สมาชิก

หนึ่งในทรวง

ตอนที่ 10

อัลบั้ม: หนึ่งในทรวง พร้อมลงจอ! ช่อง 3 ดัน ญาญ่า จิ้น เจมส์จิ



เป็นที่ฮือฮาในร้านทำผม สองคุณนาย นวลกับสีสุกมาด่ากันลั่นร้าน สีสุกกระฟัดกระเฟียดออกจากร้าน นวลแม้จะชนะแต่ก็แอบหวั่นใจ คิดลำดับความเวลาที่พรรณีขอออกไปกับหนึ่งแต่ละครั้ง ไม่อยากเชื่อว่าหนึ่งจะร่วมมือโกหกด้วย

ในขณะที่หทัยรัตน์ถูกทิพย์บังคับให้เอาอาหารกลางวันมาให้หนึ่งที่ทำงาน...แต่บังเอิญเลขานำปิ่นโตมาวางให้หนึ่งและรายงานว่าส่องแสงให้คนนำมาส่ง หนึ่งทำงานไม่สนใจ พอเลขาบอกอีกว่ามีคนมาขอพบรออยู่หน้าห้อง ใจหนึ่งภาวนาให้เป็นหทัยรัตน์ แล้วรีบถามว่าใคร

นวลนั่งรออยู่หน้าห้อง หทัยรัตน์เดินถือปิ่นโตมาชะงักเมื่อเห็นนวล แต่นวลหันมาเห็นถลาเข้าหาทันที จิกเรียกเสียงลั่น “นังปุ้ม! แกมาทำอะไรที่นี่”
หทัยรัตน์ถอยห่าง นวลตวาดถามทำไมไม่ตอบ เธอกล่าวอย่างสุภาพว่า “คุณถามไม่สุภาพ ดิฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ”

“หน็อย...นี่แกจะมาร้องหาความสุภาพจากฉันเนี่ยนะ แกทำให้ลูกชายฉันตายทั้งคน จะให้ฉันสุภาพกับแกอีกเหรอ หา! นังเด็กกำพร้า นังลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่”

หทัยรัตน์ทนไม่ไหวสวนว่า “ไหนๆคุณพินิจก็ไม่อยู่แล้ว ดิฉันจะขอพูดครั้งนี้ครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้าย ดิฉันไม่ได้รักหรือชอบกับลูกชายคุณนาย ดิฉันไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเขาและไม่คิดจะร่ำรวยด้วยการแต่งงาน”

“ไม่คิดงั้นเหรอ แล้วนี่อะไร เอาอะไรมาให้คุณอนวัชกิน แอบใส่เสน่ห์ยาแฝดมาล่ะสิ เอามานี่เลย ฉันไม่ให้กิน” นวลกระชากปิ่นโตมาขว้างทิ้งอย่างไร้มารยาท “ฉันไม่ยอมให้คุณอนวัชหลงเสน่ห์หล่อนจนต้องตรอมใจตายไปอีกคน”

หทัยรัตน์ตะลึงกับของที่หกเกลื่อนกลาด หนึ่งได้ยินเสียงเอ็ดตะโรรีบออกมาดู ได้ยินที่นวลด่าว่าหทัยรัตน์และเสียงหทัยรัตน์เถียง

“คำก็ตาย สองคำก็ตาย คุณไม่รู้จริงๆเหรอว่าใครกันแน่ที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่พินิจต้องตาย”

“แกนั่นแหละเป็นต้นเหตุ พินิจตรอมใจตายเพราะแก”

“พี่พินิจตรอมใจเพราะคิดว่าดิฉันไม่สนใจ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าดิฉันรังเกียจ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ คนที่ทำให้ฉันไม่อยากไปหา ไม่อยากไปเยี่ยมก็คือคุณนาย... เพราะฉะนั้น คนที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พี่พินิจต้องตายก็คือคุณ”

นวลกรี๊ดลั่นเงื้อมือจะตบ หนึ่งเข้ามาจับมือห้ามไว้ “พอเถอะครับคุณน้า ผมจะไม่ยอมให้คุณน้าทำร้ายร่างกายหทัยรัตน์อีกแล้ว”

นวลโวยวายว่าจะไปห่วงทำไม เข้าข้างมันเพราะหลงเสน่ห์มันเข้าแล้วใช่ไหม สรุปข่าวการหมั้นเป็นความจริงหรือ...หทัยรัตน์ยืนอึ้งรอฟังหนึ่งจะกล้ารับไหม ปรากฏว่าหนึ่งยืดอกรับ

“ใช่ครับ ผมกับหทัยรัตน์เราหมั้นกันแล้ว”

นวลช็อก ถามปากคอสั่นว่าแล้วที่ไปไหนมาไหนกับพรรณีหมายความว่าหลอกตนงั้นหรือ หนึ่งมองเห็นคนเริ่มมามุงเกรงพรรณีจะเสียหาย จึงขอให้นวลเข้าไปคุยในห้องเป็นการส่วนตัว แต่นวลแว้ดเสียงแหลมทันที

“ไม่ต้อง! น้าไม่มีอะไรจะคุยทั้งนั้น ในเมื่อน้ารู้ความจริงหมดแล้ว” นวลหันมาจิกตามองหทัยรัตน์ “ฉันจะถือว่าสิ้นบุญตานิจ แกกับฉันหมดเวรหมดกรรมกันไป อย่าได้มาเจอะเจอกันอีกเลย ที่เหลือก็ขอให้เป็นเวรกรรมของคุณหนึ่งกับมันก็แล้วกัน” นวลสะบัดหน้าเดินเตะปิ่นโตออกไป

หทัยรัตน์ส่ายหน้าทรุดลงจะเก็บ หนึ่งรั้งไว้จะให้แม่บ้านมาจัดการ แล้วดึงหทัยรัตน์เข้าห้องทำงาน...หนึ่งพยายามพูดดีว่าทิพย์โทร.บอกเรื่องขนมที่เธอเอามาให้ รู้สึกเสียดายที่อดกิน

“ค่ะ หมดเรื่องจะคุยแล้วใช่ไหมคะ ดิฉันจะได้ขอตัวกลับ”

“ยัง...ธุระฉันยังไม่หมด ฉันมีของจะฝากไปให้คุณอา รอสักครู่”

หนึ่งเดินออกไป หทัยรัตน์เห็นรูปตั้งโต๊ะเป็นภาพงานหมั้นก็แอบดีใจ พลันหนึ่งเดินกลับมา เธอรีบเบนสายตาไปทางอื่น หนึ่งมาเพื่อจะบอกว่าถ้าเมื่อยก็นั่งได้ เธอขอบคุณเบาๆ พอหนึ่งกลับออกไป หทัยรัตน์มองจนแน่ใจแล้วนั่งลงคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หนึ่งยอมประกาศว่าเธอเป็นคู่หมั้น รู้สึกอบอุ่นใจขึ้น ทันใดเหลือบไปเห็นปิ่นโตวางอยู่มีกระดาษโน้ตแนบติด

“ซุปหูฉลามชั้นหนึ่งสำหรับพี่หนึ่ง รับประทานเยอะๆนะคะ หายไข้แล้วจะได้พาส่องไปรับประทานอาหารตามที่สัญญาไว้...จาก...ส่องแสง พิเศษกุล”

อ่านแล้วหทัยรัตน์หน้าตึงหงุดหงิดในใจทันที หนึ่งเดินกลับมาส่งห่อสมุนไพรที่ได้มาจากอินโดนีเซีย ฝากไปให้ทิพย์ เธอรับมากล่าวเสียงห้วน “ได้ค่ะ ดิฉันขอตัวกลับก่อน”

“เดี๋ยวสิ เธอไม่อยู่กินกลางวันกับฉันหน่อยเหรอ”

หทัยรัตน์กระแทกเสียงว่าไม่หิว แล้วเดินปึ่งออกไป หนึ่งบ่นอย่างงุนงง

“เป็นอะไรของเขา ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ที่ช่วยเมื่อกี้ขอบคุณสักคำก็ไม่มี”

ooooooo

บนถนนสวยริมน้ำ สองข้างทางเป็นทุ่งกว้างเขียวขจี รถราไม่พลุกพล่าน ประสาทพรหัดขับรถให้สุดา เธอกำพวงมาลัยแน่น พยายามทำตามที่เขาสอนทุกขั้นตอนเพราะอยากขับรถเป็นเร็วๆ ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่มีใครขับรถกัน เขาถามไม่กลัวผู้ใหญ่ดุหรือ เธอส่ายหน้าอย่างมั่นใจ

“เวลาไม่มีใครอยู่บ้าน แต่มีรถจอดอยู่ ดิฉันจะได้ขับรถไปเที่ยวเอง ไม่ต้องมีคนขับรถคอยตาม อยากจะไปไหนก็ได้ ไปเที่ยวไกลๆ ไปทะเล ไปภูเขา มันคงสนุกมากๆเลยค่ะ” สุดาบอกเหตุผลที่อยากขับรถให้เป็น

“ตอนที่ผมหัดขับรถก็เพราะเหตุผลนี้เหมือนกัน แปลกที่เราคิดเหมือนกัน” ประสาทพรทึ่ง

“คุณหญิงกับแม่โอเคยพูดว่าคุณชายกับดิฉันมีหลายอย่างที่เหมือนกัน ดิฉันจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง ที่แน่ๆ วันนี้ต้องเพิ่มเหตุผลในการขับรถอีกข้อ” สุดาแอบดีใจ

ประสาทพรรู้สึกว่าจริง...สุดาเริ่มเคลื่อนรถตามที่เขาสอน จากที่ขับกระตุกๆก็เริ่มนุ่มนวลขึ้นแล้วขับได้อย่างดิบดี...พอเหนื่อยทั้งสองนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ ประสาทพรเอ่ยขึ้น “เอ่อ...ผมมีคำถามคือคำถามนี้อาจไม่เหมาะกับหญิงไทย แต่ผมเห็นคุณเป็นคนสมัยใหม่ก็เลยกล้าถาม”

สุดาตื่นเต้นรอฟัง...คำถามของเขาคือถ้ามีผู้ชายมาขอแต่งงาน สถานที่ไหนที่จะทำให้เธอประทับใจมากที่สุด สุดาอึ้งคิดว่าเขาจะขอตนแต่งงาน ฝ่ายชายเห็นเธอหน้าแดงจึงถามว่าร้อนหรือ เธอสะดุ้งเอียงอายกลบเกลื่อนรับว่าร้อนมาก แล้วหันมาตั้งใจฟังคำถามของเขาใหม่

“ครับ ผมรู้ว่าการขอแต่งงานเป็นธรรมเนียมฝรั่ง ธรรมเนียมไทยต้องให้เถ้าแก่ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ แต่ก็อยากจะฟังความคิดเห็นสาวสมัยใหม่อย่างคุณสุดาน่ะครับ”

“ดิฉันคิดถึงสถานที่ที่ดิฉันอยู่แล้วสบายใจและคาดไม่ถึง สถานที่ที่เราโปรดปราน อย่างเช่นร้านหนังสือค่ะ...เพราะดิฉันชอบไปร้านหนังสือ ถ้ามีเวลาว่างจะชวนปุ้มไปด้วยกัน ไปทีก็จะอยู่นานเป็นวัน เดินดูทีละเล่มมีความสุขมากเลยค่ะ ถ้ามีผู้ชายมาขอแต่งงานในร้านหนังสือคงจะเก๋ใช่หยอกเลยค่ะ”

“คุณสุดาพูดแบบนี้ แสดงว่าถ้าผมขอหทัยรัตน์แต่งงานในร้านหนังสือ เธอก็คงจะชอบเช่นกันใช่ไหมครับ”

สุดาหน้าเจื่อนเมื่อรู้ว่าเป็นหทัยรัตน์ไม่ใช่ตน นั่งอึ้งฟังประสาทพรพูดอย่างตื่นเต้นต่อว่าเขาคิดมาหลายวัน จะทำอย่างไรให้หทัยรัตน์ประทับใจเลยลองถามดู... สุดาฝืนยิ้มแย้มเห็นดีด้วย

กลับถึงเดือนประดับ สุดาหน้าเศร้าเดินเข้าบ้าน สัทธาทักเพราะคิดว่าน้องสาวขับรถไม่สำเร็จ เธอรีบยิ้มกลบเกลื่อน คุยอวดว่าสบายมากขับรถไม่ยากอย่างที่คิด แล้วขอตัวขึ้นห้อง ทิ้งให้สัทธางวยงง

ooooooo

ภายในห้องรับแขก หนึ่งหยิบรูปแม่ขึ้นมาดู วิทย์เห็นเอ่ยถามว่าคิดอะไรอยู่ หนึ่งบอกตนแค่สงสัยอะไรที่ทำให้คนสองคนรักกัน ตัดสินใจแต่งงานกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ถามกลับว่าพ่อจำได้ไหม ทำไมพ่อรักแม่และตัดสินใจแต่งงานกับแม่ วิทย์ตาเป็นประกายเมื่อคิดถึงอดีต

“ไม่ใช่แค่จำได้ แต่ไม่มีวันลืม แม่ของหนึ่งคือผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้พ่อหยุด...หยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าสวยหวาน มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ หยุดหัวใจไว้ที่ความน่ารักความดีความอ่อนโยนแล้วก็หยุดการแสวงหา พ่อไม่สนใจผู้หญิงอื่นอีกเลยตั้งแต่ได้รู้จักแม่ของหนึ่ง เมื่อเราคิดที่จะหยุดอยู่กับใครสักคน อยากใช้ชีวิตอยู่กับเขา เราจะได้คำตอบเองว่า คนนี้คือคนที่เราอยากแต่งงานด้วย... แล้วหนึ่งล่ะ คิดอยากจะหยุดขึ้นมาบ้างหรือยัง”

หนึ่งครุ่นคิด...ถามตนเองว่าตนรู้สึกแล้วหรือยัง...

วันต่อมา สีสุกยังหงุดหงิดไม่หายเรื่องที่ปะทะกับนวลในร้านทำผม ส่องแสงปลอบใจให้เลิกคิดถึง มาสนใจเรื่องใหม่ดีกว่าที่ประสาทพรจะขอหทัยรัตน์แต่งงาน สีสุกตาโพลงแล้วสงสัยถ้าเด็กนั่นไม่ยอม คุณชายจะไม่เสียหน้าหรือ ส่องแสงรีบบอกว่าตนเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว

ส่องแสงเลียบเคียงถามประสาทพรจนรู้ว่าเขาจะขอหทัยรัตน์แต่งงานที่ไหน พอประสาทพรชวนหทัยรัตน์ไปเลือกซื้อหนังสือ อ้างว่าอยากซื้อให้กรกนก ทั้งสองแยกกันเลือกคนละมุม ประสาทพรท่าทางตื่นเต้น แอบหยิบกล่องแหวนออกมาดู

แผนสำรองที่ส่องแสงเตรียมไว้คือรออยู่ก่อนกับชุลีในร้าน พอเห็นหทัยรัตน์แยกไปมุมหนึ่ง ก็ทำทีเป็นไปเลือกหนังสือใกล้ๆแล้วเริ่มบทสนทนาที่เตรียมกันไว้ โดยชุลีเอ่ยว่า

“นี่ฉันไม่เข้าใจจริงๆเลยนะส่อง ทำไมคุณอนวัชเขาถึงได้ไปหมั้นกับเด็กนั่น ทั้งๆที่เขารักเธอยังกับอะไรดี นี่เขาเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าเขาจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากเธอ”

“เบาๆสิอายเขา ใช่ แล้วพี่หนึ่งก็ยังบอกอีกว่า ชีวิตเขาคงจะไม่มีความสุขแน่ๆถ้าไม่มีฉัน”

หทัยรัตน์ได้ยินก็ชะงักเหลือบมองผ่านช่องวางหนังสือ เห็นชุลีกำลังถามส่องแสงว่าทำไมหนึ่งต้องหมั้นกับเด็กอนาถาคนนั้น แล้วต้องแต่งงานกันหรือเปล่า

ส่องแสงตอบว่าถึงแต่งก็ไม่เป็นอะไรเพราะหนึ่งบอกตนว่า ผู้ชายแต่งงานกี่ครั้งก็ไม่แปลก ชุลีตาโตอยากรู้ว่าเธอยอมด้วยหรือ

“ตอนแรกก็ไม่ยอม แต่พี่หนึ่งอ้อนวอนจนฉันอ่อนใจ ฉันก็ให้เวลาเขาแค่ 3 เดือนเท่านั้น พอครบกำหนดต้องหย่าทันทีแล้วมาแต่งงานกับฉัน ไม่เห็นเหรอ พี่หนึ่งถึงได้จัดงานเล็กๆ เงียบๆ ไม่ให้คนอื่นรู้”

“ต๊าย...สมเพชเด็กนั่นจริงๆ ถ้าคุณอนวัชขอแต่งงานคงเข้าใจผิดคิดว่าคุณอนวัชรักตัวเอง เออ! ส่อง... นี่แล้วถ้าเด็กนั่นไม่ยอมหย่าล่ะ”

“ถ้าไม่ยอมก็หน้าด้านเกินไปละ คนเราจะทนอยู่กับคนที่แต่งงานกับเราเพราะความจำเป็นได้ยังไง คนเรามันต้องมีศักดิ์ศรีกันบ้าง จะทนอยู่ได้ยังไงในเมื่อผู้ชายไม่ได้รักตัวเองสักนิด”

หทัยรัตน์ตัวชาสะท้านไปทั้งใจด้วยความโกรธ กำมือแน่นหันหลังเดินออกจากร้านไปอย่างทนไม่ไหว ...ส่องแสงกับชุลีหัวเราะกันคิกคักที่แผนการสำเร็จ

ประสาทพรเห็นหทัยรัตน์หน้าเครียดเดินดุ่มๆก็รีบเข้ามาถามว่าเป็นอะไร เธออ้างว่าปวดศีรษะมากขอตัวกลับ วันหลังจะมาเลือกซื้อให้ใหม่ เขายืนงงมองกล่องแหวนในมืออย่างเสียดาย หทัยรัตน์เดินไปด้วยความโกรธ ยืนยันกับตัวเองว่าจะไม่มีวันแต่งงานกับหนึ่งเป็นอันขาด

เสร็จภารกิจ ส่องแสงกับชุลีหัวเราะสะใจ ชุลีขอตัวมีนัดกับนายรวยที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน ชุลีปรายตาไปเห็นเขามาพอดี “นั่นไงๆ มาแล้ว...คุณรวยคะ ทางนี้ค่ะ”

ส่องแสงหันมองเห็นชายร่างท้วม ใส่ทองเต็มตัวเดินยิ้มกว้างเข้ามา เขามองเธอตาวาวตะลึงในความสวยจนชุลีต้องส่งเสียงเรียกสติ เขาสะดุ้งหันมาทักทายเธอ...ชุลีจึงแนะนำให้รู้จักส่องแสง ท่าทางรวยสนใจ

ส่องแสงมากกว่าชุลี ชวนไปรับประทานอาหารด้วยกัน ชุลีค้อนขวับ ส่องแสงปฏิเสธนุ่มนวล ยกมือไหว้ลาอย่างมีจริตเดินไปอย่างผู้มีชัย ชุลีหมั่นไส้รู้ว่าเพื่อนเย้ย

ooooooo

ในบ้านพนัสพงษ์ พรรณีแต่งตัวจะออกไปดูหนังกับสัทธา โดยเขาบอกว่าวันนี้มีของบางอย่างจะให้ เธอตื่นเต้นมีความสุข แต่พอเดินผ่านห้องนั่งเล่น เสียงนวลถามว่าจะไปไหน

“ไปดูหนังกับพี่หนึ่งค่ะ” พรรณีตอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

นวลลุกพรวดเข้าไปโวยเมื่อไหร่จะเลิกโกหกเสียที จะต้องให้ตนตรอมใจตายตามพินิจไปอีกคนหรือถึงจะเปิดปากพูดความจริง พรรณีใจหายวาบความจริงอะไร นวลระเบิดอารมณ์ว่ารู้เรื่องที่หลอกลวงมาตลอดว่าไปไหนมาไหนกับหนึ่ง แท้ที่จริงไปกับสัทธา ตนต้องอับอายเขาขนาดไหน ที่โดนสีสุกพูดใส่หน้าว่าโง่เป็นอีแก่โลกแคบโดนลูกสาวหลอก พรรณีน้ำตาร่วงเถียงไม่ออก มองแม่ที่ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความคับแค้นใจ

“แกลองคิดดู ตอนที่พี่ชายแกอยู่ พร่ำเพ้อถึงแต่นังปุ้ม รักมันเหลือเกิน คิดถึงแต่มัน คิดถึงจนลมหายใจสุดท้าย ก่อนตายยังคิดถึงมัน แต่พอตายไปแล้ว นังเด็กนั่นมันเคยมานั่งคิดถึงบ้างไหม มีแต่อีแก่นี่แหละ อีแก่หัวหงอกคนนี้ที่คิดถึงลูกทุกวัน...ทุกคืน...มีแต่แม่เท่านั้นที่ไม่เคยลืม”

พรรณีเห็นแม่รำพันว่าพวกตนมีคนที่รัก แล้วความรักที่แม่มีให้ ความห่วงใยที่แม่มีให้เคยคิดถึงบ้างไหม นวลปล่อยโฮออกมา พรรณีสะท้อนใจถลาเข้ากราบที่อกนวล ขอโทษที่โกหก ขอโทษแทนพินิจ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง...พรรณีตัดสินใจ ชีวิตนี้ของตนคงต้องเป็นของแม่

สัทธายืนรออยู่หน้าโรงหนัง คนขับรถของพรรณีเข้ามาส่งจดหมายให้ เขาเปิดอ่านด้วยความแปลกใจ เธอเขียนมาขอโทษที่ไม่สามารถออกมาตามนัดได้...สัทธามองแหวนที่เตรียมมาสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี

ในขณะเดียวกัน วิทย์มาเจรจากับสุทธิ์และทิพย์เรื่องงานแต่งงานของหนึ่งกับหทัยรัตน์ และคิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่พอสัทธากลับมา ทิพย์บอกเรื่องนี้ เขาย้อนถามแม่แน่ใจหรือว่าน้องจะไม่มีปัญหา สุดาเองรู้สึกสงสารประสาทพร สุทธิ์เห็นสีหน้าลูกสาวก็เอ่ยถามกลุ้มใจอะไรอยู่

“อ๋อ...เปล่าค่ะ ไม่ได้กลุ้ม แค่คิดว่าถ้าปุ้มรู้จะตอบว่ายังไงน่ะค่ะ”

ทิพย์คิดว่าหทัยรัตน์กลับมาจะถามความเห็น ทั้งสัทธาและสุดาหวั่นใจ...ระหว่างนั้น หทัยรัตน์นั่งครุ่นคิดถึงคำสนทนาของส่องแสงกับชุลี จนเกิดเป็นทิฐิและโทสะในจิตใจ พอสุดามาถามเรื่องแต่งงาน เธอก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่แต่งงานกับหนึ่งเด็ดขาด โดยให้เหตุผลตามที่ได้ยินมาจากส่องแสง คือแต่งไปสามเดือนแล้วเลิกจะแต่งเพื่ออะไร สุดาถามว่าทำไมคิดแบบนั้น

“เพราะเขาไม่ได้รักปุ้ม และถ้าเราแต่งงานกันสักวันเขาก็ต้องเลิกกับปุ้มเพื่อไปอยู่กับคนที่เขารัก แล้วแบบนี้ปุ้มจะแต่งงานกับเขาทำไมคะ การหมั้นของเราไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก การแต่งงานจะสวยงามไปได้ยังไง ปุ้มไม่อยากทำร้ายคนอื่นด้วยการแต่งงานครั้งนี้ รวมทั้งตัวเอง”

สุดาย้อนถามแน่ใจได้อย่างไรว่าหนึ่งไม่ได้รัก หทัยรัตน์ยืนยันว่าทุกอย่างที่เขาทำมันชัดเจนที่สุดว่าเขาไม่เคยรักตน...

สุดาอ่อนใจ ออกมายืนมองพระจันทร์อยู่ริมระเบียง ทิพย์ผ่านมาถามคิดถึงใคร เธอรีบปัดว่าไม่ได้คิดถึงใครแค่คิดสงสัย เวลาคนมีความรักมักจะมาพร้อมกับความทุกข์ ทุกข์เพราะรักเขาแต่เขาไม่รัก ทุกข์เพราะรักเขาแต่บอกไม่ได้ หรือทุกข์เพราะรักเขาแต่เขาไปรักคนอื่น สุดาเอ่ยถามทิพย์ ถ้าเราอยากมีความรักแต่ไม่อยากทุกข์ควรทำอย่างไร หรือไม่ต้องมีไปเลยจะได้ไม่ต้องทุกข์ ทิพย์ขบขันความคิดของลูก

“เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้นะลูก บางทีมันก็เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว”

“ใช่ค่ะ ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ทั้งๆที่พยายามจะห้ามใจไม่ให้เกิด ก็ห้ามไม่ได้” สุดาเผลอระบายความรู้สึก

ทิพย์เลิกคิ้วมอง สุดารู้สึกตัวรีบกลบเกลื่อนว่าหมายถึงคนอื่น ทิพย์จึงสอนเราควรรักแบบเรียนรู้ คือรักด้วยเมตตา ปรารถนาให้คนที่เรารักเป็นสุขและให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ต้องการครอบครอง ถ้ารักแบบนี้ได้ก็ไม่ทุกข์ ฟังดูมันยากแต่ถ้าทำได้เราจะไม่กลัวความรักและรักได้อย่างมีความสุข

สุดาคิดตามสรุปว่าตนควรแอบรักไปเรื่อยๆ ทิพย์เย้าว่านี่ถามหมายถึงตัวเองหรือคนอื่น สุดารีบบอกว่าคนอื่นไม่ใช่เรื่องของตน ทิพย์มองอย่างไม่ค่อยเชื่อ

ooooooo

วันต่อมา หนึ่งได้รับกระดาษจดฤกษ์วันแต่งงานจากวิทย์ เขาแอบดีใจแต่วางฟอร์มทำเป็นบอกว่าแต่งเลยก็ดีชาวบ้านจะได้เลิกนินทา แล้วเอะใจหทัยรัตน์รู้เรื่องหรือยัง ยินยอมหรือไม่

บ่ายวันนั้น ทิพย์ไปตลาดได้ยินคนพูดถึงนวลในทางไม่ดี ค่อนข้างน่ารังเกียจ จึงมาถามสัทธาว่าคุยเรื่องหมั้นหมายกับพรรณีหรือยัง เขาตอบว่ายังไม่มีโอกาส ทิพย์โบ้ยให้สุทธิ์เป็นคนพูด สุทธิ์จำต้องยอมเมีย สัทธากังวลใจบอกพ่อกับแม่มีอะไรพูดตรงๆได้เลย สุทธิ์เริ่มเรื่อง คนเขาพูดกันว่านวลตั้งแง่รังเกียจพวกเรา แถมประกาศไม่ยกพรรณีให้แต่งงานด้วย สัทธายอมจำนน

“ได้ยินครับ คุณนายนวลมีอคติกับปุ้มและพาลมาที่ผม แต่มันไม่ได้ทำให้ความรักของผมที่มีต่อณีน้อยลง และที่ผมมาขอแหวนคุณแม่เพื่อไปหมั้นหมายกับณี ก็เพราะต้องการพิสูจน์ว่าผมจริงใจและจริงจังกับณีมากแค่ไหน ผมมั่นใจว่าความรักของเราจะต้องลงเอยด้วยดีแน่นอน”

สุทธิ์กับทิพย์พอใจกับความมุ่งมั่นของลูกชาย

ด้านหทัยรัตน์กลับมาสอนหนังสือกรกนกที่บ้านกนกพรตามเดิม ประสาทพรอยากหาโอกาสขอแต่งงาน ทำทีชวนน้องและหทัยรัตน์เล่นเกมใบ้คำ โดยตนเขียนคำใส่กระดาษแล้วให้หทัยรัตน์ใบ้คำ กรกนกเป็นคนทาย...คำแรกที่ประสาทพรเขียนคือแมว หทัยรัตน์ทำท่าใบ้ กรกนกทายถูกหัวเราะชอบใจ

พอไปได้สองสามคำ ประสาทพรก็เขียนคำว่า... แต่งงานกับผมนะ หทัยรัตน์ชะงักคิดว่าเขาล้อเล่น เขาบอกไม่ได้ล้อถามจริงๆ กรกนกสงสัยถามอะไรกัน หทัยรัตน์พูดไม่ออก ประสาทพรเขียนอีกว่า ตนขอย้ำว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่งงานกับตนนะ...เห็นเธอนิ่งเขาก็เขียนเพิ่ม

“ที่คุณตอบไม่ได้ เพราะหนึ่งหรือเปล่า”

หทัยรัตน์หยิบปากกามาเขียนตอบในกระดาษแผ่นเดียวกันว่า “ไม่ใช่ค่ะ การตัดสินใจของดิฉันไม่เกี่ยวกับเขา”

ประสาทพรยิ้มดึงกระดาษมาเขียนอีก “งั้นก็โล่งอก เพราะมีเหตุผลที่ผมจะถอย คือคุณรักหนึ่งและคุณเต็มใจที่จะหมั้นและแต่งงานกับหนึ่ง”

ทิฐิในตัวหทัยรัตน์พุ่งปรี๊ด เขียนตอบ “ดิฉันไม่ได้รักคุณอนวัช และดิฉันไม่เต็มใจที่จะหมั้นและไม่คิดจะแต่งงานกับเขา เพราะฉันไม่สามารถแต่งงานกับคนที่ฉันไม่รัก”

ประสาทพรอ่านแล้วยิ้มกริ่ม กรกนกแปลกใจทำไมไม่ให้ตนเล่นด้วย หทัยรัตน์หันมาขอโทษและขอตัวออกไปคุยกับประสาทพรนอกห้อง โดยทิ้งกระดาษแผ่นที่เขียนกันไว้

ประสาทพรยืนยันคำเดิมว่าอยากแต่งงานกับเธอ ถ้าเธอไม่มีพันธะทางใจกับหนึ่ง หทัยรัตน์อึ้งสับสนในใจว่าตัวเองคิดอย่างไรกับหนึ่ง จึงบอกปัดขอเวลาคิดทบทวน อ้างการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เพียงเท่านี้ประสาทพรก็พอมีความหวัง

ขณะเดียวกัน หนึ่งมาหาหทัยรัตน์ที่เดือนประดับ สัทธาบอกว่าเธอไปสอนหนังสือที่บ้านกนกพร หนึ่งไม่รอช้ารีบไปที่นั่นทันที...พอมาถึงบ้านกนกพร หนึ่งยิ้มร่าเดินตรงไปยังห้องเรียน เห็นกรกนกพยายามก้มเก็บกระดาษที่พื้น จึงเก็บขึ้นมาอ่านจากที่ยิ้มต้องหุบ หน้าเครียดตัวชา กรกนกทักทายก็ไม่ได้ยิน ได้แต่บอกเธอว่า

“เอ่อ...พี่หนึ่งขอโทษนะครับที่อยู่เล่นด้วยไม่ได้ พี่หนึ่งเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระสำคัญต้องไปจัดการ พี่หนึ่งขอตัวกลับก่อนนะครับ” หนึ่งเดินจ้ำกลับไปพร้อมกระดาษในมือ

แม่โอถือแก้วน้ำมาเสิร์ฟสวนกับหนึ่งด้วยความแปลกใจ...หนึ่งกลับบ้านเก็บตัวในห้องทำงาน อ่านข้อความที่เขียนโต้ตอบกันของประสาทพรกับหทัยรัตน์อย่างรู้สึกเศร้าน้ำตาตกใน

ooooooo

หทัยรัตน์กลับถึงบ้าน สัทธากับสุดาถามถึงหนึ่ง เธอตอบว่าไม่เจอกัน...สุดาข้องใจลองโทร.กลับไปถามแม่โอ ก็รู้ว่าหนึ่งไปที่นั่นจริงแต่ก็ผลุนผลันกลับไป สุดาคิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ

สัทธามาหาหนึ่งที่บ้านเพชรลดา เห็นหนึ่งนั่งมองกระดาษสีหน้าเคร่งเครียดจึงดึงกระดาษนั้นมาอ่าน

แล้วย้อนถามหนึ่ง “นี่ใช่ไหมคือเหตุผลที่ทำให้แกไปหาปุ้มแต่ไม่ได้คุยกัน”

หนึ่งตอบว่าไม่อยากขัดจังหวะคนกำลังมีความสุข สัทธาติงทำตัวเป็นเด็กไปได้ แบบนี้จะแต่งงานกันได้อย่างไร หนึ่งสวน ใครบอกว่าตนจะแต่งงานกับหทัยรัตน์

“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าแกจะปฏิเสธการแต่งงานกับยัยปุ้มเพราะกระดาษแผ่นนี้”

“คนที่ปฏิเสธคือเขามากกว่าไม่ใช่ฉัน แกคงจำลายมือน้องแกได้ มันชัดเจนอยู่แล้ว เขาเขียนตัวเท่าบ้านว่าเขาไม่ได้รักฉัน เขาเกลียดฉัน”

“แล้วปุ้มบอกแกเหรอว่ามันเกลียดแก”

“ฮึ! ถ้าคำว่าเกลียดของเขาเป็นก้อนหินมันคงก่อกำแพงเมืองได้สักเมือง” หนึ่งน้อยใจสุดๆ

“ยัยปุ้มเอาคำว่าเกลียดมาก่อกำแพงก็เพื่อป้องกันตัวเองเพราะแกเองก็ทำท่าเหมือนเกลียดเขาอยู่ตลอดเวลา และปุ้มพูดเสมอว่าแกเกลียดเขา”

หนึ่งสวนว่าตนไม่ได้เกลียดเธอ สัทธาย้อนถาม ไม่เกลียดแล้วเคยบอกรักไหม หนึ่งอึกอัก สัทธาจี้

“ไหนแกบอกฉันมาสิ ว่าแกรักน้องสาวฉันหรือเปล่า...

ไอ้หนึ่งว่าไง ถ้าแกไม่พูดฉันจะได้บอกปุ้มว่าแกเกลียดเขา...ว่ายังไงบอกฉันมาสิ บอกมา”

หนึ่งโดนไล่บี้ ทนไม่ไหวโพล่งออกมา “ถึงฉันรักเขามันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เพราะเขาไม่มีวันจะแต่งงานกับฉัน ความรักของฉันมันไม่สำคัญ”

“ใครว่าไม่สำคัญ คนเราจะแต่งงานกันได้ก็ต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน แกชอบทำเป็นอยากเอาชนะปุ้ม ไม่เคยทำดีเป็นใครก็ต้องคิดว่าแกเกลียดเขา และไม่มีใครอยากแต่งงานกับคนที่เราคิดว่าเขาเกลียดเรา...ฉันรู้จักแกสองคนดี ถ้าฉันรู้ว่าแกรักปุ้ม ฉันก็ย่อมจะรู้ว่าปุ้มไม่ได้เกลียดแก แต่คราวนี้แกจะทำยังไงให้ปุ้มรู้ว่าแกเองก็ไม่ได้เกลียดเขา แกก็ลองคิดดูแล้วกัน” สัทธาชี้แนะ

หนึ่งครุ่นคิดถึงที่ผ่านๆมา เขาพยายามเอาชนะหทัยรัตน์ในทุกเรื่องทำทุกอย่างให้เธอต้องแพ้ ยอมเต้นรำด้วยยอมกล่าวคำขอบคุณและขอโทษ ดึงดันพาเธอไปหาพินิจจนเกิดเรื่องมากมาย จนมาถึงตอนที่เธอจมน้ำ เขากระวนกระวายใจเป็นห่วงเธออย่างมาก พยายามปั๊มหัวใจผายปอดให้เธอรอด พอได้หมั้นกับเธอ เขามีความสุขมาก...หนึ่งรู้แจ้งในใจตัวเองแล้วว่าเขารักเธอ

ooooooo

วันต่อมา หนึ่งมาขออนุญาตทิพย์พาหทัยรัตน์ไปทานข้าวนอกบ้าน เธออึดอัดใจปฏิเสธก็ไม่ได้ จำยอมออกไปกับหนึ่ง...ขณะเดียวกันพรรณีตัดสินใจแน่วแน่มาบอกเลิกกับสัทธา

“พี่ปุ๊เสียเวลากับณีมามากแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องยอมรับความจริงแล้วค่ะ...ความจริงที่ว่าความรักของเราไม่มีวันที่จะลงเอยกันได้ด้วยดี คุณแม่ไม่มีวันจะยอมรับให้เราได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เราอย่าหลอกตัวเองต่อไปอีกเลยค่ะ ถึงเวลาที่เราต้องหันหน้าสู้กับความจริงและแยกทางกันไปได้แล้ว” พรรณีน้ำตาไหลพรากกล่าวขอบคุณสำหรับความรักและความปรารถนาดีของเขา

สัทธาตกใจถามพรรณีพูดอะไรออกมา เธอย้ำว่าพูดความจริง กล่าวลาแล้วหันหลังเดินจากไป พ้นมาได้เธอก็ปล่อยโฮออกมา...สัทธาช็อกทำอะไรไม่ถูกหยิบแหวนขึ้นมาดูน้ำตาปริ่ม

ภายในร้านอาหารบรรยากาศดี อาหารจัดวางตรงหน้าหทัยรัตน์ หนึ่งตักอาหารใส่จานให้ หทัยรัตน์กล่าวอย่างเย็นชาว่า ที่นี่ไม่มีใครไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ หนึ่งอมยิ้มตอบ

“ที่ถูกเธอควรขอบใจฉันมากกว่าจะพูดแบบนี้นะ...ปุ้ม” เห็นหทัยรัตน์มองหน้าเพราะถูกเรียกชื่อเล่น หนึ่งบอกอีกว่า “เลิกเรียกฉันว่าคุณอนวัชด้วย เรียกพี่หนึ่งดีกว่า ไหนลองเรียกซิ พี่หนึ่ง...เรียกง่ายจะตายเรียกสิ”
“ทำไมคุณจะต้องบังคับคะ เรียกคุณอนวัชก็ดีอยู่แล้ว” หทัยรัตน์รู้สึกว่าวันนี้เขามาแปลก
“ใครบอกว่าบังคับ ขอร้องต่างหาก เรียกพี่ว่าพี่หนึ่ง...นะคะ” หนึ่งส่งยิ้ม

หทัยรัตน์ทั้งงงทั้งเขิน ทันใดก็มีเสียงส่องแสงแหวกบรรยากาศเข้ามาและตัวตามมานั่งเกาะแขนหนึ่ง “พี่หนึ่งขา...พี่หนึ่งใจร้ายรู้ทั้งรู้ว่าส่องชอบร้านนี้จะมาทั้งทีไม่ชวนส่องเลยนะคะ อุ๊ย! ปุ้มมาด้วยเหรอ อ๋อ...

พี่หนึ่งกำลังทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดีอยู่เหรอคะ ส่องมาขัดจังหวะรึเปล่า”

หนึ่งจำต้องรักษามารยาท เชิญให้ร่วมโต๊ะส่องแสง ดี๊ด๊านั่งวางท่าเต็มที่ถามคุยอะไรกันอยู่ หทัยรัตน์ถือโอกาสบอกส่องแสงให้อยู่คุยกับหนึ่ง เขาจะได้ไม่ต้องฝืนทำหน้าที่ต่อ ว่าแล้วก็ลุกเดินออกไป หนึ่งจะตามแต่ถูกส่องแสงรั้งไว้ เขาทำหน้าเซ็งสุดๆ

เมื่อหทัยรัตน์กลับถึงบ้าน สุดาดักถามถึงเรื่องประสาทพรขอแต่งงาน หทัยรัตน์แปลกใจรู้ได้อย่างไร สุดาอ้ำอึ้งยอมรับสารภาพว่าประสาทพรมาปรึกษาตน หทัยรัตน์ยิ่งข้องใจ

“เอ่อ...คงปรึกษาในฐานะที่เป็นพี่สาวปุ้มไง ปุ้ม... พี่ขอถามตรงๆเลยนะ ตกลงที่ปุ้มปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับพี่หนึ่ง เป็นเพราะคุณชายหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่เกี่ยว ปุ้มไม่แต่งงานกับคุณอนวัชและไม่คิดแต่งงานกับคุณชายเหมือนกัน”

สุดาได้ยินเช่นนั้นก็เผลอยิ้ม หทัยรัตน์มองอย่างสงสัย สุดารู้สึกตัวเฉไฉไปเรื่องอื่น แล้วบอกว่าไม่มีอะไรจะถามแล้วเธอเดินเลี่ยงไป หทัยรัตน์มองตามด้วยความแปลกใจ...สุดาเดินแยกมามุมหนึ่งของบ้านแล้วฉุกคิด เราจะดีใจทำไม แม่สอนว่าถ้ารักใครต้องรักด้วยเมตตา อยากให้เขามีความสุข คิดแล้วเครียดเพราะประสาทพรจะต้องเป็นทุกข์ที่หทัยรัตน์ปฏิเสธการแต่งงาน

ooooooo

นวลดีใจดูมีความสุขขึ้นมากเมื่อพรรณีมาบอกว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับสัทธา จะไม่ทำให้แม่ต้องคิดมาก จะไม่โกหกไม่สร้างปัญหาให้แม่ต้องเสียใจอีก...จากนั้นทุกวันที่พรรณีกลับจากทำงาน นวลจะแกล้งวักน้ำหยอดตา ทำทีร้องไห้หมดแรงเพื่อให้ลูกเห็นอกเห็นใจปลอบโยน

วันต่อมาวิทย์เอาตัวอย่างการ์ดแต่งงานให้หนึ่งไปตรวจทานว่ามีอะไรต้องแก้ไขอีกก่อนจะสั่งพิมพ์

หนึ่งรีบเอาไปให้หทัยรัตน์ที่เดือนประดับ...พอเธอเห็นหน้าหนึ่งก็ปั้นปึ่งถามคุณอนวัชมีธุระอะไร หนึ่งติงบอกให้เรียกพี่หนึ่ง เธอนิ่งเฉย เขายื่นการ์ดให้บอกให้เธอตรวจทาน

“ดิฉันจะไม่แต่งงานกับคุณค่ะ” หทัยรัตน์กล่าวหนักแน่น หนึ่งเอาการ์ดใส่มืออ้าปากจะพูด เธอชิงพูดก่อน “คุณหรือใครก็ไม่มีทางบังคับให้ดิฉันแต่งงานกับคุณ”

หนึ่งหน้าเสียถาม...ทำไม หทัยรัตน์สวน “การแต่งงานที่ไม่ได้มีความรัก แต่งแค่เพื่อจะเลิก จะแต่งไปทำไมคะ”

“ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่มีวันรักฉันใช่ไหม” หนึ่งเจ็บแต่ฝืนถาม หทัยรัตน์รับว่าใช่ “ฉันอยากรู้ว่าเพราะอะไร... เพราะคุณชายใช่ไหม เธอรักคุณชายมากใช่ไหมหทัยรัตน์”

“คุณเองก็รักคุณส่องแสงมากเหมือนกันนี่คะ”

“ใครบอกเธอว่าฉันรักส่องแสง” หทัยรัตน์กัดปากไม่ตอบ หนึ่งยิ่งโกรธ “ผู้หญิงที่ฉันรักคือคนที่ทำให้ฉันต้องวิ่งตาม ทำให้ฉันร้อนรุ่มใจเพราะความคิดถึง เป็นห่วงและอยากปกป้อง...” หนึ่งพรั่งพรูความในใจ แต่หทัยรัตน์กลับคิดว่าเขาพูดถึงส่องแสง

“ถ้าคุณอนวัชไม่มีอะไรกับดิฉันแล้ว ดิฉันขอตัวนะคะ” พูดจบหทัยรัตน์เดินไป

หนึ่งเสียใจรำพึงออกมาเบาๆ “คำว่ารักจากฉัน มันไม่มีค่าพอที่จะฟังเลยเหรอ หทัยรัตน์”

สองคนเดินแยกกันไปคนละทาง...หทัยรัตน์กลับเข้าห้อง นั่งอึ้งครุ่นคิดมองการ์ดตัวอย่างในมืออย่างสับสน...ด้านหนึ่งทิ้งตัวนั่งในห้องนอนอย่างหมดอาลัย ตายอยากมองแหวนหมั้นที่นิ้ว

บ่ายวันเดียวกัน ประสาทพรมาหาสุดาเพื่อระบายความกังวลกลัวหทัยรัตน์จะปฏิเสธการแต่งงานกับตน สุดาแม้จะเจ็บปวดลึกๆแต่ก็คิดถึงคำสอนของทิพย์ จึงบอกเขาว่าตนไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากให้กำลังใจอยู่ห่างๆ ประสาทพรย้อนถามหมายความว่าตนไม่ควรถอดใจหรือ

สุดาตัดสินใจพูดเป็นนัยๆ “ถ้าความสุขของเราคือการที่ได้รักใครสักคน ถึงแม้เขาจะไม่รักตอบ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเลิกรักไม่ใช่เหรอคะ...คุณแม่สอนว่า ถ้าเรารักด้วยเมตตา รักโดยไม่หวังเราก็จะรักได้โดยไม่ต้องทุกข์”

ประสาทพรคิดตาม พยักหน้ายอมรับที่ตนทุกข์อยู่ตอนนี้อาจจะเป็นเพราะกลัวผิดหวัง ถ้าตนไม่หวังตนก็ไม่ทุกข์...เขายิ้มขอบคุณสุดามากที่ทำให้เข้าใจ รู้สึกอิ่มใจขึ้น สุดาหัวเราะเบาๆ ดีใจด้วยแต่ก็เย้า อิ่มใจแล้วก็ต้องอิ่มท้องด้วย เธอจัดวางขนมช่อม่วงที่ทำเองให้เขารับประทาน

ต่างจากพรรณีที่เศร้าเสียใจคิดถึงสัทธา พยายามสลัดความคิดถึงออก เดินลงมาข้างล่าง ไม่ทันจะเข้าไปในห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงนวลคุยกับคุณนายสุภาอย่างเมามัน ว่าได้กำจัดสัทธาออกไปจากชีวิตลูกสาวได้เสียที เพียงแค่เล่นละครบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจ ลูกก็ใจอ่อน

“...ยอมไปบอกเลิกอีตาสัทธาเป็นที่เรียบร้อย ตัดบัวไม่เหลือใย...เธอไปเตรียมนัดลูกชายเธอมาดูตัวแม่ณีได้เลย ตอนนี้ฉันหาใครมาให้แม่ณีก็แต่งหมดแหละ” นวลหัวเราะร่า

พรรณีได้ยินแล้วเครียดจะทำอย่างไรดี พอสุภากลับไป นวลต้องออกไปเก็บค่าแผง เรียกพรรณีให้รีบไปเจอกันหน้าบ้าน พรรณีซึ่งหลบอยู่ รับคำทำทีเดินออกไปหานวลที่หน้าบ้าน

ระหว่างที่นวลเดินเก็บเงินแล้วส่งให้พรรณีก็สอนไปด้วยว่า ดูวิธีเก็บเงินของตนไว้ถ้าตนเป็นอะไรไปจะได้ทำแทน แล้วนึกได้บอกเรื่องคุณนายสุภาจะพาลูกชายมาดูตัว...พรรณีเครียด ทันใดเธอก็เห็นสัทธาเดินเข้ามายืนตรงหน้านวล นวลสะดุ้งโวยวายมาทำอะไรที่นี่!

“ผมอยากคุยกับคุณนายเรื่องระหว่างผมกับพรรณี”

“แต่ฉันไม่อยากคุย แกกลับไปเลยนะ เมื่อไหร่แกจะเจียมเนื้อเจียมตัวสักทีว่าแกมันไม่คู่ควรกับยัยณี...ลูกสาวฉันถีบหัวแกทิ้งแล้ว แกยังจะมาตอแยอะไรอีก มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ...ไป!” นวลคว้าผักบนแผงปาใส่สัทธา พรรณีทนไม่ไหวอีกแล้ว

“พอเถอะค่ะคุณแม่! ณีเปลี่ยนใจแล้ว ณี...เลิกกับพี่ปุ๊ไม่ได้ค่ะ ณีจะกลับไปคบกับพี่ปุ๊”

สัทธาดีใจถามเป็นความจริงหรือ นวลแทบช็อก โวยวายว่าจะมากลับคำไม่ได้ พรรณีแย้ง

“แต่ณีรักพี่ปุ๊นะคะ ณีรักพี่ปุ๊คนเดียว ณีไม่ได้รักลูกชายของเพื่อนคุณแม่”

คนในตลาดฮือฮา นวลทั้งแค้นทั้งอายเข้าไปหยิกตีลูก “นี่แกบอกรักผู้ชายกลางตลาดได้ยังไงไม่อายปาก ถึงแกไม่อายแต่ฉันอาย แกทำแบบนี้แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

พรรณีร้องไห้ด้วยความเจ็บ สัทธาเข้าไปปกป้อง นวลจึงหันมาตบตีเขาแทนและด่าว่าจะตีให้ตายพรรณีจะได้หลุดจากบ่วงนี้เสียที พรรณีสงสารสัทธาขอร้องให้แม่หยุดตี นวลยิ่งโกรธบอกให้ทั้งสองเลิกยุ่งเกี่ยวกันก่อน พรรณีโพล่งขึ้น

“เลิกไม่ได้หรอกค่ะแม่ เพราะพี่ปุ๊กับณี...เรามีอะไรกันแล้ว...ณีเป็นของพี่ปุ๊แล้วค่ะ”

ทั้งสัทธาและนวลช็อก นวลโงนเงนจะเป็นลม พรรณีตกใจเข้าประคอง พาแม่กลับบ้านพนัสพงษ์...นวลฟื้นขึ้นมานั่งดมยาดมแบบหมดแรง รำพันน้ำตาไหล

“โอ๊ย ฉันอยากจะตาย นี่แกแอบไปเจอกัน ไปได้เสียกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพวกแกถึงกล้าทำอะไรผิดผี ผิดประเพณีอย่างนี้ แล้วดูสิไปโพนทะนากลางตลาดแบบนั้น ไปตลาดคราวหน้าฉันคงต้องเอาปี๊บคลุมหัว ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

สัทธาสวนให้เอาไว้ที่เดิม นวลหันขวับจะด่า สัทธารีบบอกให้ใจเย็น ที่ตนพูดเพราะมั่นใจว่าพรรณีจะไม่เดือดร้อน ตนรับผิดชอบทุกอย่าง นวลสะบัดเสียง

“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แกรีบให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอยัยณีเดี๋ยวนี้เลย”

พรรณีตกใจแม่ไม่สนฤกษ์ยามแล้วหรือ นวลสวน ยังมีหน้าจะรอฤกษ์อีกหรือ อยากเป็นขี้ปากชาวบ้านนานๆ หรืออย่างไร ป่านนี้คงลือกันไปทั้งตลาดจนมันปาก ฉะนั้นยิ่งจัดงานแต่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี...สัทธากับพรรณีตาโตดีใจ สัทธารับปากจะรีบพาผู้ใหญ่มาสู่ขอโดยเร็ว
ooooooo

พอทางบ้านเดือนประดับรู้ข่าวต่างก็ดีใจที่สัทธาจะได้สมหวังกับพรรณี สัทธาบ่นเสียดายที่หทัยรัตน์ปฏิเสธหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะได้แต่งงานพร้อมกัน หทัยรัตน์หน้าเจื่อนพูดไม่ออก

วันต่อมา หทัยรัตน์มาสอนหนังสือกรกนกตามปกติ ประสาทพรนั่งรออย่างตื่นเต้น...กรกนกเอ่ยฝากหทัยรัตน์ไปต่อว่าหนึ่งให้ที ว่าตนน้อยใจที่เขาไม่ค่อยแวะมาหาตนบ้าง แล้วบ่นว่า

“วันก่อนแวะมาก็มาแป๊บเดียว หญิงชวนทานของว่างก็ไม่ทาน รีบเดินกลับไป อ้อ แล้วยังเอากระดาษที่คุณครูเล่นเกมกับพี่ชายกลับไปด้วยนะคะ หญิงก็สงสัยเหมือนกันว่าพี่หนึ่งจะเอากลับไปทำไม”

หทัยรัตน์ใจหายเมื่อรู้ว่าหนึ่งเก็บกระดาษที่เล่นเกมใบ้คำไป ครุ่นคิดเป็นกังวลว้าวุ่นไปหมด พอจะกลับ ประสาทพรขอไปส่ง เธอปฏิเสธแล้วเดินดุ่มๆไป ทำให้เขาสังหรณ์ใจ...

หนึ่งตัดสินใจนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ฝากจดหมายคนขับรถไว้ให้แม่พิมพ์...สั่งฝากแม่พิมพ์ส่งจดหมายให้ประสาทพรที่สถานทูตด้วย แม่พิมพ์ตกใจถามคนขับรถว่าหนึ่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาตอบว่าเมื่อคืน เธอให้ไปส่งที่หัวลำโพงแล้วฝากจดหมายกลับมา

บ้านพักที่เชียงใหม่ มีบุญเติมเป็นคนดูแล บุญเติมเป็นคนทะเล้นอารมณ์ดี อายุแก่กว่าหนึ่งไม่กี่ปี เป็นลูกไล่ของหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก เขาดีใจบอกหนึ่งว่าพักผ่อนให้หายเหนื่อยแล้วไปยิงนกตกปลากันเหมือนก่อน แต่ท่าทางหนึ่งเฉยชาหม่นหมอง เศร้าใจที่ตัวเองต้องมาพักใจที่นี่...

พอประสาทพรเปิดจดหมายของหนึ่งก็พบกระดาษแผ่นเล็กๆข้อความว่า...ฝากจดหมายซองสีฟ้านี้ให้หทัยรัตน์ด้วย มันเป็นข่าวดีของคุณชายกับหทัยรัตน์ ด้วยความปรารถนาดี อนวัช...เมื่อหทัยรัตน์มาถึงบ้านกนกพร ประสาทพรเอาจดหมายซองสีฟ้าให้ เธอถามว่าพบหนึ่งที่ไหน

“ผมไม่ได้พบหนึ่ง แต่มีคนที่เพชรลดาฝากไว้ที่เลขาของผม คุณหทัยรัตน์ไม่อ่านหรือครับ” ประสาทพรเห็นเธอไม่เปิดจดหมายอ่าน

หทัยรัตน์อึกอักก่อนจะออกตัวว่านัดเพื่อนไว้ขอตัวกลับ ประสาทพรมองตามอย่างกังวล หทัยรัตน์กลับมาบ้านเข้าห้องล็อกประตู เปิดจดหมายหนึ่งอ่านด้วยจิตใจว้าวุ่น

“หทัยรัตน์ที่รัก ขอโทษที่ฉันเรียกเธอเช่นนี้ ถ้าเธอรังเกียจก็คิดซะว่า มันเป็นเพียงคำขึ้นต้นจดหมายที่ฝรั่งนิยมใช้กัน ใจจริงฉันต้องการจะมาพบและตกลงกับเธอด้วยตัวเอง แต่คิดว่ามันเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป ในเมื่อฉันรู้ดีว่าเธอเกลียดฉันมากเหลือเกิน...ฉันเห็นใจเธอ ฉันจึงตัดสินใจที่จะคืนอิสรภาพให้เธอ เพื่อเธอจะได้แต่งงานกับประสาทพรตามที่ได้ตั้งใจไว้...”

ระหว่างที่หทัยรัตน์อ่านจดหมาย หนึ่งนั่งดื่มอย่างหนักอยู่ที่เชียงใหม่ หทัยรัตน์อ่านช่วงท้ายจดหมายที่ว่า เขาได้วางแหวนหมั้นของเธอไว้ที่กล่องสีน้ำตาลบนโต๊ะทำงานในห้องนอน เธอเอาคืนกลับไปได้ทุกเมื่อ ขอโทษที่ล่วงเกินโปรดอภัยให้ด้วย เขายินดีจะให้เธอหัวเราะเยาะ ที่จะลงท้ายจดหมายฉบับนี้ว่า...ฉันรักเธอ...

หทัยรัตน์อ่านคำลงท้ายซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งจนแน่ใจว่าตาไม่ฝาด ตัดสินใจไปที่บ้านเพชรลดาทันที ...ถามแม่พิมพ์ถึงหนึ่ง ได้คำตอบว่าหนึ่งเดินทางไปเชียงใหม่ไม่มีกำหนดกลับ เธอเดินช็อกกลับออกไป พอวิทย์รู้เรื่องก็แปลกใจหนึ่งทำไมทำตัวแบบนี้

ooooooo

วันนี้พรรณีแต่งตัวสวยรอรับผู้ใหญ่ที่สัทธาจะพามาสู่ขอ นวลหน้าตาบูดบึ้งต่อว่าลูกสาวได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ไม่ต้องมาเรียกตนว่าแม่ พรรณีก้มกราบขอโทษสารภาพว่าตนโกหกเรื่องมีอะไรกับสัทธา นวลลุกพรวดโวยวายที่ลูกยอมเสียชื่อเสียงเพื่อแลกกับการได้แต่งงาน

พรรณีพยายามอธิบายว่าสัทธาเป็นคนดี แต่นวลยังรังเกียจหาว่าต่ำต้อยไร้สมบัติ พรรณียืนยันว่าตนรักที่จิตใจเขาไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ อยากให้แม่เปิดใจมองเขาใหม่สักครั้ง...ไม่นาน สัทธาก็พาสุทธิ์ทิพย์ สุดาและเถ้าแก่มาที่พนัสพงษ์ นวลมองแบบเหยียดๆ บอกไม่อยากอ้อมค้อมจะให้สินสอดเท่าไหร่ก็ว่ามา พรรณีปรามแม่ด้วยความอาย สุทธิ์จึงเริ่มเกริ่น ถ้านวลไม่เรียกตนก็จะจัดสินสอดเองให้เหมาะสมกับฐานะครอบครัวของเธอ

เริ่มจากแหวนหมั้นเป็นแหวนมรดกตกทอดไม่ใหญ่มากแค่ 3 กะรัต นวลหันมอง พอสุทธิ์กล่าวต่อว่า มีทองหนัก 10 บาท ชุดทับทิมล้อมเพชรหนึ่งชุด โฉนดที่ดินที่เจริญกรุงและที่บางรัก บ้านพักต่างอากาศที่หัวหิน และสุดท้ายเงินสดสองแสนบาท...นวลตาโตอ้าปากค้าง พรรณีสะกิดแม่ให้เก็บอาการ...ทิพย์เอ่ยถามว่าน้อยไปไหม ยังรังเกียจครอบครัวตนอยู่หรือเปล่า

นวลเปลี่ยนท่าทีบอก “อุ๊ย...ไม่รังเกียจหรอกค่ะ แหม...ที่จริงดิฉันก็ไม่ได้จะเรียกร้องอะไรมากขนาดนี้ เพราะจริงๆแล้วเราก็คนกันเองทั้งนั้นนะคะ...เอ้อ แล้วคุณสุทธิ์กับคุณทิพย์คิดว่างานแต่งงานจะจัดเมื่อไหร่ดีคะ ดิฉันว่าเร็วหน่อยก็ดี เพราะดิฉันก็ใจร้อนอยากให้ยัยณีเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วๆน่ะค่ะ” นวลหันมาถามสัทธา เขา หน้าเหวอรีบรับคำเห็นด้วย

วันต่อมา สัทธาเพิ่งรู้จากแม่พิมพ์ว่าหนึ่งไปเชียงใหม่ ก็กลับมาคาดคั้นถามหทัยรัตน์ทำไมไม่บอกเรื่องหนึ่ง มีปัญหาอะไรกัน หทัยรัตน์บ่ายเบี่ยงไม่รู้เรื่องและขอตัวไปสอนหนังสือ

ooooooo

หนึ่งในทรวง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด