สมาชิก

อีสา-รวีช่วงโชติ

ตอนที่ 29

บุตรสาวทั้งสี่คนของหม่อมพริ้มถูกเรียกตัวมาที่ตำหนักขาวเพื่อรับทราบเรื่องโสภิตพิไลสมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ในฐานะลูกสาวของหญิงโสภา

คุณหญิงโศภี คุณหญิงศุภลักษณ์ และคุณหญิงจ้อยไม่มีท่าทีรังเกียจอะไร ยกเว้นคุณหญิงจิ๋มคนเดียวที่ดูไม่สบอารมณ์นัก เพราะความเกลียดชังในตัวสาที่พาคุณหญิงโสภาหนีตามผู้ชายไปยังไม่ลบเลือน แล้วเลยพานไปชังโสภิตพิไลด้วย

“เกลียดอีสาแล้วไปลงที่เด็กจะถูกหรือ” หญิงโศภีติงน้องสาว

“หญิงเกลียดมัน อะไรที่เป็นของมัน หญิงไม่อยากจะไปเกี่ยวข้อง”

“พี่หญิงไม่อยากเกี่ยวก็ช่าง แต่หม่อมแม่ตัดสินใจแล้วว่าจะรับเด็กคนนี้มาเป็นหลาน ตอนนี้ชายรวีกำลังไปพามา ประเดี๋ยวคงจะถึงแล้วล่ะค่ะ ถ้าใครไม่อยากเกี่ยว ก็เชิญกลับไปได้เลยเน้อ”

หญิงจ้อยทำหน้าล้อเลียนหญิงจิ๋ม เลยโดนเธอค้อนขวับเข้าให้ สองคนนี้ตอนเด็กไม่ถูกกันยังไง โตขึ้นก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ไม่ได้โกรธกันจริงจัง ประสาพี่น้องที่สนิทสนมกันมาก

หญิงศุภลักษณ์มีลูกชายหนึ่งคน วันนี้เขามาส่งแม่แต่ไม่ได้เข้ามากราบหม่อมยาย หญิงจิ๋มเจ้ายศเจ้าอย่างตามเคย หาว่าหลานไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ส่วนพี่หญิงรองก็ตามใจลูกเกินไป

“แหม มีลูกชายอยู่คนเดียวนี่นา ก็ต้องโอ๋หน่อย จริงไหมคะพี่หญิงรอง” หญิงจ้อยช่วยแก้แทนอย่างเข้าข้าง ทำให้หญิงจิ๋มไม่พอใจ ย้อนว่าโอ๋นักระวังเถอะจะเสียคนเข้าสักวัน

“เอาเถอะๆ อย่าพูดมากเลย เรื่องที่จะพูดกันวันนี้มันเรื่องของผู้ใหญ่ ตาณุไม่อยู่ก็ดีแล้ว...ไปลูก เข้าบ้านไปกินน้ำชากัน”

หม่อมพริ้มเดินนำลูกๆเข้าข้างใน แล้วอีกพักใหญ่ๆ ชายรวีก็มาถึงพร้อมสาและโสภิตพิไล เด็กสาวนั่งนิ่งในรถไม่ลงมา สีหน้ากังวล แววตาหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด ถามขึ้นว่าหม่อมท่านอยากเจอตนทำไม

“เป็นยาย ก็ต้องอยากเจอหลานเป็นธรรมดา” สาตอบอย่างอ่อนโยน

“ฉันคือโสภิตพิไล วรประเสริฐ ไม่ใช่พวกรวีวาร”

“คุณเป็นลูกของพี่หญิงโสภา ยังไงเลือดครึ่งหนึ่งในตัวคุณก็คือเลือดของรวีวาร ลงมาเถอะครับ ไม่ต้องกลัว”

โสภิตพิไลลงจากรถเดินตามชายรวีกับสาเข้าไปเจอหญิงจ้อยเดินออกมา หวนเดินเยื้องมาด้านหลัง

หญิงจ้อยทักสาเรียบๆ ไม่เกลียดแต่ไม่ได้รัก แม้จะจากกันไปนานแต่เธอยังจำสาได้ดี

สายกมือไหว้หญิงจ้อยแล้วบอกให้โสภิตพิไลทำความเคารพ

“ไหว้คุณหญิงจ้อยสิคะ คุณหญิงศรีลักษณาเป็นน้องสาวคนเล็กของคุณแม่หนู”

“สวัสดีค่ะ”

“เธอต้องเรียกฉันว่าน้าหญิง...ชายรวี หม่อมแม่ให้พี่มาบอกว่าให้สาเข้าไปคุยกับท่านก่อน หนูไปรอที่ศาลาริมน้ำสักครู่ เดี๋ยวหวนจะพาไป”

“เชิญค่ะ คุณหนู”

โสภิตพิไลเดินตามหวนไป ส่วนหญิงจ้อยเดินนำชายรวีและสาเข้าข้างใน สาเดินรั้งท้ายใจเต้นโครมคราม

ooooooo

หม่อมพริ้มและลูกๆอยู่ในห้องโถง ชายรวีเดินนำสามาถึงหน้าห้อง สายืนนิ่งลังเลเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ คลานเข้ามากราบลงเบื้องหน้าหม่อมพริ้ม

“อีสาหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ”

สาเงยหน้าขึ้นมองหญิงโศภีที่ทักถาม แววตาชื่นชม

“เอ็งจำลูกๆ ข้าได้ไหม”

สามองบุตรสาวของหม่อมพริ้มแล้วไล่เรียงได้อย่างถูกต้อง ทุกคนวางตัวนิ่ง ยกเว้นหญิงจิ๋มที่สะบัดหน้าเชิดใส่อย่างไม่ชอบ

“ไม่เจอร่วมยี่สิบปี หน้าตายังสะสวยเหมือนเดิม ไม่มีแก่เฒ่าเลยนะสา”

“ก็เพราะมันยังสาวยังสวยแบบนี้ไงคะพี่หญิง ถึงได้มีเรื่องฉาวโฉ่ไม่หยุด”

หญิงจิ๋มแขวะสาอีกจนได้ หม่อมพริ้มเกรงจะบานปลาย แทรกขึ้นมา

“เอาเถอะๆ ที่เรียกมาวันนี้เพราะอยากจะพูดเรื่องโสภิตพิไล”

“ผมไปตรวจสอบดูแล้วครับ ในสำเนาทะเบียนบ้านโสภิตพิไลเป็นลูกของนายสมศักดิ์ วรประเสริฐ กับ หม่อมราชวงศ์หญิงโสภาพรรณวดี รวีวาร จริงๆ”

“ข้าไม่อ้อมค้อมละนะ ที่เรียกเอ็งมาวันนี้เพราะจะบอกว่าข้าจะเอาโสภิตพิไลมาอยู่กับข้าที่นี่”

“อะไรนะคะ มาอยู่กับหม่อม”

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะสา หรือว่าไม่เต็มใจ”

สาอึ้ง เสียดายโสภิตพิไลแต่พูดไม่ออก ได้แต่นิ่งฟังหม่อมพริ้มต่อไป

“พูดตรงๆนะอีสา ปล่อยให้อยู่กับเอ็ง ก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าอนาคตจะเป็นยังไง”

“ที่ผ่านมาคุณสาก็ดูแลโสภิตพิไลอย่างดีนะครับหม่อมแม่”

“ถ้าดีจริงจะมีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์หรือชายรวี” หญิงจิ๋มยิ้มเยาะสา

“สอนตัวเองให้ดีมันยังทำไม่ได้ จะเอาอะไรไปสอนเด็ก ไม่รู้ละ เอาเป็นว่าข้าจะให้โสภิตพิไลมาอยู่กับข้าที่นี่ เอ็งจะว่ายังไง”

สาพูดไม่ออก ไม่อยากจากลูกแต่ก็หมดหนทางจะโต้แย้ง

ooooooo

ที่ศาลาริมน้ำ โสภิตพิไลนั่งที่บันไดมองสายน้ำไหลเอื่อย ทันใดนั้นเห็นเงาหน้าของผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนในน้ำ เธอตกใจลุกพรวด หันหลังกลับอย่างรวดเร็วจนเกือบชนร่างของเขาที่แอบมายืนข้างหลัง ส่งผลให้เธอเสียหลักเซจะตกน้ำ

ชายหนุ่มคว้าเธอมากอดไว้ทั้งตัวจนล้มลงไปด้วยกัน โสภิตพิไลลุกจากอ้อมกอดของชายแปลกหน้าที่ยิ้มตาพราวมีแววเจ้าชู้ แล้วทำท่าจะผละไปด้วยความเขินอายแต่เขาไม่ปล่อยไปง่ายๆ ดักหน้าและบังคับให้เธอพูด

“ขอโทษที่ชนผมจนล้มไป...ขอบคุณที่ผมช่วยคุณไม่ให้ตกน้ำ...เลือกเอาซักอย่าง”

“คุณเป็นใคร”

“ผิด! เอาใหม่ ขอโทษหรือขอบคุณ หรือทั้งสองอย่าง พูด!”

สาวน้อยเชิดใส่แล้วจะเดินหนี คราวนี้เขาเลยคว้ามือเธอหมับ สั่งให้พูดเดี๋ยวนี้ แต่เธอไม่ทำตาม แถมยังต่อล้อต่อเถียงอีกหลายคำ จนอีกฝ่ายอยากแกล้งยื่นหน้ามาทำท่าจะจูบแก้ม

ได้ผล! โสภิตพิไลเอ่ยคำขอโทษและขอบคุณอย่างที่เขาต้องการอย่างทันทีทันใดจนชายหนุ่มแย้มยิ้มอย่างพอใจ

“เอาละ ตกลงคุณเป็นใคร ชื่ออะไร แล้วมาทำอะไรที่นี่”

“โสภิตพิไล...ฉันมาทำธุระกับคุณป้า แล้วคุณล่ะ”

“ผมมารับคุณแม่...”

“คุณหนูขา...” เสียงหวนเรียกโสภิตพิไลดังแว่ว พอเข้ามาเห็นชายหนุ่มอยู่ด้วยก็ชะงัก “อ้าว คุณณุ”

“มีอะไร น้าหวน” ชิษณุถาม

“หม่อมท่านให้มาตามคุณหนูเข้าไปพบค่ะ ไปเลยค่ะ”

“ไปก่อนนะคะ หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก” โสภิตพิไลพูดกวนๆใส่ชายหนุ่มแล้วเดินตามหวนออกไป

ชิษณุมองตามสาวน้อยจนลับตา รู้สึกใจเต้นตึกตักเหมือนตกหลุมรักแรกพบ

ooooooo

หม่อมพริ้มให้ความเมตตาโสภิตพิไล เพราะเข้าใจตามที่สาบอกว่าเธอเป็นลูกสาวของคุณหญิงโสภา

“เธอพลัดพรากจากรวีวารไปตั้งแต่เกิด ยายดีใจนะที่เธอกลับมา รู้จักกับป้าๆน้าๆ เสียสิ”

ป้าและน้าแนะนำตัว โสภิตพิไลพนมมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม ซึ่งแต่ละคนมีท่าทีเอ็นดูเธอ ยกเว้นหญิงจิ๋มที่ยังคงเชิดหน้าคอแข็ง

เมื่อเห็นว่าโสภิตพิไลมีที่อยู่ใหม่ที่ดีและปลอดภัย สาหมดห่วง บอกทุกคนว่าเธอจะบวชชีล้างบาปที่ฆ่าคนตาย หม่อมพริ้มเห็นด้วยกับความคิดในทางที่ดีของสา เจิมก็เช่นกัน ใจอ่อนยอมอโหสิกรรมให้สา

“ฉันขออโหสิกรรมนะป้านะ ความผิดบาปชั่วช้าที่ฉันทำให้ป้าเสียใจ ขอให้ยกโทษ อโหสิกรรมให้ฉันด้วย น้าจวนกับพี่หวนด้วยนะ”

“เอ็งบวชก็ดีแล้ว บวชไปจนตาย ไม่ต้องสึกได้ยิ่งดี เผื่อชาตินี้เอ็งจะเป็นคนดีกับเขาได้บ้าง”

สาก้มกราบแทบตักเจิม จวนกับหวนเห็นแล้ว ใจอ่อนยวบ ดีใจที่สาคิดได้เสียที

เวลาเดียวกันในตำหนักขาว ชิษณุกับโสภิตพิไลเจอกันอีกครั้งต่อหน้าญาติผู้ใหญ่หลายคน ชายหนุ่มยิ้มหน้าบาน พูดผ่านหม่อมยายว่าตนอยากรู้จักเธอมาก

“เขาชื่อโสภิตพิไล...โสภิตพิไลไหว้พี่เขาซะ เขาชื่อชิษณุ โสภิตพิไลเป็นลูกของน้องสาวของแม่”

“อะไรนะ” ชิษณุอุทานหน้าตื่น ขณะที่โสภิตพิไลก็แทบไม่เชื่อหู

“แม่ของโสภิตพิไลเป็นน้องแท้ๆของหญิงรอง ก็นับเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรานั่นแหละ ชิษณุ”

ชิษณุช็อก มองหน้าโสภิตพิไลอย่างคาดไม่ถึง

ooooooo

ถึงวันที่สาบวชชี แป้นกับสุขมาอนุโมทนาบุญด้วย สาให้เพ็ญศรีจัดการเรื่องทรัพย์สินที่มีอยู่ ห้องแถวสองห้องให้ปล่อยเช่าเก็บค่าเช่าเป็นค่าขนมให้โสภิตพิไลครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งให้ฝากธนาคารไว้

ชายรวีมาทีหลังแต่ยังทันได้พูดคุยกับสาก่อนที่แม่ชีในวัดจะพาไปปลงผม สามองลูกชายอย่างตื้นตันก่อนจะฝากฝังให้เขาช่วยดูแลโสภิตพิไล ซึ่งชายรวีรับปากอย่างเต็มใจ

หลังเสร็จพิธีการแสนเรียบง่าย สาเป็นแม่ชีเต็มตัว ทุกคนมองเธออย่างชื่นชม โสภิตพิไลพูดกับชายรวีอย่างคาดหวังว่า ป้าของตนคงได้พบกับความสุขที่แท้จริงเสียที...

ผ่านไปเกือบปี เพ็ญศรีแวะเวียนมาหาแม่ชีทุก เดือน ส่วนโสภิตพิไลมาแค่สองสามเดือนแรก หลังจากนั้นก็หายต๋อมไปเลย เมื่อแป้นกับสุขมาเยี่ยมเยียน สาจึงได้รู้ว่าโสภิตพิไลไปเรียนหนังสือที่จุฬาฯ คงไม่ค่อยมีเวลา

“ดีจัง” สายิ้มยินดี

“โสภิตเรียนเก่ง เรียนอยู่คณะอะไรนะยายแป้น เออ อักษรศาสตร์จุฬาฯ วันก่อนยังใส่เครื่องแบบมาอวด แหม โก้เชียว”

“แกไปเยี่ยมพี่สุขหรือคะ”

แป้นเห็นสีหน้าสารู้ว่าน้อยใจ แอบหยิกสุขแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที

“คุณชายรวีเธอก็ไปเป็นชาวจุฬาฯเหมือนกันนะคะ แต่ไปสอน เธอไปเป็นอาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ค่ะ”

สายิ้มออก เรื่องของชายรวีมีแต่ทำให้ปลื้มใจ

ooooooo

โสภิตพิไลรูปร่างหน้าตาดีจึงไม่แปลกที่จะมีหนุ่มๆในมหาวิทยาลัยให้ความสนใจ บางรายถึงกับจีบซึ่งหน้าแต่เธอไม่สน แต่ก็ไม่แสดงความรังเกียจ

หนึ่งในจำนวนนี้มีปรมัตถ์หรือปอ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ เขาสุภาพมาก และคอยกำราบหนุ่มรุ่นน้องที่ชอบแวะเวียนมาแซวโสภิตพิไลอยู่เป็นประจำ

เหตุผลที่โสภิตพิไลไม่สนใจใครแม้แต่ปรมัตถ์ ก็เพราะเธอมีชายในดวงใจอยู่แล้ว ซึ่งเขาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นชิษณุลูกพี่ลูกน้องของเธอนั่นเอง

สองคนแอบคบหากันโดยที่ชายรวีเพิ่งมาระแคะ ระคายในภายหลัง เพราะเห็นชิษณุขับรถมารอรับโสภิตพิไลที่มหาวิทยาลัยอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าทั้งคู่คบกันในสถานะไหน

เย็นนี้ ชิษณุมารับโสภิตพิไลแล้วบอกข่าวดีกับเธอว่าตนได้งานทำแล้ว

“จริงเหรอ โสภิตดีใจด้วยนะคะ”

“พี่ไม่ยักดีใจ เพราะเขาจะส่งพี่ไปเมืองกาญจน์ตั้งสามเดือน”

“โอ้โห ตั้งสามเดือน”

“เพราะเราจะไม่ได้เจอกันอีกนาน พี่เลยจะถามเธอเรื่องของเรา” ชิษณุหยิบกล่องเล็กๆออกมา โสภิตพิไลเห็นแหวนแล้วอึ้ง รำพึงหน้าเศร้าว่า

“พี่ณุก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”

“พี่รักเธอ”

“เรารักกันไม่ได้ค่ะ มันผิด สังคมจะต้องประณาม”

“สังคมคือใคร”

“พี่ณุคะ ต่อให้พี่ไม่สนใจสังคม คุณยายหรือคนที่บ้านไม่มีทางยอม”

“เรื่องนั้นไม่ต้องกลัว คุณแม่ไม่เคยขัดใจพี่ ว่าแต่เธอเถอะ เธอยินดีรับรักพี่หรือเปล่า”

“เราเป็นญาติกันนะคะ”

“งั้นเราก็ยิ่งต้องรักกันให้มากๆ จริงไหม” ชิษณุสวมแหวนให้โสภิตพิไล  ก่อนจะจูบมือเธออย่างแผ่วเบาทะนุ– ถนอม “เธอเรียนจบเมื่อไหร่ เราจะแต่งงานกันนะน้องรัก”

ชิษณุโอบกอดโสภิตพิไลอย่างมีความสุข หญิงสาวโอนอ่อนเพราะชอบเขามากเช่นกัน

ooooooo

เมื่อเย็นเห็นโสภิตพิไลนั่งรถออกไปจากมหา-วิทยาลัยกับชิษณุ...ชายรวีไม่สบายใจ กลับมาบ้านดักรอพบหลานสาวอยู่นานกว่าเธอจะกลับ

โสภิตพิไลค่อยๆย่องขึ้นมาชั้นบน พลันสะดุ้งโหยง รีบเอามือไพล่หลังซ่อนแหวน

“น้าชาย...มายืนทำอะไรเงียบๆตรงนี้คะ ตกใจหมด”

“เธอออกมาจากมหาวิทยาลัยก่อนน้าเสียอีก ทำไมเพิ่งถึงบ้าน ชิษณุพาไปเถลไถลที่ไหนหรือ”

“ไปรับประทานไอศกรีม แล้วก็เดินเล่นค่ะ”

“นายณุจบแล้ว จะทำตัวเจ้าสำราญยังไงก็ได้ แต่เธอยังเป็นนิสิต ไม่ควรเตร็ดเตร่เถลไถล เอาอย่างนี้ ต่อจากนี้ไปเธอกลับกับน้าดีกว่า”

“แต่ว่า...”

“ยังไงน้าก็ไปสอนพิเศษที่จุฬาฯทุกเย็นอยู่แล้ว บอกนายณุก็แล้วกันว่าน้าสั่งให้เธอกลับกับน้า”

“ค่ะ” โสภิตพิไลรับปากอย่างจำใจ

พอเข้ามาในห้องนอน เธอทิ้งตัวลงบนเตียงพิศดูแหวนที่นิ้วมือแล้วอดคิดถึงคนให้ไม่ได้...เขาและเธอรักกัน แต่จะผ่านอุปสรรคขวากหนามได้หรือไม่ น่าหนักใจเหลือเกิน...

ooooooo

แป้นบ่นกับสุขขณะนั่งกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันว่าตนสงสารสา ดูท่าทางเธอเสียใจที่โสภิตพิไลไม่รัก

“มันก็ไม่รักมาตั้งนานแล้ว ใช่ว่าเพิ่งจะมาไม่รักเมื่อไหร่”

“เอ้า ตาสุข พูดเข้า...คนเป็นแม่ ลูกไม่รัก มันก็ต้องมีเสียใจ”

“ก็ใช่ แต่แกก็บวชเป็นชีไปแล้วนี่นะ เอาธรรมะเข้าขย่มทุกวันมันก็น่าจะปลงได้หรอกมั้ง”

สุขคิดผิดแล้ว!!

แม่ชีสากำลังหงอยเหงาอยู่ในกุฏิ สายลมภายนอกโชยมาเป็นระลอกยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหงาจับใจ แต่ทันใดสายลมหอบเอาเสียงปี่พาทย์ลิเกดังมาแต่ไกล สาลืมตัวลุกพรวดยืนฟัง สีหน้าตื่นเต้น ตาวาวขึ้นทีละน้อยอย่างชื่นชอบ

แม่ชีสูงวัยเดินผ่านมาเห็นอาการเหล่านั้นของแม่ชีสา ถามขึ้นว่า “คุณสา ทำอะไรน่ะ”

สาได้สติ หันหลังให้เสียงเพลง ตอบอ้อมแอ้มว่าเก็บผ้าอยู่ แม่ชีสูงวัยรู้ทันอธิบายเสียงเรียบว่า

“ทางวัดใต้เขามีงาน เห็นว่ามีลิเกประชันกัน เสียงเลยดังมาถึงวัดเรานี่ หนวกหูก็หนีเข้าไปสวดมนต์ในห้องซะ อย่าฟังมัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูถะ ทัสสะนา...พึงเว้นจากการดู ฟัง ฟ้อนรำ ขับร้อง แลประโคมเครื่องดนตรีต่างๆ ได้ยินได้ แต่อย่าไปชื่นชมยินดีกับมัน ผิดศีลนะคุณสา”

สาปฏิบัติตาม สวดมนต์ก่อนกราบหมอนแล้วลงนอนบนเสื่อบางๆ พยายามตัดใจ

เสียงปี่พาทย์ลิเกยังดังแว่วมา สาเผลอฟังไป แล้วใจก็คิดไปถึงวันที่ไปดูลิเกแล้วเจอสมศักดิ์...พอคิดถึงสมศักดิ์ จิตก็เตลิดไปคิดถึงบทรักอันวาบหวามของเขา สาทนนอนต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นนั่งพยายามข่มใจ

แต่ยิ่งข่มยิ่งห้าม ความหลังยิ่งพรั่งพรู ทั้งวิทย์ เซกิ และประธาน ท้ายที่สุดสาต้องลุกออกจากห้องไปที่ ตุ่มน้ำ ตักน้ำราดตัวจนเปียกโชก...แม่ชีสูงวัยยืนมองมา ส่ายหน้าช้าๆอย่างสังเวชใจ

เช้าวันใหม่ สาออกมากวาดลานวัด กวาดไปหาวไปราวกับอดนอนมาทั้งคืน ท่านเจ้าอาวาสวัดเดินมาเห็น ทักถามแม่ชีว่า

“เป็นอะไรหรือ”

“เมื่อคืนนอนไม่หลับน่ะเจ้าค่ะ”

“ใจไม่สงบ กายก็ไม่สบาย คนเราจะบวช บวชกายอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ต้องบวชใจด้วย ไม่อย่างนั้น มานุ่งขาวห่มขาวไว้มันก็เปล่าประโยชน์...เจริญพร”

พระพูดจบก็เดินไป สาอึ้งอย่างละอายแก่ใจครุ่นคิดตัดสินใจบางอย่าง แล้วบอกแก่เพ็ญศรีที่แวะมาเยี่ยมเยียนในตอนกลางวัน

เพ็ญศรีรับฟังด้วยความตกใจ อุทานคำพูดของสาออกมาหน้าตาตื่น

“อะไรนะคะ คุณสาจะสึก”

“อืม...ฉันทนไม่ไหวแล้วเพ็ญ”

“ฉันนึกแล้วว่าอย่างคุณจะบวชไปจนแก่ได้ยังไง”

“ฉันมันคนบาป ชาตินี้คงจะเป็นคนดีกับเขาไม่ได้จริงๆ เพ็ญช่วยไปบอกคนที่เขาเช่าห้องแถวของฉันด้วยแล้วกันว่าให้เตรียมย้าย ถ้าฉันสึกออกไปฉันจะไปอยู่ที่นั่น”

“ไนต์คลับเราก็ไม่มีแล้ว ถ้าคุณสาออกไปจะไปทำอะไรล่ะคะ”

สาคิดแค่อึดใจเดียวก็คลี่ยิ้มออกมา...

ooooooo

อีสา-รวีช่วงโชติ

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด