สมาชิก

ลิขิตริษยา

ตอนที่ 1

อัลบั้ม: "เอ ศุภชัย" ผู้จัดป้ายแดง ส่ง "ลิขิตริษยา" ลงจอ ช่อง 7



ยามค่ำคืน ภายในเรือนไทยโบราณของหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งกำลังเกิดความวุ่นวาย ขณะที่ด้านนอกฝนฟ้าคะนองน่ากลัว ทำให้คนที่อยู่ในเรือนต่างอกสั่นขวัญผวา

เสียงฟ้าร้องและเสียงร้องโอดโอยของหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งดังลั่นออกมาจากเรือนหลังนั้น

ซ่อนกลิ่น หมอตำแยสาวชาวบ้านแสนสวยกำลังทำคลอดให้กับจัน หญิงสาววัยรุ่นกำผ้าที่ทอดลงมาจากบนขื่อพลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เสียงซ่อนกลิ่นเร่งเร้าเหลือเกิน เหมือนจะให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเสียที

“เอ้า เบ่งเข้า อึ๊บ...เบ่งอีก...”

จันพยายามเบ่งเต็มแรงโดยมีสีหน้าเจ็บปวดและเหนื่อยอ่อน ในขณะที่ซ่อนกลิ่นช่วยรีดท้องจนเหงื่อไหลย้อยเป็นทาง พลันเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงพร้อมๆกับจัน

กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเหลือคณานับ เสียงเด็กทารกแผดดังลั่นทั่วห้อง ทำให้ซ่อนกลิ่นผละมาที่หว่างขาของหญิงวัยรุ่นแล้วยิ้มอย่างโล่งใจ ก่อนจะใช้มืออุดปากเด็กจนเสียงร้องเงียบไป

เวลานั้นเพื่อนสาวของจันใจคอไม่ดีร้องถามซ่อนกลิ่นว่าเป็นอย่างไรบ้าง คำตอบจากแม่หมอตำแยเล่นเอาคนฟังแทบช็อก

“เด็กมันตายแล้วว่ะ ข้าเสียใจด้วยนะ เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องศพให้ กลับเรือนไปพักผ่อนเถอะนะ”

จันและเพื่อนสาวกอดคอร่ำไห้ด้วยความเสียใจ โดยไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วเด็กคลอดออกมาเป็นปกติ แต่ซ่อนกลิ่นนั่นเองเป็นคนฆ่าเด็กอย่างเลือดเย็น เพราะเวลานี้เธอเปลี่ยนโรงหมอตำแยมาเป็นสถานที่รับทำแท้งแทน หลังจากเห็นมารดาไม่เคยได้รับค่าทำคลอดเป็นตัวเงินจากพวกชาวบ้านเลย ความแร้นแค้นอดอยากและการดูถูกผลักดันซ่อนกลิ่นให้กระทำเช่นนี้

รุ่งสางวันต่อมา ซ่อนกลิ่นรีบนำศพเด็กไปให้กับพร หมอผีในหมู่บ้านแลกกับเงินก้อนหนึ่งที่คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากและเสี่ยงภัย ปรากฏว่าพรหมอผีวัยกลางคนถามแบบหมาหยอกไก่ว่าจะไม่มีรางวัลอย่างอื่นให้ตนบ้างเลยหรือ

ซ่อนกลิ่นชักสีหน้าตอบอย่างไม่พอใจว่าตนแค่ขายลูกกรอกไม่ได้ขายตัว ถ้าคิดจะมีผัวตนต้องได้เจ้าขุนมูลนายไม่ใช่คนทำคุณไสยเยี่ยงนี้ พูดจบก็สะบัดหน้าพรืดแล้วหันหลังเดินออกไปทันที พรมองตามหญิงสาวออกอาการเจ็บใจและก่นด่าว่า

“โธ่เว้ย ทำเป็นดูถูกกู มึงก็แค่หมอตำแยหากินกับผีเหมือนกันล่ะวะ”

หลังถูกหมอผีพรกวนอารมณ์ให้ขุ่นมัว ซ่อนกลิ่นหลบมานั่งสงบสติอยู่ภายในบ้านพลางหยิบกล่องๆหนึ่งมาเก็บเงินและเหลือบมองโกศอัฐิใส่กระดูกแม่ที่วางอยู่บนหิ้งชั้นบน พูดปฏิญาณเสียงดังอย่างคนมีความหลังฝังใจว่า

“แม่คอยดูนะ ถ้าฉันเก็บเงินได้อีกหน่อย ฉันจะไปจากที่นี่ ฉันจะต้องได้ผัวดี มีชีวิตที่ดี ไม่ให้ใครมันมาดูถูกเหมือนที่แม่โดน พวกไอ้อีที่นี่มันจะหายไปจากชีวิตฉัน”

ห่างออกไปที่เมืองหลวง เวลานั้น หลวงเดช ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สินเงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์กำลังเตรียมตัวพาครอบครัวใหญ่ไปเปลี่ยนบรรยากาศพักผ่อนในต่างจังหวัด

หลวงเดชนั่งมองโฉมฉายเมียเอกที่มีบุคลิกเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว และกรองแก้วเมียรองที่แต่งตัวฉูดฉาดดูเปรี้ยวแต่ไม่ถือตัว ทั้งสองเดินประคองพิศ เมียสามที่เป็นเพียงสาวชาวบ้านท่าทางเจียมตัวก้าวเข้ามาหาขุนเดชลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเมียทั้งสามที่ดูรักใคร่ปรองดองกันดีก็ยิ้มอย่างปลื้มใจ

“เอาล่ะ...ได้เวลาแล้ว รีบไปดีกว่า เดี๋ยวแดดจะร้อนเสียก่อน นายผลเตรียมรถรอท่าพวกเรานานแล้ว”

อุ่นและพวง สองบ่าวยืนมองภาพครอบครัวแสนสุขนั้นอย่างอิ่มเอมใจ ก่อนจะได้ยินเสียงเจิมเล่าให้ฟังว่า

“คุณหลวงเป็นคนดี ให้ความเมตตากับทุกคน ใครๆถึงได้ทั้งรักทั้งเกรงใจยังไงล่ะวะ อีกอย่างทั้งคุณกรองแก้วกับคุณพิศก็เป็นเมียที่ได้มาเพราะความจำเป็น มันเลยไม่มีเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้ท่านหลวงเดชได้ระคายใจ”

“จำเป็นยังไงรึพี่เจิม เล่าให้ฟังหน่อยเพื่อประดับเป็นความรู้แก่ฉัน”

“ตอนที่พ่อคุณกรองแก้วป่วยหนัก ท่านเลยขอให้คุณหลวงรับคุณกรองแก้วมาเป็นเมียรองเพราะเป็นห่วงลูกสาวกลัวไม่มีคนดูแลปกป้อง ส่วนคุณพิศก็เพราะเป็นลูกพี่แย้มบ่าวในเรือนที่ช่วยชีวิตคุณโฉมฉายให้รอดตายจากเรือล่ม แต่ตัวเองกลับจมน้ำตาย เมื่อสิ้นพี่แย้ม คุณพิศเธอไม่มีใคร คุณโฉมเธอก็เลยขอคุณหลวงท่านให้รับเป็นเมียสามเพื่อทดแทนบุญคุณครั้งนั้น”

พวงรับฟังเรื่องราวของพวกคุณๆอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งก้าน คนขับรถเก็บกระเป๋าเสร็จหันมาถามสามบ่าวว่าจะคุยกันอีกนานไหม เจิม อุ่น และพวงนึกขึ้นได้ก็ตกใจรีบขึ้นรถทันที

และแล้วชะตากรรมของครอบครัวหลวงเดชบริรักษ์กับซ่อนกลิ่นกำลังจะหมุนเวียนมาบรรจบกัน อันจะก่อให้เกิดเรื่องราวซับซ้อนมากมายอย่างคาดไม่ถึง

ooooooo

ภายในตลาดชนบทชานเมืองมีลักษณะเป็นตึกแถวที่ทำจากไม้ แต่ละห้องแถวเป็นร้านรวงขายของต่างๆ ซ่อนกลิ่นเดินไปหยุดที่ร้านขายสร้อยและเครื่อง ประดับ เธอหยิบขึ้นมาดูสีหน้าตื่นเต้นแววตาระยิบระยับด้วยความอยากได้

แต่แล้วทันใดนั้นเอง พรก็มาหยุดยืนข้างๆแล้วยื่นหน้ามาใกล้ซ่อนกลิ่นถามหยอกเย้าว่าชอบหรือ ตนจะซื้อให้เอาไหม ซ่อนกลิ่นหันมาเห็นก็ออกอาการไม่สบอารมณ์ วางสร้อยลงจะเดินออกไป แต่พรคว้ามือหญิงสาวไว้

“จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ อยู่คุยกันก่อนไม่ได้รึ ใจคอเอ็งจะคุยกับพี่ดีๆก็เฉพาะตอนเอาศพเด็กมาขายงั้นเหรอ”

ซ่อนกลิ่นตกใจรีบพูดปรามพรไม่ให้เสียงดัง หน้าตาเธอเลิ่กลั่กหันไปมองชาวบ้านรอบๆอย่างกลัวความลับจะถูกเปิดเผย แต่กระนั้น เธอพยายามทำใจดีสู้เสือจ้องตาพรด้วยแววตาแข็งกร้าว สวนกลับว่าถ้าเขาปากมากก็เข้าตะรางด้วยกัน จากนั้นก็เดินหนีไป พรมองตามยิ้มๆ เพราะคิดแผนชั่วไว้ในใจแล้ว

เพียงไม่กี่นาทีให้หลัง พรแอบเดินตามซ่อนกลิ่นโดยไม่ให้รู้ตัว แต่หญิงสาวเหมือนมีญาณหยั่งรู้ เร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้นพร้อมกับหันรีหันขวางไม่สบายใจนัก เพียงครู่เดียว พรก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางขวางหน้าเธอไว้

“เล่นตัวนักใช่ไหมนังซ่อนกลิ่น วันนี้แหละกูจะจับมึงทำเมียให้เข็ด”

ซ่อนกลิ่นตกใจรีบวิ่งหนีแต่แล้วพรตามไปคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน จนซ่อนกลิ่นล้มลงกับพื้นแล้วผละถอยกรูดเข้าไปในพงหญ้าข้างถนน ก่อนหันมายกมือไหว้ขอร้องพรไม่ให้ทำอะไร แต่ชายหนุ่มไม่สนใจตรงเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงหมายจะเผด็จศึกเสียโดยไว ซ่อนกลิ่นดิ้นรนสุดแรงเกิดพร้อมกับตบหน้าเขาดังฉาดใหญ่ และใช้เวลาช่วงนั้นสะบัดตัวจนหลุดวิ่งหนีออกมาได้ เธอวิ่งไม่คิดชีวิตเพียงนิดเดียวจะถึงถนนแต่ถูกพรตะครุบตัวไว้ได้อีกครั้ง

ทันใดนั้น ซ่อนกลิ่นเห็นรถยนต์วิ่งใกล้เข้ามา เธอตะโกนเสียงดังเพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนพรชะงักเงยหน้าขึ้นไปมอง หญิงสาวฉวยโอกาสทีเผลอดึงมือออกแล้วกำดินปาใส่หน้าเขาก่อนลุกขึ้นวิ่งไปโบกมือขวางหน้ารถไว้ เสียงแตรรถที่แล่นมาเตือนดังลั่น พรเห็นท่าไม่ดีฉวยโอกาสวิ่งหลบหนีไปทันที

ไม่นานนักรถของหลวงเดชแล่นมาจอดริมถนน ซ่อนกลิ่นรีบวิ่งไปหาปากคอสั่นกรีดร้องขอความช่วยเหลือ หลวงเดชลงจากรถเข้ามาซักถามเรื่องราวทันที เมื่อซ่อนกลิ่นเห็นหน้าเขาชัดๆก็ชะงักด้วยความตกตะลึง เสียงกรองแก้วถามย้ำว่า

“ว่าไงล่ะจ๊ะ คุณหลวงถามเธอว่ามีเรื่องอะไร”

“ฉันโดนผู้ชายฉุด ช่วยฉันด้วย”

ทุกคนตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน โฉมฉายบอกสามีให้พาหญิงสาวไปแจ้งความกับตำรวจ หลวงเดชพยักหน้าเห็นด้วยแต่เผอิญซ่อนกลิ่นกลัวพรจะปากโป้งบอกความลับให้ชาวบ้านรู้จึงขืนตัวไว้และบอกว่า

“เอ่อ...ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องแจ้งความหรอกค่ะ ฉันกลัวมันจะย้อนกลับมาแต่ก็จำหน้ามันไม่ได้ แล้วถ้าเพื่อนบ้านรู้ว่าฉันถูกฉุดก็คงเป็นที่อับอาย”

ซ่อนกลิ่นเริ่มบีบน้ำตาทำเป็นว่าเสียขวัญจนโฉมฉายสงสารต้องเข้ามากอดปลอบ แล้วบอกสามีให้ไปส่งที่บ้านแทน หลวงเดชไม่คัดค้านทำให้ซ่อนกลิ่นยิ้มดีใจ เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ซ่อนกลิ่นทรุดตัวลงกราบหลวงเดชเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือพร้อมกับเล่นละครเศร้าตบตาทุกคน โฉมฉายไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมก็นึกสงสารและสอบถามว่า

“ชื่อซ่อนกลิ่นหรือ เพราะดีนะจ๊ะ ทำมาหากินอะไรกันล่ะจ๊ะ แล้วนี่ญาติพี่น้องไปไหนล่ะ บ้านถึงเงียบเชียว”

“เจ้าค่ะ ดิฉันเป็นหมอตำแยของหมู่บ้านและอยู่ตัวคนเดียวเจ้าค่ะ แม่เพิ่งตายไม่นาน ญาติพี่น้องแต่ไหนก็ไม่มี”

โฉมฉายฟังด้วยความสะท้อนใจ ซ่อนกลิ่นกุลีกุจอจะเปิดบ้านให้ทุกคนเข้าแต่หลวงเดชตัดบทขอตัวเพราะสงสารพิศภรรยาท้องแก่เดินทางไกล สมควรจะได้พักเสียที ซ่อนกลิ่นไม่อาจโต้แย้งอะไรต่อได้จึงจำใจเดินมาส่งทุกคนที่รถ ก่อนจะขอทราบชื่อผู้มีบุญคุณต่อชีวิตตน โฉมฉายยิ้มใจดีตอบว่า

“นี่คุณหลวงเดชบริรักษ์ ส่วนฉันชื่อโฉมฉาย แล้วนี่คุณกรองแก้ว และที่ท้องแก่นั่นคุณพิศ พวกเราเป็นเมียคุณหลวง ถ้าเธอมีอะไรให้ช่วยเหลือ ไปหาพวกเราได้ที่บ้านท้ายแม่น้ำด้านโน้น”

ซ่อนกลิ่นยิ้มพอใจและหมายมั่นว่าตนจะต้องหาเรื่องไปหาแน่นอน หญิงสาวยกมือไหว้ลาคณะของหลวงเดชและยืนส่งจนรถลับสายตา ภายในใจเริ่มมีความหวังอีกครั้งเพราะพบกับคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกันอีกในชาตินี้...

ooooooo

ด้วยเคราะห์กรรมผูกพันร่วมกันมา หลังจากพบกับซ่อนกลิ่น หญิงสาวชาวบ้านโดยบังเอิญและให้การช่วยเหลือแล้ว โฉมฉายก็เฝ้าพะวงครุ่นคิดสงสารแต่เธอ กระทั่งหลวงเดชเห็นความผิดปกติจากกิริยาท่าทาง เดินเข้ามาสอบถามว่า

“มาพักผ่อนทั้งทีทำไมคุณโฉมของฉันถึงมายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงนี้ล่ะ”

“คุณหลวงว่าไหมคะ แม่ซ่อนกลิ่นเขาน่าสงสารมาก เป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตร น้องอยากหาทางช่วยเหลือเขาค่ะ คุณหลวงว่าน้องควรทำอย่างไรคะ”

หลวงเดชส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่าหญิงผู้นั้นยังไม่ได้ขอให้เราช่วยเหลือเพราะบางทีเขาอาจมีความสุขอยู่แล้ว ถ้าเขามาขอให้ช่วยเมื่อใด ตนอนุญาตให้คุณโฉมช่วยได้เต็มที่ โฉมฉายยิ้มดีใจและเขินอาย เพราะเป็นคนดีเช่นนี้ทำให้หลวงเดชมองภรรยาด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดูมากขึ้น

เวลาเดียวกันนั้น ซ่อนกลิ่นนอนกระสับกระส่ายคิดหาเหตุจะไปบ้านหลวงเดช แต่แล้วก็นึกขึ้นได้รีบลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระจกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลงมือตบหน้าตัวเอง แล้วทุบตีตามเนื้อตัวอย่างรุนแรงให้เป็นรอยช้ำ

เช้าวันต่อมา ระหว่างที่โฉมฉายกำลังอุ้มบวรยศ บุตรชาย โดยมีกรองแก้วหยอกล้อเล่นด้วย ก้านก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปรายงานนายหญิงว่า

“คุณโฉมครับ...มีผู้หญิงชื่อซ่อนกลิ่นมาขอพบ เนื้อตัวเขาเหมือนโดนซ้อมมาเลย”

โฉมฉายกับกรองแก้วมองหน้ากันตกใจ ก่อนจะสั่งให้ก้านพาพวกตนไปพบซ่อนกลิ่น สภาพของหญิงสาวทำให้ทุกคนอึ้งยกเว้นกรองแก้วที่มองซ่อนกลิ่นอย่างสงสัย ต้องเอ่ยปากว่าเมื่อวานไม่เห็นมีรอยฟกช้ำดำเขียวขนาดนี้ ซ่อนกลิ่นไม่พอใจแต่ต้องเก็บอาการไว้แล้วตีหน้าเศร้าให้น่าสงสารตอบว่า

“เมื่อวานดิฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นอะไรเจ้าค่ะ แต่ตกดึกมันปวดระบมไปทั้งตัว นี่ไข้ก็เพิ่งจะลดเลยพอมีแรงเดินมาที่นี่”

กรองแก้วยังไม่หายสงสัยแต่ไม่อยากขัดโฉมฉายที่ตอนนี้เหมือนจะเชื่อทุกคำพูดของซ่อนกลิ่นไปเรียบร้อยแล้ว เพียงครู่เดียวซ่อนกลิ่นก็ถามถึงหลวงเดชว่าหายไปไหน ทำให้กรองแก้วไม่พอใจเริ่มระแวงขึ้นมา ซ่อนกลิ่นเห็นอาการนั้นจึงพูดกลบเกลื่อนว่าตนอยากมากราบขอบคุณหลวงเดชที่ช่วยชีวิต กรองแก้วถามดักคอว่า

“หล่อนมาที่นี่เพื่อจะขอยาหรือขอบคุณคุณหลวงกันแน่”

“ก็ทั้งสองอย่างค่ะ เมื่อวานก็ได้คุณหลวงช่วยไว้ แล้ววันนี้ยังมาพึ่งบารมีคุณหลวงอีก หากคนอย่างซ่อนกลิ่นแค่รับความช่วยเหลือแล้วกลับไป ก็คงได้ชื่อว่าเนรคุณเจ้าของบ้านใช่ไหมคะคุณกรองแก้ว”

เจอย้อนกลับแบบนี้กรองแก้วก็ต้องยอมจำนน โฉมฉายตัดบทให้ก้านพาซ่อนกลิ่นไปพบคุณหลวงในระหว่างที่เธอเตรียมยา ซ่อนกลิ่นแอบยิ้มดีใจแทบจะซ่อนไม่พ้นการจับสังเกตของกรองแก้วที่รู้สึกแปลกๆ เวลานั้นหลวงเดชกำลังดูคนงานซ่อมบันไดที่ศาลาท่าน้ำ ซ่อนกลิ่นเดินเข้าไปหาเขาแล้วลงนั่งคุกเข่าใกล้ๆ

“อ้าว...แม่ซ่อนกลิ่น ทำไมฟกช้ำดำเขียวอย่างนี้ ลุกขึ้นเถอะ ตรงนี้มันฝุ่นทั้งนั้น แล้วนี่ได้ยาหรือยัง”

ซ่อนกลิ่นตอบว่าคุณโฉมฉายกำลังเตรียมยาไว้ให้ หลวงเดชพยักหน้ารับทราบแล้วสั่งให้รีบไปทายาเสีย เขายิ้มให้โดยไม่ได้คิดอะไร แต่หญิงสาวกลับไม่ไปไหน แล้วค่อยๆคว้ามือหลวงเดชขึ้นมาแนบแก้มตัวเอง ใส่จริตในแววตาอย่างให้ท่า หลวงเดชมองกิริยานั้นเคลิ้มๆ กระทั่งเจิมตะโกนเรียกเสียงดัง ซ่อนกลิ่นสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เจิมมองไม่พอใจและยื่นห่อยาให้พร้อมกับออกปากไล่ให้กลับบ้านเพราะคุณหลวงมีงานยุ่ง ซ่อนกลิ่นจำใจต้องเดินกลับไปและแอบมองเขาด้วยความเสียดาย

เจิมกลับมารายงานสิ่งที่เห็นให้กรองแก้วฟัง พิศเองก็กังวลใจแต่ไม่กล้าทำอะไร ผิดกับกรองแก้วที่สั่งกำชับให้เจิมคอยจับตาดู ถ้าเห็นซ่อนกลิ่นมาอีกเมื่อไรต้องรีบมาบอกทันที ด้านซ่อนกลิ่นเมื่อกลับถึงบ้านก็มีแต่อารมณ์ขุ่นมัว ขว้างปาสิ่งของเพื่อดับความโกรธ ก่อนจะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนลับๆล่อๆหน้าประตูบ้าน เพียงเท่านั้นซ่อนกลิ่นก็รู้ว่ามีงานอีกแล้ว

ooooooo

ตกเย็นวันเดียวกัน หลวงเดชพาโฉมฉายกับกรองแก้วเดินเที่ยวตลาด โดยมีเจิมอุ้มบวรยศ บุตรชายเดินตามมาด้วย สองสาวต่างเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบกายและเลือกซื้อผ้ากันอย่างสนุกสนาน ไม่ไกลนักซ่อนกลิ่นหอบห่อผ้าเดินตรงมา

“คุณหลวงเจ้าคะ เมื่อเช้าดิฉันไปหาและตั้งใจจะไปกราบขอบคุณที่ช่วยชีวิตดิฉันไว้เจ้าค่ะ แต่ถูกไล่กลับเสียก่อน”

กรองแก้วได้ยินเข้าก็ผละจากกองผ้าเดินเข้ามาชี้แจงอย่างไม่พอใจว่าตนเห็นคุณหลวงยังยุ่งวุ่นวายกับงานอยู่ จึงสั่งให้เจิมเอายามาให้ซ่อนกลิ่นและบอกให้กลับไปก่อน โฉมฉายเห็นท่าไม่ดีเลยถามเรื่องอาการป่วยแทน พลันกรองแก้วทำจมูกฟุดฟิดบ่นว่าเหม็นคาวอะไรสักอย่าง ซ่อนกลิ่นชะงักรีบเอาห่อผ้าซ่อนไว้ข้างหลัง กรองแก้วหาทางตัดบท

“ตายแล้ว ตาบวรยศหน้าแดงเชียว สงสัยเพราะตากแดด รีบพากลับบ้านดีกว่าค่ะคุณพี่”

หลวงเดชขอตัวเดินจากไปพร้อมลูกเมีย ซ่อนกลิ่นมองตามไม่วางตา ก่อนจะพูดเข่นเขี้ยวด่ากรองแก้วเป็นตัวขัดลาภ เธอยืนครุ่นคิดวางแผนร้าย สักครู่หนึ่งก็นึกออก รีบเดินจ้ำไปหาพร หมอผีที่บ้าน เธอแกล้งเล่นละครงอนง้อเขาเพื่อให้ตายใจและหวังหลอกใช้ให้ทำงานในภายหลัง พรไม่ทันคิดอะไรมากได้แต่ตกปากรับคำด้วยอาการเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง

และแล้วแผนร้ายก็เริ่มต้น ซ่อนกลิ่นทำทีเป็นวิ่งมายืนหอบหน้าเรือนหลวงเดชพร้อมกับร้องตะโกนขอความช่วยเหลือปากคอสั่น ผลกับก้าน สองบ่าวไพร่ในเรือนวิ่งออกมาดูและมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อได้ยินเรื่องราว พลันประตูบ้านชั้นบนเปิดออก หลวงเดชกับโฉมฉายอุ้มบวรยศเดินออกมาถามไถ่ พอทราบความทั้งหมดก็สั่งให้รีบพาซ่อนกลิ่นไปแจ้งความที่สถานีตำรวจทันที กรองแก้วกับเจิมเดินตามออกมาสมทบหลังจากได้ยินเสียงเอะอะ ทั้งคู่มองซ่อนกลิ่นไม่ไว้ใจ

ไม่นานนัก ตำรวจก็ติดตามหลวงเดชและซ่อนกลิ่นไปยังบ้านที่เกิดเหตุและสำรวจรอบๆบ้านอย่างสนใจ ซ่อนกลิ่นทำทีเป็นกลัวคนร้ายจะกลับมา จนหลวงเดชต้องเอ่ยปากถามว่าอยู่คนเดียวได้หรือไม่ หญิงสาวทำสำออยส่ายหน้าตอบโดยหวังว่าเขาจะชวนไปค้างคืนที่บ้าน แต่เธอก็ต้องผิดหวังที่หลวงเดชกลับส่งผลมานอนเฝ้าหน้าห้องนอนเธอแทน

รุ่งเช้า ซ่อนกลิ่นยังคงหงุดหงิดไม่หาย คิดหาทางไปหาหลวงเดชที่บ้านอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบเห็นต้นมะม่วงที่ออกลูกระย้าเต็ม ซ่อนกลิ่นยิ้มพอใจนึกออกแล้วว่าจะใช้วิธีไหนกลับเข้าไปในบ้านนั้น

เวลาเดียวกันนั้น ที่ท่าน้ำบ้านหลวงเดช โฉมฉายและบ่าวไพร่กำลังยืนมองหลวงเดชซึ่งนั่งอยู่บนเรือเอื้อมมือไปรับกรองแก้วให้ขึ้นนั่งบนเรืออย่างระวัง
เสียงกรองแก้วตะโกนชักชวนให้โฉมฉายลงมานั่งในเรือด้วยกัน แต่โฉมฉายส่ายหน้าปฏิเสธมองอย่างกลัวๆเพราะเคยมีประสบการณ์จมน้ำจนต้องเสียสาวใช้คนสนิทไป หลวงเดชทราบดีในเรื่องนี้แต่เขาอยากให้ภรรยาเลิกกลัวน้ำจึงคะยั้นคะยอให้ลองอีกครั้ง โฉมฉายมองสายตาของหลวงเดชและกรองแก้วที่เชื้อเชิญมาก็พยักหน้ารับในที่สุด

“ลองหัดพายเองบ้างไหมคุณโฉม ฉันจะสอนให้ ต่อไปจะได้พายเป็น รับไม้พายไปสิ”

โฉมฉายครุ่นคิดกังวล ค่อยๆรับไม้พายมาพายช้าๆ หลวงเดชและกรองแก้วหันมายิ้มให้กันอย่างพอใจโฉมฉายค่อยๆพายเรือไปเรื่อยๆก็เริ่มรู้สึกอุ่นใจเลยพายต่อ ทั้งสามคนท่าทางมีความสุขมาก แต่แล้วสักพักเสียงฟ้าร้องดังขึ้น โฉมฉายมองเมฆฝนออกอาการกังวล ลมเริ่มพัดแรงขึ้นจนเรือโคลงเคลง โฉมฉายใจเสียด้วยความกลัวจับเรือแน่น พอจะส่งไม้พายให้สามีเรือโคลงหนักขึ้น โฉมฉายเสียสติตกใจยืนโอนเอนควบคุมตัวเองไม่ได้ พริบตาเดียวก็พลัดตกน้ำ!

เสียงกรีดร้องจากบนฝั่งดังลั่นทั่วคุ้งน้ำ หลวงเดชกระโดดลงน้ำงมหาภรรยาด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ ในขณะที่กรองแก้วนั่งเกาะเรือไว้แน่น ณ เวลานั้นไม่มีใครเห็นว่าซ่อนกลิ่นมาแอบยืนมองดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆด้วยท่าทีสนใจยิ่งนัก ทุกคนกำลังวิตกกังวลว่าโฉมฉายจะมีอันตราย ในที่สุดหลวงเดชก็พาร่างสิ้นสติของภรรยาขึ้นมาจนได้ ซ่อนกลิ่นถลาเข้าไปยืนเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก กรองแก้วกระชากเสียงถามไม่พอใจว่ามาทำไม ซ่อนกลิ่นตอบว่า

“ฉันเอามะม่วงมาขอบคุณคุณหลวงเจ้าค่ะ”

“สะเออะไม่เข้าเรื่อง กลับไปเลยไป หน้าสิ่วหน้า ขวานอย่างนี้ไม่มีใครอยากได้มะม่วงหล่อนหรอก กลับไปซะ!”

ซ่อนกลิ่นหน้าเจื่อนในใจเต็มไปด้วยความแค้นที่กรองแก้วทำให้เธอเสียหน้า พิศและบรรดาบ่าวทั้งหลายรีบตามไปทันที ด้านหลวงเดชพยายามปฐมพยาบาลด้วยการผายปอดช่วยชีวิตโฉมฉายที่สลบไม่ได้สติ แต่ก็ไม่มีสัญญาณฟื้นคืนชีพตอบกลับมาจนเขารู้สึกสิ้นหวัง แต่แล้วโฉมฉายก็รู้สึกตัวสำลักน้ำออกมา ทุกคนถอนใจโล่งอกที่ไม่เกิดเหตุร้ายเหมือนดั่งที่แล้วมา

ขณะเดียวกัน พิศกลับเริ่มรู้สึกปวดท้อง เอามือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด แต่แล้วเจิมที่หันมายิ้มให้พิศก็เห็นใบหน้าเหยเกเจ็บปวดของพิศ และมีน้ำคร่ำไหลออกจากหว่างขาของเธอ หลวงเดชผวาเข้ามาประคองภรรยานั่งบนเตียง

“พิศ จะคลอดแล้วรึ รีบพาไปโรงพยาบาลดีกว่า”

“แต่น้ำเดินมากแล้วนะเจ้าคะ กว่าจะไปถึงไม่ทันแน่ๆเจ้าค่ะ” เจิมแย้ง

หลวงเดชเกิดอาการพะวักพะวนทำอะไรไม่ถูก ขณะนั้นโฉมฉายค่อยๆลุกขึ้นมาบอกว่าให้ไปตามซ่อนกลิ่น ตนจำได้ว่าเขาเป็นหมอตำแย กรองแก้วรีบพูดสวนขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดว่าตนจะไปตามมาให้ ก่อนจะร้องตะโกนให้ผลเตรียมรถออกไปบ้านซ่อนกลิ่นเดี๋ยวนี้!

ด้านซ่อนกลิ่นหลังจากถูกกรองแก้วพูดจาไม่ดีใส่ เธอก็เดินกระทืบเท้ากลับบ้านอย่างโมโหจัด อีกไม่กี่ก้าวจะถึงหน้าบ้าน เธอได้ยินเสียงรถตามหลังจึงหันไปมองเห็นผลเปิดประตูรถให้กรองแก้วลงมา ซ่อนกลิ่นรีบเดินเข้าบ้านปิดประตูทันที ส่วนกรองแก้วเห็นหลังซ่อนกลิ่นไวๆก็ร้องเรียก

“ซ่อนกลิ่น ฉันกรองแก้วนะ ฉันมีเรื่องให้ช่วย ได้ยินฉันหรือเปล่า เปิดประตูหน่อย”

ซ่อนกลิ่นยืนเอาหลังพิงประตูเบ้หน้าอย่างรังเกียจแกล้งไม่สนใจ กรองแก้วร้อนใจเอามือทุบประตูด้วยความหงุดหงิดกว่าเดิม ผลสุดท้ายกรองแก้วตัดสินใจพูดว่าคุณหลวงให้มาตาม ซ่อนกลิ่นชะงักก่อนจะรีบเปิดประตูเล่นละครเหมือนเพิ่งได้ยินเสียงเรียก แต่กรองแก้วรู้ทันเลยละครกลับไปบอกว่า

“คุณหลวงให้มาตามซ่อนกลิ่นไปช่วยทำคลอดคุณพิศ ไปกับฉันเดี๋ยวนี้นะ”

ooooooo

ซ่อนกลิ่นถือตะกร้าหวายใส่อุปกรณ์ทำคลอดเดินเข้ามาในห้องพร้อมกรองแก้ว ขณะที่หลวงเดชกำลังดูแลปลอบใจพิศโดยมีเจิมอยู่ด้วยใกล้ๆ พอเจิมหันมาเห็นซ่อนกลิ่นก็รีบรายงานคุณหลวง ซ่อนกลิ่นเข้ามาลูบคลำท้องพิศแล้วบอกว่า

“ท้องแข็งถี่มากแล้ว ใกล้จะคลอดแล้วเจ้าค่ะ ขอผ้าโยง ผ้ารองพื้น ผ้าห่อตัวเด็ก และขอคนต้มน้ำร้อนให้ด้วยเจ้าค่ะ”

เจิมรับคำสั่งอย่างรู้งาน ซ่อนกลิ่นสั่งให้ทุกคนออกจากห้องก่อนจะดึงประตูปิด หลวงเดชรู้สึกกังวลใจมากนั่งไม่ติดที่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้อง จนโฉมฉายเดินตามเข้ามาดูเหตุการณ์ด้วย กรองแก้วเห็นเข้าก็ตกใจวิ่งถลาไปประคอง

“พี่เป็นห่วงพิศ เป็นอย่างไรบ้างคะคุณหลวง ขอให้ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกด้วยเถอะ”

ไม่นานนัก พวงเดินหิ้วกาน้ำร้อนเข้าไปส่งในห้องก่อนกลับออกมางงๆเพราะซ่อนกลิ่นไล่ไม่ให้ใครอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว สายตาของซ่อนกลิ่นที่มองพิศนอนร้องโอดโอยเจ็บปวดส่อแววโหดเหี้ยม แต่ปากยังคงร้องบอกให้พิศเบ่งแรงๆ คนเจ็บท้องใกล้คลอดพยายามทำตามจนหน้าแดงก่ำ ท้ายที่สุดพิศก็ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายเบ่งคลอดจนสำเร็จ และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เมื่อประตูเปิดออก ซ่อนกลิ่นยิ้มด้วยสีหน้าตื่นเต้นร้องบอกหลวงเดชว่า

“คุณหลวงได้ลูกสาวเจ้าค่ะ”

หลวงเดชดีใจกระโดดโลดเต้น ร้องบอกใครต่อใครว่าตนตั้งชื่อลูกว่าอรพิลาส ขณะนั้นโฉมฉายกับกรองแก้วรีบเดินเข้าไปในห้องเพื่อแสดงความยินดีกับพิศ ทุกคนต่างดีใจไปตามๆกัน แต่ซ่อนกลิ่นกลับแอบมองเจ้าเล่ห์สมใจบางอย่าง เสียงโฉมฉายร้องบอกสามี หลังเขาช่วยประคองเธอกลับมานอนในห้องว่า

“น้องดีใจกับคุณหลวงด้วยนะคะที่ได้ลูกสาวสมใจ คุณหลวงต้องมีรางวัลให้พิศนะคะ”

“ฉันเตรียมไว้แล้ว คุณโฉมอย่ากังวลไปเลย นอนหลับเถอะนะ ฉันต้องไปจัดการอะไรอีกหลายเรื่อง”

“อย่าลืมซ่อนกลิ่นอีกคนนะคะ เขามีบุญคุณกับเรามาก ถ้าไม่ได้ซ่อนกลิ่นเราคงจะลำบากกันหมด”

หลวงเดชพยักหน้ารับยิ้มๆ ขณะที่โฉมฉายหลับตาลงโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นจะชักนำศึกร้ายให้เข้าบ้านในเวลาต่อมา

ที่ด้านนอก หลวงเดชเจอเจิมจึงสอบถามว่าซ่อนกลิ่นอยู่ที่ใด เจิมรายงานว่ากลับไปแล้ว แม้ว่าตนจะขอร้องให้อยู่รอคุยกับเจ้านายเธอก็ไม่รับฟังตั้งท่าจะกลับบ้านอย่างเดียว หลวงเดชรับฟังอย่างแปลกใจสีหน้าครุ่นคิด

เวลาเดียวกันนั้น ซ่อนกลิ่นกำลังนั่งหวีผมด้วย

ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องราวกับรอคอยเวลาให้เรื่องบางอย่างเกิดขึ้น เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงเคาะประตูบ้านก็ดังก้อง ซ่อนกลิ่นยิ้มพอใจลุกพรวดขึ้นแล้วแอบดึงผ้าที่คาดอกอยู่ให้ต่ำลงเล็กน้อยพอให้เห็นเนินอกอย่างชัดเจน จากนั้นเดินไปเปิดประตูออก ภาพที่เห็นคือนายผลยืนถือถุงผ้าอยู่ตรงหน้าประตู ซ่อนกลิ่นยิ้มค้าง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหน้าเสียซ่อนความผิดหวังไว้ในใจ

“คุณหลวงท่านให้นำรางวัลมาให้...เดี๋ยวก่อนแม่ซ่อนกลิ่น คุณหลวงท่านอยากคุยกับเอ็งด้วย”

ตอนแรกซ่อนกลิ่นรับถุงเงินมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่เมื่อเห็นคุณหลวงยืนอยู่ข้างรถซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนดีใจยิ้มกว้างวิ่งถลาออกมาทันที

“คุณหลวงมาหาดิฉัน มีอะไรให้ดิฉันรับใช้อีกเหรอเจ้าคะ”

“ฉันจะมาขอบคุณแม่ซ่อนกลิ่นที่ช่วยทำคลอดจนปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยเหลืออีกก็บอกมาเลยนะไม่ต้องเกรงใจ แม่
ซ่อนกลิ่นมีบุญคุณกับลูกกับเมียฉัน รวมถึงฉันด้วย”

ซ่อนกลิ่นแสร้งพูดถ่อมตนว่าเป็นหน้าที่ของหมอ ตำแย แค่คุณหลวงเมตตาช่วยเหลือตนก็ซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้แล้ว หลวงเดชยิ้มรับคำชมนั้นก่อนจะกล่าวลาเดินออกไปขึ้นรถ วินาทีนั้น ซ่อนกลิ่นได้โอกาสเหมาะแกล้งเซจะล้ม หลวงเดชตกใจหันมาประคองหญิงสาวที่เงยหน้ามองปลื้มใจเผลอกอดเขาหน้าตาเฉย นายผลมอง ภาพนั้นตาโต

“ดิฉันหน้ามืดเจ้าค่ะ สงสัยจะหิวข้าว รบกวนคุณหลวงมากพอแล้ว ขอบคุณนะเจ้าคะ”

หลวงเดชพยักหน้ารับ แล้วหันไปบอกผลให้ออกรถกลับบ้านได้ ซ่อนกลิ่นแอบมองชายที่พึงใจอย่างมีความหวัง ใครๆก็เคยบอกว่ามารยาหญิงมีกี่ร้อยเล่มเกวียนให้นำออกมาใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น นี่คงจะเป็นเวลานั้นเสียที...

ooooooo

เรื่องที่ซ่อนกลิ่นกอดหลวงเดชถูกนำมาขยายความให้พวกบ่าวไพร่ในเรือนฟังโดยนายผล ก้านลูกชายเขาฟังด้วยความตื่นเต้นแทบไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวชาวบ้านจะกล้าทำถึงเพียงนี้

“ข้าก็ไม่อยากจะเล่าอะไรมาก แต่เห็นแล้วมันขัดลูกกะตาจริงๆ ผู้หญิงอะไรกล้ากอดคุณหลวง ไม่กลัวบารมีท่านเลย ลูกเมียท่านก็อยู่ออกโทนโท่”

กรองแก้วได้ยินก็เข้ามาถามน้ำเสียงไม่พอใจ ผลหน้าเสียเล่าให้ฟังทั้งหมดว่าเมื่อเย็นตนเองเห็นอะไรมาบ้าง กรองแก้วโมโหเดือดจัดพูดกับบ่าวไพร่ว่าตน

นึกแล้วว่าซ่อนกลิ่นคนนี้ไว้ใจไม่ได้ ต่อแต่นี้คงต้องระวังคอยจับตามองไม่ให้เรื่องขายหน้าเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ทุกคนรับปากจะเป็นหูเป็นตาให้อย่างแข็งขัน

ตกดึกคืนนั้น กรองแก้วรีบตัดไฟแต่ต้นลมโดยขอร้องหลวงเดชให้รีบกลับพระนครเสีย เธอให้เหตุผลว่า

“ดิฉันเห็นคุณพี่โฉมฉายไม่ค่อยสบาย ส่วนแม่พิศก็เพิ่งคลอดลูก เกิดเจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมาอีก ที่นี่หมอก็ไม่มากเท่าพระนคร น้องว่ากลับบ้านเราดีกว่าไหมคะ”

หลวงเดชทำสีหน้าครุ่นคิดจนกรองแก้วต้องพูดย้ำให้เชื่อตนก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงไปกว่านี้ สามีจำนนด้วยเหตุผลไม่มีข้อโต้แย้งจึงตัดสินใจทำตามข้อแนะนำในที่สุด ด้านซ่อนกลิ่นกำลังยิ้มมีความสุขที่สวรรค์ดูเหมือนจะเป็นใจให้แผนร้ายค่อยๆสำเร็จไปทีละขั้น พึมพำกับตัวเองว่า

“คุณหลวงจะทำให้ชีวิตฉันดีขึ้น ฉันจะได้ไปพ้นๆ จากที่นี่ ที่ที่มีแต่คนที่ฉันเกลียด!”

ซ่อนกลิ่นนึกถึงวัยเด็กมองเห็นพ่อและเมียหลวงกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีจนจำเนียน มารดาของตนถูกกล่าวว่าเป็นชู้กับสามีคนอื่นและเธอถูกตราหน้าว่าเป็นลูกชู้

ชาวบ้านต่างนินทาว่าร้าย แม้แต่ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลืออีก มารดาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นหมอตำแย แต่ก็ไม่เคยได้รับเงินเป็นค่าจ้าง ทุกรายที่ให้ทำคลอดต่างเอาข้าวของมาให้แทนการจ่ายเงินซึ่งเป็นสิ่งที่ซ่อนกลิ่นเห็นว่าไม่ยุติธรรม ความน้อยเนื้อต่ำใจค่อยๆสะสมจนกระทั่งมันปะทุระเบิดออกมา

“ฉันไม่อยากอดทนอีกแล้วแม่ ฉันเบื่อ...ได้ยินไหมว่าฉันเบื่อ ฉันอยากไปจากที่นี่...ต่อให้แม่ทำดียังไง

คนที่นี่เขาก็ดูถูกว่าแม่แย่งผัวเขา แล้วฉันก็คือนังลูกไม่มีพ่อ!”

ซ่อนกลิ่นเดินอารมณ์เสียมาตามทาง พลันมองเห็นขวัญ น้องสาวนพ เพื่อนชายของเธอกำลังลองกำไลข้อมืออยู่หลายอัน เธอแอบมองจนปลอดคนก็เข้าไปหยิบกำไลมาลองสวมด้วยความอยากได้ ขวัญเดินออกมาเห็นเข้าก็โวยวายกล่าวหาว่าซ่อนกลิ่นขโมยของ แม่ของนพได้ยินเสียงเอะอะจึงออกมาดูแล้วไม่รับฟังการแก้ตัวจากซ่อนกลิ่น ตรงเข้ามาตบหน้าบริภาษอย่างรุนแรง ซ่อนกลิ่นกำมือแน่นจ้องหน้าแม่นพด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปทั้งน้ำตา

นพ เพื่อนชายคนเดียวที่เหลืออยู่วิ่งตามไปแต่ไม่กล้าปลอบโยนได้แต่ยืนดูห่างๆ ซ่อนกลิ่นหันมาเห็นก็สะบัด หน้าบอกว่าไม่ต้องมาเยาะเย้ย สักวันหนึ่งตนจะหากำไลมาใส่เอง นพมองตามงงๆเพราะรู้ว่าซ่อนกลิ่นไม่มีเงินไปซื้อของแล้วจะได้กำไลมาจากไหน ด้วยความคิดแบบเด็ก ซ่อนกลิ่นใช้วิธีขโมยกำไลจากแผงในตลาด แต่ไม่รอดสายตาแม่ค้าที่โวยวายวิ่งตามจับแล้วตบตีหลายทีไม่มียั้ง

โชคชะตาบังเอิญชักนำให้ขุนเดชที่มีธุระในตลาดพอดี เขารีบเข้าไปห้ามและสอบถามจนได้ความว่าซ่อนกลิ่นขโมยของ ขุนเดชส่ายหน้าเอือมๆก่อนหันไปบอกแม่ค้าว่าตนจะซื้อให้เอง นั่นคือเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ซ่อนกลิ่นฝังใจซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของเขาแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความลุ่มหลงใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งตนจะมีโอกาสได้เป็นคุณนายของขุนเดชบ้าง

ooooooo

รุ่งเช้าวันถัดมา ครอบครัวหลวงเดชบริรักษ์พร้อมแล้วที่จะกลับพระนครหลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายจนต้องเดินทางกลับก่อนกำหนด หลวงเดชประคองโฉมฉาย ในขณะที่กรองแก้วคอยดูแลพิศที่อุ้มอรพิลาสเพื่อเดินลงมาจากเรือน

แต่แล้วพวงก็เดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าหลวงเดชแจ้งว่าซ่อนกลิ่นขอเข้าพบ กรองแก้วฟังความแล้วเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาทันที กระชากเสียงถามว่ามาหาด้วยเรื่องอะไร ซ่อนกลิ่นใช้มารยาตอบว่าตนปรุงยาบำรุง

มาให้พิศ โฉมฉายได้ฟังก็รู้สึกตื้นตันใจ ต่างจากกรองแก้วที่อดระแวงไม่ได้ พูดประชดว่า

“ช่างเป็นคนมีน้ำใจหรือมีอะไรกันแน่ ขอบใจนะ... แล้วก็กลับไปได้แล้วล่ะ พวกฉันต้องรีบเดินทางกลับพระนคร”

ซ่อนกลิ่นได้ยินเข้าก็หน้าเสียไม่สนใจคำพูดขอบคุณของพิศแม้แต่น้อย จนโฉมฉายเอ่ยปากทักท้วง ซ่อนกลิ่นได้สติพยักหน้ารับทราบหงอยๆ กรองแก้วไม่รอช้าพยายามเร่งเร้าให้ทุกคนขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับบ้านเสียที หลวงเดชกล่าวอำลาซ่อนกลิ่น ในขณะที่หญิงสาวหน้าเจื่อนใจหาย ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน และแล้วเพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่ทุกคนกำลังวุ่นวายจะขึ้นรถ ซ่อนกลิ่นหลับตาแกล้งปล่อยตัวเองให้ลื่นตกบันไดลงมา เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้อง

“โอ๊ย...ช่วยด้วย ฉันตกบันได ใครก็ได้ช่วยที”

ทุกคนหันมามองด้วยความตกใจ เจิมถอนใจเฮือกใหญ่ส่ายหน้าก่อนจะเอายาสมุนไพรทาเท้าให้ซ่อนกลิ่น ปากก็พร่ำบ่นว่าเธอซุ่มซ่ามจริงๆ เดินยังไงให้ตกบันไดลงมาได้ หญิงสาวแอบเบ้หน้ารำคาญแก้ตัวว่าพื้นมันลื่น เลยเกิดอุบัติเหตุจนได้ เจิมค้อนหน้าคว่ำ ด้านพวงเดินเข้ามาตามบอกว่าจะให้ก้านไปส่งซ่อนกลิ่นที่บ้าน แล้วพวกท่านจะได้กลับพระนคร ซ่อนกลิ่นทำทีน้อยใจลุกขึ้นเดินกะเผลกๆออกไป สามบ่าวมองหน้ากันเหมือนกับจะรู้ว่าแม่คนนี้ต้องหาเรื่องเดือดร้อนมาให้อีกแน่ๆ

ซ่อนกลิ่นพยายามทำทุกวิถีทางที่จะประวิงเวลาไม่ให้คณะของหลวงเดชได้กลับพระนครง่ายๆ แต่แล้วก็ต้องหน้าเสียเมื่อรู้ว่ารถไม่ได้มีคันเดียว หลวงเดชเดินมา

สั่งความกับก้านว่าตนจะกลับไปกับรถนายผล ส่วนรถที่ก้านขับก็ให้ไปส่งหญิงสาวที่โรงพยาบาลแล้วค่อยตามกลับเข้าพระนครทีหลัง ซ่อนกลิ่นหน้าจ๋อยหมดหนทางยื้อเวลา

ระหว่างทางนั่นเอง ซ่อนกลิ่นเกิดเปลี่ยนใจบอกก้านว่าอาการของตนดีขึ้นแล้ว ขอให้ช่วยไปส่งที่บ้านแทน ก้านขมวดคิ้วงงๆด้วยความแปลกใจ แต่ไม่โต้แย้งขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่ตามคำขอร้อง ซ่อนกลิ่นจิกหางตาร้ายกาจขบคิดแผนบางอย่างได้ในใจ

เมื่อมาถึงบ้าน ซ่อนกลิ่นขอร้องให้ก้านอยู่รอสักครู่ ตนอยากฝากยาหม้อบำรุงไปให้คุณพิศเพื่อใช้ในระยะอยู่ไฟ ก้านพยักหน้ารับและสำทับให้รีบนำมาให้ตนโดยเร็ว ซ่อนกลิ่นเดินเข้าบ้านมุ่งหน้าไปที่ครัว หันมองที่เตาแล้วจุดไฟด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก้านยืนพิงรถเดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจ ซ่อนกลิ่นยืนรอไฟในเตาลุกโชน แล้วหยิบหม้อน้ำขึ้นมา

“คนอย่างอีซ่อนกลิ่น อยากได้อะไรกูต้องได้”

ซ่อนกลิ่นทิ้งหม้อลงกับพื้นเสียงดังเพล้ง แล้วถีบเตาให้ล้มลงจนถ่าน ฟืน ขี้ไต้หกกระจาย เธอถอยห่างยืนมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนขยายวงไปอย่างใจเย็น ก้านที่ยืนรอจนเมื่อยจึงมานั่งรอในรถทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง เขาหันไปมองที่บ้านซ่อนกลิ่นเห็นเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากในนั้น

“เฮ้ย ไฟไหม้! มีใครอยู่แถวนี้ไหม มีไฟไหม้ๆ”

ขณะเดียวกัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือของซ่อนกลิ่นก็ดังออกมาจากในบ้าน ก้านรีบวิ่งเข้าไปทันที ข้างในนั้นเต็มไปด้วยเปลวไฟลุกโชน ก้านมองเห็นซ่อนกลิ่นนั่งอยู่กับพื้นร้องขอความช่วยเหลือ เขาเข้าไปช่วยเธอออกมาได้ทันอย่างหวุดหวิด ในขณะที่ซ่อนกลิ่นสำลักควันแทบตายและแกล้งร้องไห้ขอความเห็นใจ

“บ้านฉันไหม้หมดแล้ว ฉันไม่มีเหลืออะไรแล้ว อยู่ไปก็คงเป็นขอทาน ตายซะดีกว่า”

เป็นไปตามแผนของซ่อนกลิ่น เมื่อก้านเห็นพฤติกรรมร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจก็เกิดความสงสาร แต่ยังไม่ทันไรซ่อนกลิ่นก็แกล้งทำมือเท้าอ่อนเซล้มลงกับพื้นเหมือนเป็นลม ก้านตกใจยิ่งยวดพยายามเขย่าตัวหญิงสาวให้ได้สติแต่ไม่เป็นผล

ooooooo

ลิขิตริษยา

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด