สมาชิก

หนึ่งในทรวง

ตอนที่ 1

อัลบั้ม: เจมส์ จิรายุ ประกบ ญาญ่า ใน "หนึ่งในทรวง"



หทัยรัตน์ ราชพิทักษ์ หรือปุ้ม กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก ได้ป้าทิพย์ภรรยานายสุทธิ์ พรหมประเสริฐ ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเป็นป้าแท้ๆเลี้ยงดู เหมือนลูกในไส้ควบคู่กับลูกชาย–หญิงของตัว คือ สัทธาหรือปุ๊กับสุดาหรือแป้น ทั้งสองรักและเอ็นดูหทัยรัตน์มาก

เมื่อทุกคนเติบใหญ่ หทัยรัตน์โปรดปรานการขี่ม้า บังคับม้าข้ามสิ่งกีดขวางได้อย่างสง่างามเป็นที่ชื่นชมของชาวต่างชาติ หนุ่มไทยหลายคนเพียรเข้ามาจีบแต่เธอวางตัวแบบหญิงไทยที่หายากในสมัยนี้

สัทธากับสุดารู้ดีว่าน้องชอบขี่ม้าจึงปล่อยให้น้องขี่เจ้าวิสกี้ให้หนำใจ ทั้งสองนั่งรอในร้านอาหารของโรงเรียนสอนขี่ม้า สัทธาตื่นเต้นเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ ทายาทรูปงามแห่งบ้านเพชรลดา...หนึ่ง อนวัช พัชรพจนารถ บุตรชายท่านทูตวิทย์ กำลังเดินทางกลับจากฝรั่งเศส

เวลาผ่านไป หนึ่งเดินเข้ามาในบริเวณผู้โดยสารขาเข้า สาวๆกรีดกราดกับความหล่อมาดเท่ของเขา หนึ่งหันมองไม่ตื่นเต้นแถมเชิดใส่อย่างเย่อหยิ่ง เขาเดินออกมาพบวิทย์ผู้เป็นพ่อยืนรอรับอยู่ ก็ปรี่เข้าไปกราบ วิทย์ดีใจที่ลูกเรียนจบกลับมาอยู่บ้าน ถามลูกอย่างห่วงใยว่าเหนื่อยไหม

“ไม่เหนื่อยเลยครับ ตื่นเต้นมากกว่า คิดถึงคุณพ่อแล้วก็คิดถึงอะไรตั้งหลายอย่างในไทย”

“พ่อก็คิดถึงลูกและคงมีหลายคนที่คิดถึงลูกเหมือนกัน โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้ ทั้งคิดถึงทั้งเฝ้ารอให้เรา

กลับมาทุกลมหายใจ ไม่ได้รอเปล่า ยังตื่นมาทำอาหารจัดห้องหับให้เราตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยนะ เดาสิว่าใคร”

หนึ่งทำท่าคิดสักพักก่อนจะโพล่งออกมาว่า...

นมพิมพ์...ขณะเดียวกัน ที่บ้านเพชรลดา นมพิมพ์ยืนรอน้ำตาคลอด้วยความดีใจ พอรถแล่นเข้ามาจอด หนึ่งก้าวลงจากรถถลาเข้าไปกอดพิมพ์และหอมแก้มซ้ายขวาเบาๆ บ่อน้ำตาพิมพ์ทะลักกอดคุณหนูของตนด้วยความตื้นตัน

“ทูนหัวของพิมพ์...เห็นภาพในหนังสือพิมพ์ว่างามแล้ว ตัวจริงยิ่งงามกว่าหลายเท่า”

“นมพิมพ์พูดแบบนี้เดี๋ยวคุณหนึ่งอิ่มลูกยอไม่ได้กินอาหารที่เตรียมไว้นะ” หนึ่งยิ้มพราว

พิมพ์รีบบอกจะเก็บลูกยอไว้ก่อน แล้วหันไปสั่งเมี้ยนตั้งเตาอุ่นแกง แม้นลำเลียงผักที่แกะสลักขึ้นโต๊ะ สั่งมะยมกับรำพึงยกอาหารขึ้นโต๊ะโดยเร็ว...วิทย์เห็นความวุ่นวายของพิมพ์จึงชวนลูกชายเดินดูรอบบ้าน ดูห้องใหม่ที่ทำไว้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาในสัปดาห์หน้า หนึ่งดีใจ

ooooooo

หลายวันผ่านไป หทัยรัตน์แต่งตัวเตรียมออกไปสัมภาษณ์งาน สัทธากับสุดาเรียกให้อ่านข่าวใครคนหนึ่ง ถามยังจำได้ไหม เราเคยวิ่งเล่นกันตอนเด็กๆ หทัยรัตน์ยืนคิดเพราะตอนเด็กมีเพื่อนวิ่งเล่นด้วยหลายคน สุดาจึงเฉลย “พี่หนึ่งอนวัช พัชรพจนารถ ปุ้มจำได้หรือเปล่า”

หทัยรัตน์หยุดชะงัก ภาพในอดีตถาโถมเข้ามาทันที...วิทย์พาหนึ่งมาที่บ้านเดือนประดับบ่อยๆ เพราะวิทย์กับสุทธิ์เป็นทั้งญาติห่างๆและเพื่อนสนิทกัน แต่หนึ่งเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาให้เป็นผู้นำ แม่เสียตั้งแต่แรกเกิด จึงได้รับการเอาใจอย่างมากทำให้เย่อหยิ่งและถือตัว หนึ่งมองหทัยรัตน์อย่างเหยียดๆเพราะเป็นเด็กตัวอ้วนดำเนื้อตัวมอมแมมแถมไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของสุทธิ์

ความทรงจำที่ไม่เคยลืมของหทัยรัตน์คือในงานปีใหม่ เธอจับฉลากได้ลูกบอลสีสวย เธอดีใจมาก แต่กลับถูกหนึ่งแย่งไปและเอาตุ๊กตามาให้แทน อ้างลูกบอลควรเป็นของเด็กผู้ชาย แถมพูดใส่หน้าว่า...จำไว้ คนอย่างคุณหนึ่ง ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ และอีกเหตุการณ์หนึ่ง เด็กๆวิ่งแข่งกัน หทัยรัตน์วิ่งนำสัทธากับสุดากำลังจะแซงหนึ่ง แต่แล้วก็ถูกหนึ่งกระแทกล้มลงแถมบอกว่า...ฉันต้องชนะที่หนึ่งเท่านั้น...หทัยรัตน์เจ็บแค้นและฝังใจจำอย่างมาก คำเหยียดหยามที่หนึ่งมักจะพูดใส่หน้าก็คือ...จำไว้ เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่อย่างเธอ ไม่มีวันชนะฉัน

สุดาเห็นน้องยืนนิ่งก็ถามซ้ำจำหนึ่งได้ไหม หทัยรัตน์ จึงบอกว่าจำได้ขึ้นใจ ชีวิตนี้ไม่มีวันลืม...สุดาหุบยิ้มปลอบ “โธ่ปุ้ม เรื่องมันตั้งนานมาแล้วนะลืมๆมันไปซะเถอะ ตอนนี้พี่หนึ่งเขาโตแล้ว ปุ้มก็โตแล้วคงไม่เหมือน กับตอนเด็กๆ ขนาดปุ้มยังเปลี่ยนไปตั้งเยอะ ไม่ใช่ กระปุกตั้งฉ่ายเหมือนเมื่อก่อน...เอ่อ...พี่แค่เปรียบเทียบให้เข้าใจ ตอนนี้พี่หนึ่งก็อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้นะจ๊ะ”

“ถ้านายอนวัชเปลี่ยนไปจนทำให้ปุ้มลืมเด็กชาย อนวัชที่เอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาชนะและดูถูกคนอื่นได้ ปุ้มก็อาจจะลืมความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตได้ แต่ถ้าเขายังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีทางที่ปุ้มจะลืม” ปุ้มมองรูปหนึ่งในหนังสือพิมพ์แล้วเบ้ปาก ก่อนจะขอตัวอย่างสุภาพออกไป

อาจารย์สดใสพาหทัยรัตน์มาบ้านกนกพร มาพบหม่อมราชวงศ์กรกนก จรูญลักษณ์

“คุณหญิงเป็นลูกศิษย์ที่ครูสอนมาตั้งแต่เล็กๆ เธอไม่สะดวกจะไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆก็เลยต้องหาครูมาสอนประจำที่บ้าน แต่ครูสอนไม่ไหวแล้วก็เลยหาครูใหม่มาให้แทน คุณหญิงจะสัมภาษณ์พร้อมกับตัดสินใจว่าจะรับใครเป็นครูใหม่ของเธอ...คุณหญิงถามอะไรมาก็ตอบไปดีๆล่ะ เพราะเธอช่างเลือกมาก ครูพามาสัมภาษณ์ตั้งหลายคนแล้วไม่มีใครได้สักคน”

หทัยรัตน์ทำหน้าเหวอ อาจารย์สดใสนั่งรอหน้าห้อง ให้เธอเข้าไปพบคุณหญิงลำพัง...ภายในห้องมีฉากม่านกั้น เสียงทุ้มต่ำดังมาจากหลังม่าน...เชิญให้นั่งและตั้งคำถาม 3 ข้อ

“คุณต้องตอบคำถามหญิงทีละข้อ ข้อที่หนึ่งถ้าหญิงทำผิด คุณจะตีหญิงไหมคะ”

หทัยรัตน์ตอบว่าตี แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำผิด ตนจะบอกให้ทราบก่อนว่าผิดอย่างไร เด็กที่ดีจะไม่ทำผิดซ้ำจนถึงกับต้องลงโทษด้วยการตี...เสียงรถเลื่อนเอี๊ยดอ๊าด คุณหญิงถามข้อที่ 2

“คุณทราบไหมว่าเด็กกำพร้าแม่มีความรู้สึกอย่างไร”

“ดิฉันทราบดีค่ะ เพราะดิฉันกำพร้าทั้งพ่อและแม่ ท่านจากไปตั้งแต่ดิฉันอายุ 4 ขวบ แต่ถึงดิฉันจะกำพร้า ก็ยังมีคนที่คอยรักและห่วงใยดิฉันอยู่มากมาย ทั้งคุณลุงคุณป้าและพี่ๆ ดิฉันคิดว่าถ้าเราเป็นคนดีคงไม่มีใครรังเกียจเรา”

คุณหญิงถามคำถามที่ 3 “คุณคิดว่าเด็กพิการจำเป็นต้องเรียนหนังสือมากกว่าคนอื่นรึเปล่า”

“ดิฉันคิดว่าเด็กทุกคนต้องเรียนหนังสือมากๆทั้งนั้นค่ะ ไม่ว่าจะพิการหรือไม่ก็ตาม เพราะความรู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนเท่าๆกัน ความพิการไม่ใช่อุปสรรค ถ้าเราต้องการจะเรียนรู้...ถ้าเรามีความรู้ ใครก็มาดูถูกเราไม่ได้ และถ้ามีคนมาดูถูก เราก็จะไม่อ่อนไหวไปกับคำดูถูกนั้นเพราะความรู้ทำให้เรามีปัญญา ปัญญาจะทำให้เราเข้มแข็งและ...”

คุณหญิงตัดบท “พอได้แล้ว ไม่ต้องตอบแล้ว...”

หทัยรัตน์ใจแป้วคิดว่าตนคงไม่ได้งานนี้เสียแล้ว ทันใดหม่อมราชวงศ์กรกนกก็เคลื่อนรถเข็นออกมาจากหลังม่าน เป็นเด็กหญิงวัย 12 ปี หน้าตาน่ารัก ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร หทัยรัตน์ลุกไปคุกเข่าตรงหน้า คุณหญิงบอกว่าตกลงรับเธอเป็นครูและจะเป็นลูกศิษย์ที่ดี หทัยรัตน์ยิ้มปลื้ม

ooooooo

สองสามวันต่อมา มีการฉลองในกลุ่มเพื่อนๆ จุฬาฯโดยผ่องฉวีเป็นตัวตั้งตัวตีจัดที่สโมสรลีลาศ หทัยรัตน์ในชุดเรียบเก๋เดินเข้ามา ผ่องฉวีเข้าไปต้อนรับและแนะนำให้รู้จักหมอประสงค์แฟนหนุ่ม จากนั้นก็พาเข้าไปร่วมโต๊ะที่เพื่อนๆนั่งกันอยู่สิบกว่าคน ต่างทักทายสารทุกข์สุกดิบ

ไม่ทันไรเสียงสาวๆซุบซิบตาวาวเป็นประกาย มองหนุ่มหล่อที่เดินเข้ามาหากลุ่มศิษย์เก่าฝรั่งเศสที่โต๊ะไม่ห่างกันมากนัก...เพื่อนสะกิดหทัยรัตน์ให้มอง “เธอดูผู้ชายคนนั้นสิ คนที่ใส่สูทดำอยู่ที่โต๊ะคุณอิสราน่ะ หล๊อหล่อ เขาเป็นใครน่ะเธอ รู้จักรึเปล่า”

เสียงเพื่อนอีกคนแซวไปอยู่ชายแดนมาหรือ ถึงไม่รู้จัก อนวัช พัชรพจนารถ...หทัยรัตน์สำลักน้ำที่ดื่มจนผ่องฉวีต้องส่งกระดาษทิชชูให้อย่างแปลกใจ เธอค่อยๆปรายตามองอย่างรักษาท่าที หนึ่งหันมาสบตาเข้าพอดิบพอดี เธอรีบหันกลับตัดสินใจบอกเพื่อนว่ามีงานต้องรีบกลับ ผ่องฉวีไม่ยอมดึงมือไว้บอกเพื่อนๆให้ช่วยกันรั้ง

เสียงพิธีกรประกาศขึ้นว่าทางสโมสรจัดกิจกรรมเพื่อให้ทุกคนได้ร่วมสนุกและร่วมลีลาศในบรรยากาศที่แปลกใหม่ ขออาสาสมัคร 10 คู่ ผ่องฉวีฉุดหทัยรัตน์ออกไป ด้านโต๊ะศิษย์เก่าฝรั่งเศสก็ดันหนึ่งออกไปเช่นกัน

ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายไม่มีใครเห็นกันเพราะมีม่านกั้นกลาง แต่ละคนต้องลุ้นเอาว่าจะได้จับคู่กับคู่ตัวเองหรือเปล่า เมื่อฉากกั้นเปิดทั้งสองฝ่ายต้องเต้นรำกันจนจบเพลง และถ้าคู่ไหนได้รับเสียงปรบมือจากแขกผู้มีเกียรติมากที่สุด จะเป็นคู่ลีลาศยอดเยี่ยมในคืนนี้...

หทัยรัตน์ภาวนาให้ตนไม่ได้จับคู่กับหนึ่ง แต่พอม่านเปิดต้องตะลึงงัน หนึ่งเชิดหน้าแอบมองความสวยของเธอ

ไม่คาดฝัน หทัยรัตน์กล่าวขอสละสิทธิ์ ทำให้ทุกคน ช็อกแล้วเธอก็หันหลังเดินลิ่วออกไป หนึ่งรู้สึกเหมือนหน้าแตกเพล้ง...ยอมไม่ได้ตะโกนขึ้น “นี่คุณ...หยุดก่อน! ผมบอกให้หยุด!”

พิธีกรเห็นบรรยากาศไม่ดีรีบเปิดเพลงให้คู่อื่นเต้นรำ โดยบอกว่ากรรมการกำลังจับตามอง...หทัยรัตน์วิ่งออกมาด้านหน้าสโมสร สะดุดรองเท้าหลุดข้างหนึ่ง เธอเห็นหนึ่งวิ่งตามมาจึงทิ้งรองเท้าวิ่งต่อ หนึ่งเก็บรองเท้าวิ่งตาม หญิงสาวเริ่มวิ่งไม่ถนัด ถอดรองเท้าอีกข้างจะวิ่งต่อ แต่หนึ่งตามมาคว้าแขนไว้ ต่างคนต่างหอบ หนึ่งออกคำสั่งเสียงเฉียบให้กลับไปเต้นรำกับตน

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันสละสิทธิ์ ฉันไม่เต้นรำกับคุณ”

หนึ่งมองหน้าหญิงสาวชัดๆ เห็นแววตาดื้อดึงจองหองเต็มสองตา จึงถามด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ “ผมอยากรู้ทำไมคุณไม่ยอมเต้นรำกับผม คุณทำแบบนี้คนอื่นเขาจะคิดกับผมยังไง”

หทัยรัตน์ยิ้มเยาะ หนึ่งไม่พอใจถามยิ้มแบบนี้หมายความว่าอย่างไร เธอย้อนจะยิ้มอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา เขาโวยว่าเกี่ยว หญิงสาวจึงบอกว่า

“ฉันบอกให้ก็ได้ ฉันคิดว่าที่แท้คุณก็ห่วงหน้าตาของตัวเองนี่เอง คงจะไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนวิ่งหนีคุณล่ะสิ ถึงได้โกรธจนต้องวิ่งมาลากฉันกลับเข้าไปแบบนี้”

“ใช่...ไม่เคยมีใครหันหลังให้ผม และจะไม่มีใครทำแบบนั้นได้ คุณต้องไปเต้นรำกับผม”

“ฉันไม่ไป ฉันโตแล้วไม่ใช่เด็กๆที่คุณจะมาบังคับให้ทำอะไรก็ได้ตามใจคุณ และกรุณาจำไว้ด้วยนะคะ ไม่มีใครที่จะได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ และฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่หันหลังให้คุณ” หทัยรัตน์ดึงรองเท้าจากมือหนึ่งแล้วเชิดหน้าวิ่งเท้าเปล่าไปขึ้นรถแท็กซี่ออกไป

หนึ่งเหมือนโดนหมัดตรง อึ้งและฉุนสับสนไปหมด...กลับบ้านบ่นกับนมพิมพ์ ไม่คิดว่าเมืองไทยจะมีผู้หญิงจองหองแบบนี้ เถียงคำไม่ตกฟากทำอย่างกับโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ถ้าแต่งตัวมอมแมมตนจะคิดว่าเป็นคนบ้า

“เพราะสวยใช่ไหมคะ ทำให้คุณหนึ่งหงุดหงิดถึงขนาดปลุกพิมพ์ดึกๆดื่นๆเพื่อมาฟังเรื่องนี้ สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ” พิมพ์ยิ้มอย่างรู้ทัน

หนึ่งยอมรับ อยากรู้ว่าเธอเป็นใคร ทำไมจองหองไม่มีมารยาท ถ้าเจออีกจะไม่ปล่อยให้ลอยหน้าแบบนั้นเป็นครั้งที่สองแน่...หนึ่งหงุดหงิดทำไมภาพรอยยิ้มเธอแว่บเข้ามาในสมอง

ส่วนหทัยรัตน์เล่าให้สุดาฟังว่าวิ่งหนีนักเลงหัวไม้จนรองเท้าขาด สุดาตกใจจะให้สัทธาไปเอาเรื่อง หทัยรัตน์รีบห้าม “ใจเย็นค่ะพี่แป้น คือไม่มีอะไรมาก เขาคงแค่อยากแสดงอำนาจตามประสา แต่ปุ้มหนีมาได้ ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกค่ะ ชีวิตนี้ปุ้มคงไม่เจอคนแบบนี้อีกแล้ว”

สุดากำชับต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรต้องโทร.บอกทันที หทัยรัตน์ยิ้มรับ สุดานึกได้มีข่าวดีจะบอกสองข่าว ข่าวแรก คือพรุ่งนี้ตนกับสัทธาจะเลี้ยงข้าวฉลองที่เธอได้งาน ข่าวที่สองคือ “คุณลุงวิทย์จะจัดเลี้ยงต้อนรับพี่หนึ่ง คุณพ่อบอกให้เราสามคนเตรียมตัวให้พร้อมไปกับท่านด้วย งานนี้เป็นงานดังมากเลยนะ ใครๆก็อยากไปแต่คุณลุงเชิญ แค่ไม่กี่ครอบครัว นี่ถ้าเพื่อนพี่รู้จะต้องอิจฉาตาร้อนผ่าวแน่ ตอนนี้สาวๆทั้งพระนครอยากอยู่ใกล้พี่หนึ่งกันทั้งนั้น ปุ้มต้องแต่งตัวสวยๆนะ”

หทัยรัตน์หน้าเสียคิดหาทางหลบหลีก

ooooooo

คืนต่อมาในร้านอาหารหรู ชุลีชวนส่องแสงมาเป็นเพื่อนหวังจะมีผู้ชายหล่อหรูให้ความสนใจ แต่กลับถูกส่องแสงกลบทั้งเสื้อผ้าและหน้าตาให้ด้อยกว่า ผู้ชายในร้านมองเธอเป็นตาเดียว ชุลีอดบ่นไม่ได้ว่าไม่น่าชวนเธอมา ส่องแสงยิ้มเชิด

“แหม...อย่าคิดมากเลยชุลี เดี๋ยวเราไปนั่งโต๊ะที่อยู่หลังต้นไม้ตรงนั้นก็ได้ มีใบไม้บังหน้าไว้ หนุ่มจะได้เห็นไม่ชัด อาจจะทำให้มีคนสนใจเธอก็ได้นะ”

ชุลีเหล่มอง นี่เพื่อนพูดจริงหรือจิกกัดตนกันแน่... ไม่ทันไรสายตาหนุ่มๆในร้านก็เบนความสนใจไปยังผู้มาใหม่ ส่องแสงแปลกใจมองตาม เห็นหทัยรัตน์สวยโดดเด่นเดินมากับสัทธาและสุดาก็ไม่พอใจ บอกชุลีให้นั่งไปก่อนตนจะไปทักคนรู้จัก

สัทธากำลังบอกน้องๆสั่งอาหารเต็มที่ สองสาวร้องไชโยสนุกสนาน ส่องแสงเดินเข้ามาเอ็ดหาว่าคุยเสียงดังลั่นร้านทำตัวเหมือนแม่ค้า พอสุดาบอกว่าพวกตนมาเลี้ยงฉลองที่หทัยรัตน์ได้งานทำ ส่องแสงยิ่งหมั่นไส้ ตอกย้ำให้เจ็บใจเล่น

“ก็ดีนะ เด็กในบ้านจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตาเห็นโลกภายนอกบ้าง ไม่ใช่อุดอู้อยู่แต่ในครัว...เธอนี่โชคดีนะที่เกิดเป็นหลานภรรยาคุณลุงฉัน ถ้าไปอยู่ในอุปการะของคนอื่นคงจะไม่มีวาสนาแบบนี้”

หทัยรัตน์อดกลั้น ตอกกลับเล็กๆ “ดิฉันทราบเสมอค่ะ ถ้าดิฉันเกิดตกฟากผิดไปเป็นลูกของญาติคุณส่องแสง ดิฉันคงจะไม่มีโอกาสเช่นนี้”

“แน่นอน เพราะฉันเลี้ยงคนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่งั้นจะลืมตัวนึกว่าตัวเองเป็นหงส์ ทั้งที่จริงๆแล้วก็เป็นแค่เป็ดท้องนาที่ว่ายอยู่ในฝูงหงส์เท่านั้น” ส่องแสงพูดจบก็เดินกลับโต๊ะ

สัทธาฉุนบ่นว่าส่องแสงมากวนน้ำให้ขุ่นแล้วกลับไป ปลอบหทัยรัตน์ว่าถ้าเธอเป็นเป็ด พวกตนก็เป็นเป็ดด้วย ปล่อยส่องแสงเป็นหงส์ตัวเดียว ว่าแล้วก็ร้องเสียงก้าบๆหัวเราะกันครืน...

ส่องแสงกลับบ้านมาเล่าให้สีสุกฟังอย่างเคืองๆที่สัทธากับสุดาพาเด็กอนาถาไปนั่งชูคอในร้าน สีสุกแค้นใจไปด้วย นึกได้รีบบอกลูกสาวว่าที่บ้านเดือนประดับได้รับเชิญไปงานเลี้ยงต้อนรับหนึ่ง ตนยอมไม่ได้จะต้องหาทางไปด้วย ให้ส่องแสงเตรียมตัดชุดให้เด่นสุดเข้าไว้...

และแล้วก็ถึงวันงาน หนึ่งในชุดเรียบหรูยืนรับแขกกับวิทย์ผู้เป็นพ่อ แขกแต่ละคนที่มาร่วมงานต่างแนะนำลูกสาวให้หนึ่งรู้จักกันเป็นแถว หนึ่งเหลือบไปเห็นคนคล้ายหทัยรัตน์จึงรีบเดินไปทัก แต่ปรากฏว่าผิดคน เขาแปลกใจตัวเองทำไมต้องนึกถึงเธอ

หน้าบ้าน สุทธิ์ ทิพย์ สัทธาและสุดาลงจากรถกำลังจะเดินเข้าบ้าน สีสุกกับส่องแสงปรี่เข้ามาทำเนียนเร่งทุกคนเดินเข้างาน สัทธาแปลกใจถามว่าสีสุกได้รับเชิญด้วยหรือ สีสุกชักสีหน้าสวนว่าตนเป็นน้องสุทธิ์ก็เท่ากับเป็นครอบครัวเดียวกัน สัทธากับสุดาทำหน้าเอือมระอา

ส่องแสงวางมาดนางพญาข่มทุกคนเดินเชิดเข้างาน สุทธิ์นึกได้ถามหาหทัยรัตน์ สุดาตอบเซ็งๆว่าน้องไปตีเทนนิสเห็นว่านัดไว้ก่อนเลื่อนไม่ได้ ทิพย์บ่นน่าตีนักเด็กคนนี้

พอเข้ามาในงาน ส่องแสงกับสีสุกตะลึงมองความหล่อของหนึ่ง แต่หนึ่งกลับเพ่งมองสัทธาที่ยืนหลังส่องแสง ส่องแสงคิดว่าหนึ่งมองเธอจึงส่งยิ้มบาดใจ แต่หนึ่งกลับเดินรี่ผ่านเธอไปทักสัทธาอย่างเป็นกันเอง เพราะเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็ก แล้วสวัสดีสิทธิ์กับทิพย์และทักทายสุดา ทำให้สีสุกกับส่องแสงยืนหน้าม้าน สุทธิ์จำต้องแนะนำน้องสาวกับหลานแก่หนึ่ง

“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ผมจะมีน้องสาวเป็นผู้หญิงไทยที่สวยกว่าผู้หญิงฝรั่งเศส” หนึ่งชม

สัทธาเห็นท่าทีส่องแสงไม่พอใจจึงกระซิบสุดา “นี่ขนาดโดนหารคำชม ยัยส่องยังค้อนตั้งครึ่งวง นี่ถ้ายัยปุ้มมาด้วยมีหวังยัยส่องคงได้ค้อนจนหน้าคว่ำ” สองพี่น้องหัวเราะคิกคัก

ส่องแสงปรายตามองเหมือนรู้ สองคนรีบทำหน้าปกติ...ตลอดงานหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองคอยมองหาผู้หญิงเย่อหยิ่งที่เจอคืนนั้น แต่กลับพบสายตาส่องแสงตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน หทัยรัตน์หวดลูกเทนนิสกับผ่องฉวีและประสงค์เหมือนเป็นการระบายอารมณ์มากกว่ามาตีสนุกๆ

ooooooo

หลายวันผ่านไป หทัยรัตน์มาสอนหนังสือกรกนกทุกวัน กรกนกรู้สึกรักครูคนนี้มากถึงกับอยากให้รู้จักพี่ชาย แต่หทัยรัตน์กลับบ้านก่อนพี่ชายจะถึงบ้านทุกที และวันนี้ก็เช่นกัน

“ว้า...น่าเสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรค่ะ หญิงไม่ยอมแพ้ หญิงจะต้องทำให้พี่ชายเจอกับคุณครูให้ได้” กรกนกมุ่งมั่นจนหทัยรัตน์ยิ้มแหยๆวางหน้าไม่ถูก

หทัยรัตน์เดินออกมาหน้าตึก เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายคนหนึ่งแต่งตัวแบบคนสวนกำลังยกกระถางต้นไม้แล้วเกิดหล่นใส่เท้าเลือดออก หทัยรัตน์ตกใจรีบเข้าไปช่วย เอาผ้าเช็ดหน้าส่งให้เขาใช้ห้ามเลือด คนสวนเกรงผ้าเธอจะเลอะแต่เธอบอกให้เขารีบเช็ดเลือดแล้วไปล้างก่อนจะเป็นบาดทะยัก คนสวนประทับใจในความมีน้ำใจของเธอมากที่ไม่รังเกียจและถือตัว

ชายคนสวนเดินเข้ามาในบ้านถอดหมวกวางลง กรกนกเข็นรถเข้ามาทัก “พี่ชายกลับตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ได้เจอครูของหญิงหรือเปล่าคะ คุณครูเพิ่งออกไปเมื่อกี้ สวนกันหรือเปล่าคะ”

แม่โอผู้เป็นแม่บ้านขำที่คุณหญิงยิงคำถามใส่พี่ชาย ...หม่อมราชวงศ์ประสาทพรยิ้มเอ็นดูน้องตอบว่าตนกลับมาได้พักใหญ่ พอดีรถเสียคนที่กระทรวงมาส่ง ตนเห็นสวนรกจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปทำสวน แล้วก็ได้พบคนมีน้ำใจคือคุณครูของน้องและยอมรับว่าเธอทั้งสวยและจิตใจดี

“ไชโย! พี่ชายคิดเหมือนหญิงเลย อ้อ...พี่ชายคะพี่ชายคิดว่าถ้าพี่หนึ่งได้เจอคุณครู พี่หนึ่งจะชอบคุณครูเหมือนพี่ชายไหมคะ แม่โอบอกว่าพี่ชายชวนพี่หนึ่งมารับประทานอาหาร หญิงอยากอวดคุณครูกับพี่หนึ่งจังเลยค่ะ อยากรู้ว่าพี่หนึ่งจะบอกว่าคุณครูน่ารักเหมือนเราหรือเปล่า”

“จริงสินะ พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าวันที่พี่หนึ่งมาเราชวนคุณครูน้องหญิงอยู่รับประทานอาหารด้วยกันนะคะ” ประสาทพรนึกสนุกไปกับน้องสาว

แต่หนึ่งได้รับเชิญมาทานอาหารที่บ้านเดือน-ประดับก่อน พอสีสุกทราบข่าวก็แล่นมากันท่า ทำทีแนะนำสัทธากับสุดาว่าวันที่หนึ่งมาทานข้าวบ้านไม่ควรให้หทัยรัตน์อยู่เสนอหน้าเพราะไม่ได้เกี่ยวดองอะไร และปรักปรำว่าเป็นเด็กทะเยอทะยานคงหาทางตะเกียกตะกายมาเจอหน้าหนึ่งจนลืมกำพืดตัวเอง...หทัยรัตน์ผ่านมาได้ยิน ทนไม่ไหวเดินเข้ามาตอบเอง

“ขอบคุณคุณสีสุกมากนะคะที่กรุณามายุ่งเรื่องของดิฉัน คุณสีสุกไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดิฉันไม่เคยลืมกำพืดของตัวเองและไม่คิดที่จะตะเกียกตะกายใฝ่สูงเกินตัว”

สีสุกหันขวับมาโวย ตนไม่ได้ยุ่งเรื่องเธอแต่เป็นห่วงพี่ชายไม่อยากให้ขายหน้าที่เด็กในบ้านแสดงอาการระริกระรี้ คนอื่นจะคิดว่าคนบ้านเดือนประดับไม่มีสมบัติผู้ดี สุดาเหลืออดติงสีสุกพูดแรงเกินไป สีสุกสวนถ้าไม่จริงจะมีหนุ่มมากหน้ามาหลงหัวปักหัวปําหรือถ้าไม่ไปหว่านเสน่ห์เอาไว้ หทัยรัตน์ยิ่งฟังยิ่งเสียใจ สุดามองน้องด้วยความสงสาร เมื่อสีสุกกลับไป สัทธากับสุดาก็ช่วยกันปลอบหทัยรัตน์ไม่ให้คิดมาก พวกตนอยากให้เธออยู่เผชิญหน้ากับหนึ่งอย่าหนีอีก

แล้ววันต่อมาหทัยรัตน์รีบจัดดอกไม้แกะสลักผักไว้พร้อมแล้วย่องจะออกจากบ้านแต่เช้า สุดากับสัทธารู้ทันพยายามดักทุกประตู หทัยรัตน์จึงหลบเข้าห้องครัว เจอแหววทอดปลาอยู่ เสียงรถยนต์แล่นเข้ามา จึงให้แหววไปดู พอแหววออกไปเธอก็วิ่งจู๊ดจะไปที่ประตูใหญ่ เห็นผู้มาเยือนคือหนึ่งก็ตกใจรีบหลบหลังพุ่มไม้

หนึ่งเห็นแวบๆไม่ติดใจสงสัยเดินเข้าบ้านไปหาสัทธา พอสุดารู้จากแหววว่าหทัยรัตน์อยู่ในครัวก็รีบเข้าไปดู เจอปลาในกระทะไหม้ควันโขมงก็ร้องลั่น ฮีโร่ที่เข้ามาดับไฟได้ทันคือหนึ่ง...เรื่องถึงหูสุทธิ์ เขาต้องขอโทษหนึ่งกับความวุ่นวายในบ้าน

สัทธาเอาใจชวนหนึ่งเดินชมบรรยากาศเก่าๆในบ้าน ทิพย์รู้จากสุดาว่าหทัยรัตน์ออกไปข้างนอกก็บ่นอุบ หนึ่งได้ยินชื่อปุ้มหลายครั้งชักอยากเห็นหน้า สุดารีบเอารูปทั้งสมัยเด็กและปัจจุบันมาให้หนึ่งดู หนึ่งแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าปุ้ม เด็กหญิงกระปุกตั้งฉ่ายจะเป็นคนเดียวกับผู้หญิงยโสคนนั้น ภาพในวัยเด็กหวนกลับมา

ครั้งนั้นเด็กๆคิดเรื่องที่จะแสดงละครวันเกิดวิทย์ หนึ่งอยากเล่นเป็นเจ้าชาย สุดาจึงเสนอเรื่องซินเดอเรลล่าและตนขอเล่นเป็นนางฟ้า สัทธารีบบอกว่าตนอยากเล่นเป็นพระราชา จึงเหลือหทัยรัตน์ที่ต้องเป็นซินเดอเรลล่า แต่หนึ่งโวย ซินเดอเรลล่าจะอ้วนดำเป็นกระปุกตั้งฉ่ายได้อย่างไร หทัยรัตน์ทั้งอายและโกรธจึงคว้ามือหนึ่งมากัดจนเลือดซิบ หนึ่งเจ็บแค้นไม่มีวันลืม

สัทธาเห็นหนึ่งนิ่งอึ้งจึงถามขึ้นว่า เห็นหทัยรัตน์ตอนนี้ยังคิดอยากแกล้งอยู่หรือเปล่า หนึ่งบอกว่าต้องแกล้งหนักกว่าเดิม สุดาเย้าเธอจะยอมให้แกล้งหรือ

“ไม่ยอมก็ต้องยอม ตอนเด็กๆฉันยังปราบพยศได้ ทำไมตอนนี้จะทำไม่ได้ แล้ววันนี้ฉันจะได้เจอเขาไหม ฉันอยากจะเห็นจริงๆเขาจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าฉันรู้ ความจริงแล้ว”

ส่องแสงกับสีสุกเดินเข้ามาได้ยินว่าคุยกันเรื่องปุ้มก็ไม่พอใจ สุดาบอกหนึ่งว่าวันนี้หทัยรัตน์ไม่อยู่น่าจะไม่กลับจนกว่าหนึ่งจะกลับ สัทธากำลังจะบอกถ้าอยากเจอให้ไปที่ไหน ส่องแสงก็แทรกขัดทันที ทักทายหนึ่งอย่างสนิทสนม สีสุกทำทีบอกทุกคนให้ไปห้องอาหารกัน ส่องแสงควงแขนหนึ่งดึงนำไป สุดามองตามด้วยความเซ็ง

ในเย็นวันเดียวกัน เผอิญพินิจได้ข่าวหนึ่งกลับเมืองไทย ก็พาร่างอ่อนแอขี้โรคมาหาถึงบ้านเพชรลดา แต่ต้องผิดหวังเพราะหนึ่งไปบ้านเดือนประดับ พินิจจึงฝากจดหมายพิมพ์ไว้...

หลังกลับจากบ้านเดือนประดับ หนึ่งแวะมาส่งส่องแสงกับสีสุก สองแม่ลูกพยายามพูดถึงหทัยรัตน์ในทางไม่ดีให้หนึ่งเลิกสนใจ สีสุกบอกว่าสัทธากับสุดาพูดเกินไปที่ว่าหทัยรัตน์โตมาสวย ไม่เป็นความจริงเลย ส่องแสงคิดบางอย่างได้แทรกขึ้น

“แต่ส่องคิดว่าพี่ปุ๊กับแป้นพูดเป็นความจริงนะคะ เด็กนั่นเป็นคนสวย ไม่สวยธรรมดาแต่ทั้งสวยและฉลาด รู้จักใช้ความสวยให้เป็นประโยชน์ โบราณว่านารีมีรูปเป็นทรัพย์ เด็กปุ้มถึงได้หว่านเสน่ห์ให้กับผู้ชายไปทั่ว ใครที่หลงใหลได้ปลื้มก็ยอมทุ่มเททุกอย่าง”

สีสุกรับมุกทันช่วยผสมโรงว่าหทัยรัตน์ชอบเข้าสมาคมกับคนร่ำรวย นี่คงหาโอกาสตีสนิทกับหนึ่ง ขอให้เขาระวังไว้ หนึ่งยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ

“ผมไม่ใช่คนชอบอะไรที่เปลือกนอก ถ้าผมจะหลงใหลผู้หญิงสักคน ผมจะต้องรักที่หัวใจ ที่ความดีไม่ใช่ที่ความสวยแต่เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ”

สองแม่ลูกยิ้มด้วยความพอใจ...พอหนึ่งกลับไป สีสุกก็ชมลูกสาวที่หัวไวพูดกันท่าไว้แบบนั้น หนึ่งเจอหทัยรัตน์จะได้ไม่ยุ่งด้วย ตนจะต้องหาทางตัดไฟแต่ต้นลมเสียก่อน

ooooooo

ตกดึกหทัยรัตน์ย่องกลับเข้าบ้าน แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นรูปตัวเองที่ใส่กรอบตั้งอยู่ โดนเมจิกเขียนรูปเขี้ยวและข้อความว่า...ยัยกระปุกตั้งฉ่าย เธอไม่มีวันหนีฉันพ้น ลงชื่อ...หนึ่ง

หทัยรัตน์แค้นใจอยากร้องกรี๊ดรีบเอาผ้ามาลบหมึกออก...คืนนั้นหนึ่งกลับถึงบ้านได้รับจดหมายของพินิจที่ฝากพิมพ์ไว้ก็ดีใจเปิดอ่าน พินิจบอกขอโทษที่ไม่ได้ไปรับที่สนามบินเพราะเขาสุขภาพไม่อำนวย วันนี้ออกมารับยาจากหมอจึงแวะหา ถ้ามีเวลาว่างเชิญไปที่พนัสพงษ์บ้าง

บ้านพนัสพงษ์มีรูปถ่ายใส่กรอบแขวนเรียงบนผนัง เป็นภาพหนึ่งกอดคอกับพินิจสมัยเรียนมัธยมและรูปพินิจในช่วงต่างๆ และมีรูปพินิจถ่ายกับหทัยรัตน์ รูปพรรณีกอดคอกับหทัยรัตน์...จู่ๆนวลเข้ามาดึงรูปที่มีหทัยรัตน์ออก พรรณีจะขอคืน พินิจเดินมาได้ยินนวลบ่น

“หน็อย...คนอย่างคุณนายนวลเจ้าของตลาดที่ใหญ่ที่สุดในพระนคร แถมยังมีเรือกสวนไร่นาอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ คิดหรือว่าฉันจะยอมยกลูกชายให้ผู้หญิงที่มีแต่ตัวอย่างมัน แม่ไม่เอามาทำสะใภ้ให้อับอายขายขี้หน้า”

พรรณีจะเถียง พินิจเข้ามาขัดบอกตนพร้อมแล้ว วันนี้พรรณีจะพาพินิจไปหาหมอตามนัด นวลรีบเตือนให้เอาแกงส้มพุงปลาที่ตนแกงไปฝากคุณหมอและถามถึงลูกสาวด้วย นวลพยายามยัดเยียดให้พินิจได้คู่กับลูกสาวหมอจะได้เป็นหน้าเป็นตากับตน

ขณะที่นวลกำลังเผารูปถ่ายในกระถาง หนึ่งแวะมาเยี่ยมพินิจ นวลรีบไปต้อนรับยิ้มแย้มชวนคุย เล่าให้หนึ่งฟังว่าพินิจสุขภาพแย่ลงไม่พอ จิตใจยังแย่ไปด้วยเพราะไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเพื่อนพรรณี เรียนอักษรศาสตร์ด้วยกัน เมื่อก่อนมักมาบ้าน แต่พอรู้ว่าพินิจป่วยบ่อยๆไปไหนไม่ค่อยไหวก็ตีตัวออกห่าง ทำให้พินิจเศร้าซึมลง...หนึ่งฟังแล้วรู้สึกว่าช่างใจร้ายจริงๆ

“น้าบอกตานิจทุกวันแต่ก็ไม่เคยฟัง ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสวยค่ะ มารยาเหลือรับ คอยจับแต่คนรวยๆคงเห็นตานิจไม่มีประโยชน์เลยทิ้งไป”

“เอ่อ...คุณน้าบอกผมได้ไหมครับว่าผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร” หนึ่งเจ็บแค้นไปด้วย

“บอกได้สิคะ...แม่ผู้หญิงใจดำคนนั้นน่ะชื่อ หทัยรัตน์ ราชพิทักษ์ค่ะ”

หนึ่งขมวดคิ้วไม่คุ้นชื่อนี้เลย...นวลเน้นย้ำให้หนึ่งจำชื่อและอยู่ห่างๆผู้หญิงคนนี้ไว้ ตนเพิ่งเผารูปทิ้ง...เผอิญมีลมพัดวูบมาพัดขี้เถ้าไปเหลือส่วนของรูปที่ยังไม่มอดไหม้ หนึ่งหยิบขึ้นดูแทบช็อกเพราะเป็นใบหน้าของหทัยรัตน์แต่หนึ่งรู้จักในนามว่า...ปุ้ม

ออกจากบ้านพินิจ หนึ่งก็แวะมาบ้านกนกพรตามคำเชิญของประสาทพร...กรกนกเรียนหนังสือกับหทัยรัตน์เสร็จชวนเธออยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน เพราะอยากให้รู้จักแขกพิเศษ ประสาทพรช่วยคะยั้นคะยอ แต่พอหทัยรัตน์ได้ยินชื่อแขกพิเศษว่าคือหนึ่งอนวัชก็รีบหาเรื่องลากลับ เธอเดินออกมาไม่ทันถึงประตูใหญ่ รถหนึ่งแล่นเข้ามา เธอรีบเดินก้มหน้าสวนออกไปอย่างเร็ว

หนึ่งจอดรถเข้าไปทักทายประสาทพรและกรกนก หนึ่งมอบของฝากเป็นตุ๊กตาสุนัขให้กรกนก เธอดีใจจะเอาไปวางไว้ที่ห้องเรียน หนึ่งเห็นกรกนกดูสดใสร่าเริงขึ้นมาก ประสาทพรยิ้ม

“ใช่ พอมีคุณครูคนใหม่มาสอนหญิงก็ร่าเริงขึ้นและไม่พูดน้อยใจที่ท่านพ่อไม่ใส่ใจอีกเลย คุณครูคนนี้เป็นผู้หญิงที่น่ารักสดใส มีเสน่ห์ อ้อ แล้วก็จิตใจดีมาก น่าเสียดายที่หนึ่งไม่ได้เจอ เธอเพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง”

หนึ่งนึกได้ถามใช่ผู้หญิงผมยาวๆใส่ชุดสีฟ้าเพิ่งเดินออกไปใช่หรือเปล่า ประสาทพรตอบว่าใช่ หนึ่งฉุกคิด “เห็นหน้าแล้วรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเจอมาก่อน แต่คิดๆแล้วไม่น่าใช่ เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่น่าจะเป็นคนดีอย่างที่ท่านชายพูด เกือบลืมไป! คุณครูคุณหญิงใช่ผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าครับ” หนึ่งหยิบรูปที่เหลือจากไหม้ไฟออกมาให้ดู

ประสาทพรเห็นแล้วตอบว่าใช่ เธอคือหทัยรัตน์ ราชพิทักษ์...หนึ่งอึ้งนึกถึงคำพูดของนวลเมื่อครู่ ไม่คิดว่าโลกจะกลมขนาดนี้ ไม่วายหนึ่งเอาเรื่องหทัยรัตน์มาครุ่นคิดทั้งคืนแล้วสรุป

“ฉันเริ่มจะรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงต้องหลบหน้าฉัน ยัยกระปุกตั้งฉ่าย”

ooooooo

สองสามวันต่อมา วิทย์ให้พิมพ์โทร.ไปถามที่บ้านเดือนประดับว่าวันเกิดสุทธิ์ครบ 60 ปี ต้องการให้ช่วยอะไรและต้องการคนงานเพิ่มบ้างไหม พิมพ์รับคำกำลังจะไปโทร. หนึ่งเข้ามาห้ามบอกวันนี้ตนจะไปบ้านเดือนประดับจะถามให้เอง หนึ่งยิ้มอย่างมีเลศนัย

เผอิญบ้านเดือนประดับมีเพียงหทัยรัตน์อยู่กับคนรับใช้ เธอกำลังร้อยมาลัย จู่ๆถูกเข็มตำมือเหมือนเป็นลางบอกเหตุพร้อมกับเสียงรถแล่นเข้ามา แหวววิ่งออกไปดูปรากฏว่าเป็นหนึ่ง พอเขารู้ว่ามีหทัยรัตน์อยู่คนเดียวก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แหววไปเรียนว่าตนขอพบใครก็ได้เพื่อสั่งธุระสักห้านาที...พอแหววมาเรียนหทัยรัตน์เธอหน้าตึง ให้กลับไปบอกว่าสั่งใครก็ได้ก็ให้สั่งกับแหววตนไม่ว่าง แหววจำต้องกลับออกไปบอกหนึ่งตามคำสั่ง หนึ่งไม่พอใจบุกเข้าไปหาหทัยรัตน์

“คุณอนวัชกลับไปแล้วใช่ไหมแหวว” หทัยรัตน์ถามโดยไม่ได้เงยหน้ามอง

“เธอคิดว่าฉันจะกลับไปง่ายๆงั้นเหรอ...ทำไมเธอไม่ออกไปพบฉัน”

หทัยรัตน์ตกใจลุกยืนต่อว่าเข้ามาได้อย่างไร หนึ่งย้อนทำไมจะเข้าไม่ได้ ในเมื่อบ้านนี้เป็นบ้านอาตน ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตคนที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน หทัยรัตน์หน้าตึงตำหนิเขาควรจะเคาะประตูหรือส่งเสียงก่อนอย่างคนมีมารยาท หนึ่งสวนทันควัน

“แล้วการที่เธอวิ่งหนีฉันและไม่ยอมออกไปพบฉัน มันแสดงความเป็นคนมีมารยาทตรงไหนไม่ทราบ...เธอจะกลัวอะไรฉันนักหนาถึงได้หนีฉันหัวซุกหัวซุนแบบนี้”

“ดิฉันไม่ได้หนี แต่ดิฉันไม่ต้องการพบคุณ”

หนึ่งสะอึกที่โดนตอกหน้า “ที่ไม่ต้องการพบฉัน เพราะไม่อยากเจอคนรู้ทันเธอใช่ไหม”

“ดิฉันไม่เข้าใจว่าคุณหมายความว่าอะไร และดิฉันก็ไม่มีเวลามากพอจะซักถามเพื่อทำความเข้าใจหรือฟื้นฝอยหาตะเข็บกับเรื่องไร้สาระ ในเมื่อคุณมาเพื่อพูดธุระแค่ 5 นาทีก็เชิญพูดมาได้ ฉันมีเวลาให้ตามที่คุณต้องการเท่านั้น เริ่มต้นจับเวลา...” หทัยรัตน์ยกนาฬิกาขึ้นมอง

หนึ่งจี๊ดมันจะมากไปแล้ว...แหววได้ยินเสียงทะเลาะดังมาก็ยืนภาวนาให้เจ้านายคนอื่นกลับมา เสียงหนึ่งยั่วโทสะ “เธอคงจะยังโกรธที่ฉันเคยแกล้งเธอไว้ตอนเด็กล่ะสิ ถึงได้หาทางแก้แค้นโดยการหักหน้าฉันกลางสโมสรแบบนั้น เธอนี่ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้”

“ถ้าดิฉันทำตัวเป็นเด็ก แสดงว่าการที่คุณวิ่งตามดิฉันออกมาและพยายามฉุดกระชากลากถูบังคับให้ดิฉันกลับเข้าไป คงจะเป็นการกระทำของผู้ใหญ่กระมังคะ ดิฉันเพิ่งทราบ”

“เวลาผ่านไปสิบกว่าปีคงจะมีแต่ไขมันที่หลุดออกไปจากตัวเธอ แต่ความจองหองอวดดียังอยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะมั่นใจแบบผิดๆที่คิดว่าตัวเองสวย” หทัยรัตน์กัดฟันไม่ตอบโต้ หนึ่งได้ทีใส่ต่อ “ฉันยังไม่ทันจะชำระความเรื่องที่เธอวิ่งหนีฉัน แล้วยังบอกแป้นว่าฉันเป็นนักเลงหัวไม้ที่รังแกผู้หญิง รวมทั้งเรื่องหลบหน้าฉันที่บ้านคุณหญิง วันนี้สร้างคดีใหม่ไม่ยอมออกไปพบฉันตามคำสั่ง เธอกำลังคิดจะทำอะไร จะท้าทายฉันรึไง”

หทัยรัตน์ไม่ตอบก้มมองนาฬิกาแล้วกล่าวว่าหมดเวลาตามที่ขอแล้วจะเดินไป หนึ่งคว้าข้อมือไว้ เธอหันมาจิกตาทำนองให้เคารพกติกาแล้วเสียงแข็งให้ปล่อย แต่หนึ่งกลับจับแน่นขึ้น

“ฉันเคารพกติกาอยู่แล้วแต่เธอต่างหากที่ไม่เคารพ เธอยอกย้อนทำให้ฉันต้องเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเธอจนไม่ได้พูดธุระ เพราะฉะนั้นเธอจะต้องทดเวลาให้ฉันสี่นาทีเป็นอย่างน้อย”

หทัยรัตน์สะบัดมือแต่ไม่หลุดจึงขึ้นเสียง “ไม่ทด เพราะคุณเองที่ไม่มีขันติไม่รู้จักระงับอารมณ์ เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอคะ จะมาต่อปากต่อคำกับเด็กทำไม”

“ในที่สุดก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นเด็ก...รู้ตัวก็ดี แล้วก็จำไว้นะ ต่อให้เธอพยายามจะหนีฉันสักแค่ไหน แต่เธอไม่มีวันจะหนีสิ่งที่เธอทำไปได้ เวลาทำให้เธอเปลี่ยนแค่ภายนอกเท่านั้น แต่เธอก็ยังเป็นเด็กจองหองดื้อรั้นร้ายกาจเหมือนเดิม อย่ามาอวดดีกับฉัน เธอไม่มีดีมากพอ...นับจากวันนี้เธอจะไม่มีโอกาสหันหลังและเดินหนีฉันไปอีกเป็นครั้งที่สอง” หนึ่งปล่อยมืออย่างแรงจนหญิงสาวเซ แล้วเดินเชิดออกไปแบบคนที่เหนือกว่า

หทัยรัตน์มองข้อมือทั้งเจ็บและโกรธแค้น...สัทธากับสุดากลับมาถึง แหววรายงานอย่างร้อนรน ทั้งสองรีบเดินมาเจอหนึ่งหน้าหงิก สัทธาจึงให้สุดาไปดูหทัยรัตน์ ตนตามไปคุยกับหนึ่ง

สุดาปรี่เข้าไปหาหทัยรัตน์ถามเป็นอะไรไหม เธอตอบเสียงแข็งว่าแค่ฝึกความอดทนกับคนที่พยายามหาเรื่อง ขณะเดียวกัน หนึ่งก็ใส่สัทธายิบว่า “น้องสาวแกหาเรื่องฉันก่อน เขาไม่ยอมออกมาพบฉันทั้งที่ฉันบอกว่าต้องการฝากธุระแค่ไม่ถึง 5 นาที...ไม่มีมารยาท”

พร้อมๆกัน...หทัยรัตน์โวยใส่สุดา “ก็คุณอนวัชบอกว่าใครก็ได้ ปุ้มก็ให้เขาฝากธุระไว้กับแหวว เขาก็เดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่นไม่ให้สุ้มให้เสียง พอมาถึงก็ต่อว่าปุ้มใหญ่ แล้วยังหาว่าปุ้มทำตัวเป็นเด็ก...พูดยังกับว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ซะเต็มประดา เที่ยวใช้อำนาจบังคับคนโน้นคนนี้ เอาแต่ใจตัวเอง ชอบเอาชนะแล้วก็ชอบดูถูกคนอื่น เพราะเป็นแบบนี้ปุ้มถึงไม่อยากจะเจอหน้า”

หนึ่งโวยใส่สัทธา “คนโตๆกันแล้วเขาไม่แบบนี้กันหรอก...คนอะไรทั้งยโสทั้งจองหองแล้วยังดื้อรั้นอีกต่างหากเถียงคำไม่ตกฟาก น้องสาวแกนี่เหลือรับฉันไม่เข้าใจคนอื่นชอบเข้าไปได้ยังไง” ปุ๊แทรกถามคนอื่นคือใคร “ก็แกบอกฉันเองไม่ใช่หรือว่าเขามีคนมารุมชอบตั้งมากมาย”

ด้านหทัยรัตน์กำลังอธิบายกับสุดา “ไม่รู้ว่าผู้หญิงพวกนั้นหลงใหลได้ปลื้มเข้าไปได้ยังไง ปุ้มว่าเพราะสาวๆพวกนั้นไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นยังไง”

ด้านหนึ่งก็ตอกย้ำเรื่องเดียวกัน “ฉันอยากรู้จริงๆ ถ้าผู้ชายพวกนั้นรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้แล้ว ยังจะหลงใหลกันอยู่หรือเปล่า”

ทั้งสุดาและสัทธาถามทั้งสองว่าไม่สนใจกันบ้างหรือ ปุ้มสวนทันควัน “ต่อให้หล่อเหลาปานเทพบุตรเหาะลงมาจากสวรรค์ ปุ้มไม่มีวันจะปลาบปลื้มผู้ชายคนนี้...ปุ้มเกลียดนายอนวัช!”

ทางหนึ่งก็สวนทันที “ไม่มีทาง ต่อให้สวยกว่านี้ 10 เท่า ฉันก็ไม่มีวันจะหลงใหลได้ปลื้มน้องสาวแก...ฉันชอบไม่ลง!”

ทั้งสุดาและสัทธาแทบหน้าหงาย ที่ทั้งสองแรงไม่แพ้กัน...พอหนึ่งกลับไป สัทธากับสุดาก็มานั่งหมดแรงอ่อนใจบนโซฟากันสองคนพี่น้อง ต่างถอนใจพร้อมกัน

“ดูท่าสองคนนี้เขาเกลียดกันมากๆเลยนะคะพี่ปุ๊”

“พี่ก็ว่ายังงั้น สงสัยชาติก่อนคนนึงทำบุญด้วยปูนอีกคนก็ทำทานด้วยขมิ้น ชาตินี้ถึงได้แตกแยกเป็นสองสี ผสมกันไม่ได้”

“แป้นไม่สบายใจเลยที่สองคนเป็นแบบนี้ ตอนเด็กๆ เราสองคนก็อึดอัดจะแย่ จะเล่นอะไรก็เล่นไม่ได้เพราะสองคนนี้มัวแต่ตีกัน เราต้องเป็นคนกลางตั้งแต่เล็กจนตอนนี้โตๆกันแล้ว ก็ยังตีกันอยู่เลย ทำยังไงเขาถึงจะดีกันคะเนี่ย”...

ด้านหนึ่งกลับมาบ่นกับพิมพ์ตามเคย ว่ารู้ตัวผู้หญิงจองหองคนนั้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นคนที่รู้จักตั้งแต่เด็ก พิมพ์งงทำไมจำกันไม่ได้ หนึ่งนิ่วหน้าเหยียดๆ

“เพราะเวลาได้เปลี่ยนเขาไปจนคุณหนึ่งจำไม่ได้ ไม่ใช่สิ...ต้องพูดว่าคุณหนึ่งได้ลืมเขาไปแล้วถึงจะถูกต้อง ลืมไปแล้วว่ายังมีเด็กคนนี้อยู่บนโลก”

“แต่ต่อจากนี้ไปคงจะลืมไม่ลงแล้วมั้งคะ” พิมพ์ดักคอ

“คนอย่างเด็กนั่น ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะทำให้คุณหนึ่งจำ หรือหันไปสนใจ ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน...” พิมพ์แทรกว่าแล้วอนาคต หนึ่งบอกว่าตนก็จะไม่สนใจจำเหมือนกัน

วันต่อมา นวลมาหาหนึ่งถึงบ้านเพชรลดา ขอร้องให้ไปทานข้าวที่บ้านวันพรุ่งนี้ เพื่อพูดกับพินิจให้ตาสว่างตัดใจจากหทัยรัตน์เสียที เธอตีหน้าเศร้ารำพันว่าพินิจร่างกายทรุดโทรม จิตใจย่ำแย่เพราะคร่ำครวญหา แต่หทัยรัตน์หนึ่งครุ่นคิดสงสารนวลกับเพื่อนไม่น้อย...แต่จุดประสงค์แท้จริงของนวล คือต้องการให้พรรณีได้ใกล้ชิดกับหนึ่ง ตัดใจจากสัทธาเพราะเธอไม่ชอบคนตระกูลนี้

ooooooo

หนึ่งในทรวง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด