ตอนที่ 13
นิศราเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นพิไลพยายามกดโทรศัพท์มือถือหาศักยะ แต่ติดต่อไม่ได้ ก็เข้ามาปลอบ ถึงกระนั้น พิไลก็ยังทำใจไม่ได้
“คอยดูนะ จบเรื่องผีๆสางๆนี่เมื่อไหร่ น้าต้องบังคับให้เจ้าตั้นมันบวชให้ได้ จะได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนที่มันทำร้ายเขาด้วย” พิไลเสียงเข้มแล้วเดินไปแปรงฟันในห้องน้ำเตรียมเข้านอน
นิศราหยิบหนังสือมาอ่าน รอเข้านอนพร้อมพิไล นาฬิกาตรงหัวเตียงบอกเวลาเที่ยงคืนพอดี พิไลที่อยู่ในห้องน้ำแปรงฟันเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองกระจก เธอเห็นเงาสะท้อนบนกระจกเป็นเงาคนสีดำ เดินผ่านด้านหลังไป ก็เริ่มหวาดกลัวรีบเอามือจับคอจะหยิบพระ แต่นึกได้ว่าสร้อยหลุดอยู่ในรถแท็กซี่เมื่อกลางวัน
พิไลเห็นท่าไม่ดีจะออกจากห้องน้ำ แต่ทันทีที่มือสัมผัสลูกบิด ก็มีมืออีกข้างที่เต็มไปด้วยเกล็ดงู เล็บแหลมเหมือนขานกเข้ามาคว้าข้อมือไว้ เธอตกใจจะร้องกรี๊ด พลันมีมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดงูอีกข้างก็เข้ามาปิดปากไว้ แล้วยังยื่นหน้ามาที่ข้างหูพร้อมกับส่งเสียงฟ่อๆ ทำให้พิไลช็อกตายคาที่
ศักยะมาถึงบ้านนิศราพอดี เขาเรียกให้ธีระเปิดประตูแล้ววิ่งขึ้นไปดูแม่บนห้อง นิศราบอกว่าพิไลแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำ ศักยะเคาะประตูเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาร้อนใจใช้ตัวกระแทกประตูเปิดออก ภาพที่เห็นก็คือพิไลนอนตายอยู่บนพื้น ตาค้างแข็ง สีหน้าหวาดกลัวถึงขีดสุด
“แม่” ศักยะเข้าไปพยายามปั๊มหัวใจให้พิไลพลางร้องเรียกให้ฟื้นขึ้นมาเหมือนคนสติแตก
ธีระกับนิศราตั้งสติได้รีบเข้าไปลากศักยะออกมา ศักยะฟูมฟายเสียใจที่ปกป้องแม่ไม่ได้ ขณะที่นิศราโทร.บอกเรน เรนจึงปรึกษาตาเลิศว่าจะทำไงต่อดี
“ก็ไม่เห็นจะต้องทำอะไรนี่คะ ก็แค่เข้านอน พรุ่งนี้ใครอยากไปงานศพก็ไป พิมไม่อยากไปก็ไม่ไป ไม่ใช่ญาติเราซะหน่อย ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนด้วยเลย” พิมพ์พัสตราตอบแทน
ทุกคนอึ้ง รัชต์ตำหนิพิมพ์พัสตราเพราะพิไลเป็นแม่สามีของเธอ แต่พิมพ์พัสตรายักไหล่ไม่แคร์
“หนูจ๊ะ หนูจะเกลียดตั้นยังไง แต่คุณพิไลเขาก็เป็นคนละคนกันนะ แล้วเขาก็ตายไปแล้ว หนูจะไม่ให้เกียรติเขาหน่อยเหรอจ๊ะ” สร้อยทิพย์ทนไม่ไหว
“งั้นก็เลือกเอาละกันค่ะ ว่าจะทิ้งพิมไว้คนเดียวให้ผีพรายมาฆ่าหักคอตายไปอีกคน หรือจะเลือกคนพวกนั้น แต่บอกไว้ก่อนนะคะ ยังไงพิมก็จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนทั้งนั้น” พิมพ์พัสตราเสียงแข็ง
ตาเลิศไกล่เกลี่ยให้สร้อยทิพย์อยู่เป็นเพื่อนพิมพ์พัสตรา ส่วนตนเอง รัชต์ และเรนจะไปช่วยงานศพพิไล เรนเห็นดีด้วยเข้าประคองตาเลิศไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบน รัชต์รีบตามไปติดๆ พิมพ์พัสตราเจ็บใจ กระทืบเท้าปึงๆออกไป สร้อยทิพย์ถอนใจเซ็งๆ พลางเดินตามไปอยู่เป็นเพื่อน
เมื่อแจ้งข่าวกับเรนแล้วนิศราก็กลับมาปลอบใจศักยะที่ยังนั่งสะอื้นอยู่ข้างๆศพพิไล ธีระเข้ามาสั่งว่า อย่าเพิ่งย้ายศพ เพราะเขาโทร.ไปแจ้งความแล้ว และตำรวจก็กำลังมา ศักยะได้ยินก็ระแวงตวาดใส่ธีระ เข้าใจว่าจะให้ตำรวจมาจับตน
“อะไรกันตั้น ตั้งสติหน่อยสิ พวกเราไม่มีใครคิดร้ายกับตั้นหรอกนะ” นิศราเข้ามาจับแขน แต่โดนศักยะระแวงผลักล้มลง
“เกินไปแล้วนะตั้น พี่เห็นว่าตั้นเพิ่งเสียคุณแม่ไปหรอกนะ ไม่งั้นล่ะก็...” ธีระโมโห
“ไม่งั้นจะทำไมคิดว่าฉันโง่เหรอ พวกแกทุกคนอยากเห็นฉันเข้าคุก อยากเห็นฉันตายกันทั้งหมดนั่นแหละ แต่ไม่มีวันซะหรอก คนอย่างฉันไม่มีทางติดคุก แล้วก็ไม่มีวันยอมให้พวกแกมาสมน้ำหน้าด้วย” ศักยะมองไปที่ศพแม่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ววิ่งออกไปจากบ้านพร้อมกับน้ำตา
ooooooo
ตาเลิศ รัชต์ และเรนตามมาสมทบกับธีระและนิศราที่โรงพยาบาล เพราะตำรวจส่งศพมาพิสูจน์ ธีระนึกโทษตัวเองที่ไม่ดูแลพิไลให้ใกล้ชิด ตาเลิศเข้ามาปลอบใจเพราะรู้จักพรายดีกว่าใคร รัชต์นึกห่วงเปรยว่าเป้าหมายต่อไปของพรายจะเป็นใคร
“แต่เรนว่ามันยังไม่ปล่อยพี่ตั้นไปง่ายๆหรอกค่ะนาย ถ้าพี่ตั้นยังมีประโยชน์กับมันอยู่”
“แต่ไอ้ผีพรายมันฆ่าแม่ของตั้นนะเรน ขนาดนี้แล้ว ตั้นจะยอมให้มันครอบงำอยู่อีกเหรอ”
“เรนก็ไม่แน่ใจนะคะนาย นาทีนี้เรนว่าเจ้าพรายมันรู้จักพี่ตั้นดีที่สุด โดยเฉพาะเรื่องหาผลประโยชน์จากความโลภของพี่ตั้น มันก็ทำสำเร็จมาตลอดไม่ใช่เหรอคะ” เรนเอ่ย ทุกคน ฟังแล้วก็หนักใจไปตามๆกัน
ส่วนศักยะตัดสินใจหนีไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อให้พ้นจากพราย เขาโทร.หาเรนฝากให้ช่วยจัดการเรื่องงานศพพิไลด้วย เรนเกลี้ยกล่อมให้ศักยะยอมกลับมา ศักยะไม่ยอม
“ผมทำสัญญากับมันว่าจะเอาชีวิตชายคนหญิงคนไปแลกกับชีวิตแม่ผม ก่อนเที่ยงคืนเมื่อวาน ผู้ชายก็คือนายทัดสิงห์ แต่ผู้หญิงผมทำไม่สำเร็จ แม่ถึงต้องตายตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่ามันคอยควบคุมทุกอย่าง บงการชักใยให้ผมทำตามความต้องการของมัน ถ้าผมกลับไปถึงไม่ติดคุกก็ต้องอยู่ใต้อำนาจของมันไปตลอด มีทางเดียว คือผมต้องหนีไปให้ไกลที่สุด ไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักผม แล้วก็ไกลพอที่จะพ้นจากอำนาจของมัน ผมถึงจะรอด”
“พี่ตั้นคิดว่าจะหนีมันพ้นเหรอคะ”
“ผมไม่รู้ แต่ผมไม่ยอมติดคุกแน่ๆ ลาก่อนเรน ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ” ศักยะกดปิดมือถือ
เรนถอนใจนึกเห็นใจและเข้าใจในชะตากรรมของศักยะ
ในตอนบ่าย เรนพาสร้อยทิพย์มาให้ปากคำเพิ่มเติมเรื่องคดีทัดสิงห์ สองแม่ลูกได้พบกับภรรยาเบอร์หนึ่งของทัดสิงห์ด้วย เธอตรงเข้ามาต่อว่าสร้อยทิพย์ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
เรนรีบปกป้องแม่ เธอขู่ภรรยาของทัดสิงห์ถึงเรื่องธุรกิจผิดกฎหมายที่นางทำอยู่ ภรรยาทัดสิงห์หน้าเสียรีบสงบท่าทีเดินหนีไป สร้อยทิพย์ยิ้มได้หันมาขอบใจลูก
“เป็นหน้าที่ของเรนอยู่แล้วค่ะแม่ เรนจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายแม่ได้อีกแล้วค่ะ” เรนให้สัญญา สร้อยทิพย์ยิ้มปลื้มเพราะทุกอย่างกำลังจะกลับมาดีเหมือนเดิม
แต่เมื่อเรนกลับมาถึงบ้าน พิมพ์พัสตราก็เข้ามาบ่น ที่ถูกเพื่อนๆ โทร.มาถามข่าวศักยะไม่หยุด เพราะอับอาย เธอว่าจะหลบข่าวไปอยู่เมืองนอกกับรัชต์ เรนถามเสียงแผ่วว่า รัชต์กลับมาคบกับพิมพ์พัสตราแล้วหรือ
“แหม เรื่องแบบนี้ไม่ต้องพูดก็น่าจะดูออก เรนก็บอกเองว่าไม่เคยเห็นพี่รัชต์มีใคร หรือบอกชอบใครนอกจากพิมเลยนี่จ๊ะ พี่รัชต์ไม่มีวันลืมพิมได้หรอกเรน” พิมพ์พัสตราสรุป
เรนหน้าเสียคิดหนักเรื่องรัชต์ ขณะที่ศักยะก็โดนพรายตามเล่นงานไม่เลิก มันมาบอกกับศักยะว่า จะเอาชีวิตรัชต์มาให้ตามสัญญา แต่ศักยะไม่ต้องการ เพราะสิ่งเดียวที่เขาอยากได้ตอนนี้คือ ให้พรายไปจากชีวิตของเขา
“ให้ข้าไปอย่างงั้นหรือ ข้าจะไปได้ยังไงล่ะ ในเมื่อข้าเป็นตัวแทนความโลภของท่าน ท่านคือผู้หล่อเลี้ยงให้ข้าเติบโตเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ข้าก็คือท่านยังไงล่ะศักยะ” พูดจบ พรายก็แปลงร่างเป็นศักยะยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ไม่จริง” ศักยะตะโกนสุดเสียงพุ่งเข้าชก พรายเลือนหายไปมีแต่เสียงหัวเราะเยาะของมันดังก้องอยู่ศักยะยกมือปิดหู เพราะหวาดกลัวอย่างที่สุด
เช้าวันใหม่ รัชต์เดินหงุดหงิดออกมาที่รถเตรียมจะออกไปพบลูกค้า พิมพ์พัสตราตามมาวีน เพราะโกรธที่รัชต์ไม่ยอมไปเมืองนอกด้วย รัชต์สุดทนหันมาสวน
“พิมแต่งงานแล้วนะ แล้วสามีพิมก็กำลังมีปัญหา ถ้าพิมหนีไปเมืองนอกกับผู้ชายคนอื่น พิมไม่กลัวคนเขาจะนินทาเอาเหรอ”
“ตอนนี้ต่อให้พิมอยู่เฉยๆ พิมก็โดนนินทาอยู่ดีล่ะค่ะ พิมว่าพิมเลือกทางที่ตัวเองสบายใจที่สุดดีกว่า”
“พิมสบายใจ แล้วพี่ล่ะ พิมไม่คิดจะถามพี่หน่อยเหรอว่าพี่สบายใจไหม” รัชต์เดินหนีขึ้นรถ
“พี่รัชต์ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ” พิมพ์พัสตราตามไปขึ้นรถของรัชต์บ้าง แล้วทั้งสองก็ทะเลาะกันไป
ตลอดทาง
ส่วนเรนเมื่อเห็นรัชต์ออกไปแล้วก็เดินซึมเข้ามาในครัว ตาเลิศนั่งทานข้าวอยู่หันมาเตือน “การเก็บปัญหาเอาไว้คนเดียว ไม่ใช่ทางแก้ปัญหานะเรน ทำไมไม่ลองพูดตรงๆ เปิดใจให้เข้าใจกันไปเลยล่ะ”
“มันไม่มีอะไรต้องพูดนี่คะตา ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายเขา คนอื่นจะไปก้าวก่ายอะไรได้ล่ะคะ”
“คิดอย่างงั้นจริงๆเหรอเจ้าเรน ถ้าเกิดคุณรัชต์เขาไปกับหนูพิมขึ้นมาจริงๆ เราจะไม่เสียใจแน่นะ”
“ทำไมเรนต้องเสียใจด้วยล่ะคะตา เมื่อเขาตัดสินใจยังงั้น ก็ชีวิตเขา เรนก็ทำบริษัทต่อไป เจ๊งก็ปิด ก็แค่นั้น” เรนรีบ หลบสายตา
ตาเลิศมองหลานอย่างรู้ทันแต่ไม่พูดอะไร หันมาทานข้าวต่อ เรนนั่งจ๋อยทานอะไรไม่ลง พอดีสร้อยทิพย์เดินถือซองใส่เอกสารเข้ามาถามเรนว่าใช่ของรัชต์หรือเปล่า เรนรับมาดูจำได้ว่าเป็นงานที่รัชต์ต้องใช้ในวันนี้จึงลุกไปโทร.หารัชต์ แต่รัชต์ออกรถไปไกลแล้ว และรถก็ติดมากด้วย เขาขอให้เรนช่วยเอามาให้ที่โครงการของคุณดิเรก เรนรับคำแล้วเดินออกไปที่รถ
ooooooo
รถของรัชต์ เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าสถานที่ก่อสร้างโครงการ รัชต์หันมาถามพิมว่าจะลงไปด้วยกันหรือจะนั่งรอในรถ เพราะที่ตรงนี้มีคนพลุกพล่านคงไม่มีอันตรายอะไร พิมพ์พัสตราขอนั่งรอในรถเพราะคุ้นเคยกับดิเรกจึงกลัวว่าเขาจะถามเรื่องศักยะ
“งั้นพี่ลงไปก่อนนะ เดี๋ยวสาย” รัชต์หอบงานลงจากรถไป
พิมพ์พัสตรามองตามด้วยความเจ็บใจ ที่รัชต์ไม่ใส่ใจตนเท่าที่ควร
รัชต์เดินมาถึงหน้าออฟฟิศชั่วคราว ดิเรกก็เดินออกมาเรียกบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยแต่ไม่อยากให้คนในออฟฟิศรู้ แล้วเดินนำรัชต์ไปคุยกันที่ใต้ตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จซึ่งเป็นมุมลับตา รัชต์สีหน้าเครียดเอ่ยถามดิเรก
“ถ้าคุณดิเรกมีปัญหา ยังไม่พร้อมที่จะจ้างงานบริษัทผมก็ไม่เป็นไรนะครับ”
“เปล่าหรอกครับ ทางผมน่ะพร้อมเสมอ เพียงแต่ที่เรียกคุณมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะทำตามสัญญาเท่านั้นเอง”
“สัญญาอะไรครับ”
“ก็สัญญา ที่ข้าจะต้องฆ่าเอ็งนะสิ ไอ้รัชต์” เสียงดิเรกกลายเป็นเสียงพราย
รัชต์ตกใจ รู้ทันทีว่าถูกหลอกแล้ว เขาขยับจะหนี แต่ก็ช้าเกินไป นั่งร้านและกองอิฐที่เหนือศีรษะพังลงมาทับร่างรัชต์ เป็นเวลาเดียวกับที่เรนลงมาจากรถพอดี เธอได้ยินเสียงดังลั่นเหมือนของหนักๆพังถล่มลงมาก็มองหา และได้ยิน
คนงานตะโกนบอกว่านั่งร้านถล่มทับคนจึงเข้าไปดู พิมพ์พัสตรา เดินตามไปบ้าง
เรนมาถึงที่เกิดเหตุเห็นแฟ้มเอกสารของรัชต์อยู่นอกกองเศษก่อสร้าง ก็ตกใจรู้ว่าต้องเป็นรัชต์แน่ๆที่อยู่ใต้กองซากนั่น เธอรีบเข้าไปช่วยคนงานรื้อกองวัสดุ เพื่อช่วยรัชต์ออกมาอย่างไม่กลัวเจ็บ ขณะที่พิมพ์พัสตรายืนละล้าละลัง เพราะกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
รัชต์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เรนน้ำตาคลอเบ้า
“คนไข้มีกระดูกร้าวอยู่สองจุด แต่ก็ยังไม่น่ากังวลอะไรมาก ที่หนักจริงๆ คือสมองได้รับความกระทบกระเทือน ซึ่งตรงนี้คงต้องรอดูอาการอีกซักระยะนะครับ” เสียงหมอก้องอยู่ในหัวเรน
“แล้วคุณรัชต์จะมีโอกาสหายไหมคะคุณหมอ”
“หมอยังตอบตอนนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าโชคดี คนไข้ก็อาจจะฟื้น แต่หมอก็ไม่กล้ารับรองนะครับว่าจะเหมือนเดิมรึเปล่า” หมอเดินจากไป
เรนน้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ตาเลิศ สร้อยทิพย์และพิมพ์พัสตราเดินเข้ามาหาเรน เรนเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยถามตาว่า ติดต่อพยาบาลเฝ้ารัชต์เรียบร้อยหรือยัง
“เรียบร้อยแล้ว คืนนี้จะมีพยาบาลมาเฝ้าคุณรัชต์ทั้งคืน แต่คืนต่อไป เราคงต้องเฝ้ากันเองล่ะนะ ไม่อย่างงั้น พวกเราอาจจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย” ตาเลิศหน้าเครียด
“เราสลับกันเฝ้านายกันเองดีกว่าค่ะตา คงไม่มีใครดูแลนายได้รอบคอบเท่าพวกเรา” เรนเข้าใจ
พิมพ์พัสตรารีบออกตัวเธอไม่เอาด้วย เพราะมีอย่างอื่นต้องทำอีกเยอะ แล้วขอตัวกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านเหมือนเดิม เพราะโทร.เรียกคนขับรถให้มารับแล้ว
“อ้าว จะกลับบ้านแล้วเหรอจ๊ะ หนูพิมไม่กลัวผีพรายแล้วเหรอ”สร้อยทิพย์เหลืออด
พิมพ์พัสตราหันไปมองสร้อยทิพย์ตาเขียวปั้ด ก่อนจะทิ้งค้อนแล้วเดินฉับๆเลี่ยงไป
“ทีเมื่อก่อนให้กลับก็ไม่กลับ พอคุณรัชต์ป่วยหนักก็ทิ้งไปหน้าตาเฉย” ตาเลิศส่ายหน้า
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณพิมทิ้งนายไปตอนลำบากหรอกค่ะตา”เรนหันไปมองรัชต์ที่นอนไม่รู้สึกตัวในห้องไอซียูด้วยความสงสารจับใจ
ooooooo
พรายต้องการกดดันศักยะให้ยอมกลับมาเป็นเครื่องมือของมัน มันจึงดลให้ศักยะฝันเห็นวิญญาณของคนที่ต้องตายเพราะเขาจะเข้ามาทำร้าย ศักยะร้องเรียกให้พิไลที่ยืนร้องไห้ให้ช่วยตนด้วย
“แม่ช่วยแกไม่ได้หรอกตั้น เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเพราะแกทำตัวของแกเองทั้งนั้น” พิไลเสียใจ
“ผมไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับแม่ ทุกอย่างเป็นฝีมือไอ้พราย”
“แต่มึงฆ่ากู มึงฆ่ากูกับมือของมึงเอง มึงฆ่ากู” วิญญาณทัดสิงห์โผเข้าบีบคอศักยะ
ศักยะดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน แล้วสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดกลัว จนไม่กล้าหลับตาอีก
เมื่อเล่นงานศักยะจนพอใจแล้ว พรายก็มาเอาชีวิตรัชต์ที่โรงพยาบาล แต่เรนมาเห็นพอดี เธอตกใจร้องลั่นรีบถอดสร้อยพระที่คล้องคออยู่วางที่หน้าอกของรัชต์ ทันใดนั้น เงาดำก็สลายไป พยาบาลวิ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เรนเห็นเงาดำหายไปก็โล่งอกบอกว่า ไม่มีอะไร แล้วถามหาสร้อยพระของรัชต์
“ทรัพย์สินของคนไข้ทั้งหมด เราเก็บไว้ในเซฟค่ะ ญาติไปติดต่อรับคืนได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” เรนยิ้มแล้วหันไปมองด้วยความหนักใจ เพราะถ้ามาช้าอีกนิดเดียวรัชต์คงไม่รอดแน่ เธอจึงออกมาปรึกษาเรื่องนี้กับตาเลิศ
“ไอ้ผีพรายมันคงตั้งใจจะมาเอาวิญญาณคุณรัชต์ ที่จริงคงกะจะฆ่าตั้งแต่แรกแต่อาจจะเป็นเพราะคุณรัชต์สวมสร้อยพระอยู่ ก็เลยทำไม่สำเร็จ เลยต้องตามมาเล่นงานที่โรงพยาบาลอีกที แต่รู้อย่างงี้ ก็ดีไปอย่างนะเจ้าเรน” ตาเลิศครุ่นคิด
“ดียังไงคะ”
“ก็แสดงว่าคุณรัชต์ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุ แต่ที่โคม่าเพราะฝีมือเจ้าพราย ถ้าเราดึงสติคุณรัชต์ให้พ้นจากเงื้อมมือเจ้าพรายได้ คุณรัชต์ก็มีทางรอดแล้วล่ะ”
“แล้วต้องทำยังไงบ้างล่ะคะตา ถึงจะดึงสตินายกลับมาได้” เรนเริ่มมีความหวัง
“ตาก็ไม่มั่นใจนักนะ แต่จะลองหาทางดู ช่วงนี้ก็พยายามหาคนที่คุณรัชต์สนิทสนมมาอยู่ใกล้ชิดก็แล้วกัน เผื่อจะเป็นพลังช่วยให้จิตคุณรัชต์เข้มแข็งขึ้น หนีพ้นจากการครอบงำของพรายได้” ตาเลิศแนะนำ
เรนคิดว่าคนเดียวที่พอจะช่วยได้คือพิมพ์พัสตรา จึงไปหาพิมพ์พัสตราที่บ้านขอร้องให้มาช่วยดูแลรัชต์
“พิมบอกแล้วไง ว่าพิมมีธุระต้องทำ จะให้ไปนั่งเฝ้าพี่รัชต์ทั้งวันทั้งคืน มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ”
“เรนก็ไม่ได้ให้คุณพิมเฝ้าทั้งวันทั้งคืนซะหน่อย แค่บางวันที่เรนจำเป็นต้องออกไปทำงานเท่านั้นเอง ช่วงนี้ตากับแม่ก็ต้องจัดการเรื่องงานศพน้าพิไลด้วย แต่ถ้าว่างเมื่อไหร่ เขาก็จะมาผลัดเวรให้แทน ไม่ให้คุณพิมต้องลำบากหรอกค่ะ”
“แล้วทำไมต้องเป็นพิมด้วยล่ะ ถ้าครอบครัวเรนไม่ว่างก็จ้างพยาบาลพิเศษเอาสิ เรื่องค่าใช้จ่ายพิมออกให้เองก็ได้”
“แต่ไม่มีใครเค้ารู้เรื่องเจ้าผีพรายเหมือนอย่างที่คุณพิมรู้นะคะ ให้นายอยู่ในมือคนอื่น ก็ไม่ปลอดภัยเหมือนอยู่กับพวกเราหรอกค่ะ แล้วที่สำคัญ คุณพิมกับนายผูกพันกันมาก ถ้าได้ดูแลใกล้ชิดกันบ่อยๆ บางทีอาจจะช่วยให้นายฟื้นขึ้นมาเร็วขึ้นก็ได้นะคะ”
“แต่พิมเกลียดโรงพยาบาล ยิ่งต้องมาดูแลคนป่วยอีก พิมทนไม่ไหวหรอกนะเรน”
“นายดูแลไม่ยากหรอกค่ะ ปกติก็นอนทั้งวันอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญ เลยต้องมีคนอยู่กับนายตลอดเวลาเท่านั้นเอง นะคะคุณพิม นึกซะว่าเห็นแก่ความรู้สึกดีๆ ที่นายกับคุณพิมเคยมีให้กันเถอะนะคะ แล้วถ้าเรนทำงานเสร็จเมื่อไหร่ จะรีบกลับมาทันที ไม่รบกวนคุณพิมจนเกินไปหรอกค่ะ” เรนอ้อนวอน
พิมพ์พัสตราถอนใจเซ็ง เพราะเรนพูดแบบนี้ ทำให้เธอปฏิเสธไม่ลง จึงจำใจมาเฝ้ารัชต์ที่โรงพยาบาลขณะที่ศักยะก็จำต้องหนีออกจากโรงแรม เพราะได้ยินแม่บ้านคุยกับเด็กเสิร์ฟว่า เขาอาจเป็นคนร้ายหนีคดีมา
ศักยะใส่แว่นดำเดินขึ้นมานั่งบนรถทัวร์ พรายตามมากระซิบข้างหู “พอคนสงสัยก็ต้องหนี หนีไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านกลายเป็นคนน่าสมเพชแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ศักยะท่านมีบ้านใหญ่โตก็ไม่ได้อยู่ มีเงินมากมายก็ไม่ได้ใช้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ทำงานให้ข้าซักชิ้นดีกว่า งานง่ายๆ แล้วข้าสัญญาว่าท่านจะได้ทุกอย่างคืนไป จะไม่มีใครเอาผิดท่านได้”
ศักยะเอามือปิดหู ไม่อยากได้ยิน แต่เสียงของมันยังคงดังก้องในหูต่อ “ลืมเรื่องแม่ท่านไปซะเถอะ ยังไงคนตาย ก็ฟื้นคืนไม่ได้ คิดถึงความสุข และเงินทองมหาศาลของท่านดีกว่า เชื่อข้า ท่านจะหลุดพ้นจากทุกคดี มีเงินใช้ไม่มีวันหมด เพียงแค่ท่านรับปากข้าเท่านั้น เป็นครั้งสุดท้าย ตกลงไหม”
“ไม่ ฉันจะไม่ยุ่งอะไรกับแกอีกแล้ว ไป ฉันบอกให้ไปไงล่ะ ไปให้พ้น” ศักยะตะโกนลั่น
ทุกคนในรถทัวร์หันมามอง ศักยะเห็นสายตาทุกคนก็ตั้งสติได้ เขาขบกรามแน่น สีหน้าเครียด
ooooooo
พิมพ์พัสตราชักเบื่อเพราะนั่งเฝ้ารัชต์มาเกือบทั้งวันจึงลุกออกไปเดินเล่น และบังเอิญเจอเพื่อนเก่าเข้ามาถามเรื่องศักยะ เธออับอายรีบเดินหนีมาสวนกับเรน เรนตกใจร้องถามว่าใครอยู่กับรัชต์
“นอนเป็นผักนึ่งอย่างงั้น ถึงไม่ตายก็ใกล้แล้วล่ะน่ะ พิมจะอยู่หรือไม่อยู่ก็มีค่าเท่ากันแหละ และพิมก็จะไม่มาที่นี่อีกแล้ว พิมไม่ต้องการเจอใครทั้งนั้น พิมเบื่อ เธอไม่ต้องหาเรื่องเดือนร้อนมาให้อีกนะเรน” วีนเสร็จ พิมพ์พัสตราก็สะบัดหน้าเดินหนีไป
เรนร้อนใจมากรีบวิ่งไปดูรัชต์ในห้อง เห็นเขานอนหลับสนิทอยู่บนเตียงก็เบาใจ “เรนขอโทษนะคะนาย ที่ดูแลนายได้ไม่ดี ต่อไปเรนจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วนะคะ ถ้าเรนมีงานหรือติดธุระอย่างอื่น เรนจะหาคนที่ไว้ใจได้มาอยู่กับนายนะคะ ตาบอกเรนว่า ถ้าหาคนที่ใกล้ชิดกับนายมาคอยพูดคุยด้วย อาจจะช่วยดึงสติของนายให้พ้นจากอำนาจเจ้าผีพรายนั่นได้ แต่เรนก็ไม่รู้จะหาใครจริงๆค่ะ คุณแม่นายก็อยู่ต่างประเทศ ส่วนคุณพิม” เรนบีบมือรัชต์แน่นอย่างรู้สึกผิด
ในขณะที่รัชต์เห็นตัวเองอยู่ในโลกวิญญาณเขาได้พบกับพ่อที่มาชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน รัชต์ดีใจจะเดินเข้าไปหา แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีน้ำหยดลงบนใบหน้า รัชต์แปลกใจ เงยหน้าหาที่มาของหยดน้ำ และเห็นภาพเรนนั่งร้องไห้กุมมือของเขาอยู่
“เรนพร้อมจะทำทุกอย่าง ขออย่างเดียวให้นายฟื้นขึ้นมา นายอย่าทิ้งเรนไปนะคะ” เรนน้ำตาร่วงผล็อย
รัชต์ยืนอึ้งเมื่อรู้ว่าเรนเสียใจแค่ไหนกับสภาพที่ตนเป็นอยู่ตอนนี้ เขาซึ้งใจกับความห่วงใยของเธอจึงจะหันหลังกลับ แต่พ่อร้องห้าม “อย่ารัชต์ อย่าย้อนกลับไป มาอยู่กับพ่อที่นี่เถอะ พ่อคิดถึงลูกมากนะ มาหาพ่อเถอะ”
รัชต์ละล้าละลัง ถึงจะสงสารเรน แต่ก็ห่วงใยพ่อเหมือนกัน เสียงเรนดังก้องขึ้นอีก “นาย บริษัทของเรากำลังไปได้ดีนะคะ พนักงานเก่าๆของนายกำลังจะกลับมาทำงานให้นายแล้ว พวกเราทุกคนต้องการนาย นายจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้นะคะ”
“ผมไม่ได้จากเรนไปไหน ผมอยากอยู่กับทุกคน ทำบริษัทให้ก้าวหน้าไปพร้อมๆกัน” รัชต์จะกลับไป
“อย่าไปฟังเสียงพวกนั้นรัชต์ มันเป็นอุบายของไอ้ผีพรายที่จะทำร้ายลูก เชื่อพ่อ แล้วมากับพ่อ พ่อเท่านั้นที่จะปกป้องลูกได้” พ่อรัชต์รีบขัด
“เรนนึกไม่ออกเลยว่าเรนจะใช้ชีวิตยังไง ถ้าไม่มีนายอยู่ด้วย เรนเคยแอบคิดนะคะ ว่าเรนอยากเห็นนายทุกวันแบบนี้จนแก่ตายกันไปข้างนึง ไม่ใช่ต้องจากกันแบบกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัวยังงี้ ถ้านายได้ยินที่เรนพูด ก็ตื่นขึ้นมาสิคะ ตื่นเถอะนาย ทุกคนรอนายอยู่นะ” เรนเอามือของรัชต์แนบแก้ม
รัชต์ที่กำลังสับสนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากแก้มของเรน ที่ส่งผ่านมาถึงตน
“ไอ้ผีพรายมันกำลังหลอกลูกนะรัชต์ อย่าสับสน เชื่อพ่อ ไปกับพ่อนะลูก” พ่อรัชต์ยื่นมือมา
รัชต์มองดูหลังมือตนอย่างชั่งใจอีกที ก่อนจะตัดใจ “ผมขอโทษนะครับพ่อ ผมยังไปกับพ่อตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องกลับไปหาเรน ผมเชื่อว่าน้ำตากับความอบอุ่นที่ผมสัมผัสได้ เป็นของเรนจริงๆ ไอ้ผีร้ายนั่นมันไม่มีทางทำแบบนี้ได้หรอกครับ”
พ่อมองรัชต์ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม พูดเป็นเสียงพราย “แต่มึงต้องไปกับกู วิญญาณของมึงต้องเป็นของกู” พรายเปิดเผยร่างที่แท้จริง
รัชต์ตกใจสุดๆ ที่พรายแปลงร่างเป็นพ่อจะมาทำร้ายตน ร่างของรัชต์ที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งเฮือกชักกระตุก มือบิดเกร็งดูน่ากลัว จอมอนิเตอร์ที่แสดงสัญญาณชีพ ก็เริ่มเต้นอ่อนลง เรนตกใจรีบกดเรียกหมอมาดู แต่หมอยังมาไม่ถึง ตัวรัชต์ที่บิดเกร็งอยู่ก็อ่อนยวบไม่กระดุกกระดิกอีก มอนิเตอร์แสดงสัญญาณชีพเต้นอ่อนลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นเส้นตรง
“นายนาย ฟื้นสินาย นายทิ้งเรนไปยังงี้ไม่ได้นะ นาย นาย เรนรักนาย นายอย่าทิ้งเรนไปนะนาย เรนรักนาย” เรนซบหน้ากับตัวรัชต์ ทั้งกอดทั้งร้องไห้จนตัวสั่นสะท้าน จึงไม่ทันเห็นมอนิเตอร์แสดงสัญญาณชีพอีกครั้ง เส้นสัญญาณที่กลายเป็นเส้นตรง เริ่มกลับมามีสัญญาณ ทันใดนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมากอดเรนไว้
“ผมกลับมาแล้วเรน” รัชต์เสียงแผ่ว
“นาย” เรนกอดรัชต์ร้องไห้ด้วยความยินดี
ooooooo
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา หมออนุญาตให้รัชต์กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน เขาใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินเข้ามาในบ้าน โดยมีเรนคอยประคอง รัชต์เห็นตาเลิศ สร้อยทิพย์ และพนักงานเก่าๆที่เคยทำงานกับเขา ยืนรอรับอยู่ก็แปลกใจหันมามองหน้าเรน
เรนยิ้มรับพลางอธิบาย “บริษัทของเราต้องขยายงานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ เรนก็เลยชวนพวกเรากลับมาทำงานด้วยกันอีก ตอนนายหลับอยู่ เรนก็บอกไปทีนึงแล้ว นายถึงได้ฟื้นไงคะ”
“ที่ผมฟื้น เพราะประโยคสุดท้ายของเรนมากกว่า” รัชต์ส่งสายตาหวานซึ้ง
เรนผงะไปเล็กน้อยด้วยความเขิน สร้อยทิพย์ร้องถามว่า เรนบอกอะไรกับรัชต์ เรนเขินจัดเดินหนีเข้าครัวไป ตาเลิศกับรัชต์มองตามแบบขำๆ แล้วรัชต์ก็เปลี่ยนเรื่องถามพนักงานว่า ลาออกมาหมดแบบนี้ที่บริษัทเอสวายไม่ว่าเอาหรือ
“ไม่มีใครว่าหรอกค่ะนาย ตอนนี้ใครๆก็อยากลาออกกันทั้งนั้น ยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้อีก ก็ยิ่งไม่มีใครอยากอยู่หรอกค่ะ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ” รัชต์งง
“คุณรัชต์อยู่โรงพยาบาลซะหลายวัน เลยยังไม่รู้ข่าวล่ะสิ แม่สร้อย เอาหนังสือพิมพ์ให้คุณรัชต์อ่านหน่อยซิ” ตาเลิศบอกลูกสาว
“ค่ะ คุณพ่อ” สร้อยทิพย์เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์มาให้รัชต์ “คุณรัชต์ลองอ่านดูเองแล้วกันค่ะ บาปกรรมมันตามทัน”
รัชต์รับหนังสือพิมพ์มาอ่าน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เช่นเดียวกับพิมพ์พัสตราที่เคร่งเครียดไม่แพ้กัน เพราะถูกผู้บริหารของบริษัทเอสวาย โทร.ตามให้เข้าประชุมและช่วยตัดสินใจแทนศักยะในฐานะเป็นภรรยาของเขา แต่พิมพ์พัสตรากลัวเดือดร้อนจึงจะฟ้องหย่า แม่รีบมาห้ามเพราะกลัวเรื่องจะยิ่งอื้อฉาว
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย เพราะแกแท้ๆเลย ชีวิตฉันถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้” พิมพ์พัสตราแค้นศักยะสุดๆ
เป็นเวลาเดียวกับที่ศักยะตัดสินใจจะหนีออกนอกประเทศโดยใช้บริการของนักเลงเจ้าถิ่นคนหนึ่ง
“แกจะพาฉันข้ามชายแดนได้เมื่อไหร่” ศักยะเอ่ยถามพลางส่งเงินค่าจ้างครึ่งหนึ่งให้
“พรุ่งนี้แปดโมงเช้า คุณเจอผมที่ท่าเรือได้เลย” นักเลงรับเงินไปเปิดดู
“หวังว่าคงไม่พลาดนะ”
“ผมมืออาชีพนะคุณ พาคนหนีข้ามชายแดนมาไม่รู้กี่คนแล้ว อย่าลืมก็แล้วกัน ถึงที่เมื่อไหร่ ผมขออีกครึ่งหนึ่งด้วย” นักเลงเดินออกไป
ศักยะสีหน้าเครียดพึมพำกับตัวเอง “คอยดูเถอะไอ้พราย ถึงไม่มีแกช่วย ฉันก็ไม่มีวันติดคุกหรอกโว้ย”
เช้าวันต่อมา ศักยะมาพบนักเลงที่ท่าเรือตามนัด แต่ถูกตำรวจซ้อนแผนจะเข้าจับกุม ศักยะวิ่งหนีเข้ามาในตลาดคิดหาทางเอาตัวรอดอย่างฉับพลัน เขาพร้อมเปิดเป้ ล้วงเงินมาฟ่อนหนึ่งแล้วตะโกนบอกชาวบ้านในตลาด
“ใครอยากได้เงิน มาทางนี้เลย” ศักยะโปรยเงิน ปลิวไปทั่ว พวกชาวบ้านเห็นเงินก็กรูกันเข้าไปเก็บเหมือนจลาจลย่อยๆ ตำรวจที่ตามมาจะฝ่าฝูงคนเข้าไปถึงตัวศักยะก็ไม่ถนัด ศักยะจึงหนีรอดไปได้ เขาหลบเข้าพักในบังกะโลแห่งหนึ่ง แต่พรายก็ยังตามไปเยาะเย้ย ศักยะโมโหตวาดลั่น “ไอ้พราย แกจะกลั่นแกล้งฉันไปถึงไหน ชีวิตฉันตกต่ำขนาดนี้แล้ว ยังไม่สาแก่ใจแกอีกรึไง”
“ข้าน่ะหรือกลั่นแกล้งท่าน ท่านทำตัวของท่านเองต่างหาก ถ้าท่านยอมให้ข้าช่วย ไม่ดื้อดึง ป่านนี้ท่านก็ยังมีทุกอย่าง ทรัพย์สินเงินทอง ภรรยาสวยๆ แล้วก็ไม่ต้องมาหนีตำรวจหัวซุกหัวซุนอย่างงี้ด้วย”
“แต่ก็ต้องแลกด้วยการเป็นทาสแกใช่ไหมล่ะ แกหลอกใช้ฉันให้ฉันทำทุกอย่างตามที่แกต้องการ แล้วแกก็ยังฆ่าแม่ฉันอีก ถ้าฉันฆ่าแกได้ ฉันทำไปนานแล้ว”
“ไม่เอาน่าศักยะ ท่านโทษข้าฝ่ายเดียวได้ยังไง ลองคิดดูสิ มีใครบังคับท่านให้ท่านใช้ข้ารึเปล่า ปู่ท่านกับไอ้จอน ก็ไม่เคยต้องการให้ท่านยุ่งเกี่ยวกับข้า แต่ท่านเลือกที่จะใช้ข้าเองต่างหาก”
“ใช่ ฉันมันโง่เอง น่าจะเชื่อที่คุณปู่สั่งเอาไว้ ไม่ควรไปยุ่งกับแกเลย”
“อย่ามัวคิดแต่ผลเสียสิ คิดถึงสิ่งดีๆที่ข้าบันดาลให้ท่านบ้าง ถ้าไม่มีข้า ท่านจะมีวันนี้ได้หรือ”
“ถ้าฉันรู้ว่าชีวิตฉันต้องลงเอยอย่างนี้ ฉันไม่มีวันหลงกลใช้งานแกหรอก ฉันยอมไม่มีอะไรเหมือนเดิม แต่ยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ยังดีซะกว่า”
“ข้าไม่เชื่อน้ำคำท่านหรอกศักยะ งั้นเราลองมาดูกัน ว่าท่านจะทนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้จริงอย่างปากพูดรึเปล่า” พรายในร่างศักยะเลือนหายไป
ศักยะขบกรามแน่นด้วยความเจ็บแค้น ไม่คิดกลับไปหาพรายอีก
ooooooo
บริษัทเอสวายของศักยะเจอมรสุมหนัก เพราะลูกค้าเกิดความไม่มั่นใจจึงโทร.มาขอคืนบ้าน คืนคอนโดฯ และโทร.มาด่าสารพัด จนพนักงานแทบหมดกำลังใจ ผู้บริหารเก่าที่เคยทำงานกับรัชต์ดูสถานการณ์บริษัทด้วยความเครียดก่อนหันปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อดี เพราะภาพพจน์บริษัทกำลังแย่เหมือนตอนวิกฤติรัชดาทาวน์ไม่มีผิด
“คนที่มีพาวเวอร์พอจะช่วยได้ก็ไม่มีใครยอมเสี่ยงกับเราเลย” ผู้บริหารชักถอดใจ
“แต่ผมพอนึกออกอยู่คนหนึ่ง คิดว่าเขาอาจจะยอมช่วยเราก็ได้” ผู้บริหารอีกคนส่งยิ้มบางๆอย่างมีความหวัง
ผู้บริหารนัดรัชต์กับเรนออกมาทานกลางวันด้วยเพื่อขอร้องให้รัชต์กลับไปช่วยบริษัท เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องบริษัทดีที่สุด รัชต์อึ้งชำเลืองมองหน้าเรน
“ตั้งแต่ที่คุณรัชต์ชนะการออกแบบศูนย์ประชุม เครดิตคุณในวงการก็ดีมาก มีแต่คนชื่นชม ลูกค้าเก่าแก่ที่ยังรักคุณพ่อคุณแม่คุณอยู่ก็มีไม่น้อย ถ้าคุณรัชต์ยอมกลับมาเป็นผู้บริหารให้รับรองทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
“ไม่ไหวมั้งคะ ตอนนี้เอสวายเหมือนเรือที่กำลังจะจม ลำพังแค่นายไปเป็นผู้บริหารคงพลิกสถานการณ์ไม่ได้หรอกค่ะ เรนว่าเหนื่อยเปล่า” เรนเป็นห่วง
“แต่ผมเชื่อว่าคุณรัชต์ทำได้ครับ สถานการณ์ของเอสวายตอนนี้ ผมมองเห็นคุณรัชต์คนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยกอบกู้วิกฤติได้” ผู้บริหารมั่นใจ
รัชต์หันไปสบตาเรน ถามความเห็น เรนนิ่งไป
ผู้บริหารเสนอทางเลือก“ผมจะให้บริษัทจ้างคุณรัชต์มาบริหารงาน เรียกค่าจ้างมาเลยครับ บริษัทสู้อยู่แล้ว ผมมั่นใจว่านาทีนี้ผู้ถือหุ้นทุกคนไม่มีใครขัดข้องแน่นอน ยังไงก็ดีกว่าปล่อยบริษัทเจ๊งล่ะครับ”
รัชต์ลังเล สองจิตสองใจไม่รู้จะเอาไงดี จึงยังไม่มีคำตอบให้ เขาเดินเครียดออกมาจากร้าน
“มันบอกไม่ถูกนะเรน ใจนึงผมก็อยากทำ แต่ถ้าพลาดขึ้นมา ก็เท่ากับว่าบริษัทนี้ล้มในมือผมถึงสองครั้งเลยนะ”
“ถ้านายมีความคิดแบบนี้ เรนว่านายยิ่งควรทำใหญ่เลยค่ะ เพราะข้อแรก เขาจ้างเราเป็นเงินเดือน ยังไงเราก็ไม่เสียหายด้วยอยู่แล้ว ข้อสอง นายจะได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองลบล้างปมในใจจากเรื่องคราวก่อนซะที ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของนายเลยที่ต้องขายบริษัท แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะฝีมือผีพรายอยู่เบื้องหลัง”
“แต่ถ้าผมไปบริหารเอสวาย เรนก็ต้องทำงานที่นี่คนเดียว มันหนักมากเลยนะ”
“หนักกว่านี้เรนก็เจอมาแล้วค่ะนาย นายอย่าลืมสิคะ บริษัทนี้คุณพ่อกับคุณแม่ของนายเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ ถึงมันจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเจ้าของไป แต่เรนก็รู้นะคะว่านายยังผูกพันกับมันมาก แล้วนายจะทนเห็นมันล้มครืนต่อหน้าต่อตาอีกรอบได้เหรอคะ”
“เรนคือคนที่รู้ใจผมที่สุดเลยรู้ไหม ต่อไปผมจะมีเรื่องอะไรปิดบังเรนได้บ้างล่ะเนี่ย” รัชต์จับมือเรนส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม
เรนพูดต่อไม่ถูกรีบหลบตารัชต์แล้วจะเดินหนี แต่รัชต์ดึงเรนเข้ามากอดไว้แน่นแทนคำขอบคุณ เรนยิ้มปลื้มแต่ก็เขินอาย รีบเดินหนี
รัชต์มองตามยิ้มๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก ตัดสินใจสู้เพื่อบริษัทที่เคยเป็นของพ่ออีกครั้ง
ไม่นานนักข่าวรัชต์กลับไปเป็นซีอีโอของเอสวาย แทนศักยะก็รู้ถึงพิมพ์พัสตรา เธอรีบไปต่อว่าเรนที่ไม่ยอมบอกว่ารัชต์หายดีแล้ว แต่ก็โดนเรนสวนกลับจนหน้าชา พิมพ์พัสตราไม่ยอมแพ้ประกาศจะไปอธิบายทุกอย่างให้รัชต์ฟังเอง เพราะเชื่อว่ารัชต์ต้องเข้าใจเธอแน่
เรนอ่อนใจส่ายหน้า ระอากับความเอาแต่ใจของพิมพ์พัสตรา
พิมพ์พัสตรามาหารัชต์ที่บริษัท เธอยกสารพัดเหตุผลมาอ้างเพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาชายหนุ่ม แถมโยนความผิดทั้งหมดไปให้เรนว่าจงใจปกปิดเรื่องรัชต์ ทำให้รัชต์เซ็ง เพราะรู้นิสัยพิมพ์พัสตราดีอยู่แล้ว จึงตัดบทขอทำงานต่อ
“พี่รัชต์ค่ะ พูดเหมือนจะไล่พิมอย่างงั้นแหละ พอหายดีก็เอาแต่ทำงาน เอ๊ะ พี่รัชต์ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองนี่คะ ทำไมหายเร็วนักล่ะ” พิมพ์พัสตราฉุกคิด
“เพราะอาการบาดเจ็บของพี่ มันมาจากฝีมือเจ้าพรายน่ะสิ เรนเขาคอยดูแลพี่ ไม่ให้เจ้าพรายมันมาเอาวิญญาณพี่ไปได้ พอพ้นจากเงื้อมมือมัน ร่างกายพี่ก็เลยหายเป็นปกติเร็ว พิมมีอะไรสงสัยอีกไหม พี่จะได้ทำงานซะที” รัชต์ชักรำคาญ
“นี่พี่รัชต์ไล่พิมอีกแล้วนะ แป๊บเดียว พี่รัชต์ไล่พิมสองครั้งซ้อนแล้วนะ”
“พี่ไม่ได้ไล่ แต่พี่อยากทำงานจริงๆ” รัชต์หยิบแฟ้มเอกสารมาอ่าน โดยไม่สนใจพิมพ์พัสตราอีก
พิมพ์พัสตราเจ็บใจกับท่าทีของรัชต์ สะบัดหน้าเดินไป รัชต์เหลือบมองพลางแล้วถอนใจอย่างโล่งอก
ในตอนค่ำ สร้อยทิพย์นำของว่างกับชาจีนร้อนมาให้ตาเลิศกับเรน พลางบ่นเรื่องพิมพ์พัสตราที่กลับมาตามติดรัชต์อีกแล้ว เรนรู้จักพิมพ์พัสตราดีจึงออกรับแทนว่า เธอ
เคยชินที่ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ พอมีอะไรที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต ก็เลยรับไม่ได้ สร้อยทิพย์ส่งค้อนให้ลูกแกล้งล้อว่า ตอนนี้พิมพ์พัสตราคงรู้ตัวว่ามีเรนเป็นคู่แข่งถึงได้แผลงฤทธิ์
เรนเขินรีบเปลี่ยนเรื่องหันไปชวนตาเลิศทานของว่างด้วยกัน ตาเลิศสีหน้าไม่ดีนักเอ่ยถามเรน
“เรนจำได้ไหม ตอนที่ตั้นร่ำรวยขึ้นมา มันเกิดขึ้นเร็วมากเลยนะ แล้วตอนนี้คุณรัชต์ก็ทำท่าจะฟื้นได้เร็วเหมือนกัน จนตาชักกลัวว่ามันจะเป็นฝีมือเจ้าพรายรึเปล่า”
“ตาคิดว่านายจะไปทำสัญญากับเจ้าผีนั่นเหรอคะ” เรนหน้าเสีย
“ไม่มีทางหรอก คุณรัชต์ไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ตาสงสัยว่าเจ้าพรายมันคงมีแผนอะไรซักอย่าง เพื่อให้ตั้นกลับไปหามัน”
“แต่คุณตั้นเจอเรื่องขนาดนี้แล้ว คงเข็ดขยาดไม่กล้ากลับไปเป็นเครื่องมือให้ไอ้ผีนั่นอีกแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้าไม่กลับไปได้ ก็เป็นกุศลกับตัวตั้นเอง แต่ถ้ามันไม่ยอมปล่อยตั้นจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตั้นจะเอาชนะใจตัวเองได้อีกนานแค่ไหน” ตาเลิศหนักใจ
ooooooo










