ตอนที่ 3
ทัศนัยแยกนักศึกษาชายเป็นสองกลุ่มเพื่อตามหารัตนาวดี โดยกลุ่มของทศพลไปแถวเทวาลัยเจ้าแม่นาคีแต่ก็คลาดกับพิมพ์พร เจิดนภาและคำแก้วที่พาตัวรัตนาวดีกลับไปแล้วอย่างปลอดภัย
ทศพลตัดสินใจพาประกิตกับวันชนะเข้าไปในเทวาลัยแล้วก็ต้องติดแหง็กในนั้นเพราะฝนดันตก สามหนุ่มเลยถือโอกาสสำรวจลานกว้างภายในปราสาทซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอลังการ และขณะที่ตะลึงลานกับความงามตรงหน้านั่นเอง ทศพลก็มีภาพแวบในหัวว่าเคยมีคนถูกจับตัวมาประหารที่นี่
ประกิตกับวันชนะทำหน้าไม่เชื่อเมื่อทศพลบอกว่าที่นี่เคยเป็นลานประหาร แต่ไม่กี่อึดใจก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อเห็นว่าที่คอของทศพลมีรอยแผลยาวเหมือนถูกของมีคมบาด!
แผลที่คอมีเพียงเลือดไหลซิบๆแต่ทศพลก็ไม่ยี่หระนัก สนใจเทวรูปเจ้าแม่นาคีภายในเทวาลัยมากกว่าเพราะเพิ่งค้นพบว่าบริเวณฐานกับช่วงลำตัวของเทวรูปมีรอยต่อเป็นหินคนละสี
“ดูจากเนื้อหินคร่าวๆ ส่วนที่ต่อเติมใหม่น่าจะมีอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ”
“หมายความว่าเทวรูปเจ้าแม่นาคีที่เห็นอยู่นี่เป็นของเก๊เหรอวะ” วันชนะถามอึ้งๆ
“เทวรูปเดิมคงพังทลายลงจนไม่เหลือซาก ชาวบ้านเลยสร้างเทวรูปพญานาคขึ้นมาใหม่ทับของเดิม”
“โธ่เอ๊ย...หลงเชื่อเป็นตุเป็นตะ ที่แท้เจ้าแม่นาคีก็แค่นิทานหลอกเด็ก มันน่าลงหนังสือพิมพ์แฉให้สิ้นไส้”
ประกิตนิ่วหน้าไม่เข้าใจ หากเทวรูปนี้ไม่ใช่เจ้าแม่นาคีแล้วจะเป็นเทวรูปอะไร ทศพลเลยช่วยไขข้อข้องใจ
“ดูจากรอยต่อบริเวณพังพานที่เป็นของเดิมน่าจะเป็นเทวรูปพญานาคเก้าเศียร บางทีเทวาลัยนี้อาจสร้างขึ้นเพื่อบูชาท้าวศรีสุทโธนาค พญานาคผู้เป็นใหญ่แห่งลำน้ำโขง ปกครองพญานาคน้อยใหญ่ฝั่งไทยทั้งหมด”
วันชนะกับประกิตพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตกใจหน้าเสียเมื่อเห็นทศพลตกไปในโพรงด้านหลังเทวรูป!
ทศพลตกลงไปในถ้ำใต้เทวาลัยซึ่งไม่เคยรู้ว่ามี ประกิตกับวันชนะรีบหาอุปกรณ์มาช่วยดึงเพื่อนจากโพรง เปิดโอกาสให้ทศพลได้สำรวจพื้นที่ในถ้ำด้านล่างและได้เจอนางในฝันที่หน้าตาเหมือนคำแก้วไม่ผิดเพี้ยน
“คำแก้ว...คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
ร่างทิพย์ของเจ้าแม่นาคีซึ่งถอดจิตมาจากกายหยาบของคำแก้วนั่นเองที่ปรากฏตัวให้เขาเห็น กลิ่นหอมกรุ่นของดอกมะลิวัลย์จากตัวเธอทำให้เขาเหมือนตกในภวังค์
“ข้าอยู่ที่นี่...รอคอยท่านตรงนี้มานานแล้วไชยสิงห์”
“ไชยสิงห์...ใครกัน”
“ก็ท่านอย่างไรเล่า...แม่ทัพไชยสิงห์แห่งปัตตนคร”
“คุณล้อผมเล่นใช่ไหมคำแก้ว”
“ข้าไม่ใช่คำแก้ว ท่านลืมข้าเสียแล้ว...ไชยสิงห์”
“ไม่ใช่คำแก้ว แล้วคุณเป็นใคร คุณเป็นนางไม้ใช่ไหม”
เจ้าแม่นาคีไม่ตอบแต่นำทางเขากลับไปบนลานในปราสาทอย่างปลอดภัย ทศพลตั้งท่าจะถามอะไร
บางอย่างแต่ไม่ทันอ้าปาก นางในฝันหน้าตาเหมือนคำแก้วก็หายวับไปแล้ว!
ooooooo
แม้จะช่วยรัตนาวดีออกมาได้ แต่คำแก้วก็ถูกทุกคนรวมทั้งแม่แท้ๆมองมาด้วยแววตาสงสัยว่าเธอไปทำอะไรแถวเทวาลัย หญิงสาวผู้ชอบเล่นกับงูทำเป็นไม่สะทกสะท้านกับสายตาเหล่านั้น ทั้งที่ในใจเริ่มวิตกว่าตัวเองอาจมีบางอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอสะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วพบว่ามีคราบโคลนบนฝ่าเท้า
แต่ข้อกังขาเกี่ยวกับคำแก้วก็ไม่น่าตกใจเท่าเรื่องที่พวกทศพลกลับมาบอกว่าพบถ้ำใต้เทวาลัย
ทัศนัยตื่นเต้นมากตามประสาผู้เชี่ยวชาญและสนใจประวัติศาสตร์และโบราณคดี “ผมอยากเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง ถ้าเป็นจริงอย่างที่ทศพลว่า เราอาจเป็นคณะสำรวจชุดแรกที่ค้นพบแหล่งอารยธรรมบ้านดอนไม้ป่า”
“เราต้องรีบลงมือก่อนที่กำนันแย้มจะไหวตัวส่งคนมาขัดขวางพวกเราเหมือนที่เผาเต็นท์คราวก่อน”
“เราต้องลักลอบเข้าไปสำรวจใต้เทวาลัยนั่น อย่าให้พวกกำนันรู้เด็ดขาด!”
พวกนักศึกษายกเว้นพวกพิมพ์พรซึ่งต้องดูแลรัตนาวดีเตรียมตัวไปสำรวจถ้ำพร้อมกับทัศนัย ทศพลซึ่งบ่ายเบี่ยงไม่เล่าเรื่องที่ตนหาทางขึ้นจากถ้ำมาได้อย่างปาฏิหาริย์จึงผละไปหาคำแก้วเพื่อไขข้อสงสัย
“คำแก้ว...เมื่อคืนคุณไปที่เทวาลัยท้ายหมู่บ้านหรือเปล่า”
คำแก้วหน้าเจื่อนแต่เพียงแวบเดียวก็ตอบหน้าตาย “เมื่อคืนฝนเทไม่ลืมหูลืมตา ฉันจะไปทำอะไรที่นั่น”
“มีผู้หญิงหน้าเหมือนคุณแต่แต่งตัวประหลาดเหมือนหลุดมาจากยุคขอมช่วยผมออกจากถ้ำ”
“คุณพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
ทศพลมองมายิ้มๆ ก่อนจะตั้งข้อสันนิษฐาน “ต้องเป็นนางไม้แน่ๆ นางไม้หน้าเหมือนคุณเปี๊ยบแต่ท่าทางสวยปนเศร้า ไม่ได้แข็งกระด้างเย็นชาเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้เหมือนใครบางคน”
“คุณว่าใคร”
“จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่คุณ”
คำแก้วหน้าแดง ใจเต้นรัวแบบที่ไม่เคยมาก่อน แต่กระนั้นก็ตีหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทศพลมองมาขำๆก่อนจะผละไปสมทบพวกเพื่อนๆ แล้วก็ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อประกิตนำภาพถ่ายในถ้ำเทวาลัยซึ่งลำแสงสีขาวแลดูคล้ายลำตัวพญานาคกระจายอยู่ทั่วภาพให้ดู... ราวกับว่าภายในถ้ำนั้นเป็นที่อยู่ของพวกพญานาค!
อาการของรัตนาวดีไม่ดีเลย ไข้ขึ้นสูง ใบหน้าซีดเซียว แววตาเหม่อลอยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร คำปองช่วยพิมพ์พรกับเจิดนภาดูแลแต่ก็ช่วยไม่ได้มากนัก จึงเสนอให้ตามหมออ่วมมาช่วยทำพิธีเรียกขวัญ
เมื่อคำแก้วรู้ก็เบ้หน้า ไม่เชื่อถือและศรัทธาในตัวหมอผีประจำหมู่บ้านเลยแม้แต่น้อย
“หมออ่วมมาจะช่วยอะไรได้”
“อย่างน้อยก็มาช่วยเรียกขวัญนังหนูให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว”
“ตาแก่เจ้าเล่ห์ รู้แค่งูๆปลาๆก็ตั้งตัวเป็นหมอธรรมประจำหมู่บ้าน หากินบนความเชื่อของคนอื่น ที่หนองไทรคงไม่ค่อยมีคนตกเป็นเหยื่อถึงย้ายมาหากินที่ดอนไม้ป่านี่”
“คนเจ็บคนไข้ในหมู่บ้านเรา แกก็ช่วยรักษาจนหายตั้งหลายคน”
“ที่ตายไปก็มาก พอคนไข้เกิดตายขึ้นมา แกก็อ้างโน่นอ้างนี่สารพัดให้ตัวเองพ้นผิด”
“เอ็งอคติกับหมออ่วมเกินไป”
“ใครจะยอมรับนับถือแกก็เชิญ แต่ฉันคงทำใจไหว้ไม่ลง”
ooooooo
พิมพ์พรไม่สนใจคำเตือนของคำแก้ว ตัดสินใจไปตามหมออ่วมด้วยตัวเอง และทันทีที่มาถึง หมอผีประจำหมู่บ้านก็ได้กลิ่นสาบงูคละคลุ้งไปหมด คำปองละล่ำละลักปฏิเสธ บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้เพราะตั้งแต่ผัวตาย ครอบครัวเธอก็ไม่ล่างูขายอีก
แต่หมออ่วมก็ไม่เชื่อ ทำจมูกฟุดฟิดตามหาที่มาของกลิ่นสาบงูจนคำแก้วทนไม่ไหว
“หมออ่วมนี่จมูกดีจัง ฉันอยู่ที่นี่แท้ๆยังไม่ยักกะได้กลิ่น”
“เอ็งอยู่ทุกวันก็เลยชินน่ะสิ ข้าว่าบ้านเอ็งต้องมีงูอาศัยอยู่แน่ๆ”
“งูที่หมออ่วมว่ามันน่าจะเลื้อยอยู่บนหัวคนแถวนี้มากกว่า”
หมออ่วมโมโหที่ถูกเหน็บและทวีความสงสัยในตัวคำแก้วมากขึ้น แต่อาการเพียบหนักของรัตนาวดีก็รอไม่ได้ เขาเลยต้องผละมาทำพิธีเรียกขวัญ แต่ไม่ทันสำเร็จทศพลก็โผล่มาขัดขวาง
รัตนาวดีตัวสั่นเป็นลูกนกเพราะถูกน้ำมนต์ของหมออ่วมสาด ทศพลโกรธมากและคิดว่าหมอผีเป็นพวกลวงโลก คำปองเห็นท่าไม่ดีเลยแยกทั้งสองจากกัน หมออ่วมต้องผละไปแบบเสียไม่ได้แต่ไม่วายขู่
“อาการมันเข้าขั้นตรีทูต พิธียังมาล่มกลางคันอีก ข้าหมดหนทางเยียวยาล่ะ คงต้องปล่อยไปตามบุญตามกรรม”
“พอจะมีวิธีแก้ไขบ้างไหมหมออ่วม”
“ข้าเคยเตือนให้รีบออกจากดอนไม้ป่าแต่พวกมันไม่เชื่อ สุริยคราสคราวนี้ไม่รู้ต้องเซ่นสังเวยเจ้าแม่นาคีสักกี่ศพ”
“ขออย่าให้เหมือนเมื่อสิบเก้าปีก่อนเลย”
“ข้าก็หวังว่าอย่างงั้น...”
ฝ่ายพิมพ์พร...เถียงกับทศพลอย่างหนักที่เขา
ไม่ยอมให้หมออ่วมทำพิธีเรียกขวัญให้รัตนาวดี
“พิมพ์อยากให้ยัยรัตน์หายก็เลยตามหมออ่วมมารักษา พิมพ์ผิดตรงไหน”
“รัตนาวดีเป็นไข้ ไปตามหมอผีมารักษาจะหายได้ยังไง”
“ที่นี่ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีหมอ มีแต่หมออ่วมเท่านั้นที่พอจะพึ่งได้ ของแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้”
“แล้วเป็นไง คราวนี้เห็นหรือยังว่ารัตนาวดีสภาพเป็นยังไงบ้าง”
“ยัยรัตน์ไม่ได้เป็นไข้ธรรมดา แต่อาจถูกภูตผีปีศาจรังควานเอาก็ได้”
“ผมผิดหวังในตัวคุณมากเลยนะ ผู้หญิงหัวสมัยใหม่อย่างคุณ ไม่น่างมงายเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้เลย!”
อาการของรัตนาวดีเลวร้ายลง ไข้สูงกว่าเดิมจนทุกคนใจคอไม่ดี ทศพลอยากพาไปหาหมอในเมือง แต่คำแก้วก็มาแจ้งข่าวร้ายเสียก่อนว่าถนนเข้าหมู่บ้านถูกตัดขาด คงอีกนานกว่าจะใช้ได้อีก
กำนันแย้มประสาทเสียมากเมื่อรู้จากหมออ่วมว่าพวกคนเมืองไม่ยอมกลับกรุงเทพฯ กลัวเหลือเกินว่าสุริยคราสปีนี้อาจเป็นหายนะเหมือนสิบเก้าปีก่อน หมอผีประจำหมู่บ้านเลยเสนอทางแก้
“ระวังอย่าให้พวกคนเมืองเข้าไปยุ่มย่ามในเทวาลัยเจ้าแม่นาคีอีกเด็ดขาด”
“ไอ้เดี่ยว ไอ้ทัพ...เอ็งสองคนไปที่บ้านนังคำปอง คอยเฝ้าจับตาดูพวกมันไว้ให้ดี อย่าให้พวกมันออกไปไหนเด็ดขาด ถ้ามันขัดขืนก็ลงมือได้เลย!”
ooooooo
นอกจากจะสั่งให้สองสมุนจับตาดูพวกคนเมืองอย่างใกล้ชิด กำนันแย้มและหมออ่วมยังให้คนจับตาดูคำแก้วเป็นพิเศษด้วย โดยเฉพาะหมอผีประจำหมู่บ้าน ปักใจนักหนาว่าคำแก้วต้องไม่ใช่คน
“วันก่อนข้าแวะไปบ้านนังคำปอง กลิ่นสาบงูคลุ้งไปหมด จะต้องมีงูบริวารเจ้าแม่กบดานอยู่ที่นั่นแน่ๆ”
กอซึ่งแวะมากินเหล้าด้วยรีบสนับสนุน “นังคำแก้วลูกสาวนังคำปองมันคลอดวันที่เจ้าแม่นาคีออกอาละวาดเมื่อสิบเก้าปีก่อน บางทีมันนั่นแหละที่เป็นบริวารเจ้าแม่ในร่างมนุษย์”
กำนันแย้มไม่อยากเชื่อเพราะยังไม่มีหลักฐาน กอเลยเล่าเรื่องประหลาดของคำแก้วให้ฟัง
“ข้าเคยเห็นนังคำแก้วมันมีเกล็ดคล้ายกับงูลอกคราบ แต่พอวันรุ่งขึ้นแผลที่แขนมันก็หายเป็นปลิดทิ้ง”
“เรื่องนี้มันชักจะทะแม่งๆอยู่นากำนัน บริวารเจ้าแม่นาคีมันอาจจะสิงสู่อยู่ในร่างหญิงสาวก็เป็นได้”
ข้อสันนิษฐานของหมออ่วมทำให้กำนันแย้มอยากสืบความจริงเรื่องคำแก้ว เดี่ยวกับทัพเลยต้องทำงานหนัก นอกจากต้องเฝ้าพวกคนเมืองไม่ให้ไปยุ่มย่ามแถวเทวาลัย ยังต้องจับสังเกตคำแก้วด้วย แต่พวกทศพลก็หาทางหนีไปจนได้ด้วยการปลอมตัวเป็นหุ่นไล่กาบนผืนนาของคำปอง
ถ้ำใต้เทวาลัยทำให้ทัศนัยและเหล่านักศึกษาตะลึงลาน ถกเถียงกันอย่างจริงจังว่าข้าวของมากมายหลุดรอดจากสายตาของคนภายนอกได้เช่นไร ทศพลคิดนิดเดียวก็เอ่ยเสียงเรียบ
“ที่นี่น่าจะเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่มาก่อน”
“แกรู้ได้ไงวะไอ้พล หรือว่าแกเห็นภาพนิมิต” วันชนะสงสัย
“ข้าวของพวกนี้น่าจะถูกกระแสน้ำซัดลงมาจากข้างบนทับถมตกตะกอนลงมาอยู่ใต้ดินนี่”
ทศพลก็บอกไม่ได้ว่ารู้มาจากไหน แต่เสียงเรียกคุ้นหูที่ดังจากเทวรูปเจ้าแม่นาคีก็ดึงความสนใจเขาไปแทน และทันทีที่เห็นหน้าตาชัดๆ เขาก็แทบผงะ เพราะเทวรูปนี้มีใบหน้าเหมือนคำแก้วไม่ผิดเพี้ยน!
ภาพใบหน้าของเทวรูปนั้นทำให้ทศพลเก็บไปฝัน และในฝันนั้นเขาก็ได้กลิ่นดอกมะลิวัลย์ พร้อมกับการปรากฏตัวของนางในฝันที่เขาเข้าใจว่าเป็นนางไม้
“ข้ารอคอยท่านมานานนักหนา ไม่คิดว่าเราจักได้กลับมาพบกันอีก”
“เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอ”
“ถึงแม้ว่าท่านจักลืมข้า แต่ข้าไม่เคยลืมท่าน...
ไม่เคยลืมคำสัตย์สัญญาที่ท่านเคยให้ไว้กับข้า”
พลันภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นภาพอดีตเมื่อพันปีก่อน ชายหนุ่มรูปงามหน้าตาเหมือนทศพลราวกับเป็นคนเดียวกันแต่แต่งชุดเครื่องแบบนักรบโบราณกำลังนั่งพนมมือสาบานต่อหน้ารูปปั้นพญานาค
“ข้าแม่ทัพไชยสิงห์...ขอตั้งสัจจะวาจาต่อหน้าองค์พญานาคผู้ศักดิ์สิทธิ์ จงรับรู้คำสาบานของข้า ข้ามีใจภักดิ์รักเจ้าเพียงผู้เดียว หากข้าได้มาเป็นแม่เรือน จะรักมิรู้เบื่อ เชื่อมิรู้หน่าย แม้ตายจากข้าก็จักเฝ้ารอทุกชาติภพ หากข้าแหนงหน่ายต่อนางแม้สักเมื่อเชื่อวัน ขอให้ข้าจงตายในสามวันเจ็ดวันเถิด”
ทศพลสะดุ้งตื่นหลังจากนั้น ภาพในฝันนั้นชัดเจนและเหมือนจริงจนแทบไม่น่าเชื่อ
“ผมคือไชยสิงห์งั้นเหรอ”
“เมื่อเก้าร้อยเก้าสิบเก้าปีที่แล้ว...ท่านคือไชยสิงห์ แม่ทัพใหญ่แห่งปัตตนคร”
“แล้วคุณล่ะ คุณเป็นใคร”
“เชื่อเถิด...ท่านไม่อยากรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร”
ooooooo
ไม่ใช่แค่ทศพลที่ฝันประหลาด เห็นนางไม้หน้าตาเหมือนคำแก้ว คำแก้วก็ฝันเรื่องเหลือเชื่อ
ไม่ต่างกัน น่าอายกว่าด้วยซ้ำเพราะดันฝันถึงทศพล
คำแก้วสงสัยว่าตนอาจมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกับทศพลแต่ยังไม่อยากตามหาความจริงตอนนี้ ต่างจากทศพลที่หมกมุ่นกับความฝันและการระลึกชาติจนต้องไปเลียบๆเคียงๆถามเชษฐ์หนุ่มธรรมะธัมโมประจำกลุ่ม
“มันจะไม่ดูงมงายไปหน่อยเหรอวะ เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้”
“วิทยาศาสตร์ทั่วไปมีขอบเขตทางกายภาพ ใช้วัดตรรกะทางจิตไม่ได้ อย่างน้อยฉันก็เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด”
“แกเชื่อเพราะศาสนาบอกให้แกเชื่องั้นหรือ”
“ก็ไม่เชิง นักวิทยาศาสตร์บอกว่าสสารไม่มีวันสูญหายแต่เปลี่ยนรูปได้ เหมือนข้าวที่เรากินเข้าไปแล้วกลายเป็นพลังงานและของเสียที่เราขับถ่ายออกมา ข้าวไม่ได้หายไปไหน แค่แปรสภาพไปเท่านั้น”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงจำเรื่องราวในชาติที่แล้วไม่ได้”
“การระลึกชาติคือการเรียกสัญญาเก่าหรือการ กำหนดได้หมายรู้ให้กลับคืนมาจากสิ่งกระทบ ถ้าไม่มีสิ่งกระทบที่เป็นสัญญาเก่าก็ย่อมจำเรื่องราวในอดีตชาติไม่ได้”
“สัญญาเก่างั้นเหรอ”
“เออ...แต่อย่างแกน่ะไม่ใช่สัญญาเก่าหรอก เขาเรียกว่าหมกมุ่น!”
พิธีบวงสรวงพญานาคใกล้เข้ามาทุกที กำนันแย้มเลยเกณฑ์สาวพรหมจรรย์ทั้งหมู่บ้านมาซ้อมรำถวายเจ้าแม่นาคี ลำเจียกก็เข้าร่วมด้วยแต่เพราะจำท่ารำไม่ได้เลยถูกทำโทษหลายครั้ง ในที่สุดสาวสวยประจำหมู่บ้านลูกสาวคนเดียวของกอก็ทนไม่ไหว ประกาศกร้าวจะไม่รำอีกต่อไป กำนันแย้มได้ยินเลยดุเสียงเข้มว่าเป็นกฎ ไม่มีข้อยกเว้น
“ทีนังคำแก้วมันก็ยังไม่มีผัวเหมือนกัน ทำไมป่านนี้ยังไม่โผล่หัวมา”
หมออ่วมผ่านมาได้ยินเลยโพล่งตอบแทน “นังคำแก้วมันไม่มารำก็เพราะมันกลัวอาถรรพณ์สุริยคราสจะทำให้มันกลายเป็นงู เมื่อใดนาคราชกลืนดวงตะวันจนมืดมิด เจ้าแม่นาคีจะมีฤทธิ์คืนร่างเป็นงูใหญ่ พวกเอ็งจะได้เห็นเป็นบุญตา”
ชาวบ้านต่างหวาดกลัวเพราะเรื่องของคำแก้วฟังดูเข้าเค้า กำนันแย้มเลยออกคำสั่งกับลูกชาย
“ไอ้เลื่อง...เอ็งไปลากตัวนังคำแก้วมา ถ้ามันดื้อด้านไม่ยอมมารำ เอ็งก็ปล้ำมันทำเมียให้มันเสียพรหมจรรย์ซะ!”
คำแก้วไม่มีทางเลือกต้องตามเลื่องมาซ้อมรำ แต่ก็ไม่วายแผลงฤทธิ์ใส่กำนันแย้ม
“กฎพวกนี้ลุงกำนันกับหมออ่วมรวมหัวกันตั้งขึ้นมาทั้งนั้น” กำนันแย้มโมโหแต่คำแก้วก็ไม่สน “หรือฉันพูดไม่จริง ในที่นี้มีใครติดต่อเจ้าแม่นาคีได้บ้าง ทุกคนก็ฟังแต่หมออ่วมพูดเองเออเองกันทั้งนั้น”
“เอ็งไม่นับถือหมออ่วมข้าไม่ว่า แต่เอ็งอย่าลบหลู่เจ้าแม่นาคี มันจะพากันฉิบหายกันไปหมด”
“ฉันไม่ได้ลบหลู่เจ้าแม่นาคี แต่ฉันรับไม่ได้กับการวางอำนาจบาตรใหญ่ของลุงกำนัน”
“บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง ถ้าดื้อด้านไม่ยอมรับ เอ็งกับแม่ก็ไสหัวไปจากดอนไม้ป่าซะ”
“ฉันไม่ไป...เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
“นังคำแก้ว...ข้าจะถามเอ็งเป็นครั้งสุดท้าย เอ็งจะรำหรือไม่รำ ถ้าไม่รำ ข้าจะให้ไอ้เลื่องปล้ำเอ็งทำเมีย”
เลื่องเกือบได้สมหวังแล้ว ถ้าคำปองจะไม่โผล่มาขวางและตอบรับคำสั่งของกำนันแย้มแทนลูกสาว คำแก้วไม่เข้าใจ คำปองเลยต้องลากตัวไปคุยอีกทางตามลำพังแม่ลูก
“ตอนแม่ตั้งท้องเอ็ง แม่เคยอธิษฐานว่าหากเอ็งรอดปลอดภัยมีครบสามสิบสอง แม่จะยกเอ็งให้เป็นลูกเจ้าแม่”
“ฉันเป็นลูกเจ้าแม่นาคีเหรอ”
“ถ้าเอ็งไม่ได้เป็นลูกเจ้าแม่ คงตายตั้งแต่คลอดแล้ว”
“เพราะอย่างนี้แม่ถึงยอมให้ฉันรำถวายเจ้าแม่นาคี”
“อย่างน้อยก็เป็นการตอบแทนเจ้าแม่ที่ให้เอ็งมีลมหายใจจนถึงทุกวันนี้”
“ฉันรู้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะตั้งใจรำถวายเจ้าแม่สุดฝีมือเลยจ้ะ”
ooooooo
คำแก้วซ้อมรำถวายเจ้าแม่นาคีกับแม่ตลอดบ่าย ส่วนทศพลก็วุ่นวายกับการสำรวจถ้ำใต้เทวาลัยพร้อมกับทัศนัยและเพื่อนๆ แต่ข้าวของโบราณชิ้นไหนก็ไม่ดึงดูดความสนใจเขาเท่าเทวรูปเจ้าแม่นาคี
วันชนะเห็นทศพลยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเทวรูปก็อดแซวไม่ได้
“ไงวะไอ้พล ฉันเห็นแกเอาแต่จ้องรูปปั้นนี่มาครึ่งวันค่อนวันแล้ว”
“สวย...สวยเหลือเกิน น่าจะเป็นคนจริงๆมากกว่าหินแกะสลัก”
“ยับยั้งชั่งใจบ้างโว้ย ถ้ายัยพิมพ์รู้ว่าแกนอกใจมาหลงรักรูปปั้นหินจะเป็นเรื่อง ฉันไม่อยากเห็นคนตบกับหิน”
“ฉันบอกแกรอบที่ล้านแล้วว่าฉันกับพิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ตอนนี้ยังไม่เป็น ก็ทำให้เป็นสิวะ ยัยพิมพ์ให้ท่าแกขนาดนั้น”
“พิมพ์พรไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่ฉันชอบ”
“แล้วแบบที่แกชอบเป็นยังไงวะ อย่าบอกนะเว้ยว่าแกชอบแบบรูปปั้นนี่”
“ถ้าฉันตอบว่าใช่...แกจะหาว่าฉันบ้าหรือเปล่า”
“รูปปั้นขอมอายุพันๆปี ถ้ามีผู้หญิงคนไหนหน้าตาแบบนี้คงเชยแย่”
ทศพลไม่เห็นด้วยสักนิด และเขาก็ได้พิสูจน์ความเชื่อตัวเองเมื่อกลับถึงบ้านคำปองตอนเย็นและเห็นคำแก้วซ้อมรำถวายเจ้าแม่นาคีอย่างอ่อนช้อยและงดงาม
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณเพิ่งจะหัดรำเป็นครั้งแรก”
“ฉันก็แค่ทำตามที่แม่สอน รำบ่อยๆก็จำได้เอง”
“เสียดายที่พรุ่งนี้ผมไม่มีโอกาสไปดูคุณรำถวายเจ้าแม่นาคีที่เทวาลัย”
“กำนันแย้มก็เหลือเกิน ทำราวกับพวกคุณเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์”
“ดอนไม้ป่าปกครองด้วยศาลเตี้ย ผิดถูกขึ้นอยู่กับกำนันแย้ม คุณทนอยู่ได้ยังไง ทำไมถึงไม่พาแม่ไปอยู่ที่อื่น”
“คุณจะให้ฉันกับแม่ไปอยู่ที่ไหน เราสองคนแม่ลูกไร้ญาติขาดมิตร ไม่อดตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“ไปอยู่กรุงเทพฯกับผมเถอะคำแก้ว ไปให้พ้นจากที่นี่”
คำแก้วถึงกับนิ่งไปอึดใจ ไม่คิดว่าเขาจะชวนไปอยู่ด้วย
“ผมพูดจริงๆนะคำแก้ว ไปกรุงเทพฯด้วยกัน คุณ กับแม่มาอยู่บ้านผมก็ได้”
“ผู้หญิงบ้านป่าอย่างฉันไม่เหมาะกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์อย่างนั้นหรอก”
“แล้วถ้าคุณถูกคนพวกนั้นรังแกล่ะ”
“นั่นมันก็สุดแท้แต่โชคชะตา...”
โชคชะตาของคำแก้วไม่โชคดีเหมือนทศพลที่มีแต่คนเข้าใจ เพราะกำนันแย้ม หมออ่วมและกอคอยจับผิด มอบหมายให้ลำเจียกตามประกบเธอตอนรำถวายเจ้าแม่ นาคีในวันรุ่งขึ้น
“พ่อจะให้จับตาดูมันทำไม แม้แต่หน้ามัน ฉันยังไม่อยากจะมอง”
“นังคำแก้วมันเกิดวันสุริยคราส วันนั้นพายุถล่มทั้งหมู่บ้าน เจ้าแม่นาคีออกอาละวาดเข่นฆ่าผู้คน ข้ากำลังสงสัยว่านังคำแก้วจะเป็นบริวารเจ้าแม่นาคีมาเกิด”
“ถ้างั้นนังคำแก้วมันก็ไม่ใช่คนน่ะสิ เกิดนังนั่นมันกลายร่างเป็นงูขึ้นมา มันจะไม่ฆ่าฉันเหรอพ่อ”
“ตราบใดที่สวมแหวนพิรอด ก็ไม่มีวันที่งูตัวไหนจะทำอะไรเอ็งได้”
ooooooo
ลำเจียกไม่ใช่คนเดียวที่ต้องผวาเพราะคำแก้ว แม้แต่คำปองก็อดหวั่นไม่ได้ เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยกับวันที่มีสุริยคราสเมื่อสิบเก้าปีก่อน คำแก้วเลยต้องปลอบไม่ให้คิดมาก
“แม่อย่ากลัวไปเลย ถ้าไม่มีใครลบหลู่เจ้าแม่นาคีก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น”
“แม่เสียพ่อเอ็งไปคนหนึ่งแล้ว ไม่อยากเสียเอ็งไปอีกคน”
“แม่บอกว่าฉันเป็นลูกเจ้าแม่นาคี เจ้าแม่ก็ต้องปกปักรักษาคุ้มครองฉัน ไม่ปล่อยให้ฉันเป็นอะไรง่ายๆหรอก”
“คำแก้วเอ๊ย...ตั้งแต่เกิดมา เอ็งก็ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ”
“ฉันต่างจากเด็กคนอื่นยังไงเหรอจ๊ะ...”
คำปองถอนใจยาวก่อนจะย้อนอดีต เล่าเรื่องประหลาดของลูกสาวตั้งแต่แรกเกิดจนจำความได้ว่ามีเหตุยุ่งเกี่ยวกับงูมาตลอด แถมมีพฤติกรรมลอกคราบเหมือนงูด้วย คำแก้วอึ้งไปอึดใจก่อนโต้ว่าแม่คงคิดมากไปเอง เธอก็แค่หญิงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีจิตใจชั่วร้ายเลยเข้ากับงูได้เท่านั้น
ทศพลก็เก็บเรื่องคำแก้วไปคิดจนฝันเหมือนทุกคืน แต่ครั้งนี้ตื่นเต้นกว่าทุกครั้งเพราะเขาฝันว่านางในฝันเรียกให้เขาช่วย แต่เมื่อเขาได้เจอหน้า เธอกลับกลายเป็นงูขาวเผือกตัวใหญ่พุ่งมารัดตัวเขาไว้!
เรื่องเล่าจากอดีตและเหตุการณ์แปลกๆทำให้
คำแก้วกับทศพลเริ่มสงสัยในตัวกันและกันมากขึ้น เช่นเดียวกับพวกกำนันแย้มที่คิดว่าคำแก้วอาจไม่ใช่คนแต่เป็นบริวารของเจ้าแม่นาคีกลับชาติมาเกิด
หมออ่วมเห็นด้วย “ที่ไอ้กอว่ามาก็เข้าเค้า บ้านนังคำปองมีกลิ่นสาบงูเหม็นคลุ้งจนผิดสังเกต ข้ากำลังสงสัยว่าคำแก้วอาจเป็นบริวารของเจ้าแม่นาคีตัวไหนสักตัวอาศัยท้องนังคำปองมาเกิด”
“ถ้านังคำแก้วมันเป็นครึ่งคนครึ่งงูจริงอย่างที่ว่า ตอนเกิดสุริยคราส มันต้องคืนร่างเดิมให้พวกเราเห็น”
คิดได้ดังนั้นคำแก้วเลยกลายเป็นเป้าสนใจของพวกกำนันแย้ม ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ถูกจับตามองไปหมด จนกระทั่งได้ฤกษ์พิธีบวงสรวง เหล่าสาวๆจึงออกมาร่ายรำ พร้อมกับปรากฏการณ์สุริยคราสที่เริ่มโผล่ให้เห็นทีละน้อย
คำแก้วร่ายรำตามที่ถูกฝึก แต่ยิ่งรำก็ยิ่งเหงื่อแตก ดวงตาพร่าพราย เนื้อตัวอ่อนย้อยเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง และในเวลาเดียวกันนั่นเองที่บ้านคำปอง พิมพ์พรกับเจิดนภาก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อพยายามคาดคั้นความจริงเมื่อวันก่อนจากรัตนาวดี แต่ไม่ทันได้คำตอบ หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายก็ถูกเปรตงูฆ่าหักคอต่อหน้าต่อตา!
ooooooo
พวกทศพลยังไม่รู้เรื่องรัตนาวดี มัวตื่นเต้นดีใจเมื่อทัศนัยค้นพบแผ่นจารึกอายุนับพันปีในถ้ำใต้เทวาลัย เช่นเดียวกับพวกกำนันแย้ม ต้องตะลึงตาค้างเมื่อได้ยินลำเจียกตะโกนลั่นว่าคำแก้วกำลังกลายร่างเป็นงู!
เหตุการณ์หลังจากนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและอลหม่าน คำแก้วตกใจไม่แพ้คนอื่นเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะกลายร่างเป็นงูจึงรีบหนีออกจากงานพิธีไปซ่อนตัวแถวเทวาลัย พวกทศพลก็ต้องแตกตื่นหนีตายให้วุ่นเมื่อจู่ๆก็เกิดแผ่นดินไหวในถ้ำใต้เทวาลัย ทำให้ทุกคนต้องรีบขนข้าวของโบราณออกไปให้มากที่สุด
งูเห่าสีน้ำตาลทองตัวใหญ่ชื่อวัชระปราการ บริวารเอกของเจ้าแม่นาคีเห็นคนเคลื่อนย้ายข้าวของ ทรัพย์สมบัติของเจ้าแม่นาคีก็ตั้งท่าจะขัดขวาง งูเขียวสองตัวเพื่อนของคำแก้วหรือแท้จริงคือเลื่อมประภัสร์กับฉัตรสุดา อดีตนางสนมคนสนิทของเจ้าแม่นาคี ต้องออกมาขวางไว้
“หากท่านออกไป พวกมนุษย์ย่อมแตกตื่น จักยิ่งเป็นภัยแก่คำแก้ว” เลื่อมประภัสร์ร้องเตือน
“อีกไม่นานเจ้าแม่ก็จักพ้นคำสาป กลับคืนเป็นนางพญานาคี กลับสู่วังบาดาลดังเดิม” ฉัตรสุดาเสริม
“เจ้ายังไม่รู้อีกรึฉัตรสุดา เจ้าแม่ตัดสินใจแล้วว่าจักเป็นมนุษย์ ไม่หวนกลับคืนเป็นพญานาคีอีก”
คำบอกเล่าของเลื่อมประภัสร์ทำให้วัชระปราการไม่ชอบใจเลย เพราะไม่อยากให้เจ้าแม่นาคีลดตัวมาเป็นมนุษย์
พวกทศพลขนข้าวของโบราณออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่กระนั้นก็ต้องอึ้งในเวลาต่อมาเพราะข้าวของเหล่านั้นกลายเป็นหิน มีเพียงเทวรูปเจ้าแม่นาคีที่ทศพลพยายามแบกออกมาเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนไป นอกจากบริเวณหงอนบนหัวที่หลุดออกมาเพราะกระแทกพื้นระหว่างหนีออกจากถ้ำ
ส่วนคำแก้วก็รอดตายอย่างหวุดหวิด เพราะกายทิพย์ของเจ้าแม่นาคีสวดภาวนาช่วยไม่ให้คืนร่างเป็นงู และก่อนที่พวกทศพลจะขนของออกจากถ้ำ เจ้าแม่นาคีก็ปรากฏร่างเลือนรางให้เห็น พร้อมคำสัญญาจะทำทุกทางให้เขาจำอดีตชาติเมื่อครั้งเป็นแม่ทัพไชยสิงห์คนรักของเธอให้ได้
กว่าคำแก้วจะได้สติอีกครั้ง คำปองก็เกือบถูกชาวบ้านรุมทึ้ง โทษฐานมีลูกสาวเป็นบริวารของพวกงู แต่ทั้งหมดโดยเฉพาะพวกกำนันแย้มก็ต้องชะงัก เมื่อคำแก้วปรากฏตัวในสภาพปกติทุกอย่าง
หมออ่วมถึงกับพูดไม่ออก เพราะเข้าใจว่าคำแก้วจะกลายร่างเป็นงูไปแล้ว อึกๆอักๆจนถูกแขวะ
“ถ้างั้นเรื่องฉันเป็นครึ่งคนครึ่งงูก็แค่นิทานหลอกเด็กน่ะสิ ระวังนะ ปั้นน้ำเป็นตัว ระวังจะถูกถอนหงอกหมดหัว!”
ลำเจียกเห็นหมออ่วมหมดท่าเลยช่วยพูดว่าตนก็เห็นกับตาว่าคำแก้วมีผิวเหมือนเกล็ดงู แต่ก็ถูกตอกหน้าหงาย
“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ามากล่าวหากันพล่อยๆ ไม่อย่างงั้นฉันไม่ไว้หน้าแน่ ทั้งหัวหงอกหัวดำ!”
ooooooo
แม้จะเอาตัวรอดจากพวกกำนันแย้มมาได้แต่คำปองก็คาใจว่าเหตุใดลูกสาวคนเดียวถึงหนีไประหว่างพิธีรำถวายเจ้าแม่นาคี คำแก้วหน้าเจื่อนก่อนจะตีหน้าตายกลบเกลื่อนในอึดใจต่อมา
“ก็ฉันบอกแม่แล้วว่าฉันหน้ามืดจะเป็นลม ถ้ารำต่อฉันคงลงไปนอนกองอยู่ตรงนั้น ขายหน้าเขาเปล่าๆ”
“แต่พวกชาวบ้านเขาคิดว่าเอ็งหนี ทำให้พิธีแตก”
“คนมีปากก็พูดไป ใครจะคิดยังไงก็ช่าง มีอย่างที่ไหน คนจะกลายร่างเป็นงู...โกหกทั้งเพ!”
“เอ็งเป็นเด็กก็ไม่น่าไปลอยหน้าตีฝีปากกับหมออ่วมอย่างนั้น ชาวบ้านจะหาว่าแม่ไม่สั่งสอน”
“แม่ก็บอกเขาไปสิว่าแม่สอนแล้วแต่ฉันไม่จำเอง”
เรื่องวุ่นวายไม่ได้จบแค่นั้นอย่างที่คำแก้วหวัง เพราะทันทีที่กลับถึงบ้านก็ต้องเจอเรื่องสยดสยองเมื่อพิมพ์พรบอกว่ารัตนาวดีถูกเจ้าแม่นาคีเอาชีวิตไปแล้ว
คำปองแล่นไปแจ้งข่าวที่บ้านกำนันแย้มในเวลาต่อมา แต่กำนันขาใหญ่กลับไม่ยี่หระ
“เพื่อนเอ็งแค่ศพเดียวแลกกับชีวิตคนทั้งหมู่บ้านดอนไม้ป่าก็ถือว่าคุ้มค่า”
พิมพ์พรโกรธมาก ตอกเสียงกร้าว “คิดเหรอว่าเพื่อนฉันตายแล้วทุกอย่างจะจบ นางปีศาจเจ้าแม่นาคีจะต้องเอาชีวิตคนไปอีก ไม่แน่...รายต่อไปอาจจะเป็นพวกของกำนันบ้างก็ได้”
กำนันแย้มหัวเสียมากแต่ไม่ทันตอบโต้ ทัศนัยก็โพล่งออกมาเสียก่อน
“พิมพ์พร...พอได้แล้ว ผมต้องขอโทษกำนันแทนลูกศิษย์ของผมด้วย”
“ผมเคยเตือนอาจารย์แล้ว ดอนไม้ป่าเป็นหมู่บ้านต้องคำสาป ในเมื่อไม่เชื่ออยากลองดีก็ต้องมีจุดจบอย่างนี้”
“ถนนซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปจากดอนไม้ป่าทันที”
“หวังว่าพวกคุณจะไปแต่ตัว ไม่เอาอะไรติดไปด้วยหรอกนะ”
คำพูดแสดงความสงสัยของกำนันแย้มทำให้ทัศนัย ต้องยอมให้ตรวจที่พัก แต่รื้อทั้งบ้านคำปองก็ไม่พบ
สิ่งใด พวกกำนันแย้มเลยต้องกลับไปด้วยความเสียหน้าและผิดหวัง แต่ก็ไม่วายขู่ทิ้งท้าย
“ไม่มีก็แล้วไป แต่ผมจะเตือนพวกคุณไว้ สมบัติทุกชิ้นในเทวาลัยเจ้าแม่นาคีล้วนมีอาถรรพณ์ ถ้าไม่อยากมีอันเป็นไป อย่าได้แตะต้องเป็นอันขาด!”
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดพวกกำนันแย้มถึงไม่เห็นเทวรูปเจ้าแม่นาคี แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะตามหาเหตุผล โดยเฉพาะทัศนัยซึ่งกำลังเครียดหนักที่พานักศึกษามาตายและลำบากติดแหง็กที่นี่ ทศพลต้องปลอบไม่ให้คิดมาก
“อาจารย์พาพวกเรามาที่นี่ทำไม...ลืมแล้วเหรอครับ ทุกคนต่างเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ถ้าทำหน้าที่ในวันนี้อย่างดีที่สุดแล้ว ต่อให้พรุ่งนี้ต้องตาย...เราก็จะไม่เสียใจ”
ooooooo










