวล

ประสาทพรเอาอุปกรณ์มาเคาะเส้นประสาท หนึ่งต้องคอยฝืนไม่ให้กระตุก ประสงค์แอบขำ บอกให้หนึ่งทดลองยืนและเดิน หนึ่งทำเป็นลุกไม่ไหวต้องให้หทัยรัตน์ประคอง แล้วเขาก็ทำทีเดินไม่ได้ หทัยรัตน์หน้าเสียด้วยความสงสารห่วงเขาสุดๆ ประสงค์สรุป

“ผมเสียใจด้วยนะครับ เส้นประสาทที่ขาของคุณไม่ทำงาน ต่อไปคุณจะไม่สามารถเดินได้ตามปกติอีกแล้ว”

หนึ่งโอเวอร์แอ็กติ้งสุดฤทธิ์ “ไม่นะครับ...หมอต้องช่วยผม ผมไม่อยากเป็นคนพิการ”

หทัยรัตน์เข้าประคองปลอบให้ใจเย็น แล้วถามประสงค์มีทางแก้ไขไหม เขาส่ายหน้า เธอมัวมองหนึ่งด้วยความเห็นใจจึงไม่สังเกตเห็นประสงค์กลั้นยิ้ม

เมื่อประสงค์กลับไปหนึ่งนั่งเศร้าอยู่บนรถเข็น หทัยรัตน์ปลอบใจอยู่ข้างๆ ถึงเขาเดินไม่ได้ก็ยังทำอย่างอื่นได้อีกหลายอย่าง หนึ่งโต้ว่าตนทำได้คือเป็นภาระคนอื่น ต่อไปคงเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ หทัยรัตน์ กุมมือแย้งไม่จริง ยังมีคนต้องการเขาอยู่ หนึ่งถามว่าใคร เห็นเธอนิ่งอึ้งก็ถามย้ำว่าใครต้องการคนพิการอย่างตน ทันใดเสียงส่องแสงดังขัดจังหวะ

“พี่หนึ่งขา...พี่หนึ่งของส่องเป็นยังไงบ้างคะ” ส่องแสงแทรกดันหทัยรัตน์ออกไป

สีสุกตามมาถึง “อุ๊ยตายแล้ว...คุณหนึ่งเป็นยังไงบ้างคะ ทำไมถึงได้หน้าซีดแบบนี้ ดูท่าทางอาการหนัก นะคะเนี่ย แล้วนี่ไม่มีพยาบาลพิเศษมาดูแลคุณหนึ่งเหรอคะ”

หทัยรัตน์เอือม ขอตัวออกไปเอายาจากพยาบาล สีสุกกับส่องแสงเบ้ปากใส่...หนึ่งอยากตามเธอไปด้วยความเซ็ง สีสุกพยายามพูดให้ส่องแสงดูดีว่าพอรู้ข่าวก็รีบชวนมาดูแลหนึ่ง แล้วถามที่หทัยรัตน์มาแบบนี้ประสาทพรไม่ว่าอะไรหรือ หนึ่งออกตัวแทนหทัยรัตน์ว่าตนกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ที่เธอมาเยี่ยมตนก็ตามมารยาทเท่านั้น ส่องแสงดี๊ด๊า

“จริงเหรอคะพี่หนึ่ง ดีแล้วค่ะ ที่พี่หนึ่งทำแบบนี้ พี่หนึ่งทำถูกแล้ว เพราะขืนดื้อดึงหมั้นกันต่อไป คนที่เสียใจก็คือพี่หนึ่ง”

“ไม่ใช่หรอก ถ้ายังหมั้นกันคนที่เสียใจก็คือ หทัยรัตน์มากกว่า เพราะเขาคงจะไม่มีความสุขที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายพิการอย่างพี่”

ทั้งส่องแสงและสีสุกเบิ่งตาตกใจ หนึ่งย้ำว่าขาตนไม่อาจเดินได้ตลอดชีวิต ส่องแสงผงะถอยห่าง ถามเขาพูดผิดหรือเปล่า หนึ่งยืนยันและเอามือจับผ้าพันแผลบนหน้า บอกตนยังมีแผลที่แสนอัปลักษณ์ ขนาดหมอยังไม่ยอมรักษา...ส่องแสงถอยห่างออกไปอีก

“หมอไม่รับรักษา แสดงว่ามันคงเละมากๆสิคะ”

“ใช่...แล้วแบบนี้ส่องคิดว่าพี่ทำถูกแล้วใช่ไหมที่ถอนหมั้นหทัยรัตน์”

“ใช่ค่ะ...พี่หนึ่งทำถูกแล้วที่ไม่เอาตัวเองไปถ่วงคนอื่น”

สีสุกเห็นด้วยสนับสนุน และบอกว่าแผลบนหน้ายังไม่เท่าขาพิการตลอดชีวิต แต่ส่องแสงกลับแทรกขึ้น สำหรับตน มันแย่พอกัน ทั้งพิการทั้งอัปลักษณ์ ไม่มีอะไรดีเลย สีสุกพยักหน้าทำนองอย่าเข้าไปยุ่งเลย หนึ่งมองสองแม่ลูกอย่างรู้ซึ้งถึงจิตใจ...

หทัยรัตน์เดินกลับมา ได้ยินหนึ่งกำลังพูดว่า “ครับ ผมทราบดี ผมถึงปล่อยให้หทัยรัตน์เขาได้แต่งงานกับคนที่เขารัก...และผมก็จะได้แต่งงานกับคนที่พูดตลอดเวลาว่ารักและจริงใจกับผมตลอดมา...ส่องครับ” ส่องแสง ผงะถามหมายถึงใคร “พี่หมายถึงส่องแหละครับ ส่องคือคนที่พูดเสมอว่ารักและจริงใจกับพี่ เหมาะที่สุดแล้วที่จะดูแลคนพิการและอัปลักษณ์อย่างพี่”

ส่องแสงหน้าเจื่อน แถไปดื้อๆว่าวันนี้ที่มามีข่าวดี มาบอกว่าตนกำลังจะแต่งงาน เพราะรวยเพิ่งขอแต่งงานเมื่อวาน และตนก็รับปากเขาไปแล้ว สีสุกช่วยสนับสนุนว่ารวยเป็นคนดี รักส่องแสงมากแล้วตนกับลูกต้องรีบกลับไปเตรียมงาน หนึ่งทำเป็นเศร้าเข้าใจในการตัดสินใจของส่องแสง และอวยพรให้มีความสุข....สองแม่ลูกรีบลากลับ หทัยรัตน์หลบวูบ

ออกจากห้องมาได้ สีสุกชมเชยลูกสาวที่ฉลาดตัดบทได้รวดเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องมาลงเอยกับคนพิการแถมยังอัปลักษณ์...หทัยรัตน์ใจเสียสงสารจิตใจหนึ่ง รีบเข้าไปดูแลเขา เอานมอุ่นๆมาให้ดื่ม และปลอบใจอย่าคิดอะไรมาก จะทำให้ไม่มีความสุขเปล่าๆ

“ทำไมเธอคิดว่าฉันต้องคิดมาก ฉันมีเรื่องอะไรต้องคิดเหรอ”

“ก็เรื่อง...คุณส่องแสงไงคะ ฉันบังเอิญได้ยินเรื่องที่เธอบอกคุณเรื่องแต่งงานกับคุณรวย มันอาจจะทำให้คุณต้องเสียใจ”

“แต่ฉันคิดว่าส่องแสงเขาเลือกถูกนะ เพราะอย่างที่ฉันบอกไม่มีใครต้องการจะดูแลคนที่พิการอย่างฉัน เธอก็เห็นแล้วว่าสิ่งที่ฉันคิดมันถูกต้อง” หนึ่งทำทีตัดพ้อทำให้หทัยรัตน์ใจอ่อนลง

ooooooo

สุดาเดินทางมาถึงเชียงใหม่ สัทธาพาไปบ้านพัก สุดารีบให้เล่ามาให้หมดว่าหนึ่งแกล้งอะไรหทัยรัตน์บ้าง สัทธาโอดโอยมันเยอะมากจนเล่าไม่หมด เอาไว้แผนสำเร็จค่อยฟังหนึ่งเล่าเอง สุดาย้อนถามเมื่อไหร่ สัทธาถอนใจก็เมื่อหทัยรัตน์จะยอมสารภาพว่ารักหนึ่ง

สุดาถอนใจบ้างเพราะรู้ว่าคงอีกนาน แต่สัทธาไม่คิดเช่นนั้น คอยดูแล้วกัน แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องมา

จี้ถามสุดา “ว่าแต่เราเถอะ ชอบคุณชายประสาทพรไหม”

สุดาเผลอตอบออกมาว่าชอบ...แล้วสะดุ้งปิดปาก สัทธาหัวเราะเจ้าเล่ห์ “ไม่ทันแล้ว หลุดออกมาคำเบ้อเริ่มเลย”

“พี่ปุ๊อย่าบอกปุ้มนะคะ แป้นไม่อยากให้ปุ้มรู้สึกไม่ดี ที่แป้น...แอบชอบผู้ชายที่มาชอบน้องสาวตัวเอง”

สัทธาโอบไหล่ “อย่าคิดแบบนี้สิ เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร แป้นไม่ผิดที่จะคิดชอบประสาทพร เพราะความชื่นชอบของแป้นไม่ได้ทำร้ายใคร และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ต้องคิดมากและไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย รู้หรือเปล่า” สุดารับคำยิ้มโล่งอก สัทธาปลอบ “ตอนนี้ พี่ก็รู้แล้วว่าแป้นคิดยังไง แล้วแป้นรู้หรือเปล่าว่าคุณชายคิดยังไงกับแป้น”

“สำหรับคุณชาย แป้นก็เป็นได้แค่น้องสาวเพื่อน และที่ปรึกษาเท่านั้นแหละค่ะ” สุดายิ้มเศร้าๆรู้สึกปวดใจลึกๆ

วันต่อมา ส่องแสงนัดรวยมาพบสีสุกที่ร้านอาหาร เพื่อตอบตกลงแต่งงานกับเขา และให้เขาเจรจาเรื่องสินสอดกับสีสุกเลย สีสุกเกริ่นถึงความมีหน้ามีตาทางสังคมของลูกสาว รวยรีบเสนอจะให้ตนจัดแบบโต๊ะจีนหรือแบบฝรั่งหรือแบบแขกก็บอกมาได้เลย สีสุกกลุ้มใจกับความรุ่มราม พูดจาไม่มีสมบัติผู้ดีของรวย พอเขาถามจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ สีสุกยื่นโพยยาวเหยียด

“ฉันก็ไม่เรียกมากมายอะไรหรอกเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าฉันขายลูกสาวกินฉันก็ขอแค่นี้”

รวยรับมาดูอึ้งๆ แต่ก็รับคำจะจัดให้ตามที่ต้องการ ส่องแสงยิ้มอย่างไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ สีสุกมองลูกแล้วอดสงสารไม่ได้ ที่ความรวยมันค้ำคอ

ด้านหทัยรัตน์เข็นรถพาหนึ่งออกมาสูดอากาศในสวนของโรงพยาบาล เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เสียใจเรื่องที่ส่องแสงปฏิเสธแต่งงานกับเขาและไปแต่งงานกับนายรวย เธอขอโทษที่เผอิญได้ยิน หนึ่งแกล้งทำเป็นเศร้าสะเทือนใจ

“ฉันว่าส่องแสงเขาคิดถูกแล้วที่แต่งงานกับคุณรวย ผู้หญิงทุกคนก็ต้องการแต่งงานกับผู้ชายที่เพียบพร้อมและมั่นคง ไม่มีใครอยากแต่งงานกับคนหน้าตาน่าเกลียดที่ดูแลตัวเองไม่ได้อย่างฉัน เธอเองก็เหมือนกันน่าจะรีบกลับกรุงเทพฯและแต่งงานกับคุณชายประสาทพรได้แล้ว ตอนนี้เขาคงกำลังรอเธออยู่ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลย”

“แต่ดิฉันไม่ได้คิดว่าการดูแลคุณเป็นการเสียเวลา และใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องการแต่งงานกับผู้ชายที่เพียบพร้อมและมั่นคงแค่นั้น บางคนอาจต้องการแต่งงานกับคนที่เรารัก โดยไม่สนใจว่าเขาจะเป็นยังไง”

“ใคร! เธอลองบอกฉันสิว่าใครที่มีจิตใจงดงามแบบนั้น ฉันต้องการจะรู้ ใครเหรอ...”

ทันใดสัทธาโผล่เข้ามาบอกว่ารถพร้อมแล้ว จะกลับหรือยัง เห็นหน้าหนึ่งเคืองๆจึงถามตนมาขัดจังหวะหรือเปล่า ทั้งหทัยรัตน์และหนึ่งตอบพร้อมกันว่า...ใช่

บุญเติมดีใจที่หนึ่งกลับบ้านได้ สัทธาขอร้อง “ปุ้ม...หมอบอกว่าเราต้องคอยช่วยให้หนึ่งได้เคลื่อนไหวบ้างนะ ถึงหนึ่งจะใส่เฝือกอยู่แต่ก็ต้องออกกำลังกายบ่อยๆ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ”

หทัยรัตน์รับคำจะให้หนึ่งออกกำลังกายทุกวัน หนึ่งบุ้ยใบ้ให้สัทธาพูดอีกเขาจึงบอก “แล้วก็ต้องเช็ดตัวเช้าเย็นด้วย เพื่อสุขอนามัย พี่กับบุญเติมก็ทำไม่เป็น ปุ้มเช็ดตัวให้หนึ่งได้ไหม”

หนึ่งทำเป็นขัดว่าไม่เป็นไร ตนจะพยายามทำเองแม้แขนขาจะไม่มีแรง หทัยรัตน์โพล่งขึ้นตนทำให้ได้... หนึ่งแอบยิ้มดีใจก่อนจะตีหน้าเศร้ากล่าวขอบใจ สัทธาอดหมั่นไส้ไม่ได้

ooooooo





หนึ่งในทรวง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด