ตอนที่ 14
คัมพลนั่งอยู่ในรถธนาธิปอารมณ์ยังหงุดหงิดพลุ่งพล่าน ถามอย่างรับไม่ได้ว่าทำไมทุกคนถึงทำกับตนแบบนี้ คุณพ่อแอบไปหมั้นนางให้พี่ทัศนัยและขอสินีนาฎให้พี่ชัยพงษ์แต่ไม่มีใครคิดถึงตนเลยไม่มีใครสนใจความรู้สึกของตนเลย...
สายสุดาไปที่บ้านธนาธิปรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ ครู่หนึ่งธนาธิปกับคัมพลกลับมา คัมพลสงบลงแต่ยังหงุดหงิดงุ่นง่าน ธนาธิปเตือนเขาต้องใจเย็นกว่านี้ ตนอาจตามไปช่วยไม่ทันทุกครั้ง คัมพลขอโทษที่ทำให้วุ่นวาย
“สายว่า...เดี๋ยวสายจัดการต่อเองดีกว่าค่ะ” แล้วชวนคัมพลกลับบ้าน เดี๋ยวตนจะไปส่งเอง แต่คัมพลขอไปเจอนางก่อน เมื่อไปหานางที่บ้าน นางตกใจเมื่อรู้ว่าคัมพลไปชกทัศนัยมา
คัมพลบอกว่าตนทนไม่ได้ ตนรักของตนมาตั้งนาน เรื่องอะไรจะให้พี่ทัศนัยมาปาดหน้าไปทั้งที่นางก็ไม่เต็มใจ ถามว่านางก็ไม่ได้รักพี่ทัศนัยใช่ไหม
นางบอกว่าไม่ได้รักทัศนัยแต่ก็ไม่ได้รักเขา นางขอโทษที่เขาดีกับตนทุกอย่างแต่ไม่รู้ทำไมถึงรักเขาแบบนั้นไม่ได้ พอคัมพลซักถามนางบอกว่าตนมีคนรักอยู่แล้วคือธนาธิป!
“คุณธนาธิป! ปัดโธ่เว้ย เขาเป็นคนขับรถพาพี่ไปต่อยพี่ทัศนัย พี่เพิ่งรู้ว่าพี่ต่อยผิดคนน่ะสิ!”
นางขอร้องคัมพลอย่าไปต่อยธนาธิป สารภาพว่าตนก็ไม่รู้ว่าตัวเองรักเขาตอนไหน มันมาของมันเอง
ขอร้องอย่าโกรธอย่าทำร้ายเขาเลย คัมพลสัญญาว่าจะไม่ต่อยธนาธิปของนางแน่ นางถามว่าโกรธตนหรือเปล่า
คัมพลแปลกใจที่ตัวเองไม่โกรธหรือเสียใจ ยอมรับว่าทีแรกโกรธแต่พอได้คุยกับนางแล้วก็ไม่เข้าใจ
ตัวเองเหมือนกัน บ่นว่า “ในหนังมันไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นะ มันต้องโกรธสิวะ” พอนางรู้ว่าสายสุดาเป็นคนพาเขามาหาตนแต่นั่งรออยู่ในรถ นางยิ้มบอกให้เขาถามใจตัวเองน่าจะรู้ บอกว่า
“กลับไปบ้านลองหยุดดูหนัง แล้วฟังเพลงงุ้งงิ้งดูนะคะ นางเชื่อว่าคนที่พี่คัมพลจะนึกถึงไม่ใช่นางอีกแล้ว”
เมื่อกลับมาที่รถ คัมพลขอเป็นคนขับรถเอง
สายสุดาเปิดเพลงรักฟังถูกใจถึงกับร้องกรี๊ด คัมพลตกใจถามอย่างเป็นห่วงว่าเป็นอะไร จึงรู้ว่าใจตัวเองอยู่กับสายสุดาที่อยู่เคียงข้างตนเสมอมานั่นเอง...
ที่บ้านอโณทัย เอมอรตกใจเมื่อรู้ว่าคัมพลไปต่อยทัศนัย แต่ก็บอกนางว่าอยากให้เข้าใจคุณพ่อบ้าง ให้เวลาผ่านไปสักนิดแล้วค่อยคุยกันอีก นางบอกว่าพรุ่งนี้เช้าตนอยากคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อให้รู้เรื่องสักที
รุ่งขึ้นธนาธิปมาที่บ้านแต่เช้า เขาบอกเด่นชาติว่าตนกับนางรักกัน แต่อายุต่างกันมากและนางยังเรียนหนังสือ ตนจึงอยากให้ค่อยเป็นค่อยไป เด่นชาติถาม
นางว่าที่ธนาธิปพูดมาเป็นความจริงหรือ นางเล่าว่าตอนอยู่ปีนังตนไม่ได้คิดอะไรจนกลับมาที่นี่ จึงรู้ว่าตนรักธนาธิป
เด่นชาติหัวเสียมากแต่พยายามระงับอารมณ์บอกธนาธิปว่าเป็นอันว่าตนรับรู้ แต่เสียใจด้วยที่นางหมั้นกับทัศนัยไปแล้ว เด่นชาติอ้างความเป็นผู้ใหญ่และตนก็ได้บอกกับพิทักษ์ไปแล้วว่าจะให้หมั้นและแต่งงานกับทัศนัยด้วย “เกียรติยศของผม” ตนเห็นใจเขาและนาง แต่นางหมั้นกับทัศนัยไปแล้ว ตนช่วยอะไรไม่ได้พูดแล้วอ้างว่ามีงาน ลุกออกไปเลย
นางร้องไห้ขอให้แม่ช่วยตนด้วย ธนาธิปบอกว่าอย่ารบกวนคุณแม่เลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตนเอง รับรองว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
“อาฝากให้คุณธิปจัดการต่อนะคะ แต่อยากให้เชื่อว่าสามีของอา เขามีเหตุผลของเขา วันหนึ่งถ้าคุณธิปมีลูกเป็นของตัวเอง คุณธิปก็จะเข้าใจ” ธนาธิปรับคำ เอมอรจึงขอตัว เห็นนางร้องไห้ในอ้อมกอดของธนาธิปก็ได้แต่ถอนใจ
ooooooo
ธนาธิปเช็ดน้ำตาให้นางปลอบว่ายังไงคุณพ่อเธอก็ต้องเข้าใจเรา นางกุมมือเขาขึ้นแนบแก้มอย่างอบอุ่น บอกว่า
“นางรักคุณธนาธิป”
“ชื่นใจ ผมอยากได้ยินคำนี้มานานแล้ว เชื่อผมนะนาง ผมจะจัดการเรื่องของเราให้เร็วที่สุด”
ธนาธิปบอกว่าเมื่อวานคัมพลมาหาตน นางบอกว่าตนทราบแล้วเพราะคัมพลมาหาตนหลังจากที่ไปหาเขา ธนาธิปถามทันทีว่านางบอกคัมพลว่าอย่างไร
“นางบอกไปว่านางไม่ได้รักพี่คัมพล แต่นางเชื่อนะคะว่าพี่คัมพลจะไม่เศร้านานหรอกค่ะ”
นางเชื่อเช่นนั้น เพราะเมื่อคัมพลชัดเจนแล้วว่านางไม่ได้รักตน เขาตัดสินใจไปหาสายสุดา รับไปดูหนังด้วยกัน สายสุดาที่มีใจให้คัมพลมานานแล้วและคัมพลเองก็สนิทกับเธอ แผลใจของคัมพลได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจึงสมานอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายชัยพงษ์ เมื่อรู้ว่าสินีนาฎรักธนาธิป เขาตัดใจไปช่วยงานที่บ้าน เปลี่ยนลุคจากหนุ่มนักขี่บิ๊กไบค์ เป็นนักธุรกิจที่แต่งตัวภูมิฐานขับรถยนต์หรู ยังความพอใจแก่พิทักษ์ผู้เป็นพ่อยิ่งนัก
แม้สินีนาฎจะรู้สึกถึงความสูญเสียเมื่อชัยพงษ์จากไป แต่ใจเธอยังหลงรักธนาธิปอย่างไม่อาจถอนตัวได้ แม้จะแอบได้ยินสายสนมคุยแม่ป้าทับทิมเสียดาย
ชัยพงษ์ที่หายหน้าไป สายสนมคาดว่าป่านนี้คงไปมีแฟนเป็นไฮโซไปแล้ว
“ไม่จริงหรอก คุณชัยพงษ์ไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่อย่างนั้นเขาไม่มาขอแต่งงานกับหนูสิกับเธอหรอก”
“ก็หวังแต่ว่าเขาจะยังรักษาสัญญา ถ้าเขาอยากจะแต่งงานกับยายสิจริงๆก็เป็นบุญของลูกฉัน” สายสนมได้แต่หวัง
สินีนาฎทั้งตกใจและสับสนเมื่อรู้ว่าชัยพงษ์รักและขอแต่งงานกับตน
ทัศนัยที่มุ่งมั่นแต่การเรียนและการงาน เมื่อได้เจอปูเป้ก็รู้สึกถูกใจแต่แรกและเมื่อยิ่งได้ทำงานใกล้ชิดและปูเป้ดูแลรักษาบาดแผลที่ถูกคัมพลชก ก็ยิ่งรู้สึกดี จากรักษาบาดแผลทางกายก็ได้ปลูกต้นรักทางใจที่นับวันงอกงาม...
วันนี้ ขณะทัศนัยพาปูเป้ไปทานข้าวในร้านอาหาร คัมพลกับสายสุดาเห็น สายสุดาเล่าให้ธนาธิปฟัง ทำให้ธนาธิปตัดสินใจที่จะคุยกับทัศนัยเรื่องนาง
วันต่อมาเขาไปที่คลินิก ทัศนัยขอบคุณที่เขาช่วยตนวันที่ถูกคัมพลชก พูดติดตลกว่า
“คัมพลเวลาตกมันนี่เอามันไม่อยู่จริงๆ ครับ... คุณธนาธิปมาหาผมไม่น่าจะใช่เรื่องคัมพล”
ธนาธิปบอกว่าตนมาเรื่องของอภิรดี เห็นทัศนัยงง ธนาธิปบอกว่า “นางน่ะครับ คุณหมอไม่ทราบชื่อจริงของคู่หมั้นหรือครับ” ทัศนัยยอมรับว่าตนรู้เรื่องของนางไม่เท่าเขา ธนาธิปบอกว่าตนรู้เรื่องของนางดี มีเรื่องเดียวที่ตนไม่เข้าใจตอนนี้คือทำไมถึงหมั้นกับหมอ เขายอมรับคุณสมบัติของหมอแต่ “สิ่งที่ผมข้องใจก็คือ คุณรักนางหรือเปล่า”
ทัศนัยยอมรับว่าตนไม่ได้สนใจเรื่องแต่งงานเลย ชีวิตตนมีเรียนและทำงาน คิดแต่ว่าถ้าจะแต่งงานหากคุณพ่อคุณแม่เห็นดีก็จบ ยอมรับว่า “ตอนที่คุณพ่อบอกผมเรื่องนาง ส่งรูปมาให้ดู ผมก็ว่าน่ารักดี ได้พูดคุยก็ไม่ได้มีอะไรสะดุด ตอนนั้นผมยังไม่มีคนรัก”
ธนาธิปสะดุดใจทันที พอดีปูเป้เอากาแฟมาเสิร์ฟ ธนาธิปเห็นสายตาที่ทั้งสองมองกันก็ดูออก แต่พอเลียบเคียงถามทัศนัยก็แบ่งรับแบ่งสู้ จนธนาธิปบ่นตัวเองว่า
“เออ ผมเป็นนักการทูตแท้ๆแต่วันนี้รู้สึกเหมือนจะเจรจาสู้คุณหมอไม่ได้”
“เรื่องหัวใจของตัวเองเป็นเรื่องที่เจรจายากนะครับ”
ธนาธิปถามว่า แสดงคุณหมอมีคนรักอยู่แล้ว “ผมเพิ่งเคยได้เจอคนที่ทำให้ผมรู้สึกรักขึ้นมาไม่นานนี้เอง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอก็คงไม่อยากจะแต่งงานกับคนที่คุณหมอไม่ได้รัก”
ทัศนัยมองหน้าธนาธิปอย่างค้นหาความจริง ถามว่าเขารักนางหรือ ธนาธิปรับว่าใช่
“แล้วทำไมถึงปล่อยให้นางมาหมั้นกับผมได้”
“เรื่องมันยาวนะครับ แต่เอาเป็นว่าถ้าเราเข้าใจกันดีอย่างนี้แล้ว คุณทัศนัยจะทำยังไงต่อไปครับ”
ถามแล้วมองหน้าลุ้นคำตอบ
ooooooo
หลังจากคุยกับทัศนัยแล้ว ธนาธิปโทร.บอกนางว่าตนจะเข้าไปคุยกับพิทักษ์เอง นางบอกว่าก็เหลือแต่คุณพ่อ ธนาธิปหวังว่าคุณพ่อเธอจะเข้าใจเรา ถามว่าตอนนี้นางอยู่ไหน นางบอกว่ากำลังไปหาสินีนาฎเพื่อจะไปบอกเรื่องของเราด้วยตัวเอง
เป็นเวลาที่สินีนาฎไปหาธนาธิปที่คอนโดพอดี เธอเล่าให้ฟังว่าเพิ่งได้ยินคุณแม่พูดว่าชัยพงษ์มาสู่ขอตนกับคุณแม่ตั้งแต่ก่อนตนกลับจากปีนัง เขาถามว่า
“แล้วหนูว่ายังไงคะ” เธอกลับถามว่าแล้วเขาว่าอย่างไร “ชัยพงษ์เป็นคนดี ฐานะทางบ้านก็ดี การงานก็ดี นิสัยใจคอก็เป็นคนดี ฉันว่าถ้าหนูได้แต่งงานกับเขา ชัยพงษ์น่าจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีของหนูได้”
นาทีนี้ ไม่มีอะไรที่จะต้องอ้อมค้อมปิดบังกันอีกแล้ว สินีนาฎบอกว่าตนไม่ได้รักชัยพงษ์
“ผู้ชายดีๆสมัยนี้หาไม่ได้ง่ายๆ หนูได้ลองเปิดใจกับชัยพงษ์ดูบ้างหรือเปล่า ฉันเชื่อว่าถ้าหนูได้ลองเปิดใจดู หนูน่าจะรักเขาได้ไม่ยาก”
สินีนาฎตัดพ้อว่าเขาพูดเหมือนไม่เข้าใจความรัก แล้วเปลี่ยนเป็นถามว่าเขาจะย้ายไปอเมริกาเมื่อไร พอเขาบอกว่าอาจจะปีหน้า สินีนาฎขอไปทำงานด้วย ธนาธิปบอกว่าตนเป็นเพียงลูกจ้างของรัฐบาลคนหนึ่งเท่านั้นไม่มีอำนาจที่จะจ้างลูกน้องส่วนตัว
กระนั้นสินีนาฎก็ขอไป ไม่ว่าจะให้ทำงานบ้านหรืองานอะไรตนก็ทำได้ ตนไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ไปแล้วจะทำงานหาเงินส่งกลับมาให้แม่กับป้าทับทิมใช้ ธนาธิปบอกว่าเธอต้องขออนุญาตคุณแม่ดีๆ
“หมายความว่าคุณธิปยอมพาสิไปด้วยเหรอคะ”
“ถ้าคุณแม่หนูอนุญาตน่ะจ้ะ” สินีนาฎดีใจมาก ธนาธิปมองเธอเต็มตาก่อนบอกว่า “นางคงจะดีใจถ้ารู้ว่าหนูจะไปอเมริกากับเรา”
“นางจะไปอเมริกากับคุณด้วยเหรอคะ” สินีนาฎถามเสียงสะท้านหลังจากอึ้งไปชั่วขณะ
“เราจะแต่งงานกันทันทีหลังจากที่นางเรียนจบ แล้วนางจะตามไปอยู่กับฉันที่โน่น”
“นางกับคุณธนาธิปจะแต่งงานกัน...สิไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณรักนางและนางก็รักคุณ สิ...สิจะไม่ไปอเมริกากับคุณแล้วค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ สิขอโทษที่มารบกวน สิ...” สินีนาฎร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดที่จะกลั้นไว้ได้
“สินีนาฎ...ฉันเข้าใจหนูนะ ฉันคิดว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของหนูมานานแล้ว ขอบใจมากในความรู้สึกนั้น...ฉันอาจจะมีบางอย่างที่หนูรู้สึกว่าหนูขาดไป เหมือนกับความฝัน เมื่อหนูโตขึ้นและพึ่งตัวเองได้ ตื่นขึ้นมาแล้วความฝันอันนี้มันอาจจะหายไปก็ได้ สำคัญที่ว่ากว่าหนูจะตื่น อย่าปล่อยให้ความฝันนี้มีอานุภาพรุนแรงเกินไป จนมันบดบังสายตาของหนูจากสิ่งอื่นและคนที่มีคุณค่าต่อหนูอย่างแท้จริง”
“ทำไมความฝันของสิมันไม่เคยเป็นจริงเลยคะ ทำไม...”
“อาจจะเพราะว่าในโลกของความจริง หนูเองก็อาจจะมีคนคนนั้นอยู่แล้วโดยที่หนูไม่รู้ตัวก็ได้”
สินีนาฎนึกถึงชัยพงษ์ทันที แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะตื่นจากความฝันมาสู่ความเป็นจริงที่เจ็บปวด...
ooooooo
แม้ว่าชัยพงษ์จะทำใจตัดใจจากสินีนาฎมาทำงานให้พ่อในบริษัทแล้ว แต่ในการประชุมผู้บริหารเมื่อพนักงานเอากาแฟและขนมเค้กมาเสิร์ฟ พอเห็นขนมเค้กชัยพงษ์ก็ใจแว่บคิดถึงสินีนาฎ
นางรออยู่ที่บ้านป้าทับทิมจนสินีนาฎกลับมา พอเจอหน้านาง สินีนาฎก็มองด้วยความเกลียดชังแล้วจะเดินเลี่ยงไป พอนางถามว่านี่มันอะไรกัน สินีนาฎหาว่านางแอบคบกับธนาธิปจนจะไปอยู่อเมริกาด้วยกัน ซ้ำมโนจากเรื่องในอดีตว่า
“นี่น่ะเหรอนาง เหตุผลที่เธอเคยบอกให้ฉันตัดใจจากคุณธนาธิป เหตุผลที่เธอผลักฉันไปให้พี่ชัย–พงษ์ เพราะเธอชอบคุณธนาธิปเหมือนกันใช่ไหม?!”
เมื่อนางชี้แจงว่าตนก็เพิ่งรู้ตัวว่ารักธนาธิปเมื่อไม่นานนี้เอง ก็ถูกสินีนาฎตบหน้าฉาดใหญ่ ด่าว่าหน้าไม่อาย ถ้าคิดว่าตนเป็นเพื่อนรักจะเสียสละธนาธิปให้ตนได้ไหมล่ะ!
“ไม่ได้ เพราะต่อให้ฉันเสียสละ คุณธิปเขาก็จะไม่เปลี่ยนใจไปหาคนอื่น”
สินีนาฎสติแตกตบ ด่าและไล่นางให้กลับไปเสีย อย่ามาให้เห็นหน้าอีก นางยอมกลับไปแต่จะกลับมาอีกเพราะตนจะไม่ยอมแตกกับเพื่อนเพียงเพราะเรื่องผู้ชายคนเดียว
เมื่อแยกกันแล้ว ทั้งนางและสินีนาฎต่างร้องไห้เสียใจ เมื่อนึกถึงความรักความผูกพันเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่ปีนังด้วยกัน
ที่บ้านพิทักษ์ คืนนี้บ้านแทบแตกเมื่อทัศนัยเสนอให้พ่อถอนหมั้นกับนาง พิทักษ์ด่าขโมงโฉงเฉง จนทัศนัยต้องขอให้ดุษฎีผู้เป็นแม่ช่วยอธิบายให้ตนด้วยเพราะตนไม่ได้รักนางแม้สักนิดเดียว ดุษฎีบอกพิทักษ์ว่าครอบครัวที่จะอยู่ด้วยกันไปจนตายนั้นต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน พิทักษ์ถามประชดว่า
“คุณหญิงครับ ทำไมไม่เข้าข้างสามีบ้างล่ะครับ คุณจะให้ผมคลานเข่าเข้าไปหาเด่นชาติแล้วขอถอนหมั้นหลังจากที่คะยั้นคะยอเขาแทบตายให้เขาเลือกลูกชายของเราสักคน คุณจะไม่ให้ผมเหลือศักดิ์ศรีในตัวเองบ้างเลยหรือ”
ดุษฎีเตือนสติพิทักษ์ว่าอย่าเยอะไปหน่อยเลย เด่นชาติเป็นเพื่อนรักของเขา แค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะคนที่ลูกเขารักนั้นเป็นถึงผู้ช่วยเอกอัครราชทูตไม่ใช่ผู้ชายบ้านๆที่ไหน ทัศนัยย้ำว่ายังไงพ่อก็ต้องถอนหมั้นให้ตนเพราะตนไม่ได้รักนาง ตนมีคนรักแล้ว เธอชื่อปูเป้เป็นผู้ช่วยของตน
“พยาบาลผู้ช่วย ไม่!” พิทักษ์ปฏิเสธเด็ดขาด แต่ดุษฎีบอกว่าดี เพราะเวลาตนหรือเขาป่วยจะได้มีคนช่วยดูแล
ทัศนัยบอกว่าไม่สู่ขอก็ไม่มีปัญหา ตนได้เขาแล้วยังไงก็ต้องดูแล ไม่แต่งก็ไม่เป็นไร ตนจะพาไปจดทะเบียนแล้วย้ายเข้ามาเลย พิทักษ์ฟังแล้วแทบจะเป็นลม โบ้ยให้คุณหญิงจัดการแทนตน คุณหญิงบอกว่าตนไม่ได้บ้าอำนาจเหมือนเขา พิทักษ์จึงหันถามลูกชายทั้งสามว่า
“แล้วไง ทัศนัยไม่หมั้น ชัยพงษ์ยกตึกให้ผู้หญิงไปเฉยๆ คัมพล! แกยังไง? ว่ามาซิมีอะไรที่พ่อควรรู้จะรู้ให้จบๆเลยในวันนี้ไหม”
“เรื่องของผม พ่อห้ามยุ่ง!”
พิทักษ์ถามว่าทำไม ไปชอบผู้หญิงที่ไหนหรือ พอคัมพลบอกว่า สายสุดาน้องสาวธนาธิป พิทักษ์ปรี๊ดเส้นเลือดในสมองแทบแตก มองลูกชายตาเหลือก
ooooooo
ส่วนที่บ้านเด่นชาติ...ธนาธิปไปเจรจาเรื่องการหมั้นของทัศนัยกับนาง ถูกเด่นชาติตอบอย่างไม่แยแสว่าต่อให้ทัศนัยถอนหมั้นนางก็ไม่ได้แปลว่าตนจะอนุญาตให้เขามาสู่ขอลูกสาวตนได้ ธนาธิปถามว่าทำไมในเมื่อตนรักและดูแลเธอได้
“ลูกสาวผมไม่ใช่สินค้า คนหนึ่งมาขอหมั้น แต่อีกคนมาบอกว่ารัก พอคนหนึ่งไปเจอคนอื่นมาขอถอนหมั้นอีกคนก็จะมาขอหมั้นต่อ มีใครนึกถึงหัวใจของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่บ้างหรือเปล่า”
“ผมขอโทษครับ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ผมแค่...”
“วันหนึ่งถ้าคุณมีลูกที่คุณรักยิ่งกว่าชีวิต คุณจะเข้าใจเอง” เอมอรติงว่าคิดมากไปหรือเปล่า “ไม่มากไปหรอกคุณ ศักดิ์ศรีของลูกสาวผม ถ้าผมไม่คิดจะดูแลแล้วใครจะมาสนใจ”
“ผมอาจจะมาผิดเวลาผิดที่ ผมผิดที่ไม่อดทนรอให้ทุกอย่างผ่านไปสักนิดก่อน แต่ผมไม่เสียใจนะครับ เพราะถ้าจะมีใครสักคนที่รอมานานก็น่าจะเป็นผม และผมก็เคยพลาดที่ตัดสินใจรอมาแล้วเช่นกัน คราวนี้ผมจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาแทรกระหว่างผมกับนางได้อีกแล้ว ผมขอแค่ได้มาเพื่อแสดงความจริงใจและความมั่นคงที่ผมมีให้กับลูกสาวของคุณอาครับเมื่อไหร่ที่คุณอาสบายใจ ผมหวังว่าผมจะได้มารับคำอนุญาตนั้น”
ตลอดเวลานางนั่งก้มหน้าเครียด ธนาธิปมองนางอย่างเป็นห่วง เขาปลอบนางอย่าร้องไห้ แต่นางคิดไม่ตกถามว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือทำไมถึงไม่มีใครยินดีกับเราเลย หรือความรักของเราเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดอย่างที่สินีนาฎและคุณพ่อว่า
“นางใจเย็นๆ ฟังผมนะ เราไม่ได้ทำอะไรผิดและความรักก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ทุกเรื่องในโลกนี้แม้แต่เรื่องที่ดีที่สุดก็มีอุปสรรคทั้งนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรา เราบังคับคนอื่นไม่ได้ แต่เราบังคับตัวเราเองได้ เราแค่ต้องมั่นคงและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของเรา สักวันคุณพ่อของนางและสินีนาฎต้องเข้าใจเราแน่ๆนางเชื่อผมนะ”
เอมอรมองทั้งสองที่ปลอบและให้กำลังใจกันอย่างเห็นใจ
ooooooo
สินีนาฎเก็บตัวอยู่ในห้อง สายสนมมาถามว่าหิวไหมก็บอกว่าไม่และขออยู่คนเดียวไม่อยากให้ใครเห็นตนในสภาพนี้ สายสนมเสียงขุ่นว่าถ้าไม่อยากให้ใครเห็นในสภาพนี้ก็ต้องลุกขึ้นมาทำตัวให้ดีขึ้น จนทับทิมบอกว่าให้ค่อยๆพูดกับลูก
สายสนมถามว่าธนาธิปเคยมีทีท่าว่ารักลูกบ้างไหมถึงต้องมาหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ เป็นคำถามที่กระแทกใจจนสินีนาฎจุก ทับทิมเห็นท่าจะไม่ดีจึง
ขอเป็นคนพูดกับสินีนาฎเอง สอนให้รู้จักความรักแท้ ที่เราสามารถอยู่กับมันได้ไม่ใช่รักที่หวือหวาเหมือนความฝัน
ให้ทับทิมพูดจนสินีนาฎาค่อยสงบลงแล้ว สายสนมบอกสินีนาฎว่า
“แม่อยากให้สิตื่นจากความฝันให้เร็วเพราะแม่ไม่อยากให้สิต้องหลอกตัวเองเหมือนอยู่ในความฝันเหมือนแม่ มันเจ็บปวดนะลูกแต่การที่ลูกของแม่กำลังทำผิดเหมือนกับที่แม่เคยทำมันเจ็บปวดยิ่งกว่าอีกนะ แม่อยากเห็นลูกของแม่มีความสุขมีความรักที่ดี ไม่ใช่มานั่งจมน้ำตาอยู่แบบนี้”
สินีนาฎกอดแม่ร้องไห้ ทับทิมเดินไปเปิดม่านหน้าต่างให้แสงสว่างลอดเข้ามา แล้วกลับมานั่ง เอ่ยอย่างเมตตาว่า
“สินีนาฎ หนูยังเด็กยังมีอะไรรอหนูอยู่อีกตั้งเยอะ รีบๆลุกขึ้นมาทำตัวเองให้สดชื่นให้มีค่ายืนให้ได้ด้วยสองขาของตัวเอง แล้วหนูจะรู้เองว่า ใครกันแน่ที่คู่ควรกับความรักของหนูนะลูก เกิดเป็นผู้หญิงเราต้องเป็นคนเลือกไม่ใช่ไปเป็นตัวเลือกให้ใครนะจ๊ะ”
นางเองก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากสินีนาฎ สับสน เสียใจ เอมอรดูแลอย่างอบอุ่น คุยกับนางอย่างเข้าใจความรู้สึกขณะเดียวกันก็ชี้ทางออกว่า
“ถ้าแม่อายุเท่านางแล้วเจอเรื่องแบบนี้แม่ก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน...แต่ถ้าแม่เจอเรื่องนี้ตอนนี้ แม่จะไม่ร้องไห้เลย แม่จะนั่งสวยๆอยู่เฉยๆ” นางถามว่าทำไม “อ้าว...การที่เรามีคนมารักแล้วมันมีอุปสรรคมันก็ทำหน้าที่กรองให้เรา...ถ้าเขาอดทนต่อสู้จนผ่านมันมาได้ ก็แปลว่าเขารักเราจริงๆ ไม่ได้มาเล่นๆ”
“ถ้าเขาอดทนไม่ไหว แล้วยอมแพ้เสียก่อนล่ะค่ะ”
“ถ้าเขายอมแพ้แล้วนางจะเสียเวลาเสียน้ำตาให้เขาทำไมล่ะลูก คนที่เป็นพ่อเป็นแม่น่ะ เราเลี้ยงลูกเรามาแทบตาย พ่อกับแม่ไม่ได้มีหน้าที่ยกลูกให้กับใครที่ผ่านเข้ามาทันทีนะลูก” นางถามว่าแล้วทำไมทีกับทัศนัยคุณพ่อยอมง่ายนัก “เชื่อแม่สิลูกว่าคุณพ่อมีเหตุผลของท่าน แล้วนางจะเข้าใจเอง”
เอมอรกอดนางไว้แนบอก นางสบายใจขึ้นในอ้อมกอดที่อบอุ่นของแม่
ooooooo










