ตอนที่ 9
หลังจากรู้เห็นว่าปรมัตถ์เป็นสายให้วาทิศ จ่าขจรอยากจะบอกให้คณินทร์รู้ แต่ยังไม่สบโอกาสเพราะไอ้แหลมคอยสอดส่องตามคำสั่งของวาทิศ
ด้านปรมัตถ์ที่ความจริงเข้ามาพัวพันกับวาทิศเพราะต้องการสืบสาวให้ถึงต้นตอหัวหน้าแก๊งตัวจริงจนต้องปกปิดเพื่อนตำรวจด้วยกัน เวลานี้เขาเป็นห่วงจ่าขจรมากเพราะเขาเพิ่งได้รับคำสั่งจากวาทิศให้ฆ่าจ่าขจร โดยวาทิศเปิดทางให้ด้วยการโทร.ตามไอ้แหลมออกมาพ้นเป้าหมาย แล้วส่งปรมัตถ์ไปจัดการ
เมื่อปรมัตถ์มาถึงก็พยายามจะบอกจ่าขจรเรื่องที่ตนไม่ได้เป็นสายให้วาทิศ แต่จ่าปักใจไปเสียแล้วจึงพยายามหลบหนีเพราะกลัวโดนฆ่า ในระหว่างนี้ก็หาทางติดต่อคณินทร์ไปด้วย
คณินทร์รับสายจากจ่าขจรที่ใช้โทรศัพท์สาธารณะติดต่อมา เขาตกใจมากเมื่อจ่าบอกว่าปรมัตถ์ทำงานให้วาทิศ แต่ไม่ทันจะซักถามอะไรต่อจ่าก็ละทิ้งโทรศัพท์วิ่งหนีปรมัตถ์ที่ตามมาเจอ
เสียงเรียกของปรมัตถ์ดังเข้ามาในโทรศัพท์ที่คณินทร์ยังไม่วางสายอย่างชัดเจน คณินทร์ร้อนใจ ห่วงความปลอดภัยของจ่าขจร พยายามจะตามไปช่วยให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายก็ไม่ทันการณ์ เพราะวาทิศกดดันปรมัตถ์อย่างมาก แม้ปรมัตถ์จะถ่วงเวลาและกระซิบบอกความจริงกับจ่า แถมให้ดูหลักฐานเป็นคลิปจากผู้กำกับเจษฎายืนยันว่าปรมัตถ์ทำหน้าที่ตำรวจตามคำสั่งของตน ไม่ได้เป็นสายให้วาทิศอย่างแน่นอน
จ่าขจรโดนวาทิศลอบยิงมาจากมุมหนึ่ง ปรมัตถ์พยายามจะช่วยจ่าที่ยังไม่หมดลมหายใจ แต่จ่ากลับจับมือเขาที่ถือปืนยิงตัวเองสิ้นใจตายไปพร้อมกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ ปรมัตถ์เสียใจมากแต่จำต้องจัดฉากให้สมจริงด้วยการกระหน่ำยิงจ่าขจรที่สิ้นใจไปก่อนหน้านี้แล้ว
เหตุผลที่จ่าขจรฆ่าตัวตายเพื่อไม่ให้พวกวาทิศสงสัยปรมัตถ์ แล้วปรมัตถ์ก็จะได้แฝงตัวอยู่กับพวกมันต่อไป เมื่อคณินทร์และกำลังตำรวจมาถึง ไม่พบใครแม้แต่คนเดียว นอกจากศพจ่าขจรนอนลืมตาโพลง!
คณินทร์เสียใจและยากทำใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ ข่าวจ่าขจรเป็นตำรวจน้ำดีแพร่สะพัดไปหลายช่องทาง ได้รับการยกย่องชื่นชมอย่างแพร่หลาย มินตรารู้ข่าวก็สะเทือนใจและสงสารลูกเมียของจ่า รวมทั้งเป็นห่วงคณินทร์ จึงโทร.ถามสุจิตราจนรู้ว่าเขาเข้ามาที่หน่วย มาถามหาปรมัตถ์แล้วจู่ๆก็ผลุนผลันออกไป
ไม่เจอปรมัตถ์ในหน่วยและติดต่อไม่ได้ด้วย คณินทร์มุ่งหน้าไปที่บ้านแต่ก็พบกับความว่างเปล่า ประตูบ้านปิดล็อกไร้ผู้คน ไม่นานนักมินตราตามมาเจอ เธอเดาถูกหลังคุยกับสุจิตราก็เลยคาดว่าเขาต้องมาที่นี่
คณินทร์โกรธและเสียใจ เชื่อเกินครึ่งว่าปรมัตถ์ฆ่าจ่าขจร เขากระโดดถีบรั้วบ้านระบายความอัดอั้นพร้อมตะโกนลั่น
“ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ คนที่ต้องตายต้องเป็นคนชั่วอย่างมัน ทำไม? ทำไมมันต้องฆ่าจ่า”
มินตราเข้าใจความรู้สึกของเขา ค่อยๆสวมกอดและปลอบโยนโดยไม่ต้องใช้คำพูด ครู่เดียวคณินทร์ก็เย็นลง ยืนยันกับเธอว่าจ่าไม่ใช่โจร จ่าทำงานให้ตน ตนสัญญาจะพาจ่ากลับบ้านแต่ทำไม่ได้
“ทำไมคุณถึงมารอที่บ้านผู้กอง”
“ก่อนจ่าเสียชีวิต จ่าโทร.บอกว่าปรมัตถ์ทำงานให้วาทิศ ปรมัตถ์ฆ่าจ่า”
“คุณอย่าเพิ่งวู่วาม ผู้กองไม่น่าทำอย่างนั้น ถึงฉันรู้จักเขาไม่นาน แต่ฉันคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่จะทรยศต่อวิชาชีพ”
“นี่คุณเข้าข้างมันเหรอ”
“ฉันไม่คิดอยู่ข้างใครนอกจากคุณ”
“แทนที่คุณจะเชื่อผม ฟังเหตุผลผม แต่คุณปกป้องมัน”
“ฉันรู้ว่าคุณเสียใจและเครียดมาก คุณต้องตั้งสติ อย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหา”
“คุณจะให้ผมนิ่งทำใจให้สบายทั้งๆที่คนตายคือลูกน้องผม และคนที่ฆ่าอาจเป็นเพื่อนผม ผมทำไม่ได้ ถ้ามันบริสุทธิ์ใจมันหายไปไหน ปิดเครื่องหนี ไม่กลับบ้าน มันหมายความว่ายังไง...ผมไม่อยากคิด ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นมัน แต่ทุกอย่างก็ชี้นำให้คิดอย่างนั้น ผมจะแก้แค้นให้จ่า คุณกลับไปเถอะ”
“ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
มินตราทำอย่างที่พูดจริงๆ ถอยไปนั่งมุมหนึ่งหน้าบ้าน นานหลายชั่วโมงก็ยังไม่ยอมกลับ ทำให้คณินทร์รู้สึกผิดที่ทำให้เธออดหลับอดนอน ซึ่งเธอก็พูดคำเดิมว่าจะอยู่ข้างเขา เป็นกำลังใจให้เขา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“ผมขอโทษที่ใช้อารมณ์กับคุณ”
“ฉันเข้าใจความรู้สึกคุณค่ะ คุณเหนื่อยมาทั้งวันควรกลับไปพักได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีเรื่องที่คุณต้องทำอีกมาก”
“ขอบคุณนะครับ ที่ไม่ทิ้งผม” คณินทร์ซึ้งใจ รู้สึกดีผ่อนคลายมากขึ้น
ooooooo
บรรยากาศงานศพจ่าขจรเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เจ๊สุทำใจไม่ได้ร้องไห้หนักมาก ขณะที่สวาทศัตรูคู่แค้นของเจ๊สุกับจ่าขจรซึ่งเคยพูดจาว่าร้ายสองผัวเมียเป็นประจำก็สำนึกผิด มากราบขออโหสิกรรมต่อหน้าศพจ่าขจร
คณินทร์เศร้าเสียใจต่อการสูญเสียจ่าขจร เขายังทำใจไม่ได้จึงไม่อยากไปงานศพ แต่มินตราไม่เห็นด้วย บอกกับเขาว่าคืนนี้สำนักงานตำรวจเป็นเจ้าภาพ เขาน่าจะไปร่วมงาน
“ผมไม่อยากไป จนกว่าผมจะตามตัวอาร์ม ถามความจริงจากมัน”
“คณินทร์คะ ถ้าคุณสงสัยว่าผู้กองปรมัตถ์เป็นพวกวาทิศ คุณก็ยิ่งต้องนิ่ง ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อซักความจริงให้มากที่สุด ฉันอยากให้คุณไปงานศพ เขาอาจจะไปร่วมงาน”
คณินทร์ฟังแล้วคล้อยตาม ยอมไปงานศพจ่าขจรพร้อมมินตรา ฝ่ายปรมัตถ์นั้นมาถึงก่อนแต่ยังนั่งอยู่ในรถ รู้สึกผิดและเสียใจไม่ต่างจากคณินทร์
เจษฎาเป็นเจ้าภาพและเป็นตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขากล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวของจ่าขจร ก่อนจะชื่นชมและเปรียบเปรยได้น่าฟังว่า
“ผมทราบดีว่าขณะนี้ประชาชนหลายท่านขาดความเชื่อมั่นต่อวิชาชีพตำรวจ ผมไม่ขอแก้ตัวใดๆ แต่ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะเล่าให้ฟัง...มีผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่าอาชีพตำรวจเหมือนผ้าขี้ริ้ว จะให้คนมารักก็คงไม่มี แต่ถามว่าทุกบ้านต้องมีผ้าขี้ริ้วไหม คำตอบคือใช่ ถึงมันสกปรกไม่อยากจับ แต่พอทำน้ำหกพื้นเลอะ เราก็ต้องหยิบผ้าขี้ริ้วมาใช้ ทุกบ้านจำเป็นต้องมี ผมขอเป็นกำลังใจให้ตำรวจทุกนาย ภูมิใจในบทบาทและหน้าที่ของพวกคุณ”
ทุกคนที่อยู่ในงานน้อมรับคำพูดของเจษฎา ขณะที่จ่าแคนกับดาบพลรู้สึกตื้นตันใจและภูมิใจในอาชีพของตัวเอง
ปรมัตถ์เพิ่งลงจากรถเดินเข้ามาหน้าศาลา เป็นจังหวะที่เจษฎาเดินออกมาพอดี
“คณินทร์อยู่ไหมครับ”
“ผมติดต่อเขาไม่ได้ คงเสียใจกับเรื่องของจ่า ผมจะไปหาเขาที่บ้าน ผมต้องบอกเรื่องปฏิบัติการลับของเรา...ไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณทำดีที่สุดแล้ว” เจษฎาแตะไหล่ปรมัตถ์ให้กำลังใจ
“ผมอยากเข้าไปเคารพศพ”
เจษฎาพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเดินออกไป ปรมัตถ์เข้าไปในศาลา นั่งลงหน้าโลงจุดธูปเคารพศพ คณินทร์กับมินตรามาทันเห็นภาพนี้พอดี มินตราพูดตามความรู้สึกของตนว่า
“ฉันคิดว่าผู้กองไม่ใช่ฆาตกรค่ะ ถ้าผู้กองทำผิดคงไม่กล้ามาร่วมงาน”
คณินทร์รับฟังและพยายามระงับอารมณ์ตัวเอง แต่ผ่านไปสักครู่คณินทร์ก็หมดความอดทน หลังจากได้เห็นคลิปที่วาทิศส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ มันคือเหตุการณ์ที่ปรมัตถ์กำลังยิงใส่จ่าขจร ภาพฟ้องชัดขนาดนี้คณินทร์ตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อปรมัตถ์ถึงหน้าโลงศพ ไล่เขาออกจากงาน
มินตราพยายามเตือนคณินทร์ให้ตั้งสติ ใจเย็น ปรมัตถ์ไม่อยากให้ผู้คนแตกตื่นจึงยอมออกจากศาลาพร้อมคณินทร์ จ่าแคนกับดาบพลจะก้าวตามแต่มินตราห้ามไว้ บอกว่าไม่มีอะไร แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย
คณินทร์ลากปรมัตถ์ห่างออกมา มินตราเห็นท่าไม่ดีเดินตามมาด้วย
“มันเรื่องอะไรกัน” ปรมัตถ์ฮึดฮัดใส่คณินทร์
“แกรู้อยู่แก่ใจว่าแกทำอะไร แกยังกล้ามางานศพอีก”
“แกกำลังเข้าใจผิด ฉันอธิบายได้ทุกอย่าง”
“แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันเห็นความจริงหมดแล้ว”
คณินทร์ชักปืนจะยิงปรมัตถ์ มินตราวิ่งเข้ามาขวาง ขอร้องคณินทร์ใจเย็นก่อน
“คุณเปิดดู แล้วคุณจะเห็นด้วยกับผม” คณินทร์ส่งโทรศัพท์มือถือให้มินตราดูคลิป...หญิงสาวคาดไม่ถึง มองปรมัตถ์ด้วยความผิดหวัง
“คุณมินฟังผมก่อน ผมไม่ได้ฆ่าจ่าขจร”
“หลักฐานชัดเจนแกยังกล้าปฏิเสธ ใจคอแกทำด้วยอะไร...มินตรา คุณออกมา”
มินตราถอยห่างออกมาตามคำสั่งคณินทร์เพราะเข้าใจผิดว่าปรมัตถ์เป็นพวกวาทิศ
“คณินทร์...ที่แกเห็นมันเป็นแค่การจัดฉาก”
“จ่าโทร.บอกฉันว่าแกเป็นสายวาทิศ”
“จ่าเข้าใจผิด ฉันแฝงตัวอยู่กับพวกมันเพื่อหาข่าว”
“แต่แกเป็นคนสุดท้ายที่ไล่ล่าจ่า”
“พวกมันจับได้ว่าจ่าเป็นสายให้ตำรวจ วาทิศสั่งให้ฉันฆ่าจ่า”
“แกก็ทำตามคำสั่งพวกมัน”
“ไม่ใช่! ฉันจะบอกให้จ่าหนีไป แต่จ่ารู้ว่าจ่าไม่รอด จ่ายอมสละชีวิตเพื่อภารกิจของเรา จ่าเสียสละชีวิตเพื่อให้ฉันจับตัวการใหญ่ เรายังเป็นพวกเดียวกัน เลือดสีเดียวกัน ผู้กำกับจะบอกความจริงกับแก แต่ติดต่อแกไม่ได้ แกโทร.สิ โทร.ถามท่าน”
คณินทร์ยังไม่ไว้ใจเล็งปืนใส่ปรมัตถ์ตลอดเวลา บอกให้มินตราค้นหาเบอร์ผู้กำกับจากโทรศัพท์มือถือของตนแล้วโทร.ออก
ไม่ช้าเจษฎาก็รับสายและตอบคำถามกระจ่างชัดจนคณินทร์เข้าใจปรมัตถ์ แต่ทันใดนั้นเองรถคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามา ปรมัตถ์จำได้ว่ารถวาทิศ กลัวแผนของตนจะพัง ตัดสินใจพุ่งเข้าใส่คณินทร์ทำทียื้อปืนในมือ แต่บอกให้เขาวิ่งไป และต้องยิงตน
คณินทร์แปลกใจ แต่ด้วยสายตาและสัญชาตญาณตำรวจด้วยกัน เขาทำตามที่ปรมัตถ์บอก แม้จะไม่ค่อยแนบเนียนนักแต่ก็ทำให้วาทิศยังคงเชื่อใจปรมัตถ์ แต่สำหรับไอ้แหลมนั้นไม่เชื่อ โวยวายใส่ปรมัตถ์หลังจากหนีออกไปไกลพอสมควร
“แกมีโอกาสฆ่ามัน ทำไมไม่กระหน่ำยิงเหมือนที่ยิงไอ้จ่า”
“แกก็เห็นว่าคณินทร์มีปืน”
“เพราะผู้หญิงที่แกรักใช่ไหม แกถึงยั้งมือ”
“ผู้กองทำถูกแล้ว ชีวิตของมินตราสำคัญ สำคัญกว่าทุกคน รวมถึงแกด้วยไอ้แหลม พวกเรามีหน้าที่รักษาชีวิตเธอไว้”
ปรมัตถ์สงสัยว่าทำไมวาทิศถึงให้ความสำคัญกับมินตรา แต่นิ่งเอาไว้
“ทุกคนรู้ผู้กองอยู่ฝ่ายไหน ผู้กองกลับไปไม่ได้แล้ว”
“ผมขอโทษครับ ที่หาข่าวจากหน่วยให้คุณไม่ได้อีก”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาของผมคือคณินทร์ งานเราพังเพราะมัน มันเองก็ต้องไล่ล่าผู้กอง จัดการมันซะ”
“ครับ คุณวาทิศ” ปรมัตถ์รับปากจะฆ่าคณินทร์ทั้งที่กังวลใจ...
เวลาเดียวกันนั้น คณินทร์ได้คุยกับเจษฎาเป็นการส่วนตัวเรื่องปรมัตถ์เป็นสายลับ
“ภารกิจของเขาหาหลักฐานจับวาทิศและหัวหน้าแก๊ง ผมพลาดที่บอกคุณช้าไป”
“ผมผิดเองครับที่ไม่ไว้ใจเพื่อน”
“เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ปรมัตถ์ เขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อไหร่ที่ปรมัตถ์ส่งข้อมูลในเชิงลึก เราจะปิดภารกิจนี้ทันที”
คณินทร์รับฟังและพร้อมปฏิบัติการตามภารกิจ
ooooooo
เช้าวันรุ่งขึ้นคณินทร์กับมินตราไปทำบุญไหว้พระที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้จ่าขจรผู้ล่วงลับ เสร็จแล้วไปไหว้ศพจ่าในศาลาซึ่งมีพวกเจ๊สุอยู่กันครบ
คณินทร์ขอโทษเจ๊สุที่ผิดคำสัญญาพาจ่ากลับมาไม่ได้ เจ๊สุสะเทือนใจ พูดทั้งน้ำตาคลอๆ
“ฉันผิดหวังที่คุณพาจ่ากลับมาไม่ได้ แต่ฉันก็ขอบคุณที่ผู้กองให้โอกาสเขาได้ร่วมงานสำคัญของชาติ พี่จ่าพูดเสมอ อยากทำงานเป็นมือปราบ แล้วเขาก็ได้ทำงานที่รักจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
คณินทร์เสียใจไม่ต่างกัน มินตราขยับมาคุยกับเจ๊สุ ดีใจที่เห็นเธอเข้มแข็ง แล้วถามถึงโน้ตว่าเป็นยังไงบ้าง
“เขาคงทำใจไม่ได้ ตั้งแต่คืนแรกเขายังไม่มางานเลย”
พูดขาดคำ เสียงจ่าแคนอุทานชื่อโน้ตดังขึ้นมา ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว โน้ตเดินตรงเข้ามาในศาลา
“โน้ตไปกราบศพพ่อสิลูก” เจ๊สุบอกลูก โน้ตพยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งหน้าโลงศพ รับธูปที่คณินทร์จุดให้มาพนมมือไหว้
“พ่อครับ อโหสิกรรมให้ผมด้วย ผมรู้แล้วว่าพ่อรักผม พ่อรักเรามากแค่ไหน ผมขอโทษที่พูดจาไม่ดีกับพ่อ ให้อภัยผมด้วยครับ พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ โน้ตโตแล้ว โน้ตรู้ว่าต้องทำตัวยังไง โน้ตจะกลับไปเรียนแล้วทำงาน โน้ตจะดูแลแม่เอง”
เจ๊สุและทุกคนซาบซึ้งใจแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ โน้ตถอยห่างจากหน้าโลงศพมาหามินตรา เอ่ยจากใจว่า
“พี่ครับ หลังจากที่ผมบวชหน้าไฟให้พ่อ พี่อยากถามอะไร ผมจะตอบทุกเรื่อง ผมอยากทำเพื่อพ่อ ผมภูมิใจที่เกิดเป็นลูกพ่อ...หลังจากนี้ผมจะทำสิ่งดีๆให้พ่อภูมิใจในตัวผม”
มินตรายิ้มกว้างดีใจที่โน้ตได้คิดและเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดี ก่อนหน้านี้เธอพยายามตื๊อขอสัมภาษณ์โน้ตเพื่อทำสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับเยาวชนหลายครั้งแต่เขาไม่ให้ความร่วมมือ
โน้ตหันไปหาแม่ด้วยรอยยิ้ม ปลอบแม่ไม่ต้องร้องไห้ พ่อไม่ได้จากเราไปไหน พ่อยังอยู่กับพวกเรา...แล้วหันกลับไปยืนหน้าโลงศพอีกครั้ง บอกพ่อว่า
“ผมจะเป็นตำรวจครับพ่อ”
โน้ตตะเบ๊ะเคารพรูปภาพจ่าขจร เจ๊สุเข้ามาสวมกอดลูกชาย ร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจที่โน้ตจะเป็นตำรวจและเป็นคนดี ทุกคนเห็นภาพนี้แล้วประทับใจ น้ำตาซึมอย่างสุดจะกลั้น
ooooooo










