ตอนที่ 11
อัลบั้ม: "เอ ศุภชัย" ผู้จัดป้ายแดง ส่ง "ลิขิตริษยา" ลงจอ ช่อง 7
หลวงเดชนั่งพักผ่อนอยู่ภายในห้องนอน พลันได้ยินเสียงซ่อนกลิ่นโวยวายดังลั่นแถวห้องโถง เขารู้สึกแปลกใจจึงเดินออกไปก็พบภรรยากำลังชี้หน้าเจิมตวาดให้ไล่พิศออกไป หลวงเดชถามว่ามีเรื่องอะไรกัน ซ่อนกลิ่นได้ทีฟ้องว่า
“ก็นังเจิมสิคะ ปล่อยให้นังพิศมันเข้ามาในนี้ได้ ยังไง”
เจิมอึกอักไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ในขณะที่พิศจ้องหน้าซ่อนกลิ่นอย่างเอาเรื่อง อรพิลาสได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินเข้ามาสมทบ พอเห็นพิศก็รีบกระโดดหลบเข้าข้างหลังมารดาทันที
“มีอะไรเหรอคะคุณแม่...อีบ้าที่เรือนเล็กมันเข้ามาทำไมคะ คุณแม่ระวังมันนะคะ”
พิศสะเทือนใจกับคำพูดของอรพิลาสที่กล่าวถึงตนเองจึงเปลี่ยนท่าทีแสร้งทำตาลอย ซ่อนกลิ่นสบโอกาสเงื้อมือขึ้นหมายจะตบ แต่หลวงเดชคว้ามือเธอเอาไว้
“หยุดนะ ห้ามแตะต้องเมียฉันเด็ดขาด! ไปพิศ...ไปกับพี่”
ซ่อนกลิ่นอึ้งกับพฤติกรรมของสามี ส่วนอรพิลาสมึนงงกับสิ่งที่บิดาพูด เธอเขย่าแขนมารดาถามเสียงหลงว่าเหตุใดบิดาจึงเรียกพิศว่าเมีย ซ่อนกลิ่นอึกอักไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ ได้แต่ยืนนิ่งเงียบในใจคุกรุ่นกับการกระทำของสามี
ด้านหลวงเดชประคองพิศเดินกลับมาห้องนอนพูดปลอบภรรยาไม่ให้ตกใจ ตนอยู่ที่นี่แล้วจะไม่ให้ใครมาทำอันตรายได้อีก พิศสะท้อนใจแต่ต้องแสร้งทำเหมือนยังไม่หายป่วย เจิมมองตามคนทั้งสองอย่างสงสาร เสียงหลวงเดชสั่งว่า
“เจิมเก็บข้าวของคุณพิศ เดี๋ยวฉันจะพาเมียย้ายกลับไปอยู่เรือนใหญ่...กลับไปอยู่กับพี่นะคุณพิศ ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนจะทำอะไรน้องทั้งนั้น พี่จะดูแลคุณพิศเอง”
เจิมยิ้มทั้งน้ำตารับคำสั่งด้วยความยินดี หลวงเดชมองพิศอย่างแสนรักระคนความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลภรรยามาเป็นเวลาหลายปี เขาจูบหน้าผากเธอ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป พอประตูปิดสนิท พิศร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ
“คุณพิศขา ทำไมไม่บอกคุณหลวงล่ะคะว่าคุณพิศหายดีแล้ว”
“ฉันไม่กล้า...ฉันกลัว เจิมเห็นสายตาซ่อนกลิ่นไหม ฉันเห็นหนูอรรักซ่อนกลิ่นอย่างนั้น กลัวว่าถ้าซ่อนกลิ่นรู้ว่าฉันหายดีแล้วจะทำร้ายหนูอร มันเตือนให้ฉันนึกถึงการตายของคุณกรองแก้ว ฉันไม่อยากให้หนูอรพบจุดจบอย่างนั้น ฉันไม่กล้าไว้ใจใครหรืออะไรอีกแล้ว แม้แต่คุณหลวงเองก็เถอะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านยังดูแลฉันไม่ได้เลย”
เจิมฟังแล้วก็เห็นตาม แต่ถามว่าเมื่อใดจะถึงเวลาบอกความจริงกับหลวงเดช พิศชะงักครุ่นคิด...
เวลานั้นซ่อนกลิ่นมีแต่ความกังวลใจกับท่าทีของสามีที่เปลี่ยนไป อรพิลาสคอยปลอบใจมารดาไม่ให้คิดมาก แต่ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าทำไมบิดาจึงเรียกนังบ้าพิศเป็นเมีย ทั้งๆที่ซ่อนกลิ่นกับธูปเคยบอกว่ามันเป็นเพียงคนรับใช้
“คุณพ่อคงจะป่วยจนหลงๆลืมๆ ลูกอย่าไปสนใจเลย แล้วนี่ลูกจะไปไหนเหรอ”
“ไปหาคุณตั้มค่ะ หนูอรให้ผลเอารถมารอแล้ว ไว้กลับมาหนูอรจะเล่าให้ฟังนะคะว่าของที่แม่ให้ได้ผลรึเปล่า”
อรพิลาสกอดลามารดาด้วยความตื่นเต้น ต่างจากซ่อนกลิ่นที่ยังคงกังวลใจไม่หาย ไม่ทันจะคิดแก้ไขก็ได้ยินเสียงหลวงเดชสั่งการให้บ่าวรับใช้จัดห้องหับต้อนรับการย้ายกลับมาของพิศ ซ่อนกลิ่นถลาออกไปโวยเสียงลั่น
“อะไรนะคะคุณพี่ จะให้อีบ้านั่นมาอยู่เรือนนี้เหรอคะ น้องไม่ยอมนะคะ”
“นี่มันบ้านฉัน ถ้าเมียฉันจะมาอยู่...ทำไมจะอยู่ไม่ได้ ฉันปล่อยให้เธอรังแกเมียฉันมามากพอแล้ว ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ อย่ามาอวดดีใส่ฉัน”
ซ่อนกลิ่นหน้าเสียคาดไม่ถึงว่าสามีจะใช้วาจารุนแรงเช่นนี้ แต่เธอยังคงดื้อดึงไม่สนใจคำเตือน ทำท่าเงื้อมือจะตบพิศเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในเรือน แต่หลวงเดชตะโกนเสียงกร้าวสั่งพวงว่า
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของห้องคุณซ่อนกลิ่นด้วย ฉันจะให้คุณซ่อนกลิ่นไปนอนเรือนเล็กแทน ถ้าอยู่ร่วมชายคาเดียวกันไม่ได้ ฉันก็จำเป็นต้องเลือกว่าจะให้เมียคนไหนอยู่กับฉัน!”
พวงแอบยิ้มร่าสะใจ ในขณะที่ซ่อนกลิ่นยืนอึ้งตะลึงงัน...เรื่องการสลับสับเปลี่ยนที่อยู่ของสองศรีภรรยากระจายไปทั่วเรือนโดยฝีมือของพวง บ่าวไพร่ล้วนแต่ยินดีระคนสะใจลึกๆโดยเฉพาะอุ่นถึงกับพูดว่า
“อย่างนี้เค้าเรียกว่ากรรมมีจริงเว้ย ฉันว่าเวรกรรมกำลังจะลงโทษคนเลวๆแล้วล่ะว่ะ”
ooooooo
อรพิลาสมาหาอัครยศที่กรมศุลกากร แต่พอมาถึงกลับหันซ้ายแลขวาอย่างงงๆไม่รู้จะเดินไปทางไหน นพเดินเข้ามาทักทายด้วยความแปลกใจและถามว่ามีธุระอะไรที่นี่ หญิงสาวชะงักพร้อมกับยกมือไหว้เขา ตอบว่า
“หนูอรมาชวนคุณตั้มไปทานข้าวกลางวันข้างนอกค่ะ”
“แต่คุณตั้มออกไปท่าเรือยังไม่เข้ามาเลย”
“อ้าวเหรอคะ เสียดายจัง แต่ไม่เป็นไรค่ะ หนูอร รอได้ รอตรงนี้คงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
นพถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะเตือนว่าถ้าไม่มีธุระสำคัญก็ไม่ควรจะรออยู่ที่นี่ เพราะใครผ่านมาเห็นเข้าคงไม่งามสำหรับลูกผู้หญิงเช่นเธอ อรพิลาสออกอาการไม่พอใจชักสีหน้าโต้กลับว่า
“ไม่งามยังไงเหรอคะ นี่มันสมัยไหนแล้วคะอานพ... จริงอย่างที่คุณแม่บอกหนูอรเลยว่าอานพชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น”
อัครยศเดินเข้ามาได้ยินสิ่งที่อรพิลาสพูดพอดี เขารู้สึกไม่พอใจที่หญิงสาวพูดจาก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่จึงเตือนว่าไม่ควรพูดเช่นนั้น อรพิลาสทำท่าไม่ยี่หระและเอ่ยชวนเขาไปทานข้าวแทน ชายหนุ่มนิ่วหน้าตอบว่า
“ผมคงไม่สะดวกไปกับคุณหนูอรหรอกครับ บอกตามตรงนะครับ ผมไม่เห็นด้วยกับการที่คุณหนูอรมาตามตื๊อผมแบบนี้ ที่สำคัญ ผมอยากให้คุณหนูอรขอโทษอานพกับคำพูดเมื่อกี้ด้วยครับ”
อรพิลาสหน้าเจื่อนที่ถูกต่อว่ารุนแรง ในขณะที่นพรีบไกล่เกลี่ยบอกว่าไม่เป็นไร แต่อัครยศยังคงยืนยันให้หญิงสาวขอโทษที่พูดไม่ดีกับนพ อรพิลาสโกรธจัดทำอะไรไม่ถูกก่อนจะสะบัดหน้าเดินจากไป ทั้งนพและอัครยศมองตามส่ายหัว
“ผมต้องกราบขอโทษอานพแทนคุณหนูอรด้วยนะครับที่เธอก้าวร้าวใส่”
นพยิ้มรับใจเย็นชี้แจงว่าคุณหนูอรยังเด็กและถูกเลี้ยงอย่างตามใจจึงแสดงกิริยาอันไม่สมควรออกมา ขออย่าได้ถือสา อัครยศฟังแล้วรู้สึกเวทนายิ่งนัก สีหน้าของเขาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ด้านอรพิลาสเมื่อกลับมา
ถึงเรือนก็สุดจะอดกลั้นอารมณ์ไหว เธอคว้าสิ่งของใกล้มือมาเขวี้ยงดับโทสะ หญิงสาวตวาดถามหามารดาจนธูปสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจตอบว่าอยู่ที่เรือนเล็ก อรพิลาสประหลาดใจว่าไปทำอะไรที่นั่น
เวลานั้นซ่อนกลิ่นรู้สึกแค้นใจที่ถูกไล่ให้ย้ายมาอยู่เรือนเล็ก พึมพำกับตัวเองว่าคับแคบอึดอัดแบบนี้
ตนอยู่ไม่ได้แน่ อรพิลาสเดินเข้ามาโวยวายว่า
“ทำไมคุณแม่ถึงมาอยู่ที่นี่คะ นี่มันบ้านอีบ้านี่คะ”
“ก็คุณพ่อน่ะสิ ไล่แม่มาอยู่นี่ แล้วให้อีบ้ามันไปอยู่เรือนใหญ่ คุณพ่อบ้าไปอีกคนแล้วล่ะมั้ง”
ธูปได้ทีรีบยุส่งว่าหลวงเดชไม่ไว้หน้าคุณนายเช่นนี้ ถ้าเป็นตนคงอับอายพวกบ่าวไพร่ในบ้าน ซ่อนกลิ่นฟังแล้วยิ่งเดือดจัดตวาดให้บ่าวคนสนิทหยุดพูดเพราะเจ็บใจจนแทบกระอัก ฝ่ายอรพิลาสก็รู้สึกว่าบิดาทำเกินไปจึงรับอาสาไปเจรจาเรื่องนี้ให้ สองนายบ่าวสบตาเหมือนรู้กันอยู่ในทีว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว ซ่อนกลิ่นครุ่นคิดชั่วครู่
“นังธูป...ฉันจะออกไปข้างนอกนะ แต่แกอย่าบอกใครล่ะ เดี๋ยวเย็นๆฉันมา”
พิศนั่งทำตาลอยอย่างคนบ้าไร้สติ ในขณะที่
หลวงเดชยืนมองเจิมจัดเสื้อผ้าพิศใส่ตู้ สังเกตเห็นว่ามีแต่เสื้อผ้าเก่าๆ เขาได้แต่ถอนหายใจรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งภรรยามานานถึงเพียงนี้ ทันใดนั้นเอง อรพิลาสพรวดพราดเข้ามาในห้องโวยวายว่า
“คุณพ่อทำแบบนี้ได้ยังไงคะ อยู่ๆก็เอาอีบ้านี่มาอยู่ที่นี่ แล้วไล่คุณแม่ไปอยู่เรือนเล็ก หนูอรไม่ยอมนะคะ”
“หยุดนะหนูอร ห้ามก้าวร้าวแม่พิศเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ นังบ้านี่มันสำคัญอะไรนักหนา
คุณพ่อถึงต้องปกป้องมันด้วย”
“ก็เพราะแม่พิศคือแม่แท้ๆของลูกไง”
หลวงเดชพูดกับลูกสาวด้วยสีหน้าจริงจัง จนอรพิลาสหน้าเสียสวนกลับว่าไม่มีทางที่นังบ้านี่จะเป็นแม่ของตนได้ แล้วตวาดไล่พิศให้ออกไป หลวงเดชสุดจะกลั้นไหวตบหน้าลูกสาวอย่างมีโทสะและสั่งให้กราบขอโทษพิศทันที อรพิลาสตะลึง ใจเสียไม่คาดคิดว่าบิดาจะตบตนเพราะเรื่องนี้ เธอร้องไห้ฟูมฟาย
“ไม่จริง แม่ของหนูอรคือแม่ซ่อนกลิ่น หนูอรไม่เชื่อคุณพ่อ!”
พิศแอบปาดน้ำตาสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้น การเจ็บป่วยของเธอทำให้ลูกสาวมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้เชียวหรือ...
ooooooo
ด้วยความสงสัยและร้อนใจที่หลวงเดชมีท่าทีเปลี่ยนไป ซ่อนกลิ่นเร่งรุดไปหาพรที่อยุธยา แต่ต้องตกใจเมื่อเธอกับชาวบ้านพบว่าเขาสิ้นใจตายภายในบ้านมาหลายวันแล้ว
ซ่อนกลิ่นเข่าอ่อนเดินออกมาราวกับจะเป็นลม นึกถึงเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่พบกัน พรขอร้องให้ช่วยเหลือแต่เธอกลับไม่ใส่ใจ จนเขาต้องมามีจุดจบอันน่าอนาถใจเช่นนี้ สิ่งเดียวที่เธอพอจะทำให้ได้ในตอนนี้คือช่วยออกเงินเพื่อเป็นค่าทำศพให้เท่านั้น แม้จะกลับมาถึงเรือนหลวงเดชแล้ว ซ่อนกลิ่นยังคงตกใจไม่หายที่พรจากไปเร็วขนาดนี้ จู่ๆอรพิลาสตรงเข้ากอด เธอเผลอหงุดหงิดใส่ลูกสาว และผลักไสอย่างไม่ไยดี อรพิลาสตัดพ้อ
“ทำไมคุณแม่ต้องทำท่ารังเกียจหนูอรด้วย หนูอรกำลังเสียใจนะคะ...คุณพ่อตบหน้าลูก บอกว่านังบ้าพิศเป็นแม่ของหนูอร คุณแม่บอกสิคะว่ามันไม่จริงใช่ไหมคะ”
“นี่คุณพ่อทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ อย่าไปเชื่อนะอีบ้า มันไม่ได้เกี่ยวโยงอะไรกับลูกเลย แม่ต่างหากที่เป็นแม่ของหนู”
อรพิลาสพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ซ่อนกลิ่นรีบดึงลูกสาวมากอด แทบจะซ่อนสีหน้ากังวลไม่มิด พยายามเปลี่ยนจุดสนใจโดยซักถามถึงการไปพบอัครยศแทน
ลูกสาวหน้างอเล่าว่าวันนี้ตนถูกชายหนุ่มดุที่ใช้คำพูดไม่เหมาะสมกับอานพ มารดาปลอบให้ใจเย็นๆ และหมั่นไปหาเพราะเชื่อว่าในที่สุดวันหนึ่งอัครยศต้องใจอ่อน อรพิลาสฟังแล้วค่อยมีกำลังใจขึ้น
ตกค่ำวันเดียวกัน อัครยศกลับมาถึงเรือนอย่างเหนื่อยอ่อน พระยาราชรักษ์กับคุณหญิงมณีมองกิริยานั้นด้วยความสงสาร ไพล่คิดว่านพคงจะใช้งานเขาหนักเกินไป แต่ลูกชายกลับบอกว่าเหนื่อยกายไม่เท่าไรแต่เหนื่อยใจมากกว่า ทั้งคู่รู้สึกแปลกใจ แต่ยังไม่ทันจะซักถามอะไรก็เห็นอรรถกรเดินเข้ามาด้วยกิริยาไม่ต่างกัน พระยาราชรักษ์ยังติดใจเรื่องของอัครยศ
“ว่าไงตาตั้ม ยังเล่าไม่จบเลยว่ามีเรื่องเหนื่อยใจอะไร”
“วันนี้คุณอรพิลาสไปดักรอผมที่ทำงานครับคุณพ่อ แถมยังพูดจาก้าวร้าวใส่อานพอีก ผมเลยเอ็ดเข้าให้คงจะโกรธ”
คุณหญิงมณีที่ออกอาการไม่พอใจอย่างแรง ปรารภกับอัครยศว่า
“เด็กคนนี้นี่ชักจะมากไปแล้วนะ ไปตามตื๊อผู้ชายถึงที่ทำงาน หน้าไม่อายจริงๆ ดีแล้วที่โกรธจะได้เลิกยุ่งเสียที”
อรรถกรฟังแล้วยิ่งใจเสียเพราะหนทางที่จะให้มารดากลับมาเอ็นดูอรพิลาสคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจบอกให้ทั้งบิดามารดาทราบว่าอีกไม่นานตนต้องย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด คุณหญิงมณีเอามือทาบอกตกใจ ก่อนจะออกอาการงอนหนัก
“คุณแม่ครับ ที่ผมทำไปเพราะผมอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมนะครับ หมอที่โน่นขาดแคลนอยู่นะครับ ผมไปอีกคนจะได้ไปช่วยแบ่งเบาหมอคนอื่นๆที่นั่นได้”
คุณหญิงมณีจำนนต่อเหตุผลของลูกชายแต่ยังไม่วายบ่นอุบอิบว่าไม่เห็นด้วยที่เขาจะไปทำงานไกลบ้านขนาดนั้น อรรถกรยิ้มใจเย็นบอกว่าถ้าคิดถึงตนก็สามารถไปเยี่ยมได้เท่าที่ต้องการ มารดาจ้องมองลูกชายคนโตอย่างแสนห่วงก่อนจะยอมรับว่าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงเวลาที่เขาจะได้ตัดสินใจว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง
แต่เมื่ออยู่ในห้องคนเดียว อรรถกรกลับมีอาการเศร้าซึมหยิบเอาสมุดวาดภาพที่เต็มไปด้วยรูปของอรพิลาสขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจอย่างหนักหน่วง พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น อรรถกรรีบเก็บสมุด ก่อนจะเดินไปเปิดประตู เห็นอัครยศยืนอยู่หน้าห้องยิ้มเผล่ถามว่าอธิบายให้มารดาเข้าใจเรียบร้อยแล้วหรือไม่ พี่ชายพยักหน้าตอบว่า
“สำเร็จ แต่กว่าจะสำเร็จก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน”
“แต่ทำไมดูพี่ต้นยังไม่เห็นสบายใจขึ้นเลย หรือว่า...พี่ต้นมีเรื่องอื่นอีก ใช่เรื่องคุณอรพิลาสไหมครับ”
อรรถกรชะงักพยายามเก็บอาการแล้วย้อนว่าทำไมถามเช่นนั้น น้องชายยักไหล่บอกว่าแค่เดาดู แต่ตนยืนยันว่าไม่ชอบเธอเพราะตอนนี้มีคนที่แอบชอบอยู่แล้ว พี่ชายเลิกคิ้วแปลกใจอยากรู้ว่าผู้หญิงโชคดีคนนั้นคือใคร อัครยศยิ้มกรุ้มกริ่ม
ooooooo
ด้านโฉมฉายเฝ้าสังเกตอาการของเนตรที่ดูเหมือนคนตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก จนอดไม่ได้ที่จะถาม
“หมู่นี้รู้สึกลูกแม่จะอารมณ์ดีนะ ขนาดทำงานเหนื่อยแค่ไหนก็ยังยิ้มได้ตลอด...หรือเป็นเพราะคุณตั้ม”
เนตรยิ้มเขินงึมงำว่า “หนูไม่ได้บอกแม่ซะหน่อยว่าหนูจะชอบคุณตั้ม”
“ไม่บอกแม่ก็ดูออก ถึงแม่จะเสียความจำไป แต่แม่ไม่ได้เสียสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ไปด้วยนะ แม่สัมผัสได้ว่าใครคิดอะไร ยิ่งเรื่องของความรักแม่ยิ่งสัมผัสได้เร็ว เขาเป็นคนดีนะ ถ้าเขาชอบลูก...แม่ก็ดีใจที่ลูกจะได้รักกับคนดีๆ”
“จ้ะแม่ หนูไม่เถียงแม่ดีกว่า เดี๋ยวแม่จะรู้ความลับของหนูหมด”
“ไม่มีอะไรที่เนตรปิดบังแม่ได้หรอก คนที่มีความลับซ่อนอยู่คงมีแต่แม่นี่แหละ ที่ไม่รู้เลยว่าเป็นใครมา จากไหน”
ตกดึกคืนนั้น ด้วยจิตผูกพันของโฉมฉายและหลวงเดช คนทั้งคู่ต่างฝันถึงกันและกัน ในฝันนั้นโฉมฉายเกือบจะได้พบกับสามีแต่ถูกซ่อนกลิ่นมาดึงตัวเขาออกไป เธอได้แต่ยืนมองภาพนั้นด้วยความตกใจ...
รุ่งเช้า โฉมฉายเล่าความฝันให้อัครยศฟังเพื่อวิเคราะห์ หาเหตุผลว่าทำไมจึงฝันเช่นนั้น ชายหนุ่มอธิบายว่า
“บางทีจิตใต้สำนึกของคุณน้าอาจจะทำให้คุณน้าฝันถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น หรือไม่...สมองของคุณน้าอาจจะเยียวยาตัวเองจนอาการดีขึ้น ทำให้ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาก็ได้นะครับ”
โฉมฉายดีใจที่จะจำเรื่องเก่าๆได้เสียที ในขณะที่เนตรหน้าเสียย้อนถามเสียงเศร้าว่า
“ทำไมแม่ดูดีใจที่จะจำเรื่องเก่าๆได้ แม่ไม่มีความสุขกับปัจจุบันที่มีหนูเหรอจ๊ะ”
ทั้งอัครยศและโฉมฉายหน้าเจื่อนที่ไม่ทันได้นึกถึงว่าเรื่องนี้จะกระทบใจเนตรมาก หญิงสาวเดินเข้ามานั่งซึมในห้อง โฉมฉายเข้ามากอดปลอบให้ความมั่นใจว่าถึงตนจะจำเรื่องราวเก่าๆได้ แต่ตนจะไม่มีวันทิ้งเนตรไปเพราะความรักและความผูกพันที่มีร่วมกันมาเหมือนดังเป็นลูกแท้ๆ ได้ฟังแค่นี้เนตรก็รู้สึกสบายใจ จึงชักชวนมารดาให้ไปทำบุญที่วัด
เวลานั้นที่เรือนหลวงเดช ซ่อนกลิ่นแปลกใจเมื่อรู้ว่าสามีจะพาพิศไปทำบุญที่วัดและยังชวนให้ไปด้วยกัน แต่เธอปฏิเสธพร้อมกับครุ่นคิดหาวิธีให้สามีกลับมาพะเน้า– พะนอเอาใจเหมือนเดิม
“นังธูป แกพอจะรู้จักสำนักหมอผีที่เก่งเรื่องวิชาอาคมบ้างไหม...แบบเมตตามหานิยมอะไรทำนองนั้นน่ะ”
“อ๋อ ทำให้รักให้หลงใช่ไหมคะ มีค่ะมี แต่คุณซ่อนกลิ่นจะอยากรู้ทำไมคะ หรือว่า...คุณซ่อนกลิ่นจะทำใส่คุณหลวง”
ซ่อนกลิ่นไม่ตอบได้แต่ยิ้มร้ายอย่างมีแผนในใจ...
ที่วัดท้ายตลาด หลวงเดชพาพิศและเจิมเข้ามากราบ หลวงพ่ออุเทนที่เผอิญนั่งปักกลดอยู่แถวริมน้ำ
“นมัสการครับหลวงพ่อ ผมพาภรรยามาถวาย สังฆทาน เห็นท่านนั่งอยู่ตรงนี้เลยอยากขอถวายกับท่านครับ”
หลวงพ่ออุเทนลืมตาขึ้นมอง แล้วพยักหน้ายิ้มรับ ไม่ขัดข้อง เมื่อถวายเสร็จ หลวงเดชเอ่ยขึ้นว่า
“ได้ทำบุญวันนี้ผมรู้สึกสบายใจจริงๆครับ”
“นั่นแหละคืออานิสงส์ของบุญ การทำบุญอย่าไปหวังอะไร เพราะเพียงแค่ความสบายใจนั่นก็ถือเป็นบุญแล้ว”
ทั้งหมดกราบลาหลวงพ่ออุเทนด้วยใจที่อิ่มบุญ ท่านเพ่งมองพิศเหมือนทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร เอ่ยทักว่า
“หายเร็วๆนะโยม จะได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมบ้าง จิตใจจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
พิศชะงักพยายามหลบสายตาหลวงพ่อ ในขณะที่เจิมพลอยตกใจเสียวสันหลังวาบกลัวความลับจะแตกเรื่องที่นายหญิงหายดีมาหลายวันแล้ว ไม่ไกลกันนัก อัครยศพาโฉมฉายกับเนตรมาถึงที่วัดและกำลังจะเดินไปที่ริมน้ำ แต่มีเด็กวัดคนหนึ่งวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือเพราะมีคนเป็นลม ทั้งสามคนรีบตามไปทันที ชะรอยโชคชะตากำหนดให้ยังไม่ถึงเวลาที่จะมาพบกัน ทำให้คนทั้งหมดคลาดแคล้วไม่เจอกันในที่สุด
หลังจากปฐมพยาบาลคนป่วยจนหายเป็นปกติแล้ว อัครยศก็รีบพาโฉมฉายกับเนตรมาเจอหลวงพ่ออุเทนที่ริมน้ำ
“กราบหลวงตาครับ ผมกลับมาแล้วครับ ตอนนี้ผมรับราชการที่กรมศุลกากรครับหลวงตา”
“บุญรักษานะลูกนะ ดีๆที่กลับมาทำงานรับใช้บ้านเมือง แล้วนี่ใครกันเรอะ”
อัครยศแนะนำโฉมฉายหรือในชื่อปัจจุบันคือสร้อยกับเนตรให้หลวงพ่ออุเทนรู้จัก ท่านหลับตาใช้จิต เพ่งมองคนทั้งคู่อยู่ชั่วขณะ ก่อนจะลืมตาทักโฉมฉายว่า
“โยมใกล้จะพ้นเคราะห์แล้วนะ อาตมาพูดอะไร
มากไม่ได้ คนทุกคนมีกรรมของตน โยมเองก็ทุกข์มามาก แต่ใช้กรรมไปจนหมดแล้ว อีกหน่อยฟ้าจะสว่างดังเดิม ส่วนเอ็ง...ดูแลน้าเขาดีๆนะ ป่วยไข้ก็ให้รักษา ขาดแคลนก็ให้จุนเจือ เข้าใจไหม”
อัครยศทำสีหน้างงๆ ไม่ต่างจากเนตรที่แปลกใจในคำพูดของหลวงพ่อ ชายหนุ่มสบโอกาสจึงโมเมบอกหญิงสาวว่าหลวงพ่ออุเทนคงอยากให้ตนมาเกี่ยวดองเป็นลูกเขยของโฉมฉาย เนตรยิ้มเอียงอายแก้มแดงเป็นลูกตำลึง ด้านโฉมฉายรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่ได้ยิน อีกไม่นาน เธอจะได้รู้เสียทีว่าตนเองเป็นใครและมีเรื่องราวความหลังเป็นเช่นไร
ooooooo
เวลาเดียวกันนั้นที่กระท่อมหมอผี ซ่อนกลิ่นกับอรพิลาสรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อเผชิญหน้ากับหมอผีและลูกศิษย์
“มาหาพ่อมีอะไรให้พ่อช่วยเหรอ”
“คือ...ฉันอยากให้ผัวฉันกลับมารักมาหลงเหมือนเดิม พ่อหมอช่วยฉันที ส่วนลูกสาว...เขามีคนที่ชอบเลยอยากให้พ่อหมอช่วยเหมือนกัน แล้วพ่อหมอพอจะช่วยได้ไหม”
หมอผีหรี่ตามองประเมินคนทั้งสอง ก่อนบอกว่าช่วยได้แต่ต้องมีค่าครู ซ่อนกลิ่นกับอรพิลาสสบตากันอย่างชั่งใจ เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ทั้งเงินสดและทองหยองที่มีติดตัวก็ถูกส่งให้พวกหมอผีจนหมดสิ้น
พอตกค่ำ ซ่อนกลิ่นเดินถือถาดใส่น้ำชาไปหาหลวงเดชโดยทำทีเป็นเอาใจและขอโทษที่เคยพูดไม่ดีกับคุณพิศเพราะพิษรักแรงหึงที่มีต่อสามี หลวงเดชชะงักมองแววตาซ่อนกลิ่นที่เล่นละครตบตา ก่อนจะถอนหายใจอย่างเอือมระอาและย้ำเตือนว่า
“คุณพิศมาก่อนเธอ เธอก็รู้ดี ยิ่งเห็นคุณพิศป่วย ด้วย เธอเองควรจะสงสารเขาให้มากๆ”
“ค่ะคุณพี่ น้องรู้ซึ้งทุกอย่างแล้วค่ะ ถึงได้มาขอโทษคุณพี่ ดื่มน้ำชาสิคะ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
หลวงเดชยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างลังเลชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ดื่ม ซ่อนกลิ่นลอบยิ้มอย่างพอใจ
“เอ่อ...คุณพี่คะ น้องอยากขอกลับมาอยู่เรือนใหญ่ เหมือนเดิม”
“อย่าดีกว่า ฉันว่าต่างคนต่างอยู่แบบนี้ดีแล้ว คุณพิศลำบากมานาน สมควรให้เธอได้อยู่อย่างสบาย ส่วนเธออยู่อย่างนั้นไปก่อนเถอะ”
ซ่อนกลิ่นเดินกระแทกเท้าออกมาอย่างหงุดหงิด บ่นอุบอิบว่าอีกไม่นานก็ต้องเปลี่ยนใจ เธอยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์เริ่มท่องคาถามหาเสน่ห์ทันที เวลาผ่านไปจนกระทั่งดึกก็ไม่มีวี่แววว่าสามีจะเข้ามาหาแต่อย่างใด นอกจากคาถาจะไม่ได้ผลแล้ว หลวงเดชยังใช้เวลาทั้งคืนอยู่กับพิศด้วยความคิดถึงและรู้สึกผิดที่ละเลยเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา
รุ่งเช้า ซ่อนกลิ่นแทบจะกรีดร้องที่เสียเงินให้กับหมอผีตั้งมากมายแต่คาถาและยาเสน่ห์กลับใช้ไม่ได้ผล เธอรู้สึกสับสนจึงเดินตามหาสามีจนพบแล้วตรงเข้ากอดอย่างสิเน่หา หลวงเดชแกะมือภรรยาออกด้วยความรำคาญ
“คุณพี่รังเกียจน้องเหรอคะ ทำไมคุณพี่ทำแบบนี้กับน้องล่ะคะ น้องเป็นเมียคุณพี่ คุณพี่ลืมแล้วเหรอคะ”
“ใช่เธอเป็นเมียฉัน แต่ตอนนี้ความรู้สึกฉันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันรู้แค่ว่าในใจฉันคิดถึงแต่คุณโฉม คุณกรองแก้ว แล้วก็รู้สึกห่วงใยคุณพิศ ส่วนเธอ...ฉันเสียใจ ฉันทำได้ดีที่สุดคือเลี้ยงดูเธอ แต่จะให้ฉันรู้สึกเหมือนเดิม ฉันคงทำไม่ได้จริงๆ”
ซ่อนกลิ่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินและรู้สึกเจ็บปวดมากมายที่ถูกสลัดทิ้ง แต่คนอย่างซ่อนกลิ่นไม่ยอมแพ้ เธอตั้งมั่นในใจว่าจะต้องทำทุกวิถีทางให้สามีกลับมารักดังเดิม เช่นเดียวกับอรพิลาสที่เกือบจะหมดหวังเมื่อรู้ว่ายาเสน่ห์ใช้ไม่ได้ผล แต่พอเห็นมารดามีความมุ่งมั่น เธอรู้สึกมีความหวังอีกครั้งที่จะชนะใจอัครยศให้ได้
ผิดกับอรรถกรที่ใช้เรื่องแพทย์ขาดแคลนในชนบทเป็นข้ออ้างหลบลี้หนีหน้าไปรักษาแผลใจ เขาจากไปโดยไม่ล่ำลาใครแม้แต่พ่อแม่ก็มารู้เรื่องตอนที่ลูกชายขนกระเป๋าออกจากบ้านแล้ว คุณหญิงมณีโวยวายใส่อัครยศด้วยความโมโห กระทั่งสามีเข้ามาปลอบและรับอาสาพาไปเยี่ยมอรรถกร สุดท้ายคุณหญิงมณีก็มาพบความจริงว่า ที่ลูกชายหาเรื่องมาทำงานต่างจังหวัดก็เพราะอกหักจากอรพิลาส เธอพูดไม่ออกได้แต่ปล่อยให้ลูกชายจัดการเรื่องหัวใจด้วยตัวเอง
ooooooo
ด้วยทิฐิอยากเอาชนะ อรพิลาสไปหาอัครยศที่เรือนพระยาราชรักษ์อีกครั้งแม้จะรู้ว่าคุณหญิงมณีไม่ต้อนรับและชายหนุ่มดูไม่มีเยื่อใยให้ก็ตาม หญิงสาวผิดหวังที่พบว่าเขาไม่อยู่ ก่อนจะนึกได้ว่าเวลานี้อัครยศน่าจะอยู่ที่เรือนของเนตร
เมื่อไปถึงที่นั่น อรพิลาสแทบจะสะกดอารมณ์โกรธไม่ไหวเพราะเห็นภาพความสนิทสนมของอัครยศกับเนตรที่มองอย่างไรก็เกินคำว่าคนรู้จักกัน เธอปราดเข้าไปเอาเรื่องทันที
“นึกแล้วไม่มีผิดว่าคุณตั้มต้องอยู่ที่นี่ แล้วเธอเป็นใครยะ มีสิทธิ์อะไรถึงได้ชวนคุณตั้มมาขลุกที่นี่ได้”
“ถ้าพวกคุณมีปัญหาอะไรกันก็คุยกันเองนะคะ ฉันกับแม่ไม่เกี่ยว” เนตรชะงักแปลกใจ
“คุณหนูอร คุณกลับไปเถอะ ที่นี่เรือนคนอื่น อย่ามาระรานแถวนี้”
“คุณตั้มไล่หนูอรอีกแล้วนะคะ ทำไมคะ หนูอรผิดตรงไหน หรือว่ามีอะไรด้อยกว่ายายนี่ ถึงได้ทำกับหนูอรแบบนี้”
โฉมฉายเห็นท่าไม่ดีรีบไกล่เกลี่ยบอกให้อัครยศไปคุยกับเพื่อนให้เรียบร้อยก่อน แต่เวลานั้นอรพิลาสเลือดขึ้นหน้าด้วยความหึงหวงชายหนุ่ม เธอจ้องหน้าเนตรตาขวางตวาดใส่ว่า
“ไม่ค่ะ หนูอรไม่กลับ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มายุ่งกับคุณตั้ม เขาเป็นถึงลูกเจ้าคุณราชรักษ์กับคุณหญิงมณี มียศมีศักดิ์ มีหน้ามีตา แต่เธอ...แค่บ้านยังเล็กอย่างกับรูหนู”
เนตรได้ยินก็ชะงักมองอัครยศอย่างผิดหวังเมื่อรู้ว่าที่ผ่านมา เธอเป็นยายงั่งให้เขาหลอกเล่น ชายหนุ่มหน้าเสียไม่ทันตั้งตัวกับความลับที่ตนเองเก็บงำไว้ต้องมาเปิดเผยในสถานการณ์เช่นนี้ โฉมฉายตัดบทบอกอัครยศว่าตนจะคุยกับเนตรให้ ส่วนเขาควรจัดการปัญหาที่มีกับอรพิลาสและค่อยมาใหม่วันหลัง
อัครยศเดินกลับไปที่รถอย่างหัวเสีย อรพิลาสรีบวิ่งตามเขาโดยไม่รู้สึกผิดที่ก่อเรื่องให้เกิดความหมางใจระหว่างกัน
“หนูอรไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูอรจะคุยกับคุณตั้ม”
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ ถ้าผมอยากคุยกับคุณผมคงไปหาคุณแล้ว แต่นี่ผมมาที่นี่เพราะผมชอบเนตรและอยากคุยกับเขา ส่วนคุณน่ะ เคยเห็นผมไปบ้านคุณสักครั้งไหม”
อรพิลาสร้องกรี๊ดกระชากเสียงถามว่าเขาชอบมันหรือ อัครยศสติขาดสวนกลับเสียงกร้าวว่า
“หยุดเรียกใครแบบดูถูกอย่างนั้นซะที คนทุกคนมีศักดิ์ศรีมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่คนบางคนที่ชอบทำตัวลดค่าของตัวเอง จนแทบไม่เหลือราคา”
อรพิลาสโกรธจัดสะบัดหน้าพรืดเดินกระแทกเท้าขึ้นรถทันที อัครยศส่ายหน้าเอือมระอา
ooooooo
ที่เรือนหลวงเดช ซ่อนกลิ่นเพิ่งกลับจากการพบหมอผีอีกครั้งหลังจากไปโวยวายเอาเรื่องจนได้ห่อผ้ามหาเสน่ห์มาอีกถุง สีหน้าแววตาของเธอบ่งบอกถึงความพึงพอใจและมีความหวังเต็มเปี่ยม
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเพราะมีเสียงของนพร้องเรียกชื่อเธอ ซ่อนกลิ่นตกใจพยายามเก็บซ่อนห่อผ้าไว้ข้างหลังและถามว่าเขามาที่นี่ทำไม
“ข้ามาเยี่ยมคุณหลวง เพิ่งรู้จากเด็กในเรือนว่าเอ็งถูกย้ายมาอยู่เรือนเล็ก”
“คุณหลวงเปลี่ยนไปมาก อยู่ๆก็นึกพิศวาสนังพิศ ขึ้นมา”
“ก็เขาเป็นผัวเมียกันมาก่อนเอ็งก็รู้ แล้วนั่นข้างหลัง มีอะไรเหรอ...น่าแปลก ทำไมต้องหวงขนาดนั้นด้วย หรือว่าเป็นของไม่ดี ไหนข้าดูหน่อยสิ”
นพกระชากห่อผ้าจากมือซ่อนกลิ่นจนหลุดตกลงที่พื้น เขารีบก้มลงเก็บแล้วคลี่ผ้าออกดูก็พบว่าเป็นหุ่นดินเหนียวมัดกอดกัน นพเงยหน้ามองเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจะกล้าทำของใส่หลวงเดช ซ่อนกลิ่นชักสีหน้ากระชากห่อผ้ากลับแล้วตวาดไม่ให้เข้ามายุ่งเรื่องของตน เขาเดินตามเอาเรื่องมาจนถึงเรือนเล็กอย่างไม่ลดละพร้อมกับตัดพ้อว่า
“ข้าเป็นห่วงเอ็ง ไม่อยากเห็นเอ็งทำผิดคิดร้ายกับใครอีก มันบาปนะซ่อนกลิ่น”
“ข้าบอกให้เอ็งออกไป ได้ยินไหม...ก็ได้ เอ็งอยากหาเรื่องใส่ตัวเองนะ”
ซ่อนกลิ่นยิ้มร้าย ก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือขึ้นมาทันที นพตกใจตะลึงงันก่อนจะได้สติรีบเอามือปิดปากเพื่อน แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะหลวงเดชวิ่งถลาเข้ามาพอดีและถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซ่อนกลิ่นได้ทีแสร้งร้องไห้โฮ
“คุณพี่คะ ไอ้นพ...มันจะข่มขืนน้อง”
“ไม่จริง ข้าไม่ได้ทำ...คุณหลวงฟังผมก่อนนะครับ”
“คุณพี่อย่าไปฟังมันนะคะ มันเข้ามาพยายามปลุกปล้ำน้อง มันเห็นน้องมาอยู่เรือนเล็กคนเดียว เลยฉวยโอกาสกับน้อง”
หลวงเดชยืนนิ่งสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะสั่งให้นพออกไปคุยกันที่เรือนใหญ่
“เล่าความจริงมาสินพ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ผมตั้งใจจะมาเยี่ยมคุณหลวงครับ แต่พอรู้ว่าซ่อนกลิ่นอยู่เรือนเล็กก็เลยจะแวะมาทักทาย แต่ไม่คิดว่าจะเห็นซ่อนกลิ่นกำลังทำอะไรไม่ถูกต้อง”
นพอึกอักไม่รู้จะบอกยังไงต่อ ภายในใจคิดกังวลเรื่องซ่อนกลิ่นป้ายสีกล่าวหาว่าเขาปลุกปล้ำเธอ หลวงเดชขอร้องให้เขาเล่าความจริงทั้งหมดแต่นพรู้สึกลำบากใจ เพราะกลัวว่าหลวงเดชไม่เชื่อและยังเข้าใจผิดอยู่
“ฉันตาสว่างแล้วนพ ที่ผ่านมาฉันหน้ามืดตามัวมาตลอด จนฉันทำอะไรผิดพลาดมาตั้งมากมาย แล้วนพคือคนที่ฉันไว้ใจ ถ้าฉันเชื่อ...ฉันก็คงไม่ต่างจากคนเดิม”
นพถอนหายใจโล่งอกยกมือไหว้ขอบคุณหลวงเดชที่เชื่อใจเขา แต่ในใจครุ่นคิดอย่างหนักจะตอบหลวงเดชว่าอย่างไร...
ooooooo










