สมาชิก

ลิขิตริษยา

ตอนที่ 13

อัลบั้ม: "เอ ศุภชัย" ผู้จัดป้ายแดง ส่ง "ลิขิตริษยา" ลงจอ ช่อง 7




อัครยศตกใจมากเมื่อทราบข่าวโฉมฉายถูกลอบทำร้ายและลักพาตัว อีกทั้งรู้สึกเป็นห่วงเนตรมากจึงขออนุญาตพระยาราชรักษ์และคุณหญิงมณีไปอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาว แม้ว่ามารดาพยายามห้ามแต่บิดาพูดขัดขึ้นว่า

“ไปเถอะตาตั้ม ตอนนี้หนูเนตรคงกำลังขวัญเสีย เราไปอยู่เป็นเพื่อนเขาก็ดีเหมือนกัน...จริงไหมคุณหญิง”

คุณหญิงมณีหน้าเจื่อนทราบดีว่าลูกชายรู้สึกกับหญิงสาวคนนั้นเช่นไร ในเมื่อขัดไม่ได้ เธอสั่งเสียให้เขาดูแลตัวเองแต่ยังมีความกังวลใจทั้งทางสีหน้าและแววตา พระยาราชรักษ์จึงเตือนสติภรรยาว่าความรักเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ คงต้องรู้จักการปล่อยวาง

เวลาเดียวกันนั้นที่เรือนยายรี เนตรร้องไห้ปิ่มจะขาดใจเพราะเป็นห่วงมารดามากโดยมีเจิมคอยปลอบใจ อยู่ข้างๆเพื่อให้คลายกังวล เมื่ออัครยศปรากฏตัว หญิงสาว ดีใจโผเข้าหาเขาร้องเรียกเสียงดัง ด้านอรรถกรหลังจากรักษาโฉมฉายจนปลอดภัยแล้วก็นั่งเฝ้ารอดูอาการอยู่เงียบๆ ไม่นานนักคนเจ็บรู้สึกตัวฟื้นคืนสติ ชายหนุ่มรีบเข้าไปดู

“ค่อยๆลุกนะครับคุณน้า...ทีแรกผมตั้งใจจะไปแจ้งความ แต่อยากให้คุณน้าฟื้นขึ้นมาก่อนครับ”

“ฉันอยากกลับบ้านค่ะ ฉันคิดถึงลูกของฉัน...บวรยศอยู่ที่ไหนคะ”

อรรถกรสีหน้างุนงงเพราะไม่รู้ว่าโฉมฉายพูดถึงใคร ฟากหลวงเดชรู้สึกร้อนรุ่มใจเป็นห่วงโฉมฉายจนต้องมากราบขอพรต่อหน้าพระพุทธรูปและอธิษฐานอย่างมีความหวัง

“ยี่สิบปีแล้วที่ผมกับภรรยาต้องพลัดพรากจากกันไป นี่เพิ่งรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แต่กลับโดนลักพาตัวหายไปอีก ชีวิตนี้ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกจากขอบุญกุศลทั้งหมดที่ทำไว้ช่วยคุ้มครองคุณโฉมให้ปลอดภัยกลับมาด้วยนะครับ”

รุ่งเช้า ระหว่างที่พระยาราชรักษ์และคุณหญิงมณีกำลังรับประทานอาหารและนั่งรอคอยข่าวเกี่ยวกับโฉมฉาย อย่างเป็นกังวล จันก็รายงานว่าอรรถกรเพิ่งกลับมาถึงเรือนตอนเช้านี่เอง พระยาราชรักษ์บอกว่ากลับมาทันฟังคุณหญิงมณีบ่นถึงเขาอยู่พอดี ลูกชายยิ้มไม่ตอบโต้แต่หลีกทางให้คนทั้งคู่เห็นโฉมฉายยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขก คุณหญิงมณีร้องเสียงหลงว่า

“คุณโฉม...คุณจริงๆด้วย ฉันดีใจจริงๆ รู้ไหมคะว่าพวกเราเป็นห่วงคุณโฉมแค่ไหน”

“แล้วนี่ไปไงมาไงตาต้นถึงได้พาคุณโฉมมาได้” พระยาราชรักษ์เอ่ยปากอย่างแปลกใจ

“เรื่องมันยาวครับแล้วผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้คุณน้าโฉมฉายคิดถึงบ้านมากแต่เธอไม่แน่ใจว่าคุณหลวงเดชจะว่ายังไง ผมเลยพาคุณน้ามาหาคุณพ่อ คุณแม่ก่อนครับ”

หลังจากนั้นไม่นาน พระยาราชรักษ์รีบเดินทางไปยังเรือนหลวงเดช เมื่อไปถึงก็เห็นเพื่อนรักนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ศาลาริมน้ำแววตามีกังวล เขาตะโกนเรียกเพื่อนดังลั่น หลวงเดชกระวีกระวาดลุกขึ้นต้อนรับ

“ท่านเจ้าคุณมาแต่เช้าเลยนะครับ เมื่อคืนผมรอฟังข่าวจากทางตำรวจทั้งคืน แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”

“ไม่มีอะไรน่าห่วงอีกแล้วล่ะคุณหลวง...ดูทางนั้นสิ”

หลวงเดชหันไปมองตามคำบอกก็เห็นโฉมฉายยืนอยู่กับคุณหญิงมณี เขาปราดเข้าหาภรรยาด้วยความดีใจสุดขีดแล้วดึงตัวเธอมากอดด้วยความรักและคิดถึง ภาพนั้นทำให้พระยาราชรักษ์กับคุณหญิงมณีถึงกับตื้นตันใจ ยิ้มอย่างมีความสุข

จากนั้นหลวงเดชเดินโอบภรรยาพาขึ้นเรือน โฉมฉายกวาดตามองรอบๆอย่างสนใจพร้อมกับเอามือสัมผัสสิ่งของต่างๆบนเรือนโดยใช้ความคิดเงียบๆ หลวงเดชถามว่าพอจำได้ไหม คุณหญิงมณีชิงตอบเสียก่อนว่า

“ตาต้นบอกว่าความทรงจำคุณโฉมอาจจะยังกลับมาไม่ครบ แต่สิ่งแรกที่คุณโฉมนึกถึงคือลูกและคุณหลวงค่ะ”

“ลูกจากไปพร้อมกับวันที่คุณโฉมหายตัวไป จนถึงวันนี้พี่ก็ยังไม่พบศพของลูกเลย” หลวงเดชหน้าเศร้า

พลันทั้งหมดได้ยินเสียงของตกทางด้านหลัง เมื่อหันไปดูก็พบว่าพวงกับพิศยืนตะลึงจ้องมองโฉมฉายอย่างตื่นเต้น แล้วไม่กี่นาทีต่อมา ข่าวการกลับมาของโฉมฉายก็กระจายไปทั่วเรือน ธูปได้ยินเข้าก็ตกใจมากรีบวิ่งหน้าตั้งตาเหลือกไปหาซ่อนกลิ่นทันที

“คุณซ่อนกลิ่นขา เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่า...คุณโฉมกลับมาแล้วค่ะ”

“อีธูป ไหนแกว่าอะไรนะ...อย่ามาล้อเล่นให้ข้าตกใจเยี่ยงนี้ได้ไหม”

ซ่อนกลิ่นตกตะลึงพรึงเพริดแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ทั้งคู่หันหน้าเข้าปรึกษากันด้วยความหวาดหวั่น บ่าวคนสนิทถามว่าจะทำเช่นไรดี เรื่องชั่วที่เคยทำไว้คงแดงขึ้นมาในวันนี้ นายหญิงหน้าเสียรู้สึกหวั่นใจเพราะจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเหมือนดังก่อนก็คงไม่ได้หลวงเดช

ไม่มีทางเชื่อง่ายๆ เนื่องจากคุณไสยเสื่อมความขลังไปนานหลายเพลาแล้ว

สองนายบ่าวอดรนทนไม่ไหวต้องรีบรุดไปแอบดูเพื่อประเมินสถานการณ์ เวลานั้นหลวงเดชนำภรรยาเข้าไปในห้องนอนเก่าของเธอโดยหวังว่าจะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำได้บ้าง ท่าทีของโฉมฉายที่ดูเหมือนจะจำได้ทำให้สามีถามว่า

“คุณโฉมพอจะเล่าให้พี่ฟังได้ไหมว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆคุณโฉมถึงพาลูกพายเรือออกไป”

โฉมฉายทำสีหน้าครุ่นคิดในขณะที่หลวงเดชกับพิศมองอย่างมีความหวัง แต่แล้วเพียงครู่เดียว โฉมฉายก็เอามือกุมแผลที่ศีรษะด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะบอกสามีว่าตนยังนึกอะไรไม่ออกจริงๆ

ooooooo

เวลาเดียวกันนั้นที่เรือนยายรี จันรับคำสั่งจากพระยาราชรักษ์ให้ไปแจ้งเรื่องเจอตัวโฉมฉายแล้ว อีกทั้งความทรงจำต่างๆก็กลับคืนมาด้วย เมื่อเนตรกับอัครยศทราบเข้าก็ตื่นเต้นและเบาใจคลายกังวลเป็นอันมาก

ฉับพลันเนตรฉุกคิดขึ้นได้ว่าหากมารดามีแต่ความทรงจำเก่า เธอคงลืมเรื่องราวอื่นๆที่เกี่ยวกับตนเอง สิ่งที่เนตรหวั่นใจมาเนิ่นนานก็ได้เกิดขึ้นในที่สุด ครั้นอัครยศชวนไปหาโฉมฉายที่เรือนหลวงเดช เนตรหน้าเจื่อนอ้อมแอ้มปฏิเสธและบอกแต่เพียงว่าแค่รู้ว่ามารดาปลอดภัย เธอก็สบายใจแล้ว ต่างจากเจิมและผลที่รู้ข่าวนั่นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ทั้งคู่รีบขอตัวลากลับ

ที่เรือนหลวงเดช โฉมฉายเดินออกมามองรอบบ้านพยายามรื้อฟื้นความทรงจำโดยมีหลวงเดชและพิศยืนมองใกล้ๆ บ่าวไพร่ในเรือนต่างพากันมายลโฉม

นายหญิงอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นเจิมปราดเข้ามาทรุดตัวลงกอดเท้าโฉมฉายร้องไห้ด้วยความดีใจ พร่ำพูดว่าแค่ตนได้เห็นคุณโฉมปลอดภัยดี ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นายหญิงยิ้มเป็นสุขเอ่ยว่า

“ฉันขอบใจทุกคนมากนะที่มาต้อนรับ ฉันเสียความทรงจำไปช่วงหนึ่ง อาจจะลืมไปบ้าง มีอะไรก็ช่วยเตือนกันนะ”

หลวงเดชได้ทีสำทับกับบ่าวไพร่ทุกคนว่าตนขอฝากให้ช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลคุณโฉมและคุณพิศ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา ขณะนั้นเองซ่อนกลิ่นกับธูปที่แอบฟังได้ยินคำสั่งถึงกับหวั่นใจกลัวความผิดที่เคยกระทำจะเปิดเผย พอเห็นหลวงเดชและภรรยาคนอื่นๆเดินกลับขึ้นเรือน ซ่อนกลิ่นตัดสินใจส่งธูปเข้าไปลองเชิงสถานการณ์

“บ่าวขอมากราบคุณโฉม เห็นกลับมาแล้วเลยดีใจมากเจ้าค่ะ”

เจิมตาขวางใส่ธูป กระชากเสียงถามว่าใครใช้ให้เข้ามาในนี้ ธูปหน้าเสียมองหน้าโฉมฉายเลิ่กลั่ก ก่อนจะโล่งอกเมื่อโฉมฉายไม่ว่าอะไร แถมยังพูดดีด้วย แต่ยังไม่ทันไร พิศเอ่ยปากถามถึงซ่อนกลิ่นว่าไปไหน

“ซ่อนกลิ่น...ใครเหรอคะคุณพิศ” โฉมฉายหันมาถามอย่างสงสัย

ที่ด้านนอก ซ่อนกลิ่นยิ้มพอใจเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าโฉมฉายไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตนเองเลย เช่นเดียวกับ ธูปที่ยิ้มเริงร่าสบายใจหมดห่วงเรื่องติดคุกเพราะการทำชั่วในอดีต

ตกเย็น ขณะที่หลวงเดชกำลังรับประทานข้าวกับโฉมฉายและพิศ อรพิลาสเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางลังเล หลวงเดชยิ้มดีใจกวักมือเรียกลูกสาวให้มาใกล้ๆและแนะนำให้โฉมฉายรู้จักว่าหนูอรหรืออรพิลาสเป็นลูกสาวของตนกับพิศ

โฉมฉายพยักหน้ารับรู้แล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู

อรพิลาสยกมือไหว้เธอแต่ยังคงแสดงทีท่าไม่ค่อยไว้ใจ พูดโพล่งว่า

“ทำไมคุณพ่อไม่ชวนคุณแม่มารับประทานข้าวที่ตึกใหญ่บ้างล่ะคะ คุณพ่อลืมไปแล้วเหรอคะว่ายังมีเมียอีกคน...คุณโฉมคงจำแม่ซ่อนกลิ่นไม่ได้ แม่เคยเป็นเมียที่คุณพ่อรักที่สุด แต่ตอนนี้คุณพ่อกลับทอดทิ้งให้อยู่เรือนเล็กคนเดียว”

หลวงเดชลุกพรวดไม่พอใจ กำราบลูกสาวเสียงเข้มว่าเธอย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรตนจึงทำเช่นนั้น พิศเห็นท่าไม่ดีรีบไกล่เกลี่ยให้ทุกคนใจเย็น ในขณะที่โฉมฉายไม่มีปฏิกิริยาอะไรบอกแต่เพียงว่า

“เอาอย่างนี้นะหนูอร หนูไปตามแม่ซ่อนกลิ่นมาที่นี่ ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่ายังมีเมียอีกคนที่ฉันลืมไป”

อรพิลาสยิ้มดีใจรีบเดินออกไปตามซ่อนกลิ่น แต่แล้วเจ้าตัวกลับโวยวายไม่พอใจ

“ฉันไม่ไป เรื่องอะไรจะต้องไปเจอมันด้วย ลูกก็จริงๆนะ อยู่ๆไปพูดจาแบบนั้นทำไมก็ไม่รู้”

“ทำไมล่ะคะ ก็หนูอรอยากทวงสิทธิ์ความเป็นเมียให้คุณแม่นี่คะ ดีซะอีก ในเมื่อคุณป้าโฉมจำคุณแม่ไม่ได้ ก็จะได้ให้เขารู้จักคุณแม่ไว้ จะได้รู้ว่าคุณพ่อไม่ได้มีเมียแค่สองคน”

ซ่อนกลิ่นหงุดหงิดฮึดฮัดเดินออกไปที่เรือนใหญ่ วางท่ายโส และพูดจาวางอำนาจ

ทุกคนในห้องอาหารหันไปเห็นอดีตภรรยาคนโปรดเดินเข้ามาทำหน้าเชิดใส่ โฉมฉายมองท่าทางนั้นแล้วพยายามคิดทบทวน แต่ก็นึกไม่ออก ซ่อนกลิ่นลอบยิ้มสะใจบอกว่า

“ถ้ายังจำฉันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวอยู่กันไปสักพักก็คงคุ้นเคยกันไปเอง ยังไงฉันก็เป็นเมียคนหนึ่งเหมือนกัน”

เจิมสบโอกาสเหน็บว่าตนจะช่วยฟื้นความจำให้เองเพราะเรื่องของซ่อนกลิ่นในเรือนนี้มีมากมายแทบเล่าไม่หมด ซ่อนกลิ่นถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่องและพูดขอตัวกลับเรือนโดยไม่แยแสใครอีก

ooooooo

คืนนั้น เจิมเตือนโฉมฉายให้ระมัดระวังตัวเพราะซ่อนกลิ่นคนนี้เคยรังแกภรรยาทุกคนของหลวงเดช และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเธอกับบวรยศด้วย พิศพยักหน้าเห็นด้วยเสริมว่า

“จริงอย่างที่เจิมบอกค่ะคุณโฉม ซ่อนกลิ่นทำให้เรือนหลังนี้ร้อนเป็นไฟ คุณกรองแก้วต้องตายก็เพราะมัน”

โฉมฉายตกใจอย่างมากเมื่อรู้ว่ากรองแก้วเสียชีวิตแล้ว เธอพยายามรื้อฟื้นความทรงจำ แต่ก็ยัง ไม่เป็นผล เจิมเจ็บแค้นทำท่าจะเล่าอะไรต่อ แต่หลวงเดชเดินเข้ามาตัดบทเตือนให้โฉมฉายรีบพักผ่อนเสีย

รุ่งเช้า อัครยศรู้สึกเป็นห่วงเนตรมาก รีบมาหาก็พบว่าหญิงสาวตาบวมแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เธอคร่ำครวญว่าตนเสียแม่ไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงตัวคนเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับมือเนตรด้วยความสงสาร

“อย่าคิดอย่างนั้นสิเนตร ฉันบอกเธอแล้วไงว่าเธอยังมีฉันเสมอเพราะว่าฉันรักเธอ เหมือนดังที่น้าสร้อยรักเธอเช่นกัน”

เนตรหยุดร้องไห้เงยหน้าขึ้นมองอัครยศ ชายหนุ่มยืนยันจากใจว่ารักเธอและพร้อมจะให้มารดามาสู่ขอกับน้าสร้อยโดยเร็ว หญิงสาวน้ำตาคลอตื้นตันใจก่อนจะยิ้มรับเอียงอาย

เวลานั้น โฉมฉายฉุกคิดถึงเนตรได้เมื่อเห็นขนมหวานมาวางอยู่ตรงหน้า เธอแจ้งสามีว่าตนมีความจำเป็นต้องกลับไปที่เรือนยายรีเพราะไม่สามารถทอดทิ้งเนตรให้อยู่ตัวคนเดียวได้ หลวงเดชเสนอให้รับหญิงสาวมาอยู่ด้วยกันที่นี่ แต่อรพิลาสไม่เห็นด้วยเดินตรงเข้ามาอาละวาดเสียงดังลั่น

“หนูอรได้ยินว่าคุณพ่อจะไปรับนังเนตรมาอยู่บ้านเรา หนูอรไม่ยอมนะคะ”

ทุกคนลำบากใจ ในขณะที่หลวงเดชครุ่นคิดอย่างหนัก เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เรือนราชรักษ์ คุณหญิงมณีตกตะลึงเมื่อได้ยินอัครยศขอร้องให้ช่วยเป็นธุระไปสู่ขอเนตรให้กับเขา มารดาย้อนถามเสียงเข้มว่าคิดดีแล้วหรือ

“คุณหญิง...ลูกเอาข่าวดีมาบอกอย่างนี้ เราต้องรีบเป็นธุระให้ลูกแล้วสิ เห็นด้วยกับพ่อไหมตาต้น”

อรรถกรยิ้มกว้างพยักหน้าเห็นด้วย ทำให้คุณหญิงมณีนิ่งเงียบ อัครยศอธิบายถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแต่งงานเพราะขณะนี้เนตรอยู่ตัวคนเดียวและเสียใจมากที่โฉมฉายต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวเดิม ตนจึงอยากเป็นคนดูแลเธอต่อจากมารดา พระยาราชรักษ์เห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้ ผิดจากภรรยาที่พูดไม่ออก

ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง พระยาราชรักษ์ต่อสายถึงหลวงเดชและแจ้งความจำนงที่จะมาสู่ขอเนตรให้กับ

ลูกชายคนเล็ก หลวงเดชได้ฟังก็ตื่นเต้นดีใจยิ่งนักรีบวางสายแล้วแจ้งให้โฉมฉายทราบเรื่อง

“ท่านเจ้าคุณราชรักษ์โทร.มาบอกว่า จะขอนัดทาบทามหนูเนตรให้กับตาอัครยศน่ะ”

“น้องเต็มใจอยู่แล้ว อยู่ที่เนตรล่ะว่าจะตกลงเช่นไร ...คุณพี่คะ น้องตื่นเต้นเหลือเกิน เรารีบไปหาเนตรกันเถอะค่ะ”

อรพิลาสแทบร้องกรี๊ดเมื่อรู้จากธูปว่าพระยาราชรักษ์เตรียมตัวมาสู่ขอลูกเลี้ยงของโฉมฉายให้กับอัครยศ

เธอเคี่ยวเข็ญมารดาให้ช่วยเหลือในเรื่องนี้ ซ่อนกลิ่นคิดหนักว่าจะหาทางใดเพื่อขจัดมารหัวใจลูกสาวให้เร็วที่สุด

ตกเย็นวันเดียวกัน ขณะที่เนตรกำลังเตรียมแป้งทำขนม เธอได้ยินเสียงโฉมฉายร้องเรียกอยู่หน้าประตูบ้าน เนตรวิ่งถลาออกไปเปิดด้วยความดีใจ ก่อนจะตัดพ้อว่าตนนึกว่ามารดาจะไม่กลับมาหาอีกแล้ว โฉมฉายกอดลูกสาวบอกว่า

“ถึงความทรงจำเก่าๆของแม่จะกลับคืนมา แต่ความทรงจำที่เรามีกันไม่เคยลบเลือนหายไปนะเนตร”

ทั้งหลวงเดชและพิศช่วยยืนยันและชวนให้ไปอยู่ด้วยกันเสียโดยเร็ว เนตรแย้งว่าจะให้ตนไปอยู่ที่นั่นในสถานะอะไร หลวงเดชยิ้มบอกว่ามาเป็นลูกสาวตนอีกคน เพราะที่จริงคงอยู่ไม่นานเนื่องจากพระยาราชรักษ์ได้มาทาบทามสู่ขอเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนตรชะงักก้มหน้านิ่งรู้สึกอายจนหน้าแดง

ทางด้านซ่อนกลิ่นที่ร้อนรนหวาดระแวงจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ กลางดึกเธอบุกไปหาทองที่ห้องเช่าโดยขอร้องแกมบังคับให้ช่วยเหลือจัดการเก็บคนคนหนึ่ง ทองโวยวายไม่อยากทำเพราะกลัวติดคุก แต่ซ่อนกลิ่นใช้วาจาหว่านล้อมว่าเป็นงานสุดท้ายและจะให้ทุนไปตั้งตัวเมื่อสำเร็จ ทองรับคำเสียงอ่อย

ซ่อนกลิ่นยิ้มอย่างพอใจ พลันเห็นปืนวางอยู่ก็สนใจเอ่ยปากขอทันที ทองแปลกใจท้วงว่าใช้เป็นหรือ

“เรื่องฆ่าคน ฉันถนัดยิ่งกว่าเรื่องอื่นอีก แกก็น่าจะรู้ ถ้าจะฆ่าใครมันต้องตายสถานเดียว นี่บ่งบอกว่าใช้เป็นไหมล่ะ”

ooooooo

รุ่งเช้า อรรถกรไปเยี่ยมโฉมฉายถามไถ่อาการบาดเจ็บของเธอที่เรือนหลวงเดช

“ขอบคุณมากนะคะ อุตส่าห์สละเวลามาช่วยดูให้ถึงบ้านเลย ถ้าไม่ได้หมอต้นน้าคงแย่ น้าถือว่า

คุณหมอต้นมีบุญคุณกับน้ามากนะคะ ถ้ามีอะไรที่น้าพอจะช่วยได้ น้ายินดีนะคะ”

“เพราะคุณน้าโฉมฉายโชคดีมากกว่า ผมช่วยคนเพราะความเต็มใจไม่หวังสิ่งตอบแทนอยู่แล้วล่ะครับ”

หลวงเดชกับโฉมฉายยิ้มปลื้มใจที่เพื่อนรักมีลูกชายแสนประเสริฐเช่นนี้ หลังจากตรวจดูอาการเสร็จ อรรถกรขอตัวลากลับ แต่ขณะเดินออกมาขึ้นรถ เขาได้ยินเสียงอรพิลาสร้องไห้โวยวายเสียงดังลั่น พอเดินตามเสียงไปก็พบซ่อนกลิ่นโอบกอดปลอบขวัญลูกสาวอยู่ เขาชะงักเท้าแล้วแอบฟังคนทั้งคู่สนทนา เสียงอรพิลาสคร่ำครวญว่า

“หนูอรทนไม่ได้ถ้าคุณตั้มจะแต่งงานกับนังเนตร ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ”

“โถ...ลูก! ก็แม่บอกแล้วไงว่าแม่จะช่วย”

“คุณแม่จะช่วยยังไงคะ ในเมื่อเขากำลังจะแต่งงานกันแล้ว”

“ได้สิ ถ้าไม่มีเจ้าสาวแล้วเจ้าบ่าวจะแต่งงาน ได้ยังไง”

อรรถกรได้ยินคำพูดนั้นชัดเจน ขมวดคิ้วสงสัยว่าซ่อนกลิ่นกำลังคิดจะทำอะไร แล้วพึมพำย้ำเตือนตัวเองว่าไม่มีวันที่อรพิลาสจะเหลือบแลมามองตน เขาถอนหายใจเศร้าๆเหมือนพยายามตัดใจให้เด็ดขาด

เวลานั้นที่ปากซอยแถวบ้านยายรี เนตรเพิ่งหอบหิ้วตะกร้าขนมกลับมาด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน ทันใดนั้นเอง มีมือมือหนึ่งมาแตะไหล่ของเธอ หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่ง เนตรโล่งอกบอกว่า

“ของใกล้หมดแล้วมีอยู่เท่านี้นะจ๊ะ...ป้าจะรับอะไรดีจ๊ะ”

เนตรจัดการหยิบขนมใส่ถุงส่งให้ลูกค้าก่อนเดินมุ่งหน้ากลับเรือนโดยไม่รู้เลยว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวในไม่กี่นาทีข้างหน้า ขณะนั้นทองสบโอกาสก็กระโจนออกมา จากพงหญ้าข้างทางแล้วรวบตัวเนตรจากด้านหลัง

หญิงสาวตกใจสุดขีดพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด แต่ไฉนจะสู้แรงชายฉกรรจ์เช่นทองได้

ขณะเดียวกัน อัครยศกำลังเตรียมตัวจะออกจากเรือนเพื่อมาหาเนตร เขาถูกคุณหญิงมณีเรียกให้มาหาและหยิบกล่องแหวนเพชรยื่นให้ด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“เอาไปให้หนูเนตร บอกว่าแม่ฝากมาเป็นประกันไว้ก่อน หนูเนตรจะได้ไม่คิดว่าพวกเรารังเกียจเธอ ลูกรักใคร แม่ก็ต้องรักด้วย แม่กลัวว่าหนูเนตรจะคิดมากว่าครอบครัวเรารังเกียจเขา เลยอยากทำให้เขามั่นใจในตัวลูกและครอบครัวเรา”

อัครยศยิ้มแฉ่งก้มลงกราบมารดาอย่างนอบน้อม ทำเอาคุณหญิงมณีน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งใจ จากนั้นไม่นานนัก อัครยศมายืนอยู่หน้าบ้านยายรีพลางหยิบแหวนขึ้นมาดูด้วยสีหน้าดีใจ แล้วเคาะประตูเรียกเนตร แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจเพราะผิดวิสัยที่หญิงสาวจะไม่อยู่เรือนในเวลานี้

ขณะนั้น เนตรรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองโดนจับมัดอยู่ในบ้านร้าง หญิงสาวตื่นตระหนกตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น ทองเดินยิ้มเหี้ยมเกรียมเข้ามาตะคอกว่าต่อให้ตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยิน เนตรจ้องหน้าคนร้ายถามเสียงสั่นว่าจับตนมาทำไม ทองยิ้มร้ายกาจตอบว่าอีกไม่นานก็รู้เอง

ฟากซ่อนกลิ่นเดินเข้ามาหาอรพิลาสที่นั่งซึมอยู่ด้วยท่าทีเหมือนคนที่บรรลุกับความสำเร็จ แล้วก้มลงกระซิบข้างหูว่า

“หมดเวลาเสียอกเสียใจแล้วหนูอร แม่จัดการจับศัตรูหัวใจมาให้หนูแล้วนะ ทีนี้ก็แล้วแต่หนูแล้วล่ะว่าจะเอายังไง แต่ฟังคำแม่นะ...อะไรที่ทำให้เราไม่มีความสุข กำจัดมันซะ!”

ตกเย็น ซ่อนกลิ่นเดินนำอรพิลาสมาที่หน้าบ้านร้าง แต่ลูกสาวเกิดความลังเลไม่กล้าเข้าจนเธอต้องเอ็ดให้เข้มแข็งเพื่อทำลายทุกคนที่มาขวางทางความรัก ลูกสาวจ้องหน้ามารดาใจชื้นขึ้น ทองเดินออกมาพอดี

“มันอยู่ข้างในนั้น จะให้ฉันทำอย่างไรต่อ”

อรพิลาสยิ้มเหี้ยมตอบว่าตนจะจัดการเอง แล้วเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับเนตรที่ชะงักตกใจเมื่อเห็นเข้า

“คุณอรพิลาส คุณทำแบบนี้ทำไม!”

“เพราะเธอแย่งคุณตั้มไปจากฉันยังไงล่ะ แกมันตั้งใจจับคุณตั้ม คิดว่าฉันรู้ไม่ทันแผนต่ำๆของแกรึไง”

เนตรละล่ำละลักปฏิเสธว่าตนคบกับคุณตั้มด้วยความบริสุทธิ์ใจ อรพิลาสตาวาวไม่เชื่อในคำอธิบายนั้นแล้วตรงเข้าตบหน้าเนตรอย่างแรง

“นี่สำหรับมารยาที่แกอ่อยคุณตั้ม! ส่วนนี่ สำหรับคำโกหกของแก!”

ooooooo

เวลาผ่านไปจนถึงค่ำ อัครยศกลับมาเรือนราชรักษ์ด้วยความกังวลใจ เขาเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าตนไปรออยู่หน้าบ้านเนตรหลายชั่วโมงแต่ไม่พบหญิงสาว ถามคนแถวนั้นก็ไม่มีใครเห็นซึ่งเป็นเรื่องผิดสังเกตมาก พระยาราชรักษ์ฟังแล้วเอะใจ

“เอาอย่างนี้ดีไหม เราออกไปตามหากันก่อน ถ้ายังไม่เจอค่อยไปแจ้งความ...น้องมณีรอฟังข่าวที่นี่นะ”

สองพ่อลูกเร่งรุดออกไปทันที คุณหญิงมณีนั่งไม่ติดเก้าอี้ด้วยความกังวล อรรถกรเดินเข้ามาเห็นพฤติกรรมมารดาก็รู้สึกแปลกใจถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“ตาตั้มบอกว่าหนูเนตรหายไป คุณพ่อเลยชวนเขาออกไปตามหา ถ้าไม่เจอคงได้แจ้งความกันล่ะลูก”

อรรถกรฟังแล้วชะงักครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาได้ยินซ่อนกลิ่นบอกกับอรพิลาส เขามีสีหน้าตกใจบอกมารดาว่ามีธุระด่วนขอตัวไปข้างนอก คุณหญิงมณีประหลาดใจกับท่าทีของลูกชายที่เดินตัวปลิวออกไป

เวลานั้น เนตรสะบักสะบอมหลังถูกทุบตีทำร้ายจากอรพิลาส หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมเธอให้ปล่อยตนเองไป

“ปล่อยให้โง่สิ! แกคิดว่าอยู่นี่แล้วจะมีชีวิตรอดกลับไปหรือไง ฉันไม่มีวันให้แกกลับไปแต่งงานกับคุณตั้มหรอก”

อรพิลาสสั่งทองให้ขังเนตรจนกว่าจะตายเพราะอดข้าวอดน้ำ เนตรตกตะลึงคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะมีจิตใจเหี้ยมเกรียมเช่นนั้น ทางด้านซ่อนกลิ่นที่รออยู่นอกบ้านร้างถึงกับยิ้มพอใจเมื่อล่วงรู้ถึงความร้ายกาจของลูกสาวที่มีกับเนตร

“เรากลับกันเถอะค่ะคุณแม่ เดี๋ยวคนที่บ้านจะสงสัยเอา”

อรรถกรมาซุ่มรอซ่อนกลิ่นกับอรพิลาสอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นสองแม่ลูกเดินกลับมาด้วยท่าทีร้อนรน เขาแอบกระโจนเข้ารวบตัวปิดปากอรพิลาสที่เดินตามหลังมารดามาห่างๆ หญิงสาวตกใจดิ้นรนต่อสู้ก่อนจะตาโตได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่าเป็นหมอต้น ขอให้เงียบ ชายหนุ่มค่อยๆดึงตัวอรพิลาสออกไป

“คนบ้า...จับฉันมาทำไม หนูอรจะฟ้องคุณพ่อ!”

“ผมขอโทษ แต่ผมจำเป็นต้องถามว่าคุณจับตัวเนตรไปไว้ไหน ผมได้ยินที่คุณคุยกับคุณซ่อนกลิ่นแล้วเนตรก็หายตัวไป คุณบอกผมมาว่าตอนนี้เนตรอยู่ที่ไหน แล้วเรื่องนี้จะไม่มีใครรู้นอกจากผมกับคุณ”

อรพิลาสหน้าเสียครุ่นคิดหาทางออก ยืนยันเสียงแข็งว่าไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เขาพูด อรรถกรอ่อนใจขู่กลับว่า

“ที่ผมมาคุยกับคุณก็เพราะผมหวังดี ไม่อยากให้คุณทำผิด สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ แต่มันผิดกฎหมาย”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำ แล้วพี่ต้นจะมาคาดคั้นหนูอรทำไม”

“ก็เพราะผมรักคุณไง!”

อรรถกรพูดกับหญิงสาวด้วยสีหน้าจริงจังโดยขอร้องให้บอกมาว่าเนตรอยู่ที่ไหนกันเวลานี้ อรพิลาสตกใจคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำสารภาพรักจากเขา แต่สุดท้ายเธอยังคงยืนยันว่าไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องดังกล่าว ชายหนุ่มผิดหวังยิ่งนัก อรพิลาสตื่นตระหนกนำความไปแจ้งให้มารดาทราบว่าอรรถกรสงสัยพวกเราว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเนตร ซ่อนกลิ่นหน้าเสียวางแผนกำจัดอรรถกรทันที ก่อนที่ความลับจะเปิดเผยแล้วส่งผลให้เธอกับลูกต้องติดคุก

รุ่งเช้า เรือนหลวงเดชก็ได้รับข่าวร้ายเรื่องนี้จากพระยาราชรักษ์ โฉมฉายเข่าอ่อนแทบเป็นลมด้วยความห่วงใยลูกสาวยิ่งนัก คุณหญิงมณีมองอาการเพื่อนรักแล้ว เล่าว่า

“ท่านเจ้าคุณกับตาตั้มออกตามหาหนูเนตรเกือบทั้งคืนแต่ไม่เจอ จนป่านนี้ทางตำรวจก็ยังไม่ได้แจ้งเบาะแสอะไรมา”

“ตอนนี้ผมเป็นห่วงก็แต่ว่าหนูเนตรจะยังปลอดภัยดีหรือเปล่า เพราะนี่ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว”

พระยาราชรักษ์กล่าวด้วยความกังวลใจ ด้านอัครยศไปขอลางานกับนพเพื่อออกตามหาเนตร นพตกใจเมื่อทราบข่าวว่าโฉมฉายยังมีชีวิตอยู่และเป็นมารดาของว่าที่เจ้าสาวของอัครยศอีกด้วย

นพเร่งรุดไปหาหลวงเดชถึงเรือน เขาจ้องมองโฉมฉายด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับแสดงความยินดีอย่างจริงใจ

“ชาติก่อนฉันคงทำกรรมเอาไว้ ถึงต้องมาพลัดพรากจากบวรยศ แล้วนี่ยังต้องมารับข่าวร้ายว่าเนตรหายตัวไปอีก”

โฉมฉายสะอื้นไห้ หลวงเดชปลอบประโลมใจภรรยาพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากนพในเรื่องนี้ นพย้อนถามว่ามีใครเข้าข่ายเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับการหายไปของเนตรหรือไม่ โฉมฉายทำหน้าหนักใจตอบว่า

“เนตรเป็นคนสันโดษ ไม่ค่อยมีเรื่องกับใครหรอกค่ะ จะมีก็แต่...”

ooooooo

ทองโวยวายด้วยความไม่เต็มใจเมื่อได้รับคำสั่งจากซ่อนกลิ่นให้ฆ่าอรรถกรทิ้งเสีย อรพิลาสตกใจคาดไม่ถึงว่ามารดาจะใช้วิธีนี้กำจัดชายหนุ่ม ซ่อนกลิ่นตวาดเสียงกร้าวว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็รอเวลาติดคุกได้เลย

อรพิลาสหน้าเจื่อนยอมสงบปากสงบคำ ในขณะที่ทองตัดสินใจยอมรับทำงานแต่ไม่วายกำชับว่ามันเป็นงานสุดท้ายที่ตนจะทำให้เพราะกลัวติดคุกเช่นกัน ซ่อนกลิ่นยิ้มพอใจและบอกว่าถ้าสำเร็จตนจะหาทุกอย่างมาให้ไม่ต้องห่วง

เวลานั้นเนตรนอนอิดโรยแทบไม่มีแรง เมื่อเห็นอรพิลาสเดินเข้ามาก็พยายามขอร้องอีกครั้งให้ปล่อยตนไป หญิงสาวแสยะยิ้มตอบว่าไม่มีทาง เนตรต้องชดใช้ที่มาทำลายความรักของตนกับคุณตั้ม จากนั้นอรพิลาสตะโกนเรียกทองให้เข้ามาจัดการเนตรเสียโดยไว แต่ทองกลับตอบว่าตนมีงานอื่นที่ต้องไปทำให้สำเร็จตามคำสั่งคนที่อยู่ข้างนอก

ระหว่างที่อรรถกรขับรถมาถึงหน้าเรือนตัวเอง จู่ๆอรพิลาสก็วิ่งเข้ามาตัดหน้ารถ เขาตกใจเหยียบเบรกทันที พอตั้งสติได้ก็รีบเปิดประตูออกไป

“คุณอรพิลาส คุณมาทำอะไรตรงนี้”

“ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า!”

อรรถกรฟังแล้วงงๆแต่ก็ยอมทำตามที่อรพิลาสบอก เมื่อรถแล่นออกไปเพียงครู่เดียว ทองก็ขับรถเข้ามาถึงที่นั่นพอดี

“หนูอรมาเตือนพี่หมอต้นให้ระวังตัวค่ะ หนูอรบอกได้แค่ว่ามีคนจะทำร้ายพี่หมอต้น”

“ผมไม่เคยทำร้ายใคร แล้วทำไมถึงจะมีคนทำร้ายผม บอกได้ไหมว่าเขาคือใคร”

อรพิลาสไม่ตอบหลบสายตาอรรถกร ก่อนจะสั่งให้เขาจอดรถแล้ววิ่งหนีหายไปในที่สุด

ด้านอัครยศรู้สึกอับจนหนทางจึงไปหาหลวงพ่ออุเทนที่วัด

“ผมมีเรื่องไม่สบายใจครับหลวงตา คนรักของผมถูกจับตัวไปครับ ผมพยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ ผมเป็นห่วงเธอ”

“ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆคิด ถ้าหมดหนทางก็จงใช้ปัญญาของเจ้าใคร่ครวญซิว่าใครที่น่าจะคิดไม่ดีกับโยมเนตรบ้าง”

อัครยศครุ่นคิดตามคำแนะนำของหลวงพ่ออุเทน เพียงไม่นาน เขาก็นึกอะไรออก ก้มลงกราบลาท่านทันที

ไม่นานนัก อัครยศก็มาปรากฏกายที่เรือนหลวงเดชและขอพบกับอรพิลาส ธูปรีบแจ้นไปบอกหญิงสาวอย่างตื่นเต้น

รวดเร็วทันใจ อรพิลาสกระวีกระวาดมาทักอัครยศด้วยความดีใจ

“คุณตั้ม! ลมอะไรหอบคุณตั้มมาได้คะ”

“ไม่เกี่ยวกับลมแต่เกี่ยวกับความรัก ผมรักเนตรแต่ตอนนี้มีคนลักพาตัวเธอไป ผมอยากรู้ว่าคุณมีส่วนกับเรื่องนี้ไหม”

อรพิลาสหน้าเสียชักสีหน้าใส่อัครยศตอบว่าไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้ ตลอดเวลาที่หญิงสาวพูด อัครยศเฝ้าจับตามองหาพิรุธ เมื่อจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เขาจำเป็นต้องขอตัวลากลับด้วยความผิดหวัง ในขณะที่อรพิลาสรู้สึกกลัวความผิดขึ้นมาทันที

เวลานั้นที่หน้าบ้านพระยาราชรักษ์ ทองหัวเสียเพราะไม่มีวี่แววของอรรถกรจะกลับเรือนเหมือนอย่างที่ซ่อนกลิ่นได้บอกไว้ เขายืนบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเห็นรถอรรถกรเคลื่อนตัวเข้ามา ทองยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์รีบควักตะปูออกมาโปรยบนถนนแล้ววิ่งไปหลบรอคอยเวลาจัดการ

เพียงไม่นานนัก อรรถกรก็รู้สึกผิดปกติเมื่อรถแล่นช้าลงเหมือนยางแบน เขาจอดรถลงมาดูก็พบว่าเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ยังไม่ทันไรก็มีไม้ท่อนหนึ่งฟาดกลางหลังเขาเต็มแรง อรรถกรเซไปแต่พอตั้งหลักได้ก็พบว่าเป็นชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมคนหนึ่ง ทั้งสองคนต่อสู้กันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่อรรถกรจะเสียท่าโดนมีดแทงเข้าที่ไหล่ พอดีมีรถตำรวจแล่นมา ทองเห็นท่าไม่ดีผลักชายหนุ่มออกแล้ววิ่งหนีเข้าพงหญ้าข้างทางทันที

ตำรวจวิ่งเข้ามาดูอาการอรรถกร แต่ชายหนุ่มบอกว่าไม่เป็นไรให้รีบติดตามคนร้ายไปดีกว่า ตำรวจพยักพเยิดกันแล้ววิ่งออกไปทันที ด้านพระยาราชรักษ์กับคุณหญิงมณีตกใจแทบสิ้นสติเมื่อจันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานว่า

“เมื่อกี้คนในซอยบอกว่าคุณต้นโดนคนทำร้ายค่ะ แต่เห็นว่าตำรวจตามมาช่วยไว้ ตอนนี้ตามตำรวจไปจับคนร้ายแล้วค่ะ”

ขณะนั้นทองวิ่งหนีตำรวจอย่างไม่คิดชีวิตจนมาสุดทางที่ริมคลองและคิดว่าจะเอาตัวรอดเช่นไรดี พอเห็นอรรถกรกับตำรวจมาถึงและชักปืนขึ้นขู่ให้หยุด ทองตัดสินใจกระโดดลงคลองและหายตัวไปในกระแสน้ำ...

เวลานั้นพระยาราชรักษ์กับคุณหญิงมณียืนรอบุตรชายอยู่ที่รถด้วยความเป็นห่วง เมื่อทราบจากชาวบ้านว่าเขาถูกแทงจนเลือดโชก คุณหญิงมณีตกใจจนเป็นลม พอรู้สึกตัวอีกทีก็ถามหาอรรถกรอย่างเป็นห่วง สามีตอบว่าลูกชายไม่เป็นไรมากนัก โชคดีที่ตำรวจตามมาทันเพราะมีชาวบ้านเห็นเหตุการณ์เข้าจึงรีบไปแจ้งให้มาจัดการ อัครยศให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

“นี่ตำรวจรู้ตัวคนร้ายแล้ว ตอนนี้กำลังตามไปที่พักของมัน อีกไม่นานเราคงรู้ครับว่ามันเอาเนตรไปไว้ที่ไหน”

ooooooo

ลิขิตริษยา

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด