ตอนที่ 3
รับปากหมอภูว่าจะโทร.ตามวายุ ละเวงจึงต้อง โทร.หาอุศเรน ขณะนั้นเขากำลังเล่นพนันอยู่ในบ่อน พอเห็นว่าพี่สาวโทร.มาก็รีบหาที่เงียบๆคุย ละเวงต่อว่าที่งานไม่คืบหน้า คงจะเอาแต่ผลาญเงินตน อุศเรน แก้ตัวพัลวัน ละเวงชักไม่เชื่อใจน้องชาย ตัดสินใจโทร.ไปที่ไร่วายุกูลเสียเอง
ส่วนวายุมาหว่านเสน่ห์นวลขวัญที่ไร่ ขวัญแก้ว ทำทีว่าไม่รู้จะไปไหน คิดถึงเธอจึงมาหา หญิงสาวทำหน้าเฉยเมย อ้างว่าตนต้องเข้าไปทำงานในไร่ ไม่มีเวลาคุยเล่น
“ผมไม่รบกวนเวลาทำงาน ของคุณขวัญหรอกครับ ผมแค่อยากมีเพื่อน เอางี้...วันนี้ผมจะช่วยคุณขวัญทำงานก็แล้วกัน ผมจะได้มีเพื่อนคุย ส่วนคุณก็จะได้มีคนช่วยทำงานดีไหมครับ”
“คุณเนี่ยนะจะมาช่วยฉันทำงานในไร่กลางแดดร้อนๆยังงี้” นวลขวัญมองสำรวจหัวจดเท้า แล้วส่ายหน้าสบประมาท “คุณทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“อย่าเพิ่งดูถูกผมสิครับ จะให้ผมทำอะไรบอกมาเลยดีกว่า” วายุทำท่าพร้อมทำงาน
นวลขวัญคิดแล้วไปหยิบตะกร้าสำหรับเก็บใบชาส่งให้ บอกเขาว่าเอางานเบาๆแล้วกัน วายุยิ้มกริ่มคิดว่าสบายมาก นวลขวัญแอบยิ้มทำนองเดี๋ยวก็รู้...
ทางด้าน สลิล นั่งทำงานอยู่ส่วนสำนักงาน ถอนใจเฮือกๆ จนทิพวัลย์ต้องหันมาถาม เครียดอะไรนักหนา สลิลกลุ้มใจอยากขอโทษใหญ่ จะทำอย่างไรให้เขาหายโกรธ ทิพวัลย์บอกว่าเมื่อเช้าก็ขอโทษไปแล้ว ส่วนใหญ่จะรับหรือไม่รับก็สุดแล้วแต่เขา แต่สลิลคิดว่าตนเป็นเจ้าของไร่ เสียมารยาทกับแขกแบบนั้นมันไม่ดีเลย
ไม่ทันไร เข็มวิ่งมารายงาน ทั้งวันไม่เห็นใหญ่ออกมาจากบ้าน ตนจึงไปแอบมองที่หน้าต่าง ไม่เห็นเขาในห้อง ทิพวัลย์โพล่งขึ้นว่า หรือใหญ่จะเช็กเอาต์ออกไปแล้ว สลิสหน้าเสีย
“เดี๋ยวหว้าไปดูเองค่ะคุณทิพย์” สลิลวิ่งออกจากห้องทำงาน เข็มตามติดออกไป
สลิล แวะถามพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่าใหญ่เช็กเอาต์ ออกไปหรือยัง พนักงานเช็กดูแล้ว บอกว่ายัง มีเพียงวันชัยคนเดียวที่เช็กเอาต์ สลิลครุ่นคิดแล้วใหญ่หายไปไหน...ตัดสินใจเข้าไปดูในกระท่อมหิน กวาดตามองรอบห้อง เห็นกุญแจห้องวางทิ้งไว้บนโต๊ะ กระจกในห้องน้ำแตก เข็มเปรยโดนชักดาบเสียแล้ว สลิลชะงักจะเดินออก พลันเห็นตุ๊กตายิ้มที่ซื้อฝากใหญ่นอนแอ้งแม้ง อยู่ในถังขยะ ก็เสียใจเก็บมันขึ้นมา สั่งเข็มล็อกประตูกระท่อมหินแล้วเดินไปเศร้าๆ
เก็บใบชาไปได้พักใหญ่ วายุหมดแรงนั่งพักใต้ร่มไม้ วางตะกร้าที่มีใบชาก้นตะกร้าข้างๆ นวลขวัญเอาน้ำดื่มมายื่นให้ขำๆ วายุยิ้มเก้อๆ
“ผมไม่คิดเลยนะครับว่าแค่เดินเก็บใบชาจะเหนื่อยมากขนาดนี้ เห็นคนงานเก็บกันสบายๆ”
“ขึ้น ชื่อว่างานก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละค่ะ อยู่ที่ว่าเหนื่อยมากหรือเหนื่อยน้อย คนงานพวกนั้นเขามีทางเลือกไม่มากนัก ทำอะไรได้ก็ต้องทำ เพื่อปากท้องของครอบครัว”
วายุเปรยงานไร่ชาถือว่าหนักมากสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ ไม่คิดจะเบื่อหรืออยากทำงานสบายๆกว่านี้บ้างหรือ นวลขวัญรู้ทันตอบอย่างหนักแน่นชัดเจน
“ไม่เลยค่ะ ถ้าทั้งหมดที่คุณทำวันนี้เพื่อจะหว่านล้อมให้ฉันขายไร่ให้คุณ ฉันบอกได้เลยว่าคุณเหนื่อยเปล่า”
วายุชะงักเล็กน้อยก่อนจะตีเนียน “คุณขวัญอย่ามองผมในแง่ร้ายอย่างนั้นสิครับ ที่ผมมาหาคุณวันนี้เพราะอยากมีเพื่อนคุยจริงๆ และวันนี้ผมก็สนุกมาก แต่ก็เหนื่อยมากด้วย”
“แล้วฉันจะคอยดูค่ะ เพราะคนเราปกปิดความ ต้องการที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ได้ไม่นานหรอกค่ะ”
วายุสะอึกที่ผู้หญิงคนนี้รู้มากกว่าที่คิด...ทแกล้วขับรถกลับมาเห็นวายุอยู่กับพี่สาวก็ไม่พอใจ พรวดพราดเข้าบ้าน นวลขวัญกำลังยกน้ำชาและคุกกี้มาให้วายุ เธอบอกเขาว่าเป็นค่าแรงที่ช่วยเก็บใบชา วายุยิ้มเขินๆเก็บได้ไม่ถึงครึ่งตะกร้าได้ค่าตอบแทนสุดคุ้ม...ทแกล้วโพล่งขึ้น
“ไร่นี้ไม่ขาย ไม่ต้องมาหว่านล้อมให้เสียเวลาหรอก”
นวลขวัญตกใจที่น้องชายเสียมารยาท วายุทำใจดีสู้เสือทักทายทแกล้ว แต่เขาไม่รับคำ
“ท่าทางคุณคงจะว่างมาก ไม่มีธุระอะไรก็เชิญกลับไปได้แล้ว”
“แก้ว! อย่าเสียมารยาทกับแขก”
“ใครว่าผมไม่มีธุระล่ะครับ ที่ผมมาย่อมต้องมีจุดประสงค์ บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องงานก็ได้” วายุส่งสายตากรุ้มกริ่มไปยังนวลขวัญ ทแกล้วมองพี่สาวที่หลบสายตา วายุยิ้มแฝงความร้ายกาจ “ผมรบกวนคุณขวัญมานานแล้ว ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทไม่นั่งร่วมโต๊ะทานของว่างนะครับ ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องอึดอัด”
ทแกล้วจ้องวายุอย่างเกลียดชัง วายุแกล้งยิ้มกวนๆ
ขอคุกกี้ไปรองท้องหนึ่งชิ้นแล้วเดินกัดเย้ย ทแกล้วไม่พอใจคว้าแก้วชาสาดใส่หลัง นวลขวัญตกใจนึกไม่ถึงวายุหันกลับมาจ้องเขม็ง
ทแกล้วตอบกวนๆ “ดื่มชาเขียวด้วยสิครับ จะได้ไม่ฝืดคอ”
วายุโกรธจัด ปาคุกกี้ในมือทิ้งลงพื้น กัดกรามแน่นเดินฉับๆกลับออกไป นวลขวัญหันมาเอ็ดน้องชาย “แก้วทำเกินไปแล้วนะ!”
“น้อยไปด้วยซ้ำ มันพูดจาทำหน้าตากะลิ้มกะเหลี่ยพี่อยู่ไม่เห็นรึไง”
“เราอคติ แต่ถึงเขาจะทำ เราก็ไม่ควรเสียมารยาทขนาดนี้ แก้วอาจจะสะใจแต่พี่อาย”
นวลขวัญมองน้องชายอย่างผิดหวัง เดินตามวายุออกไป ทแกล้วคว้าแขนพี่สาวไว้ ถามจะไปไหน นวลขวัญตอบว่าจะไปขอโทษวายุ ทแกล้วโวย
“ช่างหัวมันเถอะ พี่ขวัญดูไม่ออกรึไงว่ามันไม่ได้มาดี หน้าตามันเจ้าเล่ห์จะตายไป”
“ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้เลยแก้ว ถ้าไม่อยากให้พี่โกรธเรามากไปกว่านี้” นวลขวัญทำหน้าดุใส่
ทแกล้วจ๋อย นวลขวัญกระชากแขนออกแล้วเดินฉับๆออกไปที่ระเบียงบ้าน วายุขับรถฝุ่นตลบออกไป
เสียก่อน เธอได้แต่มองตามอย่างละอายใจ
ooooooo
วายุขับรถปาดมาจอดหน้าบ้านพักไร่วายุกูลอย่างหัวเสีย ลงจากรถได้ระบายอารมณ์เตะกระถางและข้าว
ของแถวนั้น หัวหน้าคนงานตกใจวิ่งมาท่าทางกล้าๆกลัวๆ รายงานเสียงสั่นว่าวันนี้มีผู้หญิงโทร.มาหา ไม่บอกชื่อ วายุฉุกคิด
“แล้วผู้ชายที่โทร.มาวันก่อนล่ะ โทร.มาอีกรึเปล่า”
“ไม่แล้วครับ”
“ไปดึงสายโทรศัพท์ออกให้หมด แล้วถ้ามีใครมาถามหาฉันให้บอกว่าไม่รู้อย่างเดียว ห้ามบอกอะไรเด็ดขาด บอกคนงานทุกคนตามนี้ด้วย” วายุรู้สึกหวาดระแวงบางสิ่ง
หัวหน้าคนงานสงสัยแต่ไม่กล้าถาม ได้แต่รับปาก เห็นเสื้อวายุเลอะคราบชาเขียวๆ เอ่ยปากถาม เสื้อเปื้อนอะไร โดนตะคอกกลับ “เลือดหัวแกมั้ง...” ทำเอาหัวหน้าคนงานจ๋อย
คืนนั้น สลิลนอนไม่หลับ หยิบตุ๊กตายิ้มที่เก็บจากถังขยะกระท่อมหินมาดู พึมพำ “ซักวันคุณใหญ่จะหายเศร้า แล้วยิ้มได้อย่างเจ้าตุ๊กตาตัวนี้นะคะ”
ทางด้านไร่ขวัญแก้ว...นวลขวัญข่มตาจะหลับแต่ถูกทแกล้วเปิดโคมไฟส่องตา นั่งจ๋องง้องอนรอคำให้อภัยจากเธอ
“หายโกรธแก้วรึยัง...ถ้าพี่ขวัญไม่พูดกับแก้ว แก้วนอนไม่หลับหรอก”
นวลขวัญถอนใจลุกขึ้นนั่ง โกรธไม่ลง “ฟังพี่นะแก้ว...” ทแกล้วยิ้มนั่งพับเพียบพนมมือแต้ นวลขวัญ
ตีขาเพี๊ยะ “ยังมาทะเล้นอีก พี่ซีเรียสนะแก้ว...ต่อไปอย่าทำนิสัยวู่วามแบบนี้อีก เกลียดใครก็เก็บไว้ในใจ ถ้าวันนี้เขามีปืนขึ้นมาจะทำยังไง เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ เราก็มีกันแค่สองพี่น้อง อยู่ในไร่กลางป่ากลางเขา ถ้าเขาโกรธแก้วแล้วมาลงกับพี่ตอนแก้วไม่อยู่ไร่ล่ะ ใครจะช่วยพี่ได้...ผูกมิตรเอาไว้ดีกว่าสร้างศัตรูนะแก้ว”
ทแกล้วจ๋อยสนิท รู้สึกผิดจับใจเข้าสวมกอด
พี่สาว “แก้วขอโทษครับพี่ขวัญ ต่อไปจะไม่ทำนิสัยแบบนี้อีกแล้วครับ”
นวลขวัญขยี้หัวน้องชายยินดีที่น้องคิดได้ บอก
เขาว่าจะพาไปขอโทษวายุ ทแกล้วชะงักกึก ตาเบิกกว้างด้วยความเซ็ง
รุ่งเช้า ทแกล้วเดินจ้ำๆรีบร้อนมาหาสลิลจนเกือบชนกัน สลิลทักนึกว่าวันนี้ไม่มา
“ตอนแรกก็ว่าจะไม่มาแล้วหละ แต่ก็อดเป็นห่วงหว้าไม่ได้”
สลิลเหยียดปากหมั่นไส้ให้ไปหยอดคำหวานกับสาวอื่น ตนไม่หลงคารม ทแกล้วเคืองถามต้องไปดูแลใหญ่อีกหรือ สลิลจ๋อยลงบอกว่าใหญ่ไม่อยู่แล้ว ทแกล้วลิงโลดขึ้นทันทีคิดว่าสลิลไล่เขาไป สลิลค้อนขวับ ตนไม่ใจร้ายขนาดนั้น เขาไปของเขาเอง ไม่ได้เช็กเอาต์ด้วย
“นั่นไง ห่วงคนผิดแล้วหว้า พวกมิจฉาชีพแน่นอน โดนชักดาบแล้วล่ะ”
“หว้าหวั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องเงินหรอก น่าจะเป็นเหตุผลอื่นมากกว่า ดูท่าทางคุณใหญ่ไม่เหมือนคนไม่มีเงินเลยนะแก้ว”
ทแกล้วเห็นสลิลทำหน้าไม่สบายใจยิ่งเคืองใหญ่มากขึ้น เปลี่ยนเรื่องชวนสลิลไปขี่ม้าเล่น แต่เธอกลับปฏิเสธไม่อยากทำอะไร ในใจห่วงแต่ใหญ่
เช้าวันเดียวกัน เข็มฉีดน้ำล้างคอกม้าไปเรื่อย ใหญ่ซึ่งนอนหลับอยู่หลังคอกม้าสะดุ้งตื่นดีดตัวลุกพรวดขึ้นมายืนโกรธ เข็มตกใจหน้าเหวอ เข้าไปหาใหญ่อย่างกล้าๆกลัวๆ
“ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าคุณใหญ่อยู่ตรงนี้”
“ฉันแค่ออกไปทำธุระข้างนอก กลับมาตอนดึกไม่รู้ใครทะลึ่งมาล็อกบ้านพักฉัน”
เข็มกรอกตาไปมาถามแหยๆ ทำไมเขาไม่ไปขอกุญแจที่เคาน์เตอร์ ใหญ่สวนเสียงแข็ง “มันเรื่องของฉัน รีบไปเอากุญแจมาเปิดให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย”
เข็มกลัวลานรับคำรีบวิ่งไป ใหญ่เดินไปรอที่กระท่อมดิน...สลิลกับทแกล้วกำลังช่วยกันพับโบรชัวร์ใส่ซองไว้แจกในงานออกบูธ เห็นเข็มวิ่งหน้าตื่นมาบอกเรื่องใหญ่ สลิลดีใจแต่ทแกล้วทำหน้าเซ็ง หาว่าแปลกคน เข้าห้องไม่ได้ทำไมไม่มาเอากุญแจ กลับนอนคอกม้า
“ผมก็ถามเขาครับคุณแก้ว โดนตวาดหน้ายักษ์กลับมาเลยครับ”
เหมือนพวกทำความผิดมาเลยนะหว้า หลบหน้าคน ไม่อยากให้มีพยานหลักฐานว่ากลับมากี่โมง ออกไปกี่โมง” ทแกล้วชี้นำ
สลิลว่าทแกล้วคิดมาก สั่งเข็มเอากุญแจไปไขบ้านให้ใหญ่ ทแกล้วประชดทำไมเธอไม่ไปเปิดเอง สลิลเห็นว่าใหญ่เห็นหน้าตนจะอารมณ์เสีย ทแกล้วไม่พอใจที่ดูสลิลจะแคร์ความรู้สึกใหญ่มากเกินไป แกล้งบ่นดังๆ
“เฮ้อ...นี่แก้วเพิ่งจะสบายใจได้ไม่เท่าไหร่ คุณใหญ่ก็กลับมาอีกแล้วเหรอเนี่ย”
สลิลไม่เข้าใจทำไมทแกล้วต้องตั้งแง่กับใหญ่ ทแกล้วโต้ ตนก็ไม่เข้าใจที่สลิลห่วงใยใส่ใจใหญ่มากขนาดนี้ ว่าแล้วก็หงุดหงิดขอตัวกลับ สลิลส่ายหน้าที่เพื่อนทำนิสัยลูกคนเล็ก
ooooooo
บ่ายๆสลิลมาที่คอกม้าพบว่าเจ้าแบล็คเมจิกหายไป เข็มซึ่งกำลังแปรงขนสตาร์ไลท์บอกว่าใหญ่เอาไปขี่เล่น สลิลไม่ว่าอะไรแม้จะเป็นม้าตัวโปรด ควบเจ้าสตาร์ไลท์ตามออกไปกลางทุ่ง พบใหญ่หยุดม้ามองวิวทิวทัศน์ จู่ๆเขาก็แผดเสียงร้องระบายความเครียดที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา
พอใหญ่ได้ยินเสียงม้าของสลิลก็หันมองอย่างไม่พอใจ ขวบม้าหนีเหมือนรำคาญ แต่กลับทำให้สลิลอยากเอาชนะควบม้าไล่ตามกลายเป็นการแข่งขัน ทำให้ใหญ่คลายเครียดลืมความทุกข์ใจไปได้ ใหญ่บังคับม้าได้อย่างคล่องแคล่วจนสลิลทึ่ง แพ้ไปโดยปริยาย
ใหญ่ผูกม้าที่ใต้ร่มไม้ลูบหลังมันอย่างชมเชย สลิลแม้จะเคืองที่แพ้ อดถามเขาไม่ได้ว่าเคยเรียนขี่ม้ามาหรือ ใหญ่ตอบห้วนๆว่าขี่มาตั้งแต่เด็ก...แล้วจะเดินหนี สลิลเข้าขวาง
“หว้าอยากขอโทษคุณใหญ่เรื่องที่หว้าเข้าใจคุณใหญ่ผิดเมื่อวานนี้ ยกโทษให้หว้านะคะ”
“ฉันจะยกโทษให้เธอหรือไม่ยกให้มันจะสำคัญอะไรนักหนา” ท่าทางใหญ่รำคาญ
“สำคัญมากค่ะ เพราะเวลาที่คนเราทำผิด เราก็อยากให้คนอื่นยกโทษให้ไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าเวลาที่คุณใหญ่ทำผิด คุณใหญ่ไม่อยากได้รับการให้อภัยคะ”
คำพูดของสลิลทำให้ใหญ่อึ้ง เหมือนถูกแทงใจดำ เพราะตนก็รู้สึกผิดต่อธรา แม้ยังไม่มั่นใจว่าตนเป็นคนฆ่าไกรกูณฑ์จริงหรือไม่...สลิลย้ำอย่าโกรธตนเลย ใหญ่ตะคอกสวน
“หยุดพูดได้แล้ว เธอนี่มันน่ารำคาญจริงๆเธอไม่มีงานทำรึไงถึงตามตอแยฉันไม่เลิก หรือว่าแอบชอบฉัน บอกก่อนผู้หญิงอย่างเธอไม่ใช่สเปกฉัน เสียใจเปล่าๆ” ใหญ่เดินไปแกะม้าควบออกไป ปล่อยสลิลยืนอึ้งกำมือแน่น เจ็บใจที่โดนใหญ่หยาม...
ทแกล้วกำลังทำงานอยู่ในไร่ชา สลิลเดินหน้าตูมเข้ามา เขาเห็นแอบดีใจแกล้งแขวะว่ามาง้อตนหรือสลิลหน้าเซ็ง ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็โอเค ทแกล้วจึงถามแล้วมาทำไม
“หว้ามาหาพี่ขวัญ มีเรื่องอยากคุยกับพี่ขวัญ”
“พี่ขวัญเคลียร์เอกสารอยู่ที่บ้าน หว้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่ขวัญเหรอ อย่าบอกนะว่าเรื่องคุณใหญ่อีก”
สลิลเหยียดปากก่อนจะเดินตรงไปทางบ้านพัก ทแกล้วรีบตามติด...มาถึง สลิลไหว้นวลขวัญ เธอแปลกใจเล็กน้อยนึกอย่างไรถึงมาหา
“หว้าเบื่อๆ น่ะค่ะ อยากมีเพื่อนคุย คุยกับนายแก้วก็คอยแต่จะหาเรื่องแขวะหว้าตลอด”
ทแกล้วโอดโอยตนมีแต่ยอมตลอด สองคนโต้กันไปมาจนนวลขวัญต้องห้ามทัพ ทแกล้วแขวะสลิลจะมีเรื่องอะไรไม่สบายใจนอกจากเรื่องใหญ่ สลิลยอมรับ
“แก้วพูดถูกค่ะพี่ขวัญ หว้าเครียดเรื่องคุณใหญ่จริงๆ เมื่อกี้ก็เพิ่งมีปากเสียงกันมา เขาไม่อยากให้หว้าไปยุ่งวุ่นวายกับเขา” ทแกล้วอดแขวะไม่ได้ว่าคงหน้าแตกที่ไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน
สลิลคว้าหมอนฟาดไปที นวลขวัญตอบสลิลว่า ถ้าใหญ่ไม่อยากให้ยุ่งก็ไม่ควรไปยุ่ง สลิลถอนใจตนพยายามจะไม่ยุ่งแล้วแต่อดไม่ได้ ไม่รู้ทำไม นวลขวัญวิเคราะห์
“เป็นไปได้ไหมว่าที่หว้าพยายามเอาใจไปจดจ่อกับความทุกข์ของคุณใหญ่ เป็นเพราะเพื่อให้ลืมความทุกข์ของตัวเอง...หว้าอาจเสียใจกับเรื่องของวิธูกับลูกหยีอยู่ เลยจะพยายามหนีมันด้วยหันไปสนใจกับสิ่งอื่น แล้วคุณใหญ่ก็ผ่านเข้ามาในช่วงเวลานี้พอดี หว้าเลยดึงเขามาเป็นเครื่องมือคลายทุกข์ของตัวเองโดยไม่รู้ตัว”
สลิลเหมือนถูกแทงใจ “ถ้าเป็นอย่างนั้น หว้าต้องทำ ยังไงล่ะคะพี่ขวัญ หว้าก็ไม่อยากไปวุ่นวายกับคุณใหญ่ ให้โดนด่ากลับมาทุกครั้งแบบนี้หรอกนะคะ”
“หว้าลองถามใจตัวเองดูสิ ว่าการที่หว้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคุณใหญ่ จริงๆแล้วหว้าทำเพื่อคุณใหญ่ หรือทำเพื่อตัวเองกันแน่ ถ้ารู้คำตอบแล้วหว้าก็จะรู้เองว่า หว้าควรจะทำยังไงต่อไป”
ทแกล้วฟังพี่สาวพูดแล้วลอบมองปฏิกิริยาสลิล เหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจเธอ
ooooooo
ค่ำวันนั้น ภูผายังคงคุยอยู่กับธราที่ห้องโถง บ้านธนากูล ละเวงถือถาดยาหลังอาหารมาให้ ธราบอกละเวงไม่ต้องอยู่เฝ้า ตนมีภูผาเป็นเพื่อนแล้ว ภูผาแอบปลื้ม
“เห็นคุณอาการดีขึ้นอย่างนี้ผมก็หายห่วง”
“ที่หายเร็วอย่างนี้ก็เพราะได้หมอภูมาเยี่ยมนั่นแหละค่ะ”
“แต่พรุ่งนี้ผมคงต้องกลับแล้วนะครับ ปล่อยลูกหว้าดูแลรีสอร์ตคนเดียวก็เป็นห่วง ตอนนี้มีแขกท่าทางแปลกๆมาพักอยู่คนนึงด้วย”
ธราไม่ได้สนใจอะไร กลับบอกภูผากลับไปแล้ว ช่วยไปดูที่ไร่วายุกูลให้ทีว่าวายุเป็นอย่างไรบ้าง ถึงเขา ไม่ห่วงตน แต่ตนอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ ภูผารับปากเพราะรู้สึกว่าวายุก็เหมือนลูก...เหมือนหลาน ธราใช้จุดนี้
ให้ความหวังแก่เขาว่าถ้าหายดีจะขึ้นไปพักอยู่ที่ไร่ ภูผาดีใจ
“ดีเลยครับ เกิดคุณเจ็บป่วยกะทันหันแบบนี้อีก ผมจะได้ไปดูแลได้สะดวก”
“เจอกันดีๆบ้างก็ได้ค่ะหมอภู จะให้ฉันเจ็บป่วยตลอดเวลาก็ไม่ไหวนะคะ” ธราขำๆ
“ขอโทษครับ ผมก็ติดนิสัยหมอเก่า ที่คอยแต่จะดูแลคนไข้อยู่ตลอดน่ะครับ” ภูผาอิ่มเอมใจที่จะมีโอกาสอยู่ใกล้ชิดธรา...
ใหญ่ยังพยายามคิดทบทวนคืนวันเกิดเหตุ...
คืนนั้น เป็นงานวันเกิดธรา แขกเหรื่อมาที่บ้านมากมาย แขกสูงวัย สามีภรรยาคู่หนึ่ง ทักทายเขาแสดงความยินดีที่เพิ่งเทกโอเวอร์บริษัทของวันชัยมาได้ ชมว่าดีใจแทนชาตรีกับธราที่มีลูกชายเก่ง ธราเดินยิ้มแย้มเข้ามา
แขกก็สำทับ
“เรากำลังชื่นชมคุณวายุว่าทำงานเก่ง น่าดีใจแทนคุณชาตรีกับคุณธรา ถ้าผมมีลูกชายเก่งอย่างนี้ ก็คงนอนตายตาหลับแล้วล่ะครับ”
“พูดแล้วก็จะหาว่าชมลูกตัวเองนะคะ แต่รายนี้เขาเก่งจริงๆค่ะ หยิบจับอะไรก็รุ่งเป็นเงินเป็นทองไปหมด”
“น่าเสียดายนะคะที่คุณไกรกูณฑ์เก่งสู้พี่ไม่ได้เลย” แขกทั้งสองมองใหญ่อย่างชื่นชม
ธราหน้าเจื่อนๆแต่ฝืนยิ้มรับ ใหญ่ภูมิใจในตัวเอง...คิดมาถึงตรงนี้แล้ว ใหญ่ก็สับสนว่าตนจะฆ่าไกรกูณฑ์ทำไม มีเหตุผลอะไร...
วันรุ่งขึ้น ภูผากลับมารีสอร์ต สลิลดีใจเข้าไปช่วยถือกระเป๋า ถามถึงอาการธรา ภูผาเปรยว่า “ไม่ได้เป็น อะไรมากหรอก ที่ป่วยก็เพราะคิดถึงคุณไกรกูณฑ์ ลูกชาย ที่หายตัวไปนั่นแหละ ส่วนคุณวายุลูกชายอีกคนนี่ก็แปลก จู่ๆหนีมาอยู่ที่ไร่วายุกูลไม่ส่งข่าวคราวถึงคุณธราเลย”
“ที่คุณลุงเคยเล่าให้หว้าฟัง คุณวายุนี่เป็นลูกเลี้ยงไม่ใช่เหรอคะ ก็คงจะไม่ค่อยลงรอยกันตามประสาแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงแหละค่ะ”
“ลุงก็ไม่รู้ว่าคุณวายุคิดยังไง แต่คุณธราน่ะรักคุณวายุมากนะ เท่าที่รู้จักกันมาไม่เคยลำเอียงด้วย รักเหมือนลูกแท้ๆทั้งสองคน ลุงนับถือน้ำใจคุณธรามากเลยนะ”
สลิลสะเทือนใจที่ไม่เหมือนแม่ตน ภูผาร้องอ้าว เข้าเรื่องตัวเองทำไม แล้วถามถึงใหญ่ สลิลเสียงเครือ ยังน้อยใจที่โดนใหญ่หยามเมื่อวาน...หลังคุยกับภูผาเสร็จ สลิลเดินจะผ่านลำธารใหญ่นั่งอยู่ข้างกระท่อมหินเหมือนรอใคร พอเห็นสลิลมาก็ปรี่เข้าขวางหน้า สลิลรีบออกตัวไม่ได้มาวุ่นวาย แค่เดินผ่านเฉยๆ ใหญ่คว้ามือเธอไว้ สลิลตกใจหันกลับมอง เขารู้ตัวรีบปล่อยมือเธอ
“ฉันมีเรื่องอยากให้เธอช่วย...ถ้ามีใครมาถามหาฉัน อย่าบอกว่าฉันอยู่ที่นี่”
สลิลสงสัยอยากถามเหตุผลแต่กลัวเขาหาว่ายุ่งเรื่องเขาอีก จึงรับปากง่ายๆแล้วขอตัวเดินไป ใหญ่แปลกใจทำไมวันนี้สลิลไม่จุ้นจ้านเหมือนเคย หรือโกรธที่ตนพูดแรงเมื่อวาน
สายวันนั้น สลิลคุยกับภูผาเสนอจะจัดกิจกรรมพิเศษ เอาม้ามาให้แขกขี่เล่น ใครขี่ไม่เป็นก็มีครูคอยสอน ภูผาย้อนถามไม่หวงม้าแล้วหรือ
“ก็ให้ขี่ตัวที่หว้าไม่หวงสิคะ เจ้าแบล็คเมจิกกับสตาร์ไลท์ หว้าไม่ให้ใครขี่หรอกค่ะ”
ภูผาดักคอ ยกเว้นทแกล้วกับใหญ่ สลิลชะงักเล็กน้อย ภูผาขำแกล้งเปรยว่าใหญ่ช่างมีบุญที่เธอยอมให้ขี่ม้าตัวโปรด สลิลสลดลงไม่อยากคุยถึงใหญ่อีก ภูผาถามมีปัญหาอะไรกับเขา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...หว้าไปช่วยคุณทิพย์เคลียร์งานเอกสารดีกว่า” สลิลเดินไปทันที
“อ้าว...ยังคุยกันไม่จบเลย ไปซะแล้ว” ภูผาครุ่นคิดก่อนจะเดินมุ่งไปทางกระท่อมหิน
มาถึงเห็นใหญ่นั่งหน้าอมทุกข์อยู่ที่ระเบียง จึงส่งเสียงทัก “สวัสดีครับคุณใหญ่”
ใหญ่สะดุ้งหันมาเห็นว่าเป็นภูผาก็วางใจลง ภูผาถามนึกว่าเขากลับกรุงเทพฯไปแล้ว ใหญ่ตอบนิ่งๆว่าคงอยู่อีกสักพัก ภูผายิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“ถ้าคุณยังอยากพักอยู่ที่นี่ต่อ ก็แสดงว่าหลานสาวผมไม่ได้ทำอะไรให้คุณรำคาญใช่ไหมครับ” ใหญ่ตอบมีบ้าง ภูผาหน้าเสียเกรงใจ “ถ้างั้นผมก็ต้องขอโทษแทนลูกหว้าด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ” ใหญ่ถอนใจบางๆ
ภูผาสังเกตเห็นสีหน้าใหญ่อมทุกข์ จึงถาม “คุณมาพักที่นี่ตั้งนานแล้ว ยังไม่สบายใจขึ้นอีกเหรอครับ...
ทุกคนก็มีปัญหากันทั้งนั้นแหละครับ เราก็ค่อยๆคิดค่อยๆแก้กันไป แต่อย่าปล่อยให้ปัญหาพวกนั้นมาทำลายความสุขทั้งหมดในชีวิตเราสิครับ”
“คุณไม่ใช่ผมก็พูดได้”
“ผมเข้าใจครับ ผมแค่อยากจะบอกกับคุณใหญ่ว่า ไม่ใช่มีคุณคนเดียวในโลกที่กำลังเผชิญกับเรื่องร้ายๆอยู่ อย่างยัยลูกหว้าเอง ตอนนี้ก็กำลังทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสเหมือนกัน”
“ยัยจอมจุ้นนั่นน่ะเหรอครับ กำลังมีความทุกข์” ใหญ่เผลอแค่นยิ้ม
“ใช่ครับ คนรักของลูกหว้าที่คบกันมาหลายปี กำลังจะแต่งงานกับน้องสาวต่างพ่อของตัวเอง” ภูผาถอนใจสงสารหลาน “หรืออย่างคุณธรา...” ใหญ่สะดุ้งตั้งใจฟัง “เพื่อนสนิทของผมก็ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลเพราะเครียดเรื่องลูกชายสองคนหายออกจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย”
“แล้วตอนนี้เพื่อนคุณหมอเป็นยังไงบ้างครับ” ใหญ่เลียบเคียงถามด้วยความเป็นห่วง
ภูผาตอบว่าอาการดีขึ้น เห็นสีหน้าใหญ่ผ่อนคลายลงจึงพูดให้กำลังใจ “ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่กำลังมีความทุกข์ ปัญหาทุกอย่างไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดชีวิตหรอกนะครับ อย่าจมอยู่กับมันตลอดเวลาจนชีวิตไม่มีความสุขเลยนะครับ ปล่อยวางมันซะบ้าง ตอนใจเราสบายๆเราอาจจะมองเห็นทางออกจากมุมที่เรานึกไม่ถึงก็ได้นะครับ”
ใหญ่เงียบเหมือนรับฟัง แต่เปล่าเลย เขาครุ่นคิดห่วงธราอย่างรู้สึกผิดว่าตนเป็นต้นเหตุ...หลังจากนั้น
สลิลเดินมาที่คอกม้าเห็นเข็มขนหญ้ามาเลี้ยงม้าอยู่ ก็ถามหาลุงขาบ จะให้ช่วยขับรถพาภูผาไปไร่วายุกูล ใหญ่เดินมาได้ยินหยุดฟัง สลิลหันมาเจอสะดุ้งเล็กน้อย ถามเรียบๆว่า
“จะขี่ม้าเหรอคะ ตามสบายค่ะ” ว่าแล้วก็เดินเลี่ยงไป
ใหญ่แปลกใจกับท่าทีหญิงสาวที่เปลี่ยนไป แต่ก็สนใจเรื่องภูผาจะไปไร่วายุกูลมากกว่า...
ooooooo
บ่ายวันนั้น ภูผาเดินคุยโทรศัพท์กับธราว่าตนกำลัง จะไปไร่วายุกูล ธราฝากบอกวายุว่าตนเป็นห่วงมาก สบายใจเมื่อไหร่ให้กลับบ้านเสียที วางสายจากภูผา ละเวงสีหน้าร้อนใจเข้ามาถามว่าภูผาจะไปไร่วายุกูลหรือ ธราสวนแอบฟังแล้วจะถามทำไม ละเวงอึกอัก
“คือว่า...คนที่อยู่ที่ไร่วายุกูลไม่ใช่คุณใหญ่นะคะคุณท่าน”
“ไม่ใช่ใหญ่แล้วจะเป็นใคร” ธราประหลาดใจ
ละเวงเองก็ไม่ทราบแต่ให้น้องชายไปดูที่ไร่วันก่อน มีคนแอบอ้างเป็นวายุ ธราโวยเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอก ชักร้อนใจว่าคนที่ไร่เป็นใคร แล้วใหญ่
อยู่ที่ไหน ละเวงส่ายหน้า...
พอรู้ว่าภูผาจะไปไร่วายุกูล ใหญ่จึงมาเดินวนเวียนอยู่แถวรถของทางรีสอร์ต ชะเง้อมองจนเห็นภูผาเดินมา ก็ทำทีทักทายถามจะออกไปข้างนอกหรือ ทำไมขับรถเอง ภูผาบ่น
“รอลุงขาบไม่ไหวแล้ว คุณธราเธอร้อนใจมากจะไปดูหลานชายให้เธอ”
“ให้ผมช่วยขับรถให้ไหมครับ” เห็นภูผามองแปลกๆจึงแก้ตัว “คือผมมาพักที่นี่ตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่ได้ออกไปไหนเลย อยากออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างน่ะครับ คุณหมอแนะนำเองว่าผมไม่ควรจมอยู่กับปัญหาตลอดเวลา”
ภูผายิ้มๆส่งกุญแจให้ ใหญ่ดีใจรีบขึ้นรถขับพาภูผาออกไป เขาขับรถไปอย่างชำนาญทางทำให้ภูผาแปลกใจ “คุณใหญ่ชำนาญทางเหมือนเคยมาแถวนี้เลยนะครับ”
ใหญ่ชะงัก อ้างว่าถนนเส้นนี้เป็นทางตรง แล้วตัดบทเปลี่ยนเรื่อง ถามภูผาสนิทกับครอบครัวธรามากหรือ แววตาภูผาเป็นประกายขึ้น
“ผมกับคุณธราเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยรุ่นๆ แล้วล่ะครับ...แต่พอคุณธราแต่งงาน เราก็ห่างกันไปโดยปริยาย นานๆ ผมถึงจะไปเยี่ยมเธอที่กรุงเทพฯซักครั้ง”
ใหญ่ถามเคยเห็นวายุไหม ภูผาบอกว่าเคยเห็นตอนเด็กๆ ถ้าเจอตามท้องถนนคงจำไม่ได้ แต่ถ้าเจอที่ไร่คงไม่ผิดตัวแน่ ใหญ่ทำหน้าครุ่นคิด ภูผามองคลางแคลงใจว่าทำไมถึงสนใจเรื่องนี้
ผ่านไปสักพัก สลิลเดินมาที่ล็อบบี้เห็นลุงขาบเปลี่ยนหลอดไฟอยู่ก็แปลกใจที่ไม่ได้ขับรถให้ภูผา ลุงขาบรายงานว่า เห็นยามบอกว่าภูผาออกไปกับใหญ่ ยิ่งทำให้สลิลประหลาดใจ...
รถภูผามาจอดหน้าไร่ ที่ประตูปิดป้าย “บุคคลภายนอกห้ามเข้า” เอาไว้ ภูผาให้ใหญ่บีบแตร ไม่นานหัวหน้าคนงานเดินออกมา ใหญ่เพ่งมองไม่คุ้นหน้า พอภูผาบอกว่าเป็นเพื่อนแม่ของวายุมาขอพบวายุ หัวหน้าคนงานก็ตอบด้วยนํ้าเสียงไม่ต้อนรับว่า ไม่อยู่ วายุสั่งว่าไม่ให้ใครเข้าไปในไร่ ภูผาถามเขาจะกลับเมื่อไหร่ ก็ได้รับคำตอบด้วยนํ้าเสียงห้วนๆ ไม่รู้ และไล่ให้กลับไป
ภูผากลับมาที่รถบอกใหญ่กลับกันดีกว่า แต่ท่าทางเขาไม่สนใจฟังเลย เขม้นมองเข้าไปในไร่จนต้องสะกิดอีกครั้ง ใหญ่ได้สติ สีหน้าเสียดายโอกาสอยากรู้ว่าใครแอบอ้างชื่อเป็นตน...ระหว่างขับรถกลับ รถสปอร์ตขับสวนเข้าไปด้วยความเร็ว ใหญ่จำได้ว่ารถคันนั้นเป็นของไกรกูณฑ์ เขาย้อนคิดถึงอดีตที่ธราสั่งซื้อรถคันนี้มาไว้ต้อนรับการกลับจากต่างประเทศของไกรกูณฑ์ ใหญ่ไม่พอใจที่น้องชายเรียนอะไรก็ไม่จบสักอย่าง ทำไมต้องได้ของขวัญแพงขนาดนี้
ใหญ่ครุ่นคิดตลอดทางจนขับรถมาจอดที่บ้านไร่สายนํ้ารีสอร์ท เขายังนั่งกำพวงมาลัยแน่น ภูผาสะกิดเรียกให้ลงจากรถ พลันธราโทร.เข้ามา ภูผายิ้มเลี่ยงไปรับสาย
“คุณธราโทร.มาเหมือนรู้เลยนะครับ ผมเพิ่งกลับมาจากไร่วายุกูลเดี๋ยวนี้เอง”
เสียงธราถามว่าเจอวายุไหม ภูผาบอกว่าไม่เจอ แถมคนงานก็พูดจาไม่ดีเอาเสียเลย ธราเกรงใจขอบคุณและวางสายไป
ด้านวายุที่ขับรถสปอร์ตกลับมาที่ไร่ เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอลงนั่งที่ห้องโถง หัวหน้าคนงานก็มารายงานเรื่องภูผามาเยี่ยม วายุหน้าซีดลงไล่คนงานออกไปก่อนจะสบถออกมาว่าอะไรกันนักหนา แล้วเดินหงุดหงิดขึ้นข้างบนไป
ooooooo
สลิลกำลังปอกผลไม้ไว้ให้ภูผา เขากลับมาพอดี เธอรีบถามออกไปกับใหญ่จริงหรือ ภูผายิ้มๆบอกตามคำของใหญ่ว่า อยากออกไปเปิดหูเปิดตา แต่สลิลไม่เชื่อ ภูผาจึงให้ไปถามเจ้าตัวเอง
“ลุงจำได้ไหมคะที่หว้าเคยเล่าให้ฟังว่าท่าทางคุณใหญ่ดูสนใจไร่วายุกูลกับคุณวายุมาก จนผิดสังเกต” ภูผาพยักหน้า “หว้าคิดว่าระหว่างคุณใหญ่กับคุณวายุและไร่วายุกูล น่าจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันสักอย่าง”
“ก็จริงนะ เพราะลุงก็สังเกตเห็นคุณใหญ่มีท่าทางแปลกๆอยู่เหมือนกันตอนไปที่ไร่นั่น”
“หว้าจะต้องสืบเรื่องนี้ให้รู้ให้ได้ค่ะ” สีหน้าสลิลมั่นใจมาก
คืนนั้น ใหญ่ครุ่นคิดเหตุการณ์อย่างสับสนว้าวุ่นใจ ยิ่งเห็นรถของไกรกูณฑ์เมื่อกลางวันชักสงสัยว่าไกรกูณฑ์ยังไม่ตาย...
วันต่อมา ขณะที่นวลขวัญกำลังทำงานในไร่กับคนงาน มีชายฉกรรจ์สองคนบุกเข้ามาต้องการเจอเจ้าของไร่ พอนวลขวัญก้าวออกมาก็ถูกสองคนมองด้วยสายตาโลมเลีย และขู่ให้ยอมขายไร่ ก่อนจะมีคนงานในไร่ต้องตาย เธอถามว่าเจ้านายพวกเขาเป็นใคร
“คนที่อยากซื้อไร่นี่จะมีซักกี่คนกัน หน้าตาฉลาดๆ อย่างเธอคงเดาได้ไม่ยาก...วันนี้พวกเราแค่มาเตือนว่าอย่าหวงที่นัก ขายไร่เอาเงินก้อนโตไปใช้จะดีกว่า ขืนลีลามาก เจ้านายอารมณ์เสียขึ้นมา นอกจากราคาไร่จะตกแล้วฉันก็ไม่รับประกันความปลอดภัยของคนในไร่นะ” พวกมันขู่คราวหน้าจะมาเยี่ยมใหญ่ อาจจะมาตอนดึกๆก่อนจะกลับไป
นวลขวัญแค้นจัดเข้าใจว่าเป็นวายุ จึงขับรถบุกไปหาที่ไร่วายุกูล บีบแตรร้องเรียกให้วายุออกมา หัวหน้าคนงานออกมาไล่ เธอไม่ยอมไปจนกระทั่งวายุเดินออกมาและบอกคนงานว่าเธอเป็นเพื่อนให้ปล่อยเข้ามา ก่อนจะถามเธอโกรธใครมา
“คุณไม่ต้องมาตีสองหน้าเลยคุณวายุ ฉันจะมาบอกคุณว่าอย่าส่งคนไปข่มขู่ฉันที่ไร่อีก เพราะไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีวันขายไร่ให้คุณเด็ดขาด”
“ผมเนี่ยนะส่งคนไปข่มขู่คุณขวัญที่ไร่” วายุงง
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่ใช่คุณแล้วจะใคร ตอนแรกฉันกะจะให้นายแก้วมาขอโทษคุณ แต่คงไม่ต้องแล้ว เพราะคุณเลือกที่จะตอบโต้เราด้วยวิธีป่าเถื่อนแบบนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องรักษามิตรภาพกันอีก”
“ไปกันใหญ่แล้วครับคุณขวัญ ผมไม่รู้เรื่องอะไรที่คุณพูดเลย ส่วนเรื่องคุณแก้ว ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว” วายุทำเป็นว่าไม่โกรธทแกล้ว
นวลขวัญปัดไม่ฟังคำอธิบาย ประกาศอย่าใช้วิธีถ่อยๆแบบวันนี้อีก จากนี้ไปเราไม่ใช่เพื่อนบ้านกันอีก ไม่ต้องไปเหยียบที่ไร่ตนอีกเป็นอันขาด วายุพอจะเดาได้ว่าเป็นฝีมือใคร...
นวลขวัญกลับมา ทแกล้วรู้เรื่องโกรธจัดจะไปเอาเรื่องวายุ แต่นวลขวัญปรามตนจัดการตัดสัมพันธไมตรีเรียบร้อยแล้ว อย่าวู่วามเหมือนคราวเอาชาไปสาดใส่เขา จนเขาส่งคนมาเอาคืน
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกพี่ขวัญ คนมันอยากได้ไร่เรา ช้าเร็วหางมันก็โผล่ สร้างภาพได้ไม่นานหรอก พี่ขวัญต้องขอบคุณแก้วด้วยซ้ำที่เป็นตัวเร่งให้มันเผยธาตุแท้ออกมาให้เราเห็นเร็ว”
นวลขวัญห้ามเด็ดขาด แต่ทแกล้วฮึดฮัดเชื่อว่า พวกมันจะต้องส่งลิ่วล้อมาก่อกวนอีกแน่ๆ
ooooooo
วายุกระแทกประตูห้องทำงานของกษิตเข้าไปต่อว่าที่ส่งคนไปข่มขู่นวลขวัญ กษิตทำหน้ายียวนว่าเห็นงานไม่คืบหน้าจึงต้องลงมือเอง วายุโกรธจัด ประกาศ ถ้ายังหักหน้าทำแบบนี้กับตนอีก ตนจะล้มเลิกการร่วม หุ้น จบกันตรงนี้ กษิตก้าวเข้าจ้องหน้า
“คิดจะล้มเลิกง่ายๆเหมือนเด็กเล่นขายของยังงี้ไม่ได้หรอกนะคุณวายุ” ลูกน้องกษิตเข้าล้อมวายุไว้ “คุณลืมไปแล้วเหรอว่า คุณตกลงมาร่วมธุรกิจกับผมเพราะอะไร...คุณอยากทำให้แม่คุณเห็นว่าคุณก็เก่งไม่ด้อยไปกว่าใคร และคุณก็จะทำให้ทุกคนเห็นว่า คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอ”
วายุขบกรามแน่นที่ถูกแทงใจดำ กษิตตบไหล่ ยิ้มเยาะ อย่ายอมให้ผู้หญิงคนเดียวมาทำให้เสียงานใหญ่ วายุปัดมือ กษิตออก ย้ำอีกครั้ง ห้ามส่งลูกน้องไปข่มขู่นวลขวัญอีก ตนจะใช้วิธีของตน ว่าแล้วก็กลับออกไป กษิตดูถูก...เด็กหนอเด็กยังหลงผู้หญิงแล้วจะทำงานสำเร็จได้อย่างไร
วายุเดินหงุดหงิดออกมาชนกับอุศเรนเข้าอย่างจัง เกิดการทะเลาะชกต่อยกันอีก ลูกน้องกษิตเข้าแยก และขอโทษขอโพยวายุ อุศเรนชะงักที่ได้ยินเรียกวายุ เขารอสักพักก่อนจะวิ่งตามออกไป แต่วายุกลับไปแล้ว เจ็บใจที่คลาดกัน
วันต่อมา ใหญ่ตัดสินใจโทร.หาละเวงอีกครั้ง เธอพยายามถามว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ใหญ่สวนมาว่าไกรกูณฑ์ ยังไม่ตายใช่ไหม ละเวงชะงัก “ทำไมถามอย่างนี้ล่ะคะ คุณใหญ่ก็เห็นว่าคุณไกรกูณฑ์ถูกคุณใหญ่ยิงตายอยู่ในห้องนอนคุณใหญ่เอง”
“แล้วทำไมหนังสือพิมพ์ไม่ลงข่าวการตายของไกรกูณฑ์เลยล่ะ เธอจัดการกับศพเขายังไง แล้วคุณท่าน รู้เรื่องนี้รึยัง ถ้าเธอไม่ยอมบอกอะไรฉันมากกว่านี้ ฉันจะ คุยกับคุณท่านเอง”
“คุณท่านเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล ยังไม่หายดี คุณใหญ่อย่าเพิ่งคุยเลยค่ะ ละเวงกลัวคุณท่านจะล้มป่วยขึ้นมาอีก”
“ฉันจะไม่ทนหลบๆซ่อนๆอยู่อย่างนี้อีกแล้วนะละเวง ฉันจะกลับไปหาคุณท่านที่กรุงเทพฯ แล้วสารภาพความจริงทั้งหมดด้วยตัวเอง ฉันมั่นใจว่าฉันไม่ได้ฆ่าไกรกูณฑ์ แล้วไกรกูณฑ์ก็ยังไม่ตายด้วย”
“คุณใหญ่กล้ากลับมาจริงๆเหรอคะ” น้ำเสียงละเวงเย้ยหยันตามด้วยเสียงหัวเราะเยาะ “ถ้าคุณใหญ่มั่นใจว่าคุณใหญ่ไม่ได้ฆ่าคุณไกรกูณฑ์จริงๆ ก็คงจะโทร.เข้า
มือถือคุณท่านไปนานแล้ว แต่นี่เอาแต่โทร.เข้าเบอร์บ้าน คงเพราะกลัวจะถูกตามตัวเจอว่าซ่อนตัวอยู่ที่ไหนใช่ไหมล่ะคะ”
“ทำไมเธอพูดกับฉันแบบนี้ล่ะละเวง” ใหญ่ชักไม่พอใจน้ำเสียงละเวง
“คุณใหญ่อย่าคิดว่าจะซ่อนตัวได้ตลอดนะคะ เบอร์ที่คุณใช้โทร.มาก็ตามได้ไม่ยากหรอก”
“ทำไมเธอพูดเหมือนอยู่คนละฝ่ายกับฉัน ทั้งๆที่คืนนั้น เธอเป็นคนบอกให้ฉันหนีมาเอง”
“ถ้าคุณใหญ่คิดว่าเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน ก็บอกละเวงมาสิคะว่าตอนนี้คุณใหญ่อยู่ที่ไหน” เห็นใหญ่เงียบ “ว่าไงคะ ตอนนี้คุณใหญ่อยู่ที่ไหนกันแน่”
ใหญ่เริ่มไม่ไว้ใจละเวง วางสายลงดื้อๆ ครุ่นคิดอย่างหนัก...ใหญ่มาดักเจอสลิลซึ่งกำลังเดินตรวจความเรียบร้อยตามบ้านพักในรีสอร์ต เธอสะดุ้งสุดตัว เขาขอโทษก่อนจะถามว่าเธอเจอวายุอีกบ้างหรือเปล่า
“ไม่เจอแล้วค่ะ แต่แก้วเล่าให้ฟังว่าคุณวายุส่งคนไปข่มขู่พี่ขวัญ พี่สาวของแก้วน่ะค่ะ ให้ขายไร่ขวัญแก้วให้”
ใหญ่กัดกรามแน่นที่โดนอ้างชื่อไปทำชั่ว สลิล
มองท่าทีใหญ่ก่อนจะเสริมว่า คงแค่ขู่ให้กลัวแล้วยอมขายไร่ให้ง่ายๆ ใหญ่ไม่พอใจสะบัดหน้าเดินกลับ สลิลตามติด “คุณใหญ่คะ...”
“อย่าเพิ่งถามอะไรฉันตอนนี้เลย”
“ทำไมล่ะคะ หว้าแค่อยากรู้ว่าคุณใหญ่มีปัญหาอะไร เผื่อหว้าจะช่วยคุณใหญ่ได้บ้าง”
“ถ้าอยากช่วยฉันก็อย่าบอกใครเด็ดขาดว่าฉันอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะกับนายวายุ” เห็นสลิลอ้าปากจะถาม รีบดักคอ “ยังไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น เมื่อถึงเวลาเธอจะได้รู้ทุกอย่างเอง”
สลิลมองตามหลังใหญ่ที่เดินจากไป ทำเสียงล้อเลียนคำพูดเขาอย่างหงุดหงิดด้วยความอยากรู้ตอนนี้
ooooooo
ด้านธราครุ่นคิดว่าใครกันที่ปลอมเป็นวายุไปอยู่ที่ไร่วายุกูล หรือจะเป็นไกรกูณฑ์ จึงสั่งละเวงไปดูที่ไร่ ละเวงรับคำจะเดินทางไปแต่เช้า แต่ธรากลับบอกว่าต้องไปเดี๋ยวนี้ ธรามีความหลังที่ไม่อยากไปเหยียบที่ไร่นั่นอีก
วายุมาหานวลขวัญที่ไร่ขวัญแก้ว นวลขวัญเสียงแข็งไล่เขากลับไป วายุทำหน้าจ๋อย
“เรื่องนักเลงพวกนั้นผมไม่รู้เรื่องเลยจริงๆนะครับคุณขวัญ หุ้นส่วนผมทำไปโดยพลการ แล้วผมก็บอกเขาไปแล้วว่าไม่ให้มายุ่งกับคุณขวัญอีก”
“ยังไงซะ พวกคุณก็เป็นพวกเดียวกันอยู่ดี” นวลขวัญเดินหนี
“คุณขวัญให้โอกาสผมแก้ตัวซักครั้งเถอะนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก”
นวลขวัญหันขวับมา “ฉันไม่ต้องการคำสัญญาอะไรจากคุณทั้งนั้น”
“แล้วคุณขวัญต้องการอะไรล่ะครับ บอกผมได้ไหม ถ้ามันจะทำให้คุณขวัญหายโกรธ ผมยินดีทำทุกอย่าง”
“งั้นก็ช่วยออกไปให้พ้นจากไร่ของฉันเดี๋ยวนี้เลย แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก”
วายุคว้าแขนหญิงสาวรั้งไว้ไม่ให้เดินหนี ทแกล้วโผล่มาเข้าใจว่าพี่สาวถูกลวนลาม ปรี่เข้าชกหน้าวายุโครม แล้วจะตามซ้ำ นวลขวัญดึงน้องชายไว้ ทแกล้วโวย
“กลับไปได้แล้ว คุณเลิกมาตามตื๊อให้พี่ขวัญขายไร่ซะทีเถอะ ต่อให้ตายเราก็ไม่ขาย”
“สงสัยน้องชายจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ ที่ผมมาตามตื๊ออยู่นี่ไม่ใช่อยากได้ไร่นี้ซะหน่อย ผมอยากได้อย่างอื่นมากกว่า” วายุแกล้งยั่วโทสะส่งตาหวานให้นวลขวัญ
ทแกล้วยิ่งโกรธไล่วายุให้กลับไป ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอีก วายุหันมาสบตานวลขวัญอีกครั้ง “ซักวันผมจะทำให้คุณขวัญเห็นความจริงใจของผมให้ได้”
นวลขวัญอึ้งหลบสายตา ลึกๆรู้สึกหวั่นไหว ทแกล้วหวงพี่สาว ตวาดลั่น “ออกไปจากไร่ฉันเดี๋ยวนี้”
วายุมองทแกล้วอย่างอาฆาตแบบฝากไว้ก่อน แล้วเดินคอตั้งบ่ากลับออกไป กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ ทแกล้วสะใจยกหมัดขึ้นชกใส่ฝ่ามือตัวเอง “โธ่...คิดว่าจะแน่...” แล้วสะบัดมือเร่าๆ เพิ่งรู้ว่าเจ็บมือที่ชกหน้าวายุ ร้องโอยๆ นวลขวัญส่ายหน้าขำๆ
สลิลแวะมาหานวลขวัญ เห็นทแกล้วนวดมือหย็อยๆ ยิ่งพอรู้สาเหตุก็แกล้งดีดมะกอกใส่อยากทำตัวเป็นนักเลง นวลขวัญหมั่นไส้ดีดซ้ำ สลิลสมน้ำหน้า สองสาวจูงมือไปคุยกันหนุงหนิง
ooooooo










