ตอนที่ 12
อัลบั้ม: "ติ๊ก เจษฎาภรณ์" ประกบ "ศรีริต้า" ใน "เจ้าบ้านเจ้าเรือน"
แพรขาวไม่เห็นด้วยว่าไรวินท์จะต้องถูกจองจำไม่มีวันสิ้นสุด เพราะนักโทษยังมีวันสิ้นสุดการจองจำ ไรวินท์ว่าตนก็เคยคิดเช่นนั้น หญิงสาวพนมมือถามเจ้ากรรมนายเวรจะเคียดแค้นอะไรนักหนา จองเวรกันชั่วกัปชั่วกัลป์เลยหรือ ไม่ใจร้ายหรือย่างไร ขอให้เลิกจองเวรกันเสียที
“แม่หนู นี่หล่อนจะช่วยฉันเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรให้ผ่อนโทษหรือจะยิ่งให้เพิ่มโทษกันแน่ บาปกรรมที่ฉันก่อเอาไว้มันอาจจะทำให้เขาเจ็บช้ำมากเกินกว่าจะอภัยให้ฉันได้กระมัง”
แพรขาวได้เห็นภาพในอดีตของไรวินท์อีกครั้ง... หลังจากญี่ปุ่นยาตราทัพเข้ามาในประเทศไทย รัฐบาลยอมจำนนให้ทหารญี่ปุ่นตั้งกองทัพอยู่ในส่วนต่างๆของประเทศ เท่ากับเป็นคู่สงครามกับฝ่ายพันธมิตรคืออังกฤษและอเมริกา นับแต่นั้นก็มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดไม่เว้นแต่ละวัน ผู้คนอพยพย้ายถิ่นฐานกันโกลาหล เพียงชั่วเวลาไม่นาน กรุงเทพฯก็เกือบกลายเป็นเมืองร้าง
ถึงกระนั้นวารีก็ไม่ยอมหนีเพราะเป็นห่วงกิจการน้ำอบน้ำปรุง ทำให้คนงานหวาดผวาเสียงหวอแทบทุกวัน... ไรวินท์ในอดีตไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยที่บ้านเท่าไหร่ กลับมาดูแลมาลาตีกับมะลิทุกเย็นหลังเลิกงาน
วารีเริ่มเจ็บป่วยมากขึ้น สีนวลปรนนิบัติดูแลอย่างดี และยังทำหน้าที่เก็บเงินทองให้ไม่ขาดสายแต่อดน้อยใจไม่ได้ที่วารีสั่งห้ามบอกเรื่องเจ็บป่วยกับไรวินท์ ทำให้เขาไม่ค่อยกลับบ้าน อ้างนอนที่กรม แต่เธอรู้ว่าเขาไปอยู่กับเมียน้อย วารีปลอบอย่างไรเสียเขาก็ยังกลับมาบ้านบ้าง
ทุกครั้งที่มีเสียงหวอเตือนภัย บ่าวไพร่ประคองวารีไปหลุมหลบภัย สีนวลต้องกอดปลอบลูกไม่ให้กลัวร้องโยเย บ่าวไพร่บ่นว่าบ้านเราไม่มีผู้ชายคอยเป็นหลักให้บ้างเลย สีนวลสวน
“มีสิ ผู้ชายบ้านนี้มีแต่ไม่รู้ไปอยู่บ้านไหน” ว่าแล้วก็น้ำตาไหลพราก
ด้านไรวินท์ดูแลปลอบใจมาลาตีไม่ให้กลัว มาตาลีฟูมฟายขอให้เขาพาไปอยู่ที่อื่น ไม่อยากอยู่พระนครแล้ว ไรวินท์บอกตนต้องดูแลแม่กับบริวาร มาลาตีโวย
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณแม่พี่ท่านออกใจแข็ง อยู่มาได้ท่ามกลางสงครามแบบนี้ตั้งนานสองนาน”
“ท่านอยู่เป็นเพื่อนพี่ต่างหาก ก็พี่ต้องไปกระทรวงทุกวันนี่”
“ไม่รู้ล่ะขืนอยู่แบบนี้บอมบ์จะลงเรือนเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะคะคุณพี่ เราไปอยู่แถวนนทบุรีก็ได้”
ไรวินท์ขอดูลู่ทางก่อน แต่มาลาตีออดอ้อนจนเขาใจอ่อนจนได้...
เช้าวันใหม่ ไรวินท์กลับมาบ้าน ลูกสาววัยสี่ขวบเข้ามาเกาะแข้งเกาะขา เขาจึงอุ้มขึ้นมากอดหอมด้วยความคิดถึง สีนวลเดินมาเห็นหยุดมองค่อยๆคลี่ยิ้มออก พอเขาหันมาเห็นก็ต่อว่า
“แม่นวล ทำไมหล่อนถึงปล่อยลูกมาเดินเล่นแถวนี้ เกิดรถราวิ่งมาทับลูกจะว่ายังไง”
“เอ่อ ขอประทานโทษเถอะคะ ฉันยุ่งจริงๆมัวแต่ดูหม้อต้มหยูกยาของคุณแม่น่ะค่ะ”
ไรวินท์สะดุดหูรีบถามแม่เป็นอะไร สีนวลหน้า เจื่อน...ไรวินท์รี่มาดูอาการวารี ประคองให้ทานยา ท่าทางเธอดีใจบอกสวดมนต์ขอคุณพระคุ้มครองให้ลูกปลอดภัย และว่าอย่าตำหนิสีนวลเพราะตนเป็นคนสั่งไม่ให้บอกเขาเรื่องอาการป่วย ไรวินท์ก้มกราบที่ตักประจบเป็นเพราะแม่สวดมนต์ให้ตนถึงรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด วารีรีบบอกว่าเมื่อคืนระเบิดลงหนักเห็นหลานร้องไห้แล้วสงสาร คิดว่าจะย้ายไปอยู่นอกเมือง สีนวลได้ยินดีใจ ถามจะไปอยู่ไหนกันดี บ่าวไพร่พลอยดีใจไปด้วย ไรวินท์อึกอักๆ
“ผมก็คิดอยู่เหมือนกันครับว่าจะไปอาศัยบ้านเพื่อนแถวเมืองนนท์ นั่งเรือมาทำงานได้สะดวก ส่วนคุณแม่ไปอยู่ให้ไกลจากระเบิดจะดีที่สุด แล้วผมจะหมั่นไปเยี่ยม”
สีนวลมองอย่างรู้ทัน หนูน้อยเข้ามากอดขอไปอยู่กับพ่อ เขาบอกลูกว่าพ่อต้องไปทำงานให้ลูกอยู่กับแม่และย่าจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วแนะให้ไปอยู่อยุธยาบ้านน้าแคล้ว
ooooooo
บ้านริมน้ำอยุธยาที่วารีซื้อไม้ส่งมาให้แคล้วปลูกไว้ก่อน ไรวินท์พาแม่ สีนวล ลูกสาวและบ่าวสองคนนั่งเรือมา วารีกับแคล้วทักทายกันด้วยความคิดถึง ไรวินท์จะลากลับ สีนวลท้วงไม่พักด้วยกันสักคืนก่อนหรือ เขาอ้างเป็นห่วงงานราชการทางโน้น สีนวลดักคอแน่หรือ วารีปราม
“เอาเถอะๆ พอๆแม่นวลก็ พี่เขาบอกว่าราชการก็ราชการสิ มาพิรี้พิไรอยู่ได้ ลูกวินท์ไปเถอะเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียเปล่าๆ มาส่งแค่นี้แม่ก็ชื่นใจแล้ว แม่รู้ว่าราชการช่วงนี้คงยุ่งน่าดู”
ไรวินท์ไหว้ลา หนูน้อยร้องไห้โยเยไม่อยากให้พ่อไป จู่ๆวารีก็วิงเวียนเป็นลม ไรวินท์ตกใจรีบดูแล...ทำให้เย็นนั้นเขากลับไม่ทัน สีหน้าสีนวลดูแจ่มใสขึ้นทันที
ตกค่ำ สีนวลต้มยามาให้วารีทานเรียบร้อย บ่าวทั้งสองหัวเราะคิกคักที่เห็นสีนวลอมยิ้ม วารีแซวอยากจะรีบไปดูแลสามีแล้วสิ เธออายม้วนอ้างจะไปดูแลความเรียบร้อยเท่านั้น “เอาเถอะจ้ะแม่เข้าใจ ยังไงก็อย่าลืมลูกลืมเต้ามันด้วยล่ะ”
สีนวลยิ้มเขิน อุ้มลูกน้อยที่หลับปุ๋ยพาดบ่าไป...เข้ามาในห้องเห็นไรวินท์นั่งอ่านหนังสือ จึงเอาลูกนอนอีกฟูกหนึ่งแล้วกางมุ้งให้ฟูกที่ไรวินท์นั่งอยู่ คุยอย่างอารมณ์ดีว่าวันนี้คุณแม่ทานอาหารได้เยอะกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะเขาอยู่ด้วย จู่ๆไรวินท์ก็พูดขึ้นว่า
“ฉันจะนอนคนเดียว เธอไปกางอีกมุ้งนอนกับลูกเถอะ”
สีนวลหน้าเสียพูดไม่ออก ก้มหน้าน้ำตาคลอ หัวใจแทบแตกสลาย...พอรุ่งเช้า ไรวินท์ถือกระเป๋าไปลงเรือกลับโดยไม่ล่ำลาสักนิด สีนวลได้แต่กล้ำกลืนความเสียใจ
จากนั้นไรวินท์ก็มาพามาลาตีกับมะลิย้ายมาอยู่บ้านเมืองนนท์ เป็นบ้านไม้หลังเล็กๆในสวน มาลาตีไม่ค่อยพอใจแต่มะลิเฉยๆเพราะเคยลำบากมาก่อน มาลาตีโวยวายติติงทุกอย่างในบ้าน ไรวินท์ต้องคอยปลอบและแก้ไขให้ด้วยความรักและเอาใจ เขาพร่ำบอก
“มาลาตีสุดที่รักของพี่ อย่างอแงไปเลยจ้า...”
“มาลาตียังเป็นสุดที่รักของคุณพี่อยู่เหรอคะ นี่ก็สองสามปีมาแล้ว อีกหน่อยก็คงเบื่อน้อง”
“หล่อนพูดผิดเสียแล้ว ยิ่งวันเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ความรู้สึกของพี่ก็ยิ่งชัดเจนว่าน้องคือยอดดวงใจของพี่ต่างหาก”
“บางทีน้องก็นึกอิจฉาเมียของพี่ที่ได้แต่งงานกับพี่ ได้เชิดหน้าชูตา”
“เขาก็แค่ผู้หญิงที่ผู้ใหญ่จับให้พี่จำต้องแต่งงานด้วยต่างหาก พี่ไม่เคยรักใคร่ไยดี ก็พี่จะรักใครได้อีกล่ะ ในเมื่อใจของพี่มอบให้ผู้หญิงคนนี้ไปหมดแล้วนี่” ไรวินท์สบตาหวานซึ้งมาลาตีค้อนชมดชม้อย ยั่วให้หลงใหลมากยิ่งขึ้น...
ooooooo
ที่บ้านอยุธยา สีนวลใจลอยจนทำให้มีดบาดนิ้ว เมื่อแคล้วแวะมาส่งข่าวว่าจะมีงานบุญประจำปีของหมู่บ้าน วารีอาสาทำขนมจีนน้ำพริกตำรับชาวกรุงร่วมถวายพระ หนูน้อยเข้ามาประจบอย่างน่าเอ็นดูขอให้ย่าทำขนมลูกชุบให้ตนด้วย
พอถึงวันงาน ชาวบ้านถูกใจกับฝีมือขนมจีนน้ำพริกของวารี ส่วนวารีทานอาหารพื้นบ้านร่วมกับชาวบ้าน แต่สีนวลไม่อาจทานได้ด้วยเผ็ดเหลือหลาย...ตกค่ำวารีท้องร่วงอย่างหนัก รวมทั้งชาวบ้านอีกหลายคน สีนวลตกใจมากให้บ่าวไปแจ้งกับแคล้วเพื่อช่วยพาวารีลงเรือไปหาหมอ
ขณะลอยเรือฝ่าความมืด วารีอาการแย่ลงจึงสั่งเสียสีนวลอย่าทิ้งไรวินท์ ระหว่างนั้นไรวินท์กำลังมีความสุขกับมาลาตีจนพลั้งชนกรอบรูปวารีตกแตก เขาชะงักแต่ไม่คิดอะไร...วารีสิ้นใจในเรือ สีนวลกรีดร้องลั่นคุ้งน้ำ
วันต่อมาสีนวลฝากคนของแคล้วที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯพอดี นำจดหมายไปส่งไรวินท์ที่กระทรวง แคล้วถามทำไมไม่ให้ส่งที่บ้าน เธออึกอักอ้างทำที่อยู่หาย...พอไรวินท์ได้รับจดหมายก็ตกใจหน้าซีด รีบเดินทางมาอยุธยาในทันที ร่างวารีกำลังเผา ควันลอยออกจากปล่องเมรุ สีนวลยืนมองน้ำตาไหลพราก แคล้วปลอบรีบเผาน่ะดีแล้ว คนเป็นโรคติดต่อไม่ควรเก็บไว้นาน
ไรวินท์มาถึงร้องเรียกแม่จ๋าลูกมาแล้ว...แล้วเขาก็ก้มกราบกับพื้นร่ำไห้ สีนวลมองด้วยความสะเทือนใจ...เสร็จพิธีเผา ยัยหนูเอาข้าวมาโปรยให้ลูกเจี๊ยบในบริเวณบ้าน แคล้วคุยอยู่กับไรวินท์ว่าวารีเป็นโรคระบาดท้องร่วง คน ในหมู่บ้านก็ตายไปหลายคนเช่นกัน อยากให้เขาพาลูกเมียกลับไปก่อนจะติดโรค ไรวินท์อึ้งอยู่นานจนแคล้วสงสัย แล้วเขาก็โพล่งขึ้นว่า
“ฉันต้องพาลูกเมียไปด้วยกันแน่...แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“อ้าว! จะมัวรออะไรอยู่ล่ะ โรคระบาดมันไม่ลามมาถึงเรือนก่อนเหรอ”
ไรวินท์อ้างต้องกลับไปเตรียมที่ทางก่อนแล้วจะรีบมารับ แคล้วว่าไม่ควรรอ สีนวลเข้ามาแทรก “ไม่ต้องเตรียมอะไรหรอกพี่วินท์ ฉันกับลูกไปวันนี้ก็ได้ เสื้อผ้าก็มีไม่กี่ชิ้น...”
แคล้วเห็นด้วย แต่ไรวินท์บอกว่าไม่ได้ เพราะตนก็อาศัยเพื่อนอยู่ จะพาใครไปอีกก็เกรงใจ คงต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ สีนวลไม่กล้าโต้เถียง ไรวินท์ถามหาลูกจะชื่นใจก่อนจะกลับระหว่างนั้นยัยหนูโปรยข้าวให้ลูกเจี๊ยบกินอยู่ บ่าวที่ดูแลจึงยกกระจาดผักไปเก็บในครัว ชั่วพริบตา หนูน้อยเห็นผีแกละมากวักมือเรียกให้ไปเล่นที่ท่าน้ำ ประตูท่าน้ำเปิดอ้าออก...สีนวลชะโงกมองไปทางลาน แปลกใจที่ไม่เห็นลูก แคล้วบอก
“คงอยู่แถวนี้ล่ะ มาทีไรก็ชอบไปเล่นกับลูกเจี๊ยบแม่ไก่อยู่เรื่อย เดี๋ยวน้าลงไปช่วยหาให้ กำลังจะกลับพอดี อ้าว! ประตูท่าน้ำเปิดทิ้งไว้อีกแล้ว ใครมาเปิดเล่นนะก็ฉันปิดเองกับมือนี่นา”
สีนวลใจหายวาบพรวดพราดออกไปตะโกนเรียกหาลูกลั่น ไรวินท์พลอยตกใจรีบตามไปอย่างกังวล บ่าวหน้าเสียเข้ามาบอกว่าคุณหนูให้ข้าวลูกเจี๊ยบอยู่ตนจึงยกกระจาดผักไปเก็บในครัว ทุกคนช่วยกันตามหาทั่วบริเวณ แคล้วสั่งคนลงไปงมในน้ำ สีนวลแทบถลาตามลงไป ชาวบ้านรั้งไว้ เธอทิ้งตัวลงร้องไห้แทบขาดใจ
ไรวินท์ไม่รอช้ากระโดดลงไปช่วยงม โผล่มาทีก็ร้องบอก “ยัยหนูกลับมาหาพ่อสิลูก ยัยหนู พ่อจะพาหนูกลับพระนครวันนี้นะ มาหาพ่อสิลูก”
สักครู่ก็มีคนอุ้มร่างหนูน้อยขึ้นมา สีนวลกรีดร้องเข้าไปแย่งลูกมากอดคร่ำครวญ ชาวบ้านซุบซิบว่าผีตายโหงมันคะนองมาเอาตัวไป ถึงไม่มีใครได้ยินเสียงเด็กร้องเลย ไรวินท์ยืนอึ้งสีหน้าหมดอาลัยตายอยากปล่อยน้ำตาไหลพราก
จวบจนเย็นย่ำ ไรวินท์ยังคงนั่งจ้องแม่น้ำที่พรากชีวิตลูกน้อยไป พลันได้ยินเสียงยัยหนูร้องไห้กระซิกๆแว่วมา “พ่อจ๋า...แม่จ๋า...เขาไม่ให้หนูไป...” เขาหันมองเห็นแต่ท่าน้ำว่างเปล่า
แพรขาวเห็นดวงตาไรวินท์ยังเจ็บปวดกับเรื่องในอดีต รู้สึกสงสารเขาจับใจเอ่ยถามเพราะเหตุนี้เขาถึงเอ็นดูชมพูหรือ ไรวินท์ยอมรับตนถึงเข้าไปช่วยวันที่ชมพูจมน้ำต่อหน้าต่อตา
“มันทุกข์ทรมานเกินไปสำหรับฉัน แม้ว่า...ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันสองจิตสองใจมาตลอด เธอและฉันอยู่กันคนละโลก ถ้าหากฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หากเป็นผลดีก็ดีไป แต่ถ้ามีผลร้าย ฉันก็จะทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่”
“คุณมีบุญคุณกับฉัน ฉันอยากจะช่วยคุณ พูดจริงๆนะคะมีอะไรที่พอจะช่วยได้บ้างไหม”
“ทุกข์ของฉันมีอย่างเดียวคือเป็นนักโทษอยู่ในเรือนนี้ รอคอยอิสรภาพที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่” แพรขาวถามมีวิธีไหนจะช่วยได้ “ฉันรู้ว่าเธออยากช่วยฉันจริง แต่เธอทำอะไรไม่ได้หรอก มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือการที่ฉันต้องรอให้บาปที่ฉันได้ทำกับสีนวลนั้นจบสิ้นลงหรือไม่เขาก็ยอมที่จะปลดปล่อยฉันไป”
“คุณสีนวลน่ะหรือคะที่เป็นคนขังคุณไว้ในเรือนนี้!”
หน้าต่างบนชั้นสองเรือนใหญ่ ปรากฏใบหน้าสีนวลตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น น้ำตาไหลเป็นสายเลือด “เขาไม่รู้หรอก เขาไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่รู้เสมอมาและจะไม่มีทางรู้ตลอดไป”
แพรขาวไม่อยากเชื่อว่าสีนวลผู้ดูอ่อนหวานจะเป็นคนสาปแช่ง ต้องมีเรื่องหนักหนาสาหัสที่เขายังไม่ได้เล่าให้ฟัง ไรวินท์ยอมรับตนทำบาปกับสีนวลอีกมาก และบาปนั้นทำให้วิญญาณตนไปไหนไม่ได้เมื่อร่างแตกดับ เรื่องใกล้มาถึงตอนท้ายแล้วตนจะเล่าให้ฟัง
ooooooo
ไฟกำลังโหมลุกไหม้บนเชิงตะกอนเผาร่างลูกน้อยของสีนวลกับไรวินท์ สีนวลร่ำไห้น่าเวทนา ส่วนไรวินท์ยืนนิ่งพยายามกล้ำกลืนความเสียใจ แคล้วปลอบใจสีนวลว่าลูกไปสบายแล้ว แต่เธอยังร้องไห้จนเป็นลม แคล้วรีบบอกไรวินท์ให้มาดูภรรยา แต่เขากลับนิ่งเฉยแล้วเดินจากไป
หลังเสร็จสิ้นพิธีเผาศพ แม้จะเศร้าเสียใจแต่สีนวลก็ยังหาข้าวปลาให้ไรวินท์ทาน เขากลับบอกเธอว่าไม่หิว แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ฉันต้องรีบกลับไปทำงาน ไม่อยู่เก็บกระดูกลูกเธอจัดการให้เสร็จแล้วกัน แล้วจะให้คนมารับ”
“พี่จะทิ้งฉันหรือ!” สีนวลสวนด้วยน้ำเสียงเครือ
“เธออย่ากวนใจฉันได้ไหม ขอเวลาฉันสงบสติอารมณ์สักหน่อยเถอะ” ไรวินท์หันขวับมาพูดเสียงเขียวแล้วก้าวฉับๆหนีไป สีนวลปล่อยโฮอย่างสุดทน
ตกดึกสีนวลอยากคุยให้รู้เรื่อง แต่ไรวินท์เข้าห้องใส่กลอนไม่ไยดีเธอสักนิด จวบจนเช้าตรู่ ไรวินท์ถือกระเป๋าเตรียมเดินทางกลับ สีนวลเก็บของแต่งตัวตามออกมา ยืนกรานว่าจะกลับไปพร้อมกันด้วย ได้สั่งบ่าวให้ช่วยแคล้วเก็บกระดูกลูกแล้วตามไป เพราะรู้ว่าหลังจากนี้ตนจะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีก ไรวินท์เถียงไม่ออก สีนวลเห็นสีหน้าสามีก็น้ำตาปริ่ม
“ฉันไม่มีคุณแม่ ไม่มีลูก ฉันเหลือพี่อยู่คนเดียว พี่ยังจะทิ้งฉันไปอีกหรือ”
“แล้วเธอไม่คิดหรือว่าฉันเสียใจมากแค่ไหน ฉันต่างหากที่ต้องเสียทั้งแม่ เสียทั้งลูก ก็ไม่อยากจะว่ากันหรอกนะ ถ้าเธอดูแลลูกให้ดีกว่านี้หน่อย ลูกก็คงไม่ตกน้ำตาย”
“ฉันนึกแล้วว่าพี่ต้องโทษฉัน พี่จะได้มีเหตุผลไปบอกใครๆว่าฉันมันเลว พี่ถึงได้ทิ้งฉัน”
“ฉันไม่อยากเสียเวลามาทะเลาะอะไรกับเธอ แค่นี้ฉันก็เสียใจจนเกินจะเสียใจอยู่แล้ว ทำไมเธอไม่หาทางอยู่ได้ด้วยตัวเธอเองเล่า แทนที่จะมายึดฉันไว้
ไม่ยอมปล่อย เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันแต่งงานกับเธอเพราะแม่ มีลูกกับเธอก็เพราะเห็นแก่แม่ ตอนนี้หน้าที่ของฉันมันจบลงแล้ว”
“ยังไม่จบ พี่ยังเป็นผัวของฉัน เมื่อพี่สู่ขอฉันเป็นเมียแล้ว พี่ก็ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูฉัน”
ไรวินท์จ้องหน้าพูดอย่างจริงจังว่า เราไม่เป็นผัวเมียกันนานแล้ว ตนจะมอบทรัพย์สินให้ ไม่ต้องกลัวอดตาย เพื่อแลกกับอิสรภาพตน สีนวลถามเสียงสั่นว่าเขาจะให้อะไร เขาจาระไนว่า ทั้งบ้านและกิจการน้ำอบของแม่ ให้เธอได้ทำต่อไป หรือเธออยากจะขายเรือนไปสักหลังก็ได้ ตนขอแค่หิ้วกระเป๋าใบเดียวออกจากบ้าน สีนวลสวนเขาจะไปอยู่กับเมียน้อยใช่ไหม
“เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับเธอ”
“คุณแม่เป็นห่วงพี่ ท่านกำชับให้ฉันอย่าทิ้งพี่ เพราะท่านเกรงว่าพี่จะมีจุดจบเหมือนพ่อของพี่” ไรวินท์ตวาดอย่ามาล่วงเกินถึงพ่อ “ฉันแค่บอกพี่ว่า คุณแม่ห่วงพี่เรื่องนี้ แต่พี่ไม่ให้พูดถึงพ่อพี่ ฉันจะไม่พูด ตั้งแต่อยู่กันมาฉันอดทนมาตลอดเพราะเห็นใจคุณแม่ แต่พี่ก็เป็นผัวฉัน ถึงพี่ไม่เคยรักฉัน ฉันก็...บัดนี้ฉันยอมแพ้ ฉันเหนี่ยวรั้งพี่ไว้ต่อไปไม่ได้ ต่อให้ฉันก้มลงกราบเท้าพี่อ้อนวอนขอไม่ให้พี่ทิ้งฉัน พี่ก็คงไปจนได้ ดังนั้นพี่จงไปเถิด ทิ้งบ้านไว้ให้ฉัน ฉันจะดูแลไว้ให้จนวันที่พี่กลับมา...น้องคอยคุณพี่นะคะ คอยทุกลมหายใจเข้าออก กลับมาหาน้องเร็วๆ”
ไรวินท์อึ้ง เป็นครั้งแรกที่สีนวลพูดได้ยาวมาก เขาตกลงจะให้เธอนั่งเรือไปลงที่พระนคร ถ้าเธอคิดว่าอยู่คนเดียวได้ สีนวลหน้านิ่งกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ
เรือที่ไรวินท์นั่งมาขึ้นที่ท่าน้ำนนทบุรี สีนวลถือกระเป๋าตามขึ้นมา เขาให้เธอรอที่ท่าน้ำ บอกจะแวะเอาของเก็บที่บ้านแล้วจะไปส่งเธอ สีนวลหน้าเสียรู้ว่าคงเป็นบ้านที่เขาอยู่กับเมียน้อย
มาลาตีกำลังนั่งตะไบเล็บอยู่ที่ระเบียงบ้าน พอเห็นไรวินท์กลับมาก็ดีใจวิ่งลงไปกอดแบบไม่อายสายตาชาวบ้าน ต่างพร่ำรำพันว่าคิดถึงกันและกัน
“ชื่นใจจริงๆแม่เทพธิดาสุดที่รักของพี่ ต่อไปนี้เราจะอยู่ด้วยกันจริงๆเสียที”
มาลาตีดีใจหอมแก้มเขาฟอดใหญ่แล้วต้องชะงัก เสียงกร้าวทันทีว่าเขาพาเมียมาด้วยหรือ ไรวินท์หันไปเห็นสีนวลยืนกำกระเป๋าแน่น มองเขม็งมาที่พวกตน จึงเอ็ดที่ตามมา
“ฉันก็อยากมาดูให้เห็นกับตา ว่าผู้หญิงที่แย่งผัวคนอื่นทั้งๆที่รู้ว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว หน้าตาเป็นยังไง รู้จักอายบ้างไหม”
มาลาตีปิดหูร้องไห้โฮ “คุณพี่! คุณพี่ทำไมปล่อยให้เมียมารังแกน้อง น้องก็เมียเหมือนกัน เราเป็นผัวเมียกันเพราะเรารักกัน หล่อนต่างหากผูกใจผัวไม่ได้แล้วจะมาโทษใคร”
ไรวินท์อิหลักอิเหลื่อทั้งโกรธทั้งหนักใจบอกให้ทั้งสองหยุด สีนวลหน้าชาสะอื้นว่าตนเป็นเมียแต่ง เขากลับเห็นหญิงอื่นดีกว่า ไม่เกรงใจกันบ้าง “เอาเถิด กรรมใดใครก่อขึ้นมา กรรมนั้นจะสนองพี่เอง ผู้หญิงอย่างนี้มันไม่รักพี่จริงหรอก วันนึงพี่จะต้องกลับมาตายรัง”
ไรวินท์โกรธไล่สีนวลให้กลับ เธออ้างไปไม่ถูก เขาจะจ้างเรือไปส่งให้ มาลาตีขับไสไล่ส่งกระแทกเท้าโวยไม่อยากอยู่ตรงนี้มีแต่เสนียดจัญไร ผัวเมียรักกันอยู่ดีๆ
ก็มายุแยงให้แตกกัน ไรวินท์คว้าแขนสีนวลเดินกลับไปทางท่าเรือ
ooooooo
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไรวินท์ก็นำเอกสารโอนกรรมสิทธิ์บ้านและทรัพย์สินมาให้สีนวลเซ็น เธอมองเอกสารเหล่านั้นด้วยแววตาทุกข์ระทมบอกให้เขาเอาเรือนเล็กไว้ เขายืนกราน
“ฉันลั่นวาจาแล้วว่าจะยกให้เธอก็ยกให้หมด ผู้ชายอย่างฉันมีปัญญาทำงานคงไม่อดตาย”
“ก็ตามใจพี่ พี่คงไม่อยากพาเมียน้อยมาอยู่ใกล้ฉัน แต่ฉันจะเก็บบ้านเล็กไว้ให้พี่ เผื่อวันนึงพี่ต้องกลับมาอยู่ พี่เกิดและโตที่นี่ ถ้าวันนึงพี่จะตายก็ควรมาตายที่บ้านตัวเอง”
ไรวินท์ข่มความไม่พอใจเสียงขุ่น ถ้าไม่ต้องการก็ขายไป แล้วอวยพรให้ทำมาค้าขึ้นมีชีวิตที่ดีกว่าที่อยู่กับ ตน สีนวลบอกข้อนั้นตนไม่รู้ แต่รู้อยู่อย่างว่า ผู้หญิงอย่างเมียน้อย เขาไม่ได้รักเขาจริง ถ้าเขาเหลือแต่ตัวเธอก็จะทิ้งเขา ไรวินท์โกรธหาว่าชวนทะเลาะ ว่าแล้วก็คว้ากระเป๋าเดินไปขึ้นรถ สีนวลน้ำตาร่วงพรูย้ำหนักแน่นว่าจะรอจนเขากลับมา
มาลาตีกำลังสั่งเด็กรับใช้ทำความสะอาดบ้านในพระนคร รื้อเครื่องเรือนที่เอาผ้าคลุมไว้เพื่อทำความสะอาด รวมทั้งโต๊ะทำงานของพ่อที่คิดจะเอาออกมาให้ไรวินท์ได้ใช้ มะลิแต่งตัวจะออกไปหาพรรคพวก ไม่อยู่เสียนานป่านนี้ขาไพ่คงรอกันเต็ม มาลาตีส่ายหน้าหันมาจัดบ้านต่อ
ไรวินท์จอดรถหิ้วกระเป๋าเดินเข้ามา มาลาตีดีใจเข้าไปถามมีของให้เด็กไปช่วยขนไหม เขาบอกว่ามีเพียงกระเป๋าใบเดียวแค่นี้ เธอเสียงขุ่นถามพวกเครื่องทอง นาก เงิน เครื่องลายครามทำไมไม่เอามาด้วย เขาย้ำของพวกนั้นค่อยหาเอาดาบหน้า เธอโวย
“อะไร! นี่คุณพี่ไม่เอาอะไรมาเลย ของดีๆทิ้งเอาไว้ในบ้านให้มันหมดเลยเหรอคะ รู้ไหมว่าหลังสงครามพวกทอง เงิน นากพวกนั้นราคาจะขึ้นอีกกี่สิบเท่า เชี่ยนหมากอันเดียวเมื่อก่อนแทบไม่มีราคา เดี๋ยวนี้แพงอย่างกับทอง”
“ช่างมันเถอะ ความจริงของทั้งหมดบนตึกใหญ่นั่นมันติดมากับตึก เป็นสมบัติเดิมของสีนวล คืนเขาไปก็สมควรแล้ว”
“อ้าว! แล้วของของคุณแม่คุณพี่ล่ะคะ เศรษฐีนีอย่างคุณแม่ยังไงก็ต้องมีเพชรนิล ทองหยองเก็บเอาไว้ มันเป็นมรดกของคุณพี่ทั้งนั้น พี่ต้องเอากลับมา จะไปทิ้ง ให้เขาชุบมือเปิบได้ยังไง”
ไรวินท์อึ้ง มาลาตีรบเร้า เขาจึงบอกว่าของทุกอย่างสีนวลเป็นคนเก็บ ตนไม่คิดจะกลับไปเอา แยกกันได้ก็ถือว่าจบ มาลาตีสบถทำนองเขาโง่ และว่าไปถึงสีนวลว่างกฮุบทุกอย่างไว้หมด
ด้านสุดสวาท ดูแลประสมซึ่งเจ็บป่วยซูบผอมตั้งแต่เกิดสงคราม ภรรยาลูกน้องเก่าของพ่อแวะเวียนมาเยี่ยม ทำให้เธอได้รู้ข่าวว่าไรวินท์อยู่กินฉันสามีภรรยากับมาลาตี เธอตกใจและเคียดแค้นมาก...จนกระทั่งประสมเสียชีวิตลง ไรวินท์ได้ข่าวจึงไปร่วงงานศพ แต่มาลาตีไม่คิดจะไป อ้างว่าไม่ชอบไปงานอัปมงคลแบบนี้ ขอเงินไรวินท์ไปซื้อของใช้ส่วนตัว เขาติงเพิ่งให้ไป
มาลาตีโวย “คุณพี่! บ้านปิดทิ้งไว้เป็นเดือนๆ มดปลวกมันก็กินอะไรต่างๆไปเกือบหมด แล้วยังพรุ่งนี้ช่างจะมาทาสีบ้านใหม่อีก...หึ”
ไรวินท์จึงขอให้งดซื้อของฟุ่มเฟือยไปก่อน เอาแต่ที่จำเป็น เธอร้องไห้โฮที่มาว่าฟุ่มเฟือย แล้วพานบ่นเรื่องตัวเองถูกโกงมรดก ตัวเขาก็ไม่เอาเงินทองติดตัวออกมาจาก เมียเก่า จะได้สบายขึ้นบ้าง ไรวินท์อ่อนใจส่งเงินให้อีกสองร้อย เธอหยุดฟูมฟายโน้มคอเขามาหอมแก้มซ้ายทีขวาที
พอมาถึงวัด เมื่อสุดสวาทเห็นหน้าไรวินท์ ความโกรธแค้นปะทุขึ้น เธอกราดเกรี้ยวด่าว่าเขาเป็นพวกคนโกงปลอมพินัยกรรมพ่อ ไรวินท์อายแทบแทรกแผ่นดินที่ถูกมองราวเป็นตัวประหลาด หันหลังกลับออกไปโดยเร็ว
มาลาตีกำลังเพลิดเพลินกับการนับเงินที่รีดไถมาจากไรวินท์ได้ ตั้งใจจะไปซื้อสร้อยคอสักเส้น พลันได้ยินเสียงรถเขาแล่นกลับมาก็ตกใจรีบซุกซ่อนเงินไว้ที่เดิม...ไรวินท์อ้างว่ามีงานด่วนต้องรีบทำจึงกลับมาเร็ว มาลาตีให้เขาไปใช้โต๊ะทำงานของพ่อ ไรวินท์ต้องการกำลังใจจึงดึงเธอมากอด หญิงสาวงงแต่ก็ออดอ้อนไปตามมารยาหญิง
รุ่งเช้า ไรวินท์ออกมายืนชานเรือน เห็นหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังพูดคุยกับมาลาตี และเห็นมาลาตีส่งซองน้ำตาลให้ เธอเปิดดูแล้วยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกลับออกไป...
พอมาลาตีเดินเข้ามาในบ้าน ไรวินท์เอ่ยถามว่าผู้หญิงคนนั้นเอาซองอะไรจากเธอ มาลาตีหน้าเจื่อนหาข้อแก้ตัวว่า “อ๋อ...น้าผ่องเพื่อนแม่ ก็แม่ใจดีเป็นนายประกันให้เพื่อนอีกคนกับน้าผ่อง แต่เพื่อนหนีหนี้ แม่เลยต้องมาเป็นหนี้แทน”
ไรวินท์พยักหน้าแต่ก็แปลกใจช่วงนี้ไม่ค่อยพบเจอแม่ของเธอเลย มาลาตีบอกว่าแม่มักจะไปหาเพื่อนกลับ ดึกดื่นอยู่เป็นประจำ แล้วเธอก็ออดอ้อนเปลี่ยนเรื่องบอกให้เขาทำงานไป เธอจะออกไปซื้อของให้แม่ที่ตลาด เขามองเธอด้วยแววตาลุ่มหลงจนขาดสติวิเคราะห์ใดๆ
ooooooo
เมฆครึ้มฝนโปรยปรายเบาๆ ไรวินท์นั่งทำงานที่โต๊ะของคุณหลวง เขาลองดึงลิ้นชักแต่ละอันออกดู เห็นของใช้ส่วนตัวของท่าน มีทั้งจดหมายเก่าๆกระปุก หมึก ปากกาคอแร้งและกระดาษซับหมึก จึงเปิดจดหมายออกดูเผื่อฉบับไหนเป็นเรื่องสำคัญจะได้เก็บรักษาไว้
จดหมายแต่ละฉบับเป็นข้อความสั้นๆ ทำนองสั่งให้มะลิทำอะไรให้ เช่น ให้ซ่อมประตู ซักแห้งเสื้อผ้า มีส่งเงินค่าเรียนของมาลาตี จนมาสะดุดที่จดหมายฉบับหนึ่ง ด้านล่างมีการเขียนประโยคซ้ำๆ และมีการร่างข้อความขึ้นใหม่ มีคำที่ถูกขีดฆ่า ทำให้เขาฉุกคิดใจหายวาบดูเหมือนข้อความในจดหมายที่มาลาตีนำมาให้อ่านว่าเป็นพินัยกรรมของคุณหลวง
“แปลก..มาลาตีเล่าว่าคุณหลวงท่านเขียนที่โรง– พยาบาล ทำไมต้องมีร่างจดหมายอยู่ที่บ้าน หรือว่า... มีใครบางคนพยายามลอกเลียนลายเซ็นและลายมือ
คุณหลวง!” ไรวินท์เริ่มประจักษ์และคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาที่มาลาตีขอให้ช่วย ประกอบกับคำด่าทอของสุดสวาท ที่ว่าตนอยู่กับพวกขี้โกง สิบแปดมงกุฎปลอมลายมือชาวบ้านก็ต้องเป็นพวกขี้โกงเหมือนกัน
ไรวินท์นั่งเครียด มาลาตีกลับมาสีหน้าเบิกบาน ในมือมีถุงข้าวของมากมาย พอเห็นหน้าเขาก็รีบเอาใจว่าซื้อของชอบมาฝากหลายอย่าง แต่เขายังนิ่งเฉย เธอแปลกใจปรี่เข้ามาใกล้ เห็นเขากำจดหมายในมืออย่างสั่นเทา จึงทักว่านั่นจดหมายของพ่อ ไรวินท์ลุกพรวดเสียงเขียว
“เนี่ยนะ เนี่ย! แบบนี้มันเรียกว่าจดหมายคุณหลวง หรือจดหมายของเธอ!”มาลาตีหน้าซีดอึ้ง “ฉันไม่นึกเลยว่าผู้หญิงดีๆแบบเธอจะกล้าใช้อุบายสกปรกขนาดนี้”
มาลาตีเสียงสั่นอ้างไม่รู้จะทำอย่างไร พ่อพูดกับแม่จริงๆว่าจะยกมรดกให้ตนกับแม่ แต่ท่านมาป่วยเข้าโรงพยาบาลเสียก่อน ถ้าไม่มีพินัยกรรมมาอ้าง ใครจะเชื่อตน ไรวินท์เครียดย้อนถามเธอเลยปลอมจดหมาย วางแผนหลอกตนและทุกคน ไม่รู้หรือว่ามันผิดกฎหมาย หญิงสาวบิดมือหาข้อแก้ตัวว่ามันจำเป็น ตนไม่ได้พูดเท็จ ท่านตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ เขาสุดทนตวาด
“ไม่จริง! เธอเขียนลงในกระดาษร่างนี่ว่าคุณหลวงยกมรดกให้เธอคนเดียวแต่เธอก็เปลี่ยนใจ แก้เป็นยกให้เธอกับพี่สาวคนละครึ่งเพราะกลัวคนจะจับพิรุธได้ว่าทำไมถึงยกให้เธอคนเดียว เธอถึงมาเขียนใหม่ และหวังว่าแบ่งกันคนละครึ่งสุดสวาทจะอะลุ้มอล่วยบ้าง พอเอาเข้าจริงสุดสวาทไม่ยอมใช่ไหมล่ะ”
มาลาตีไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ปิดหน้าร้องไห้โฮรำพันว่าเขาจะฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไม มันผ่านมาเป็นปีแล้ว ตนก็ไม่ได้เงินสักบาททั้งๆที่เป็นลูกเหมือนกัน แค่นี้ตนก็อยากจะตายเต็มทน...ไรวินท์อึ้ง โกรธก็โกรธแต่ไม่อยากซ้ำเติมมากกว่านี้ จึงเดินหนี มาลาตีปล่อยโฮลั่นบ้าน
เรื่องไม่จบแค่นั้น หญิงแปลกหน้าที่มารับซองจากมาลาตีที่บ้าน เป็นหญิงที่มาลาตีจ้างให้ถือจดหมายมาให้สีนวล เมื่อสีนวลเปิดดูเห็นเป็นลายมือไรวินท์ ข้อความว่า “แม่สีนวลโปรดเห็นใจ ฉันมีเรื่องเดือดร้อนอยากขอให้ช่วยเหลือ มาลาตีกับแม่ไปก่อหนี้สินให้ฉันมากมาย ฉันได้ยื่นคำขาดไปแล้วว่าจะเลิกกับหล่อน แต่ต้องจำเป็นใช้หนี้ที่หล่อนกับแม่ก่อไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าหนี้จะเอาเรื่องไปฟ้องเจ้านาย ฉันคงต้องออกจากราชการ...ฉันไม่เห็นว่าจะพึ่งใครในยามยากนอกจากเธอ ฉันอยากขอยืมเงินสักแปดพันไปใช้แก้ขัดก่อน แล้วฉันจะใช้คืนโดยเร็วที่สุด...ไรวินท์”
สีนวลอ่านจบก็ร้อนใจ รีบไปนำเงินมามอบให้หญิงแปลกหน้าคนนั้นโดยไม่ไตร่ตรอง...สองแม่ลูกปรีเปรมสวมทองหยองเต็มคอและนิ้ว มาลาตีร้อนใจที่ไรวินท์ไม่พูดจาด้วยหลายวันมะลิให้พยายามง้องอนอย่าปล่อยเรื้อรัง ถ้าเขาไปเจอคนใหม่แล้วจะลำบาก มาลาตีจึงจะรีบไปร้านเสริมสวยเพื่อกลับมาพิชิตใจเขาให้ได้ มะลิยิ้มเรี่ยๆขอเงินเพิ่มเพื่อไปเข้าบ่อนบ้าง
หลังจากสีนวลจ่ายเงินก้อนไปแล้ว เธอก็เริ่มขายทรัพย์สินในบ้าน สุดท้ายก็ต้องขายเรือนเล็กออกไป เผอิญป้าใหญ่พี่สาวคนโตของวารีแวะมาเยี่ยมเยียนเห็นสภาพอดไม่ได้เอ่ยถาม
“อย่าหาว่าฉันอะไรเลยนะ เธออยู่ตัวคนเดียวกับบ่าวหนึ่งคน ดูๆแล้วเหมือนไม่ค่อยได้ใช้จ่ายอะไรเท่าไหร่ด้วย ฉันถามหน่อย เธอเอาเงินทองตั้งมากมายไปทำอะไรหรือ”
สีนวลนิ่งเหมือนน้ำท่วมปากไม่รู้จะพูดอย่างไร...
ooooooo
เย็นวันนั้นมาลาตีในชุดเซ็กซี่เปิดไหล่ สวมต่างหูเพชรคู่ใหม่ระยิบระยับ พอได้ยินเสียงรถไรวินท์กลับมาก็รีบมายืนหน้าละห้อยแบบสำนึกผิด พอเขาเห็นตะลึงเล็กน้อยก่อนถามแต่งตัวจะไปไหน มาลาตีแอบดีใจที่เขาพูดด้วย รีบวิ่งมาเกาะแขนอ้อนให้ขับรถพาไปนั่งเล่น
แม้จะงงเล็กน้อยแต่ไรวินท์ก็ตามใจ ขับรถมาจอดริมแม่น้ำ มาลาตีเอ่ยถามยังไม่หายโกรธตนหรือ เขานิ่ง เธอทำเสียงสะอื้นน้ำตาคลอเบ้า “หรือพี่ไม่ยอมอภัยให้น้องแล้วจริงๆ พี่ไม่เมตตาไม่รักน้องแล้วหรือคะ น้องรู้ว่าน้องทำไม่ดี ทำอะไรลงไปไม่คิด แต่น้องก็ไม่ได้คิดจะหลอกลวงพี่ น้องแค่อยากทวงสิทธิ์ของน้องที่เป็นลูกสาวคนหนึ่งของคุณพ่อเท่านั้น”
ไรวินท์เหลือบมองใจแป้ว มาลาตีฟูมฟายเขาจะทิ้งตนแล้วใช่ไหม พร่ำว่ารักเขามากแล้วโผเข้าซบบ่าร่ำไห้...
ไรวินท์เอ็ดเบาๆให้หยุดร้องไห้ “ฟังนะ...นับจากวันนี้พี่กับเธอจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก เพราะถึงอย่างไรพี่ก็รักเธอ แม่มาลาตีพี่ไม่ได้จงเกลียด พี่ไม่ได้คิดทิ้งเธอ ได้ยินไหม”
มาลาตีดีใจพร่ำบอกว่ารักเขามากและสัญญาจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก ไรวินท์ใจอ่อนเรียกเธอด้วยความรัก “แม่มาลาตีคนงามของพี่...” เขาช้อนหน้าเธอขึ้นมาจุมพิตท่ามกลางแสงจันทร์...
แพรขาวหันขวับมองหน้าไรวินท์ ทั้งสองกลับมาอยู่หน้าศาลเจ้าบ้านเจ้าเรือน เธอโวย “โอยๆๆ ฉันจะหัวเราะหรือขยะแขยงก่อนดีเนี่ย” แต่พอเห็นสีหน้าเขาหม่นหมองก็ชะงัก “เฮ้อ...แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ก็ขอฉันพูดแบบหมดเปลือกไปเลยแล้วกันนะ ไม่อยากค้างคาใจ” เธอมองหน้าเชิงขออนุญาต เขาให้ว่ามา เธอโพล่งทันที “สมน้ำหน้า! คำนี้ละเหมาะกับคุณ เอาล่ะฉันไม่ขัดอะไรคุณแล้ว ต่อให้จบเถอะค่ะ”
ไรวินท์สะอึก “นี่ก็ดึกมากแล้ว เธอไปนอนดีกว่า เมื่อเธอหลับแล้วฉันจะได้พาเธอไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ชีวิตช่วงสุดท้ายของฉันได้อย่างไม่ขาดตอน”
แพรขาวตื่นเต้นที่มาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเขา เธอรีบกลับไปนอนต่อ “ฉันพร้อมแล้ว คราวนี้ปริศนาเรื่องสาเหตุที่คุณต้องมาติดหนึบอยู่ที่นี่คงจะแจ่มแจ้งเสียทีล่ะ”
เมื่อหญิงสาวหลับ...ก็เห็นภาพไรวินท์ในอดีตกำลังเขียนจดหมายถึงสุดสวาท ขอโทษที่เข้าใจเธอผิดเรื่องพินัยกรรม แต่แล้วเขาก็ขยำทิ้ง เปิดลิ้นชักหยิบจดหมายต่างๆของคุณหลวงออกไปหลังบ้าน แพรขาวตามไปดูคิดว่าเขาจะตาสว่างเสียที ไม่โง่จนวินาทีสุดท้าย แต่แล้วก็ต้องอึ้งตะลึงงัน เมื่อเห็นเขาเผาจดหมายทั้งหมดนั่น
“อ๊าย! เผาทิ้งทำไม นั่นมันของสำคัญมากๆเลยนะคุณวินท์” แพรขาวร้องลั่นอย่างลืมตัว
ooooooo










