ตอนที่ 14
อัลบั้ม: "เอ ศุภชัย" ผู้จัดป้ายแดง ส่ง "ลิขิตริษยา" ลงจอ ช่อง 7
ไม่ไกลจากเรือนหลวงเดช ผลได้ยินเสียงนายผู้ชายให้นำรถออกเพื่อไปบ้านเจ้าคุณราชรักษ์เพราะอยากทราบข่าวคราวของเนตร พอจะขึ้นรถ หลวงเดชเหลือบไปเห็นทองกำลังเดินมุ่งหน้าสู่เรือนเล็ก จึงชะงักชี้บอกผลว่า
“ฉันเห็นเหมือนใครเดินอยู่แถวนั้น ต้องไปดูหน่อยว่ามันเป็นใครกัน”
เพียงชั่วครู่ หลวงเดชก็เห็นคนร้ายป้องปากตะโกนเรียกซ่อนกลิ่น เขาตวาดถามเสียงดังว่า
“แกเป็นใคร!”
ทองหันมาเห็นหลวงเดชก็ตกใจมากพยายามวิ่งหนี แต่ถูกหลวงเดชจับตัวไว้ได้ทันแล้วต่อยเขาเต็มแรง สองคนต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งซ่อนกลิ่นกับธูปเดินออกมาจากเรือนเห็นเข้า ธูปตกใจจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่โดนซ่อนกลิ่นใช้มือปิดปากพยักพเยิดให้เดินไปอีกทาง ประจวบเหมาะกับทองสบโอกาสหาทางหลบหนีได้ เสียงหลวงเดชตะโกนก้องทั่วบ้านให้บ่าวไพร่ช่วยกันจับตัวคนร้าย แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครตามจับตัวได้ หลวงเดชโมโหก่นด่าว่า
“คนทั้งบ้านแค่หาคนคนเดียวทำไมหาไม่เจอ ถ้าปล่อยให้มันเหิมเกริมนึกจะเข้ามาบ้านฉันตอนไหนก็ได้... แล้วลูกเมียฉันจะอยู่เป็นสุขได้ยังไง เจ็บใจนักที่จับมันไว้ไม่ได้”
ทันใดนั้น เจิมนึกขึ้นได้พูดโพล่งออกมาว่าทำไมคนที่เรือนเล็กถึงไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นออกมาช่วยแต่อย่างใด หลวงเดชชะงักเห็นคล้อยตาม ทางด้านธูปรู้สึกกลัวถามนายหญิงอย่างลนลานว่า
“คุณซ่อนกลิ่นไม่ช่วยคุณหลวงล่ะคะ เกิดไอ้ทองมันฆ่าคุณหลวงจะทำยังไง”
“แกหุบปากไปเลยไป แกอยากให้คุณหลวงรู้เหรอว่าไอ้ทองมันมาหาฉัน แล้วนี่หนูอรไปไหน ถ้าหนูอรเห็นว่าฉันปล่อยให้คุณหลวงโดนไอ้ทองทำร้าย คงโกรธฉันแน่ๆ”
“กลัวหนูอรรู้ แล้วไม่กลัวฉันรู้เหรอ แม่ซ่อนกลิ่น!”
ซ่อนกลิ่นกับธูปสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงหลวงเดชที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าขึงขังโกรธจัด สั่งให้ตามไปพบที่เรือนใหญ่เพื่อชำระความ ทั้งคู่ก้มหน้างุดด้วยกลัวความผิด ในขณะที่หลวงเดชแผดเสียงดังลั่นถามซ่อนกลิ่นว่า
“บอกฉันมาซิ ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร...ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง!”
ธูปมองหน้านายหญิงไม่รู้จะตอบเช่นไร แล้วต้องประหลาดใจเมื่อซ่อนกลิ่นลนลานปฏิเสธไม่รู้จักทองและปราดเข้าไปกอดขาโฉมฉายเพื่อขอความช่วยเหลือพร้อมกับร้องไห้โฮราวใจจะขาด เจิมกับพิศสบตากันเพราะทึ่งในการแสดงของซ่อนกลิ่น ส่วนหลวงเดชเจ็บใจกับความปากแข็งของภรรยาจึงเดินออกไปอย่างหัวเสียโดยไม่ทันเห็นซ่อนกลิ่นลอบยิ้มร้ายกาจ โฉมฉายเห็นว่าเรื่องราวคลี่คลายแล้วจึงสั่งให้ซ่อนกลิ่นกลับเรือนไปเสีย
เมื่ออยู่กันตามลำพัง หลวงเดชต่อว่าโฉมฉายที่ทำให้เสียเรื่องจนไม่ได้ความจริงจากปากของซ่อนกลิ่น แต่โฉมฉายกลับเตือนสามีว่าวู่วามเกินไป ตนเชื่อว่าความดีย่อมชนะความชั่ว ถ้าคนไหนทำไม่ดี เขาย่อมหลีกหนีกรรมไม่พ้น หลวงเดชส่ายหัวระอาในความใจดีของภรรยาที่อาจย้อนมาส่งผลร้ายเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับเจิมที่บ่นอย่างไม่พอใจว่าโฉมฉายมีจิตใจที่ดีงามเกินไปจนมองไม่เห็นความร้ายกาจของซ่อนกลิ่น พิศพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันเองก็รู้สึกอย่างเจิม แต่พูดอะไรไม่ได้เพราะยังไงคุณโฉมก็เป็นผู้ใหญ่ในเรือนนี้ ฉันยิ่งไม่สบายใจ
เพราะซ่อนกลิ่นไปคบค้านักเลงโตอย่างนั้น ฉันกลัวว่า จะมีภัยมาถึงหนูอร มันคงถึงเวลาที่ฉันต้องดูแลลูกด้วยตัวฉันเองแล้ว”
เวลานั้น ธูปนั่งปาดเหงื่อหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวเรื่องจะแดงขึ้นมา ซ่อนกลิ่นเห็นอากัปกิริยาของบ่าวคนสนิทก็พูดว่า
“เรื่องอะไรฉันจะไปยอมรับว่ารู้จักกับไอ้ทอง ขืนยอมรับก็ได้โดนเฉดหัวออกจากเรือนกันพอดีสิ”
ธูปย้ำเตือนว่าทองคงจะไม่เลิกราและต้องกลับมาอีกแน่ ซ่อนกลิ่นครุ่นคิดพลางเปิดลิ้นชักหยิบปืนขึ้นมามีสีหน้าร้ายกาจนึกในใจว่าเห็นทีต้องหาทางกำจัดทองโดยเร็ว ก่อนที่ภัยจะมาถึงตัวเอง
ooooooo
ด้านอรพิลาสนั่งเหม่อครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่อรรถกรพยายามคาดคั้นเรื่องการหายตัวไปของเนตรเพราะคิดว่าเธอต้องมีส่วนรู้เห็นแน่นอน และด้วยเหตุนี้เองทำให้เธอได้รู้ว่าเขาแอบรักตนเองจึงยอมเสี่ยงเข้ามายุ่งในเรื่องนี้
พิศยืนมองกิริยานั้นของลูกสาวอย่างห่วงใย ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า
“ดึกแล้วมานั่งทำอะไรตรงนี้ล่ะลูก แม่เป็นห่วง คิดอะไรอยู่เหรอลูก มีเรื่องไม่สบายใจอะไรคุยกับแม่ได้นะ”
“หนูอรไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณอย่ามายุ่งเลย แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย คุณไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูอรก็ขึ้นนอนแล้ว”
อรพิลาสมีท่าทีห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด จนพิศรู้สึกน้อยใจตัดพ้อว่าอย่าทำท่ารังเกียจตนขนาดนั้น ไม่ว่าเธอจะทำผิดแค่ไหน ตนในฐานะเป็นแม่ย่อมรักลูกเสมอ แล้วจ้องหน้าคาดคั้นว่าไปทำอะไรมาหรือไม่ บอกได้ไหม ลูกสาวหน้าเจื่อนอึกอักไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี พิศจึงเตือนว่า
“แม่รู้จักคนอย่างซ่อนกลิ่นดี ถ้าเขาสั่งให้ทำอะไรควรไตร่ตรองให้มาก...เอาล่ะ แม่จะไม่แตะต้องคนที่หนูรักหรอกนะ แต่แม่อยากบอกให้หนูรู้ว่าทุกคนในบ้านนี้รักและห่วงใยหนูเสมอ แม่ไม่อยากเห็นหนูทำสิ่งไม่ดี เพียงเพราะเชื่อฟังคนผิดๆ”
ลูกสาวสวนทันควันว่าพิศไม่มีสิทธิ์มาว่าซ่อนกลิ่น ตนจะดีหรือเลวก็ไม่เกี่ยวข้องกับใครแล้วเดินจากไปทันที พิศน้ำตาไหลเสียใจคาดไม่ถึงว่าจะได้รับการตอบโต้ที่รุนแรงเยี่ยงนี้ เจิมได้แต่ปลอบใจเมื่อทราบเรื่อง
รุ่งเช้า อรพิลาสแปลกใจที่เห็นซ่อนกลิ่นสะพายกระเป๋าเหมือนจะออกไปข้างนอก เธอถามมารดาว่าจะไปไหนกัน
“แม่จะชวนไปจัดการนังเนตรให้เรียบร้อยน่ะสิ ตอนนี้คุณพ่อไม่ไว้ใจแม่อีกแล้ว เราจะทำอะไรก็ต้องรีบทำ”
อรพิลาสชะงักนึกถึงคำเตือนของอรรถกรแล้วมีท่าทีลังเล จนกระทั่งซ่อนกลิ่นต้องตวาดเรียกเสียงดัง เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เธอจำใจเดินตามออกไป แต่เพียงไม่นาน อรพิลาสก็อดรนทนไม่ได้ถามว่า
“คุณแม่ว่าเราทำเกินไปไหมคะ”
“ทำเกินไปอะไร ก็หนูเองเป็นคนบอกให้แม่ช่วยไม่ใช่เหรอ แม่ก็จะฆ่ามันทิ้งให้ แล้วหนูจะได้สมหวังกับคุณตั้มซักที”
“แต่ถึงกับฆ่าแกงกันเลย หนูอรว่า...”
“นี่คิดจะเปลี่ยนใจใช่ไหม ถ้าแกไม่กล้าทำก็กลับบ้านไปซะ เดี๋ยวแม่จะจัดการเอง ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เกะกะ ไปสิ”
อรพิลาสหันหลังเดินกลับไปอย่างกลัวๆ ในขณะที่ซ่อนกลิ่นแววตาแข็งกร้าวคว้าปืนขึ้นมากระชับมั่นในมือ พอเธอเดินมาถึงหน้าบ้านร้าง ทองเดินเข้ามายืนขวางร้องถามว่า
“นังตัวดี เมื่อคืนหายหัวไปไหนมา ทำไมกูไปหาแล้วไม่ออกมาวะ อย่าคิดหักหลังกู ไม่อย่างนั้นมึงไม่ตายดีแน่”
“ฉันไม่กล้าหักหลังแกหรอก แกกุมความลับฉันไว้ตั้งเท่าไหร่ แล้วถ้าไม่มีแก ฉันจะอยู่ยังไง แกเป็นผัวฉันนะ”
ทองยิ้มพอใจมีท่าทีอ่อนลง ชวนให้เข้าไปดูเนตรที่อดข้าวอดน้ำจนเกือบจะตาย ซ่อนกลิ่นพยักหน้ารับ แต่แล้วขณะที่ทองหันหลังเดินเข้าบ้าน เธอชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่หลังเขา เสียงปืนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ กระสุนแล่นทะลุหน้าอกของทองจนเลือดไหลทะลัก พอจะยิงซ้ำ ทองก็ขว้างปาของแถวนั้นเข้าใส่ซ่อนกลิ่นอย่างโกรธจัดแล้ววิ่งหนีทันที
“มึงคิดว่าจะหนีพ้นเหรอ ไอ้ทอง...วันนี้เป็นวันตายของมึงแล้ว!”
ซ่อนกลิ่นวิ่งตามหยดเลือดและยิ้มเยาะเป็นต่อ ไม่นานนักก็ทันกัน ทองตกใจตาเหลือกร้องขอชีวิต แต่ไม่ทันเสียแล้ว...
เมื่อได้เบาะแสว่ามีชาวบ้านเห็นทองป้วนเปี้ยนเข้าออกแถวบ้านร้าง พวกตำรวจก็รีบนำกำลังมาล้อมจับโดยมีนพและอัครยศตามมาด้วย และแล้วพวกเขาก็สามารถช่วยเนตรออกมาได้ในที่สุด ซ่อนกลิ่นแอบดูอย่างตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าจะมีใครล่วงรู้ถึงสถานที่กักตัวเนตร พอเห็นอัครยศและนพอยู่ในกลุ่มตำรวจนั่น เธอยิ่งรู้สึกกลัวกว่าเดิมจึงค่อยๆย่องหลบหนีไป
จากนั้นอัครยศก็รีบส่งข่าวแจ้งให้พระยาราชรักษ์กับคุณหญิงมณีทราบว่าเจอตัวเนตรแล้วและขณะนี้อยู่ที่โรงพยาบาล เสียงกริ่งโทรศัพท์นั่นทำให้อรรถกรต้องรีบเดินเข้ามาถามไถ่ พอทราบว่าเนตรปลอดภัย เขาก็คลายกังวลยิ้มสบายใจ
ooooooo
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ระหว่างที่อรรถกรกำลังขับรถกลับนครปฐม เขาเหลือบมองเห็นอรพิลาสยืนอยู่ข้างทางจึงรีบจอดรถลงไปถามไถ่ด้วยความประหลาดใจ แต่ยัง ไม่ทันจะได้ซักความกันดี อรพิลาสก็เปิดประตูรถแล้วกระโจนเข้ามานั่ง
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยค่ะ หนูอรขอไปกับพี่หมอต้นด้วยได้ไหมคะ”
อรรถกรลังเลชั่วครู่ก่อนตัดสินใจพาหญิงสาวร่วมทางไปในท้ายที่สุด ด้านโฉมฉายนั่งซึมด้วยความเป็นห่วง
เนตร หลวงเดชเตือนให้รักษาสุขภาพเพราะกลัวจะล้มป่วย ทันใดนั้นเจิมวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแจ้งว่า
“คุณอัครยศเจอหนูเนตรแล้วค่ะ ตอนนี้ปลอดภัยดีอยู่ที่โรงพยาบาล คุณโฉมจะไปเยี่ยมหนูเนตรเลยไหมคะ”
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก ฟากซ่อนกลิ่นเดินอ่อนระโหยโรยแรงมาถึงหน้าวัดก็พบว่าแขนตัวเองมีรอยเลือดของทองติดอยู่ เธอพยายามเช็ดแต่ไม่ออกจึงเดินหันรีหันขวางมองหาห้องน้ำ แต่แล้วเหมือนโชคชะตาพัดพาให้ต้องมาพบเจอกับหลวงพ่ออุเทนอีกครั้ง ซ่อนกลิ่นคลานเข่ามานั่งตรงหน้ากลดพร้อมกับส่งเสียงเยาะว่า
“ไม่นึกนะเจ้าคะว่าหลวงพ่อยังอยู่สุขสบายดี”
“อาตมาสบายดี คนที่พอใจในสภาพของตัวเองย่อมไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใดๆหรอกโยม และถ้าทำแต่สิ่งดีไม่ก่อกรรมกับใครก็จะสบายกายสบายใจเพราะไม่มีบาปติดตัว...จำไว้นะโยม กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ทำอะไรไว้ย่อมได้รับสิ่งนั้น”
“หุบปากไปได้แล้ว เป็นพระไม่อยู่ส่วนพระ ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น”
ซ่อนกลิ่นไม่พอใจลุกขึ้นสีหน้าเอาเรื่อง ชักปืนออกมายิงใส่หลวงพ่ออุเทน แต่กระสุนกลับขัดลำกล้อง เธอหน้าเสียตกใจพยายามจะยิงซ้ำแต่ไม่สำเร็จ จึงโมโหมากรีบเดินออกไป หลวงพ่อส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
เวลาเดียวกันนั้นที่โรงพยาบาล เนตรฟื้นคืนสติแล้วกวาดตามองไปรอบๆอย่างงุนงง เมื่อเห็นโฉมฉายก็ร้องไห้ดีใจที่รอดตายจนกลับมาพบหน้ามารดาอีกครั้ง หลวงเดชยิ้มดีใจเช่นกันและสอบถามว่า
“หนูบอกได้ไหมว่าใครเป็นคนลักพาตัวหนูไป ฉันจะเอามันมาลงโทษให้ได้”
เนตรลำบากใจไม่กล้าบอกว่าเป็นอรพิลาส เมื่อถูกคาดคั้นหนักเข้า เธอแสร้งบอกทุกคนว่าตนไม่รู้จริงๆว่าผู้ร้ายเป็นใคร พิศเห็นท่าไม่ดีจึงปรามทุกคนอย่าเพิ่งสอบถามอะไรในเวลานี้เพราะเพิ่งจะผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายมาไม่นาน หลวงเดชจึงเปลี่ยนเรื่องชวนหญิงสาวให้ไปอยู่ที่เรือนเพื่อความปลอดภัย แต่เนตรกลับวิตกติงว่าอรพิลาสเคยไม่พอใจในเรื่องนี้จนเกือบจะมีเรื่องราวใหญ่โต ทุกคนหันมา
มองหน้ากันด้วยความกังวล กระทั่งอัครยศพูดให้ความมั่นใจว่า
“ต่อไปนี้ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธออีก ฉันจะดูแลเธออย่างดีที่สุดด้วยชีวิตของฉัน”
ส่วนที่เรือนหลวงเดช ซ่อนกลิ่นกลับมาถึงแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นเรือนก็เผอิญเห็นเจิมเดินออกมาจากเรือนของตนจึงหลบดูสถานการณ์ พอเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็เดินเข้าเรือนทันทีพร้อมกับส่งเสียงถามธูปว่า
“เจิมมาทำไม...แล้วหนูอรล่ะ กลับมาหรือยัง”
“ไม่รู้สิคะ ก็ไม่ได้อยากรู้ แล้วจะให้ถามทำไมล่ะคะ ส่วนคุณหนูอรก็ยังไม่กลับค่ะ”
ซ่อนกลิ่นนิ่วหน้าแปลกใจที่ลูกสาวยังไม่ถึงเรือน แต่ติดใจเรื่องเจิมมากกว่าจึงถามต่อว่า
“แล้วนี่นังเจิมมันพูดอะไรถึงฉันบ้างไหม อย่างเช่นมันไปรู้หรือไปได้ยินอะไรมาว่าฉันไปทำอะไรน่ะ มีไหม”
“ไม่มีนี่คะ ธูปว่าคุณซ่อนกลิ่นอยากรู้อะไรก็ไปถามมันเองเถอะ ธูปมีงานต้องทำ ไม่ใช่เป็นเจ้านายจะได้นั่งสบายๆ”
นายหญิงมองตามกิริยาท่าทางของบ่าวคนสนิทที่พูดจาแดกดันอย่างไม่พอใจ
ooooooo
ตกเย็นวันเดียวกันที่เรือนพักของอรรถกร อร-พิลาสถูกหมอต้นซักไซ้ไล่เลียงว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ขอตามเขามาที่นี่ หญิงสาวอึกอักไม่รู้จะบอกอย่างไรดี จนอรรถกรเอ่ยปากว่า
“ถ้าเป็นเรื่องเนตร คุณสบายใจได้นะครับ ตอนนี้นายตั้มเจอตัวเนตรแล้ว ตำรวจได้เบาะแสจากชาวบ้านจึงตามไปถูก”
อรพิลาสหน้าเสียครางเสียงหลงอย่างคาดไม่ถึง คะยั้นคะยอถามชายหนุ่มว่าเนตรเล่าให้ตำรวจฟังว่าอย่างไร อรรถกรจ้องหน้าอรพิลาสอย่างจับผิด เพียงครู่เดียวหญิงสาวร้องไห้โฮสารภาพผิดกับเขาว่า
“หนูอรผิดเองค่ะ หนูอรทนไม่ได้ที่เห็นคุณตั้มแต่งงาน หนูอรถึงได้ทำอย่างนั้น พี่หมอต้นช่วยหนูอรด้วยนะคะ”
อรรถกรถอนใจเฮือกใหญ่รีบลุกขึ้นเข้าไปปลอบโยนพร้อมกับคิดหาทางช่วยเหลือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พอตกค่ำ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจโทร.รายงานหลวงเดชเรื่องพาอรพิลาสมาค้างคืนที่นครปฐมพร้อมกับขอโทษที่ทำไปโดยพลการ
“เอาล่ะไม่เป็นไร อาเข้าใจ ต้องขอโทษคุณหมอต้นด้วยนะที่ลูกอารบกวน แล้วอาจะบอกแม่เขาให้นะขอบใจมาก”
อรพิลาสยืนฟังชายหนุ่มจัดการเรื่องต่างๆให้ด้วย ความซึ้งใจ เธอบอกเขาว่าตนเองโง่มากที่ทำอะไรไม่ยั้งคิด แต่อรรถกรกลับพูดปลอบใจว่า
“อย่าคิดมากนะครับ ถ้าคุณหนูอรยอมรับผิด
โทษของคุณก็จะลดลง ผมสัญญาว่าผมจะทำทุกทางเพื่อช่วยคุณเอง คนเราทำผิดได้ ขอแค่รู้จักสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำ และกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ ทุกคนย่อมพร้อมจะอภัยให้เสมอ”
เมื่อประตูห้องนอนของหญิงสาวปิดลง อรรถกรยิ้มปลื้มใจพึมพำว่าแค่นี้ตนก็มีความสุขมากแล้ว ตรงกันข้ามกับซ่อนกลิ่นในเวลานี้ที่เดินวนเวียนไปมาเหมือนหนูติดจั่น พอเห็นสามีเดินเข้ามาในเรือนเล็กก็ตกใจสุดขีดจนหลวงเดชถามว่า
“ทำไมเหรอ หน้าฉันมีอะไรน่ากลัวนักรึไง ถึงต้องทำท่ากลัวขนาดนั้น หรือมีชนักติดหลัง จึงกลัวความผิดใช่ไหม...ตกลงเธอจะยอมรับไหมว่าเธอนัดไอ้นักเลงชื่อทองมาที่เรือนของพี่”
“น้องไม่รู้จักมันจริงๆนะคะ ให้น้องไปสาบานที่ไหนให้ตายโหงตายห่าก็ได้”
หลวงเดชได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าอ่อนลง บอกแต่เพียงว่าคืนนี้อรพิลาสไม่กลับเรือนเพราะไปกับอรรถกร ซ่อนกลิ่นตกใจ และโมโหกลัวว่าลูกสาวคิดจะทำอะไรพิเรนทร์
รุ่งเช้าวันถัดมา อัครยศไปรับตัวเนตรที่โรงพยาบาลกลับมายังเรือนหลวงเดช ทุกคนต่างมายืนรอต้อนรับด้วยความตื่นเต้น เมื่อทั้งคู่มาถึง หลวงเดชยิ้มสดใสกล่าวว่า
“ต่อไปนี้หนูเป็นลูกพ่ออีกคนแล้วนะหนูเนตร อยู่บ้านนี้ให้สบายนะไม่ต้องเกรงใจ ส่วนหนูอร พ่อจะพูดกับเขาให้เข้าใจเอง หนูไม่ต้องกังวลนะ”
ข่าวการรับบุตรบุญธรรมคนใหม่ของหลวงเดชกระจายไปทั่วเรือน ธูปได้ยินเข้าก็รู้สึกไม่มั่นใจในสถานะของซ่อนกลิ่นอีกต่อไป เธอนึกถึงคำเตือนที่เจิมเคยพูดไว้ว่า ซ่อนกลิ่นกำลังจะหมดที่คุ้มกะลาหัว มันน่าจะเป็นจริงในไม่ช้านี้ เช่นเดียวกับซ่อนกลิ่นที่รู้สึกตกใจยิ่งยวดเมื่อรู้ข่าวนั่น เธอเริ่มกังวลใจครุ่นคิดหาทางออก
เนตรกวาดตามองไปรอบเรือนหลวงเดชอย่างตื่นเต้น เธอไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้มาเป็นคุณหนูของเรือนใหญ่โตเช่นนี้ ทั้งพิศและเจิมต่างให้การต้อนรับเธออย่างอบอุ่นโดยขนเสื้อผ้าใหม่มาให้และจัดหาห้องให้อยู่อย่างสะดวกสบาย ซ่อนกลิ่นมาแอบดูที่หน้าประตูเรือนด้วยความสนใจ เมื่อเห็นทุกคนเอาอกเอาใจ เด็กสาวก็รู้สึกวิตกกังวล
ด้วยกลัวความผิดที่เคยกระทำไว้จะถูกเปิดเผย ซ่อนกลิ่นรีบรุดเดินกลับห้องแล้วทยอยหยิบแก้วแหวนเงินทองที่ซ่อนไว้ออกมาใส่ห่อ ธูปเดินผ่านมาเห็นเข้าก็ถามด้วยความสงสัย
“คุณซ่อนกลิ่นทำอะไรเหรอคะ ทำเหมือนจะเก็บของหนีไปไหนหรือเจ้าคะ”
“ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน แล้วก็หุบปากไว้เลยนะ ถ้าใครรู้ว่าฉันกำลังจะหนีล่ะก็ แกตาย!”
ธูปตกใจสุดขีดเมื่อเห็นปืน เวลานั้นอรรถกรพาอรพิลาสกลับมาถึงเรือนพอดี หญิงสาวมองบนเรือนอย่าง หวั่นกลัวจนชายหนุ่มต้องปลอบใจและสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้าง เมื่อทั้งคู่เดินขึ้นเรือนมา หลวงเดช แจ้งข่าวดีว่าขณะนี้ตนได้รับเนตรมาเป็นลูกบุญธรรมแล้ว อรพิลาสไม่รู้สึกดีใจเพราะเข้าใจว่าเนตรคงเล่าเรื่องร้ายต่างๆให้ทุกคนฟังหมดสิ้น
เนตรรู้เท่าทันความคิดของอรพิลาสจึงเดินเข้ามาจูงมือขอคุยเป็นการส่วนตัว ทุกคนมองตามแปลกใจ
ooooooo
เมื่อเดินมาจนถึงสวนหน้าเรือน อรพิลาสแกะมือเนตรออกอย่างกลัวๆถามว่าต้องการอะไร เนตรสบตาตอบว่าตนมีเรื่องจะตกลงด้วย อรพิลาสมองอีกฝ่ายไม่ไว้ใจ
“เนตร...เธอไม่ต้องห่วงหรอก ที่ฉันกล้ากลับมาก็เพราะพร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำกับเธอ ฉันยอมแพ้เธอ”
“ฉันนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำนี้จากปากคุณ และไม่เคยคิดว่าจะเอาชนะคุณด้วยนะคะ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นคุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่ได้บอกใครว่าเป็นฝีมือคุณ”
อรพิลาสตะลึงแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน จนกระทั่งเนตรอธิบายว่าตนเห็นแก่ผู้ใหญ่ทุกคนที่นี่ เลยตัดสินใจบอกตำรวจว่าตนไม่รู้ใครเป็นผู้บงการ สิ่งเดียวที่ตนอยากได้ในตอนนี้คือมิตรภาพระหว่างกัน อดีตคู่ปรับหัวใจทรุดตัวลงร้องไห้เสียใจ เนตรจับบ่าปลอบใจและย้ำว่าตนไม่เคยคิดแย่งอะไรจากเธอเพราะคงอยู่ที่นี่ไม่นาน อรพิลาสพยักหน้ารับรู้ทั้งน้ำตา
เนตรเดินกลับขึ้นเรือนอย่างโล่งใจ และบอกมารดาว่าเรื่องผิดใจระหว่างตนกับอรพิลาสจบลงแล้ว ตอนนี้มีแต่ความเป็นเพื่อนให้กันและกัน ทุกคนประหลาดใจ ตรงกันข้ามกับอรรถกรที่รู้สึกสงสัย
ขณะเดียวกันนั้นที่เรือนเล็ก ซ่อนกลิ่นรีบเร่งจัดกระเป๋าด้วยท่าทีร้อนรน อรพิลาสเดินมาเห็นเข้าก็เอะใจถามว่าจะไปไหนกัน ซ่อนกลิ่นออกปากไล่ธูปออกจากห้องแล้วคุยกับลูกสาวตรงๆว่า
“ก็นังเนตรเข้ามาอยู่บ้านเราแล้ว คิดเหรอว่าจะรอด มันต้องฟ้องคุณพ่อ ไม่ก็แจ้งตำรวจจับเราแน่ๆ โดยเฉพาะหนูที่เป็นคนทำร้ายมัน อย่างนี้เราจะอยู่ทำไมล่ะลูก”
“ถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้คุณแม่วางใจได้ค่ะ หนูอรเพิ่งคุยกับเนตรมา เขาบอกว่ายังไม่ได้บอกใครว่าหนูอรเป็นคนทำร้ายเขาเพราะเห็นแก่คุณพ่อและแม่โฉมฉาย ตอนนี้หนูทำใจเรื่องคุณตั้มแล้ว อีกอย่างหนูอรยอมรับเนตรเป็นเพื่อนแล้วด้วย”
ซ่อนกลิ่นได้ยินเข้าก็โมโหเพราะไม่เชื่อว่าเนตรจะจริงใจ อรพิลาสถอนหายใจเอือมระอามารดา ก่อนตัดบทว่าตนสัญญาจะไม่มีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นแน่ ซ่อนกลิ่นเลิกคิ้วลังเลและแปลกใจกับปฏิกิริยาอาการของลูกสาวเหลือเกิน
เวลานั้นทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าความลับนี้ล่วงรู้ไปถึงหูของธูปที่ยิ้มร้ายกาจเพราะตั้งใจจะใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือต่อรอง...
ตกดึกคืนเดียวกัน ระหว่างที่เนตรยืนเหม่อลอยมองเวิ้งน้ำและคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา โฉมฉายเดินตรงเข้ามาปลอบลูกสาวไม่ให้คิดมาก เพราะเคราะห์หนักกำลังจะผ่านพ้นไป ทำใจให้สบาย ลูกสาวยิ้มแล้วกอดมารดาอย่างแสนรัก
พลันโฉมฉายก็สะดุ้งตกใจเมื่อเห็นภาพตัวเองถูกฟาดด้วยท่อนไม้อย่างเต็มแรงจนตกลงในเวิ้งน้ำนั่น เธอทรุดตัวลงเอามือกุมศีรษะหน้าซีดตัวสั่น เนตรตกใจในอาการของมารดาละล่ำละลักถามว่าเป็นอะไรไป โฉมฉายตอบเสียงสั่นว่า
“มีคนทำร้ายแม่...แม่กลัว!”
ooooooo
“ทำไมอยู่ๆคุณแม่ถึงได้มีอาการแบบนี้ล่ะหนูเนตร” หลวงเดชถามอย่างแปลกใจ
“หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แม่ยืนคุยกับหนูที่ศาลาอยู่ดีๆ แล้วแม่ก็ทรุดลงไปและบอกว่าเห็นภาพคนทำร้ายแม่ค่ะ”
โฉมฉายนั่งเหม่อมีอาการตื่นกลัว พึมพำเสียงสั่นจำได้แล้วว่ามีคนร้ายเอาไม้พายฟาดหัวตนจนตกลงไปในแม่น้ำ ทั้งหลวงเดชและเนตรมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น สามีรุกเร่งภรรยาให้พยายามนึกให้ออกแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเธอมีอาการปวดศีรษะกำเริบขึ้นมา หลวงเดชจึงพาไปพักผ่อน
รุ่งเช้า หลวงเดชพาครอบครัวไปกราบหลวงพ่ออุเทนที่วัด โฉมฉายยิ้มดีใจบอกว่าเวลานี้ตนเข้าใจคำพูดของหลวงพ่อเรื่องการหมดสิ้นกรรมเก่า เพราะเวลานี้ตนได้กลับมาเจอสามีที่ตนรักมาก หลวงพ่ออุเทนยิ้มรับนิ่งๆไม่พูดอะไรต่อ
ระหว่างทางเดินกลับ โฉมฉายเกิดปวดหัวอีกครั้งและมองเห็นภาพบวรยศถูกจับใส่เรือปล่อยลอยไปตามยถากรรม เธอร้องไห้ตื่นตระหนกเพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรลูกชายได้เลย พิศมองอาการนั้นแล้วถามเนตรว่าคุณโฉมเป็นอะไร
“ความจำของแม่กำลังฟื้นคืนมาค่ะ แม่เห็นภาพที่ตัวเองโดนทำร้าย แต่จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนกระทำ”
เจิมออกอาการเสียดาย ลึกๆแล้วรู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร เมื่อข่าวนี้สะพัดไปถึงโรงครัว อุ่นถึงกับเอ่ยปากว่าตนไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นผู้บงการ เสียดายแต่เพียงไม่มีหลักฐานยืนยัน ประจวบเหมาะกับธูปเดินเข้ามาพอดี เจิมพูดแขวะว่า
“ตอนนี้ความจำของคุณโฉมเริ่มกลับมาแล้ว ระวังตัวแกกับนายไว้ดีๆแล้วกัน ถ้าคุณท่านจำได้ว่าใครทำร้ายมีหวังไม่ใครก็ใครได้ไปนอนคุกแน่ๆโว้ย!”
ธูปหน้าเสียกังวลและครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอด เห็นทีเธอคงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว ก่อนที่จะติดร่างแหไปกับซ่อนกลิ่น ระหว่างที่ทำงาน ธูปมีอาการเหม่อลอยด้วยความกลัวจนไม่ทันสังเกตว่านายหญิงเข้ามายืนข้างๆพร้อมกับเรียกชื่อเสียงดังลั่น ธูปสะดุ้งตกใจสุดขีด ซ่อนกลิ่นมองกิริยานั้นอย่างระแวงและเริ่มจับพิรุธอยู่เงียบๆ
ซ่อนกลิ่นเดินตามหาอรพิลาสทั่วเรือน จนกระทั่งมาพบเข้าที่เรือนใหญ่ เธอมองดูความสนิทสนมของเนตรกับลูกสาวที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่พอใจ เดินเข้ามากระชากแขนอรพิลาสและกำชับไม่ให้สุงสิงกับคนที่เรือนนี้ ขณะที่หลวงเดชมองการกระทำนั้นอย่างหงุดหงิดเกือบจะหลุดปากต่อว่า แต่โฉมฉายส่งสายตาห้ามเอาไว้
ระหว่างเดินกลับเรือนเล็ก ซ่อนกลิ่นถามอรพิลาสว่า
“นึกยังไงถึงมานั่งเสวนากับพวกมัน หรือเห็นนังโฉมฉายดีกว่าแม่ เลยทิ้งให้แม่เป็นหัวหลักหัวตอเช่นนี้ ต่อไปนี้แม่ขอสั่งห้ามแกไปเสวนากับพวกมัน แกทำได้ไหม...ฉันเกลียดพวกมัน อยากให้ตายๆไปซะทุกคน”
อรพิลาสเห็นสีหน้าซ่อนกลิ่นเต็มไปด้วยความอาฆาตก็ออกอาการกลัว อ้อมแอ้มบอกว่าลำพังแค่เรื่องที่ทำร้ายเนตร ตนก็รู้สึกแย่เพียงพอแล้ว ซ่อนกลิ่นฟังแล้วตาวาวเกิดโทสะระเบิดอารมณ์ใส่ลูกสาว
“แกมันอ่อนแอ ไม่ได้เรื่อง เสียแรงที่ฉันเลี้ยงดูแกมา สุดท้ายแกมันก็โง่เหมือนนังพิศแม่แกนั่นแหละ...หยุดร้องไห้แล้วทำตามที่ฉันสั่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาเป็นแม่ลูกกันอีก”
ซ่อนกลิ่นเห็นอรพิลาสร้องไห้หนักก็นึกสงสาร ดึงลูกสาวเข้ามากอด
“แกชอบทำให้แม่โมโหอยู่เรื่อย แล้วจำไว้นะว่าแม่รักหนูมากที่สุด หนูต้องเชื่อฟังแม่นะลูก”
หลังจากครุ่นคิดมาหลายวัน ธูปอดรนทนไม่ไหวแอบมาด้อมๆมองๆเพื่อรอจังหวะเข้าพบหลวงเดช แล้วโอกาสนั้นก็มาถึงในตอนบ่าย ระหว่างที่นายผู้ชายกำลังบัญชาการบ่าวไพร่ให้ตัดต้นไม้ ธูปเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“คุณหลวงคะ อิฉันมีเรื่องจะเรียนคุณหลวงค่ะ เอ่อ...ไปคุยทางโน้นได้ไหมคะ”
หลวงเดชมองสาวใช้ต้นห้องของภรรยาอย่างสงสัย ก่อนจะทำตามคำขอนั่น เมื่อมาถึงบริเวณหนึ่งของสวน เขาก็เอ่ยปากถามว่ามีเรื่องอะไรกัน ธูปอึกอักคิดเรียบเรียงว่าจะบอกเช่นไรดี
“อิฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีค่ะ คือ...อิฉันรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายคุณโฉมค่ะ”
“ว่ายังไงนะ แกรู้เหรอว่ามันเป็นใคร งั้นบอกมาเร็วว่าเป็นใครกัน”
“คนที่ทำร้ายคุณโฉมกับคุณหนูบวรยศก็คือ...”
ธูปพูดได้แค่นั้นก็ชะงัก ได้ยินเสียงซ่อนกลิ่นเรียกชื่อของตนเหมือนจะปรามอยู่ในที ธูปสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ในขณะที่นายหญิงก้าวเข้ามาพร้อมกับโวยวายให้ไปจัดสำรับข้าวของตนเสียเดี๋ยวนี้ หลวงเดชแสดงอาการไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ หันมาเรียกบ่าวให้อยู่คุยกันให้รู้เรื่องก่อน ส่วนซ่อนกลิ่นให้กลับไปรอที่เรือน
ธูปหน้าเจื่อนเมื่อเห็นซ่อนกลิ่นจ้องมองตนเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ความกลัวก็บังเกิดรีบลนลานบอกว่า
“ไปๆมาๆ อิฉันชักไม่แน่ใจแล้วค่ะ สงสัยจะจำผิด ต้องขอประทานโทษด้วยนะเจ้าคะ คุณหลวง”
หลวงเดชหัวเสียผิดหวังที่เกือบจะรู้ความจริงบางอย่างแล้วแต่มีมารมาผจญ เมื่อกลับมาถึงที่เรือนเล็ก ซ่อนกลิ่นมีท่าทีสงบนิ่งสั่งการธูปไปจัดหาอาหาร พอ คล้อยหลังไม่กี่อึดใจ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคียดแค้น เค้นเสียงลอดไรฟันว่า
“มึงคิดจะแฉกูเหรอ...อีธูป ไม่มีวันเสียล่ะ!”
ooooooo
ธูปรู้สึกหนาวๆร้อนๆเพราะท่าทีที่สงบนิ่งของซ่อนกลิ่น มันเป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างมาก เธอเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งครุ่นคิดในโรงครัว อุ่นมองกิริยานั้นแปลกใจถามว่าเป็นอะไร ทำไมหน้าตาเหมือนคนมีเรื่องกังวลใจ ธูปสะบัดเสียงตอบว่า
“เรื่องของข้า มีอะไรกินบ้าง ข้าจะเอาไปให้นายซ่อนกลิ่น”
“แกนี่ก็จงรักภักดีกับนายดีจริงๆนะ ขนาดเห็นอยู่ว่านายเอ็งตกอับขนาดนี้ ไม่กลัวว่าคุณหลวงเฉดหัวนายเอ็งออกจากเรือนแล้วจะไม่มีที่พึ่งเหรอวะ ระวังเหอะ...อยู่ดีไม่ว่าดีจะตายเพราะรักนายผิดคน”
ธูปเผลอทำทัพพีหล่นจากมือเสียงดัง สีหน้าระแวงกับสิ่งที่อุ่นพูดเตือน...แต่ทางเลือกของเธอในเวลานี้มีไม่มากนักจึงต้องจำยอมทนไปจนกว่าจะหาทางหนี
ทีไล่ได้ เมื่อธูปยกสำรับข้าวมาจัดให้ซ่อนกลิ่น ได้ยินเธอพูดอย่างใจดีมีเมตตา
“แกรับใช้ฉันมานานหลายสิบปีแล้ว ฉันมาคิดดู นอกจากแกกับหนูอร ฉันไม่เห็นมีใครที่รักฉันจริงเลยซักคน ฉันควรจะตอบแทนความดีของแกให้มากกว่านี้ ไหนบอกมาซิว่าแกอยากได้อะไรอีก ฉันมีสมบัติตั้งมากมายพอที่จะเจียดให้แกได้”
“ธูปอยากมีที่ดินซักแปลง เอาไว้อยู่ตอนแก่กับญาติพี่น้องค่ะ”
“ได้สิ ฉันจะให้เงินแกเอาไปซื้อที่ดินอย่างที่แกอยากได้ แต่คืนนี้แกมานอนเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันฝันร้ายมาหลายคืนแล้ว ฉันไม่อยากนอนคนเดียว”
ความโลภบังตาธูปเสียจนไม่ได้นึกระแวงภัยที่
กำลังคืบคลานเข้ามาช้าๆ ตกค่ำวันนั้น บ่าวคนสนิทจัดแจงหอบหมอนกับผ้าห่มเข้ามานอนอย่างกระหยิ่มใจ ในสมองเฝ้าฝันหวานถึงที่ดินผืนใหญ่กับอนาคตอันสดใสที่รออยู่ข้างหน้า
ทันทีที่ไฟในห้องของซ่อนกลิ่นดับลง ธูปรีบล้มตัวลงนอนโดยไม่รู้เลยว่าขณะนี้นายหญิงล้วงปืนออกมาจากใต้หมอนเพื่อเตรียมพร้อมจะกำจัดคนทรยศหักหลัง แต่แล้วเสียงเคาะประตูทำให้ซ่อนกลิ่นชะงักรีบสอดปืนกลับเข้าที่เดิมแล้วร้องถามอย่างหัวเสียว่าเป็นใครกัน
ธูปลุกขึ้นไปเปิดก็พบว่าเป็นอรพิลาส ซ่อนกลิ่นรู้สึกหงุดหงิดแต่ต้องข่มใจถามว่า
“หนูอร มีอะไรเหรอลูก...นังธูปไปนอนก่อน ข้าจะคุยกับลูกสาวสักพัก”
“หนูอรนอนไม่หลับมีเรื่องมาปรึกษาคุณแม่ค่ะ เอ่อ...ถ้าหนูอรรักใครคนหนึ่ง คุณแม่จะว่ายังไงคะ”
ซ่อนกลิ่นได้ยินเช่นนั้นก็สนใจมาก อรพิลาสอ้ำอึ้งชั่วครู่แล้วบอกว่าใครคนนั้นคือหมอต้น มารดาลุกพรวดขึ้นคัดค้านไม่เห็นด้วย ลูกสาวจึงใช้น้ำเย็นเข้าพูดอธิบายมากมายเสียจนซ่อนกลิ่นตัดบทด้วยความรำคาญ
“เอาเถอะ อย่างน้อยหมอต้นมันก็รวย ถ้าหนูลงเอยกับมันแม่ก็คงสบายไปด้วย”
อรพิลาสยิ้มดีใจที่มารดายินยอมให้เธอคบกับอรรถกรต่อไป ซ่อนกลิ่นเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงขอตัวไปพักผ่อน เมื่อกลับเข้ามาในห้อง เธอยืนยิ้มร้ายกาจจ้องมองบ่าวคนสนิท ก่อนจะใช้หมอนกดลงที่ใบหน้า ธูปตกใจพยายามดิ้นรนหาอากาศหายใจ แต่แน่นิ่งไปในอีกไม่กี่นาทีต่อมา...
ooooooo










