ตอนที่ 9
ขณะเอมิกากับนากกำลังด้อมๆมองๆอยู่นั่นเอง มีคนเดินออกมา ทั้งสองเดินรี่ไปเห็นข้างในเป็นบ่อน! พอขยับจะเข้าก็ถูกคนคุมบ่อนมาขวางแล้วปิดประตูไม่ให้เข้า
เอมิกากับนากมองหน้ากันเหลอหลา มันถามว่าจะไปไหน เธอบอกว่า “ก็...เข้าไปเล่นไง” มันไล่ตะเพิดบอกว่าที่นี่ไม่มีอะไรให้เล่น
“อ้าว?? แล้วทำไมพี่มดแดงถึงบอกให้มาที่นี่ล่ะ” เอมิกาอำแอบขยิบตาให้นาก นากรับลูกผสมโรงเป็นปี่เป็นขลุ่ย คนคุมบ่อนชะงักถามว่า มดแดงบอกจริงหรือ พอสองคนยืนยันก็เปิดประตูให้เข้า
พอเข้าไปก็เห็นบรรจงนั่งเล่นไพ่อยู่ที่โต๊ะหนึ่ง นากสะกิดกระซิบ
“นังจงมันชักจะเอาใหญ่แล้ว นี่ถ้าคุณชื่นรู้ว่ามันเข้าบ่อนละก็...มันโดนด่าเละ เผลอๆจะโดนไล่ออกด้วยซ้ำ”
ไม่ นานมดแดงก็เดินออกมาหาบรรจง ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เอมิกาเอามือถือออกมาถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน คนคุมบ่อนเห็นเข้าตะคอกถาม “ทำอะไร!!”
ทุกคนหันมองขวับ บรรจงจ้องหน้าสองคนไปมา บอกมดแดงว่า “สองคนนั้นหน้าคุ้นๆ”
เอ มิกาบอกคนคุมบ่อนว่าตนไม่ได้ถ่ายอะไร แค่กำลังจะโทรศัพท์เท่านั้น มันไม่เชื่อจะแย่งโทรศัพท์ไปดู เอมิกาตกใจเหงื่อแตก หนวดหลุดไม่รู้ตัว บรรจงจำได้ทันที “นังชะเอมกับพี่นาก!!!”
ขณะนากกับเอมิกาอยู่ในหน้าสิ่วหน้าขวานนั่นเอง มีเสียงตะโกนขึ้นว่า
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ!! ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ อย่าหนี!!”
นัก พนันแตกฮือต่างหนีเอาตัวรอด เอมิกายังยืนตะลึงอยู่ นากจับแขนพาหนีออกไปทันที ส่วนบรรจงงกจัดมัวโกยเงินบนโต๊ะอยู่ เลยถูกตำรวจรวบตัวหมับ!!
นากกับเอมิกาวิ่งอ้าวออกไป พอเห็นพ้นแล้วนากบอกให้หยุด นากเอาที่คาดผมออก เอมิกาก็ดึงหนวดออก พอนึกได้เธอถาม “แล้วบรรจงล่ะพี่นาก...” นากนิ่งไป เพิ่งนึกได้เหมือนกัน
ooooooo
หลัง จากนั้นไม่นาน ชื่นฤทัยได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเรื่องบรรจงถูกจับ เธอตกใจมากบอกตำรวจว่าจะรีบไปเดี๋ยวนี้ พีรพลถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ?
“บรรจงถูกจับในบ่อน ฉันต้องไปประกันตัว”
ประกันตัวบรรจงกลับมาแล้ว ชื่นฤทัยด่าบรรจงที่นั่งก้มหน้างุด ส่วนคนอื่นๆพากันแอบดูแอบฟังอย่างอยากรู้อยากเห็น
ชื่นฤทัยด่าบรรจงที่ทำให้ประวัติบ้านนี้ด่างพร้อย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนต้องขึ้นโรงพัก...ขายหน้าจริงๆ! บรรจงขอโทษบอกว่าตนแค่เล่นขำๆเท่านั้น
“แล้วขำออกไหมล่ะ! แค่คิดจะเล่นการพนันมันก็ผิดแล้ว เธอทำให้ฉันหมดความไว้ใจในตัวเธอ ลองเล่นได้ครั้งหนึ่ง มันก็ต้องติดใจอยากเล่นอีก แบบนี้ไงเขาถึงเรียกว่าผีพนันเข้าสิง เพราะว่ามันจะหยุดไม่ได้”
บรรจง บอกว่าตนหยุดได้ ชื่นฤทัยไม่เชื่อไล่ออกจากบ้านไปเลย บรรจงอ้อนวอนว่าออกจากที่นี่ตนก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ไปทำงานอะไร บีบน้ำตาคร่ำครวญ... “จงรักคุณชื่น รักทุกคนที่นี่”
ชื่นฤทัยใจอ่อน ไม่ไล่ออก แต่ให้อยู่ที่เรือนคนใช้เท่านั้น ห้ามเข้าบ้านนี้ เดี๋ยวจะขโมยของไปเล่นการพนันหมด บรรจงยกมือไหว้ขอบคุณ พอเอามือลงก็กำแน่นอย่างแค้นใจ
กลับถึงเรือนคนใช้ บรรจงด่าเอมิกาว่าเป็นคนพาตำรวจไปจับตน เอมิกาบอกว่าตนไม่ได้ทำ นากก็ช่วยเป็นพยาน บรรจงแหวใส่ว่าตนเห็นเอมิกาในบ่อนไม่นานตำรวจก็เข้ามา จุ่นผสมโรงด่าเอมิกาว่าใจร้าย กะเล่นกันถึงตายเชียวหรือ
เอมิกาบอกว่าตนไม่ได้ทำ บรรจงถามว่าไม่ได้ทำแล้วไปที่นั่นทำไม
“ที่ ฉันกับพี่นากตามเธอไป เพราะฉันต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า คนที่สนิทกับมดแดงคือเธอ ไม่ใช่ฉัน แล้วฉันก็ได้หลักฐานมาแล้วด้วย” ว่าแล้วเอามือถือออกมาเปิดให้ดูรูปความสนิทสนมขนาดถึงเนื้อถึงตัวกันระหว่าง บรรจงกับมดแดง
บรรจงตกใจมากเถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่จริง แต่ทุกคนที่ดูรูปต่างไม่เชื่อ สมพิศด่าว่าเลิกสตรอ เลิกปั้นน้ำเป็นตัวได้แล้ว ไอ้คนขี้โกหก ด่าแล้วเดินออกไป จุ่นทุบอกตัวเองคร่ำครวญว่าผิดหวังในตัวน้องจงจริง แล้วเดินตามสมพิศออกไปอีกคน นากเห็นบรรจงมองตาขวางตาเขียวมาทางเอมิกา รีบชวนออกไปกันดีกว่า
“นังชะเอม...แกกับฉันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว!!” บรรจงจิกตาตามคำรามแค้น
ooooooo
เย็นนี้ วเรศเจอกับหมูในฟิตเนส เขาบอกว่าตนชอบเอมิกา หมูแกล้งเอามือไปอังหน้าผากเขา ทำนองว่าไม่สบายหรือเปล่า
“ฉัน ไม่ได้ไม่สบาย” วเรศปัดมือหมูออก “ฉันมีสติ ฉันถึงพูดออกมา...” หมูถามว่าแล้วจะบอกให้เธอรู้ไหม เขาพยักหน้ายืนยันมั่นใจ “ฉันจะบอกให้เขารู้”
“ตั้ม...แกคิดดีแล้วเหรอ ชะเอมเป็นคนใช้ และที่สำคัญแกก็บอกเองว่าเขาเป็นเมียน้อยท่านผู้ว่าฯอุทยาน ถ้าแกบอกรักชะเอม แล้วเกิดชะเอมมีใจให้แกด้วย แกมีปัญหากับท่านผู้ว่าฯแน่ แล้วไหนจะพ่อแม่แกอีก เขาจะยอมรับได้เหรอ”
“ไอ้ที่แกพูดมา ฉันคิดทางแก้เอาไว้หมดแล้ว เรื่องพ่อกับแม่ ฉันรู้ว่าท่านคงรับไม่ได้ แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันสามารถทำให้ท่านยอมรับได้ ส่วนท่านผู้ว่าฯอุทยาน ฉันจะเปิดอกถามท่านอย่างลูกผู้ชาย”
กูรูอย่างหมู เจอคำตอบแบบ “กูรู้” ของวเรศแบบนี้ ก็ต้องเงียบกลายเป็น “กูยอม” ไปโดยปริยาย
คืนนี้เอง วเรศโทรศัพท์ไปหาผู้ว่าฯอุทยาน พูดออกตัวกับท่านก่อนจะเริ่มเรื่องว่า
“เออ...ก่อนที่ผมจะพูด ผมต้องขอโทษท่านเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดสิ่งที่ผมพูดออกมา จะทำให้ท่านไม่พอใจ” แล้วถามตรงๆว่า “ท่านมีคนอื่นนอกจากคุณอัมพรใช่ไหมครับ”
อุทยานตกใจถามว่ารู้ได้ยังไง! วเรศบอกว่าเคยเห็นท่านกับผู้หญิงคนนั้น ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ตนกับน้องคนนั้นไม่ได้มีอะไรกัน ตนแค่ช่วยส่งเสียค่าเล่าเรียนเพราะเขาเป็นเด็กดีน่าสงสาร บ้านยากจนพ่อแม่ก็แก่แล้วแถมยังต้องเลี้ยงน้องอีกหลายคน วเรศถามว่าท่านไม่มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆหรือ
“ไม่มีจริงๆ แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขามีการมีงานทำ ชีวิตไปได้ดี ผมเป็นคนรักครอบครัว รักลูกรักเมีย ผมไม่มีทางทำอะไรนอกลู่นอกทางเด็ดขาด แต่คุณก็คงเข้าใจหัวอกผู้ชายอย่างเราๆ ใช่ไหม ว่าบางครั้งก็มีใจอ่อนกันบ้าง เวลาเห็นผู้หญิงอ่อนแอ”
วเรศตอบอย่างโล่งอกดีใจว่าตนเข้าใจ...เข้าใจดีเลยทีเดียว ท่านย้ำก่อนวางสายว่า
“ถ้ายังไงเรื่องนี้เก็บเป็นความลับระหว่างเราสองคนนะ”
สองชายต่างวัย คุยเหมือนกับเข้าใจกันมาก ทั้งๆ ที่คุยกันแบบ...คนละเรื่องเดียวกัน!
ooooooo
เมื่อเคลียร์กับท่านผู้ว่าฯแล้ว วเรศดำเนินแผนของตนต่อ เขาขออนุญาตชื่นฤทัยยืมตัวเอมิกาไปทำความสะอาดบ้านพักชายทะเล อ้างว่าแขกของคุณพ่อมาจากต่างประเทศจะไปพัก
“ได้สิ ถ้ายังไงก็ให้นากไปด้วยก็แล้วกันจะได้เสร็จเร็วๆ”
วเรศอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ไม่กล้าปฏิเสธ
ไปถึงบ้านพักชายทะเล นากถามเอมิกาว่าจะทำความสะอาดข้างนอกหรือข้างใน เอมิกาขอทำข้างนอก วเรศรีบตามไปอาสาจะช่วย เอมิการู้ทันถามว่า “คุณตั้มมีอะไรจะพูดกับฉันรึเปล่าคะ”
“เออ...คือ...ฉัน...” มัวแต่ติดอ่างอึกอัก มีโทร.เข้ามือถือเอมิกาพอดีเลยบอก “เธอรับโทรศัพท์เถอะ”
เอมิกาเดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์ เป็นสายจากปองเทพโทร.มาตัดพ้อต่อว่าที่เธอมาชายทะเลกับวเรศโดยไม่บอกตนอีกแล้ว เอมิกาฉุนเสียงเข้มว่าตนมาทำงานและนากก็มาด้วย ปองเทพจึงใจเย็นลง ขอโทษแล้วบ๊ายบาย
อย่างสบายใจ
จนบ่าย วเรศยืนมองเอมิกากับนากช่วยกันทำความสะอาด คิดหนักว่าอีกไม่นานก็ทำความสะอาดเสร็จ จากนั้นคงยากที่จะมีโอกาสคุยกับเธออีก พลันก็ยิ้มดีใจเมื่อคิดอะไรออก...
ooooooo
พอนึกแผนออก เขาบอกเอมิกาให้เป็นเพื่อนไปลองสปีดโบตกับตนหน่อย นากขอไปด้วย ถูกเขาปฏิเสธบอกให้นากอยู่ทำความสะอาดดีแล้ว เพราะทำเก่งทำเร็วทำดี แล้วเร่งเอมิกาให้รีบไป จะได้รีบกลับ
พอเรือพุ่งออกไปกลางทะเล เอมิกายืนกางแขนรับลมอย่างมีความสุขมาก วเรศมองเธอที่ยืนหลับตายิ้ม ผมสยายสวยงามมาก มองเพลินจนอดยิ้มออกมาไม่ได้...
เมื่อเรือถึงเกาะ วเรศขอพักที่นี่สักครู่แล้วค่อยกลับ เขากระโดดลงจากเรือแล้วส่งมือมารับเธอ พอเอมิกา กระโดดลงมา เขาทรงตัวไม่ดีทำให้หงายล้มไปทั้งคู่ เอมิกาทับร่างเขาเต็มๆ ต่างชะงักงัน พอลุกขึ้นได้เธอขอโทษแก้เขิน...
“ขอโทษค่ะ ตัวคุณเปียกหมดเลย”
“ไม่เป็นไร ฉันมีเสื้อเปลี่ยนในเรือ” เขาหยิบเสื้อในกล่องออกมาพาดที่กราบเรือแล้วถอดเสื้อเปลี่ยน เอมิกาหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นแผงอกที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงของเขา เธอหันหลังเดินขึ้นชายหาดไปเขินๆ พอวเรศเปลี่ยนเสื้อเสร็จจึงเดินตามไป
“ที่นี่สวยจังเลยนะคะ มันชื่อว่าเกาะอะไรคะ?”
“เกาะรัก” เอมิกาชะงักถามว่าจริงหรือเปล่า “จริงสิ เกาะนี้มีตำนานด้วยนะ พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าหากคนที่รักกันได้มาเกาะนี้ด้วยกัน เขาสองคนก็จะรักกันจนวันตาย”
“มีงี้ด้วยเหรอคะ?”
“อื้อ...พ่อกับแม่ของฉัน ท่านก็มาที่นี่ แล้วท่านสองคนก็รักกันมากจริงๆ ถ้าฉันมีคนที่ฉันรัก ฉันก็อยากพาเขามาที่นี่เหมือนกัน”
วเรศพูดเป็นนัย เอมิกาชะงัก เขินไม่รู้ตัว เลยรีบหาเรื่องคุยกลบเกลื่อนว่า ให้เขาชวนอรวิลาสมาที่นี่ วเรศบอกทันทีว่าตนรักน้องอรเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น
“อ้าวเหรอคะ...ฉันนึกว่าคุณกับคุณอรคบกันแล้วเสียอีก เห็นจากที่เชียงใหม่...”
“ฉันก็แค่ดูแลอรในฐานะน้องสาว ไม่ได้คิดอะไรเกินเลย เพราะว่าฉัน...”
“เราไปเดินเล่นทางโน้นกันเถอะค่ะ” เอมิการีบตัดบท กลัวเขาจะพูดสิ่งที่ตัวเองระแวงออกมา
ระหว่างเดินไปด้วยกัน วเรศแอบเอามือถือถ่ายรูปเธอไว้แทบทุกอิริยาบถโดยเธอไม่รู้ตัว
นากทำงานอยู่คนเดียวจนบ่าย เห็นเมฆฝนตั้งเค้า หยิบมือถือโทร.หาเอมิกา แต่ติดต่อไม่ได้ นากเริ่มใจไม่ดี
ooooooo
หนุ่มสาวยังเดินชมวิวบนเกาะอย่างเพลิดเพลิน จนถึงพุ่มดอกไม้บนเกาะสีสดใส เอมิกาชอบมากเดินไปเด็ดดอกไม้ วเรศตัดสินใจเดินไปเรียกใกล้ๆ เธอตกใจหันมา ดอกไม้ในมือไปถูกหน้าเขาอย่างจังทำให้เขาจามลั่น
เอมิกาขำหน้าตาท่าทางของเขา วเรศเลยเอาคืน ตรงเข้าจี้เอวเธอ แทนที่เธอจะจั๊กจี้หลบหลีกวี้ดว้าย เอมิกา
กลับยืนเฉย เขาเลยหยุดทำหน้าไม่ถูก แต่พอเธอเอาคืนจี้เอวเขาบ้าง เขากลับหัวเราะก๊ากๆวิ่งหนี เอมิกาได้ทีไล่จี้ตาม จนวเรศยอมแพ้บอกว่าวิ่งไม่ไหวแล้ว
ทั้งสองทิ้งตัวลงนอนบนหาดทรายอย่างหมดแรง แต่ขณะความรู้สึกดีๆกำลังก่อตัวนั่นเอง ฝนฟ้าไม่เป็นใจ ฝนเม็ดใหญ่ตกลงมาเปาะแปะๆ อึดใจเดียวก็เทลงมาอย่างหนัก จนทั้งสองลุกแทบไม่ทัน วเรศจับมือเอมิกาพาวิ่งหลบฝน
นากวางมือจากงาน ตามองฟ้า หูฟังวิทยุรายงานอากาศสีหน้าวิตก...
“ขณะนี้ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคตะวันตก ลักษณะนี้จะทำให้เกิดฝนตกชุกหนาแน่น ลมกรรโชกแรง ชาวประมงควรงดออกเดินเรือ และขอให้ระวังนํ้าท่วมฉับพลัน นํ้าป่าไหลหลาก...”
“ป่านนี้ชะเอมกับคุณตั้มก็ยังไม่กลับมา...” นากเป็นห่วงมาก
ที่เกาะ หนุ่มสาววิ่งหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ลมพัดกิ่งไม้ใหญ่หักลงมา วเรศดึงเอมิกาเข้าไปกอดไว้ กิ่งไม้ใหญ่หักฟาดลงมาเฉียดร่างเอมิกาไปเส้นยาแดงเดียว เขากอดเธอไว้แน่น ก้มมองหน้าเธออย่างเป็นห่วง ถามว่าโดนอะไรรึเปล่า โชคดีที่เธอไม่โดนอะไร เขามองฟ้าบอกว่า
“ฝนหนักขนาดนี้ เรายังเอาเรือออกไม่ได้ คงต้องหาที่หลบจนกว่าฝนจะซาก่อน” เอมิกาพยักหน้าแววตาเธอหวาดกลัว วเรศจับมือเธอกระชับแน่นให้กำลังใจ
“มีฉันอยู่ด้วย เธอไม่ต้องกลัว”
เอมิกาพยักหน้า มือที่จับกันอยู่สอดประสานนิ้วกันแน่น เขาพาเธอไปหลบฝนที่ต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่ดูปลอดภัยกว่า ทั้งฝนทั้งลมทำให้หนาวสั่นกันทั้งคู่ เอมิกาบอกเขาให้ขยับเข้ามานั่งใกล้กัน เขาปากแข็งว่าตนไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไรอะไรคะ คุณสั่นไปหมดแล้ว เบียดกันหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ความใกล้ชิดทำให้วเรศตัดสินใจที่จะบอกความในใจกับเธอ แต่เพียงเอ่ยคำว่า “ชะเอม...ฉัน...รัก...” เท่านั้นฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงมา ทำให้ต่างโผเข้ากอดกันแน่น พอได้สติก็ผละออกจากกัน เอมิกาถามเสียงประหม่าว่า
“เมื่อกี้...คุณตั้มจะพูดอะไรกับฉันคะ...”
วเรศมองหน้าเธออย่างดื่มดํ่า ไม่มีคำพูดใดๆ แต่ใบหน้าค่อยๆเลื่อนเข้าหาเธอ...ใกล้เข้า...ใกล้เข้า...ต่างตกอยู่ในภวังค์ พริบตานั้น เอมิกาผงะเมื่อเห็นหน้าปองเทพแวบเข้ามา เธอรีบหันหน้าไปทางอื่น หันหลังให้จนวเรศชะงัก พูดไม่ออก ได้แต่มองเธอแล้วถอนใจเฮือก...เฮือก...
ooooooo
ชื่นฤทัยตกใจมากเมื่อรู้ว่าวเรศกับเอมิกาออกเรือ ไปกันจนป่านนี้ยังไม่กลับ โทร.ติดต่อก็ไม่ได้ นากบอกว่าทางโน้นฝนตกหนักด้วย
“ผมจะโทร.หาพี่ชายผมให้ช่วยบอกตำรวจนํ้าออกตามหาหลานตั้มกับชะเอม” พีรพลบอก
ส่วนปองเทพเมื่อรู้จากอรวิลาสว่าเอมิกาออกเรือไปกับวเรศและติดพายุฝนยังไม่กลับ ก็แทบจะคลั่งโพล่งออกไปว่า
“บ้าเอ๊ย!! ถ้าชะเอมเป็นอะไรขึ้นมา ผมจะไม่ให้อภัยคุณตั้มเลย!!”
อรวิลาสฉุนกึกขึ้นมา ถามว่าใครจะไปรู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อเขายังโวยวายไม่เลิก เธอด่า...
“ทำไมไม่มีเหตุผลแบบนี้ นายนี่มันใจตุ๊ดจริงๆเลย”
ปองเทพเลือดขึ้นหน้าเถียงคอเป็นเอ็นว่าตน
ไม่ใช่ตุ๊ด อรวิลาสไม่ฟังยังว่าฉอดๆ เขาเลยคว้าเธอไปจูบปิดปาก พอเธอผลักออก เขาถามอย่างไม่หายเคือง “เห็นยังว่าผมไม่ได้เป็นเกย์!!”
อรวิลาสมองหน้าเขาอย่างตระหนกแล้ววิ่งเตลิดไป ปองเทพอึ้ง พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็ตบปากตัวเองอย่างรู้สึกผิด
ส่วนอรวิลาสวิ่งกลับไปห้องนอน ยืนพิงประตูอย่างไม่หายตระหนก ยกมือลูบปากตัวเองแล้วทรุดนั่งอย่างว้าวุ่นใจ
ooooooo
ระหว่างที่ทุกคนในบ้านชื่นฤทัยกำลังร้อนใจเป็นห่วงวเรศกับเอมิกานั้น บรรจงออกไปที่ปากซอย ระบายความคับแค้นใจกับมดแดงว่า เพราะเอมิกาคนเดียวทำให้ไม่มีใครสนใจตนอีก ตนเกลียดทั้งเอมิกาและคุณชื่นด้วย
มดแดงได้ทีแสดงความเห็นใจ ชวนมาทำงานกับตนไหม บรรจงรับปากทันทีบอกว่าจะไปลาออกกับคุณชื่นเดี๋ยวนี้เลย มดแดงรีบห้ามว่าไม่ต้องลาออก แค่รับสองจ๊อบไปพร้อมๆกันเท่านั้นเอง บรรจงถามงงๆ “ยังไงอ่ะพี่ ฉันไม่เข้าใจ”
“พี่อยากให้น้องจงเป็นสายโจร คอยดูลาดเลาคนในบ้าน และเมื่อถึงเวลาที่เราพร้อมเมื่อไหร่ เราจะปล้นบ้านคุณชื่นฤทัยกัน” บรรจงอึ้งบอกว่าตนทำไม่ได้หรอก “น้องจงคิดให้ดี แผนนี้จะทำให้น้องจงได้แก้แค้นนังคุณนายกับนังชะเอมไปพร้อมๆกัน แล้วแถมน้องจงยังจะได้ส่วนแบ่ง บางทีอาจจะทำให้น้องจงเลิกเป็นคนใช้ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ น้องจงไม่สนใจจริงๆเหรอ”
บรรจงนิ่งไปอย่างคิดหนัก...
ooooooo
ติดเกาะอยู่จนเช้า เมื่อฟ้าฝนคลื่นลมสงบ วเรศกับเอมิกาจึงพากันกลับ เมื่อกลับถึงบ้าน ชื่นฤทัยโล่งใจที่ทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัย ส่งเอมิกากับนากแล้ววเรศจะกลับ พีรพลเดินมาส่งถามกันแบบอาหลานว่า
“อาแปลกใจว่าทำไมเรากับชะเอมถึงนั่งเรือไปด้วยกัน” วเรศชี้แจงว่าตนไม่ได้ขับเรือมานานจึงให้ชะเอมนั่งเป็นเพื่อนไปด้วย “อย่างเราเนี่ยนะ ต้องให้คนไปนั่งเป็นเพื่อนด้วย” พีรพลเปรยๆ แต่วเรศนิ่งไม่ตอบ เขายิ้มตบบ่าหลานชาย พูดให้สบายใจว่า “อาแปลกใจน่ะ เรารีบกลับไปพักเถอะ เหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว”
แต่พอวเรศเดินไป พีรพลก็มองตามด้วยแววตาสงสัย...
ส่วนเอมิกากลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จออกจากห้องน้ำ เจอจุ่นถือดอกบัวมาคุกเข่าขอโทษที่เข้าใจเธอผิด ยกโทษให้ตนด้วย บอกว่าจะไม่ยอมลุก จนกว่าเธอจะยกโทษให้ เอมิกาจึงรับดอกบัวเป็นการยกโทษให้ จุ่นลุกขึ้นพูดอย่างชื่นชม
“ขอบใจน้องชะเอมมากที่ไม่โกรธพี่จุ่น น้องชะเอมเป็นคนดีจริงๆ”
พอเอมิกาเดินไป จุ่นหันเจอบรรจงกำลังเดินมาก็เชิดใส่ บรรจงรีบไปจับมือง้อ ถามว่ายังไม่หายโกรธตนหรือ จุ่นสะบัดหน้าดึงมือออก พูดอย่างตัดบัวไม่เหลือใยว่า
“ถึงหน้าพี่จะโง่ แต่พี่ไม่ได้โง่นะ แล้วอีกอย่าง คนอย่างพี่เจ็บแล้วจำ!” พูดแล้วเดินไปเลย บรรจงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หามดแดงทันที บอกมดแดงด้วยสีหน้าเหี้ยมว่า
“พี่มดแดง ฉันตกลงตามที่พี่เสนอมา”
ooooooo
เมื่อเอมิกากลับมา ปองเทพแอบมาพบ ตัดพ้อต่อว่าเธอต่างๆนานา ระแวงว่าเธอจะปันใจให้วเรศ ถามว่าเธอชอบเขาหรือเปล่า เอมิกานิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง ปองเทพตีขลุมว่า ไม่ตอบเพราะชอบคุณตั้มใช่ไหม!
ระหว่างนั้น อรวิลาสมาเห็นสองคนยืนคุยกันจึงแอบดูและย่องเข้าไปฟัง ได้ยินปองเทพตัดพ้อว่า
“เราเป็นแฟนกันมานานแล้วนะเอม เอมก็เห็นว่าหลายปีที่ผ่านมา เราไม่เคยมองใครเลย เรารักเดียวใจเดียวกับเอมตลอด เราคงทนไม่ได้หรอกถ้าเอมจะเลิกกับเรา”
“ป่องคิดมากไปแล้ว เราไม่ชอบใครหรอก”ปองเทพย้ำว่าจริงนะ พอเอมิกาพยักหน้าเขาปล่อยมืออย่างโล่งใจ แต่พอหันมา เจออรวิลาสยืนอยู่ ทั้งสองตกใจหน้าถอดสี อรวิลาสพรวดเข้ามาพูดใส่หน้า
“ที่แท้เธอสองคนก็เป็นแฟนกัน”
เอมิกาพยายามจะชี้แจง แต่ปองเทพตัดบทว่า “ใช่ครับ ผมกับชะเอมเป็นแฟนกัน” อรวิลาสหน้าเสียถามว่าแล้วทำไมต้องปิดบังด้วย เดือดร้อนถึงเอมิกาต้องโกหกมั่วไปว่า
“เพราะฉันกลัวมีปัญหาค่ะ ตามสถิติแล้วถ้าคน
รักกันทำงานในที่เดียวกัน จะทำให้การงานไม่ก้าวหน้า ความจริงฉันกับป่องก็ไม่ได้อยากทำงานที่เดียวกันหรอกนะคะ แต่เพราะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เราไม่มีทางเลือก ได้งานที่ไหนก็ต้องไปทำ คุณอรอย่าโกรธเราเลยนะคะ”
อรวิลาสสะบัดเสียงใส่ว่าตนไม่มีสิทธิ์จะโกรธ สองคนเป็นแฟนกันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของสองคน ตวัดสายตาคมกริบไปทางปองเทพ แล้วเดินไปเลย เอมิกาพูดใส่ปองเทพก่อนเดินไปอีกคนว่า
“ถ้าคุณอรไปบอกคุณชื่นว่าพวกเราโกหก แล้วคุณชื่นไล่เราออกก่อนที่เราจะเก็บข้อมูลเสร็จละก้อ...เราจะโทษว่าเป็นความผิดของป่องคนเดียว!”
ปองเทพถอนใจสุดเซ็งแบบ...“ขี้กี่กองๆ ก็โทษไอ้ทองคนเดียว”
ooooooo
ที่โต๊ะอาหารเย็นนี้ อรวิลาสเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวในจานทานอะไรไม่ลงทั้งที่มีของชอบอยู่เต็มโต๊ะ ครู่เดียวก็ขอตัวลุกไป ชื่นฤทัยปรารภกับพีรพลว่า ดูลูกซึมๆไป หรือว่าจะไม่สบาย
หนูอ้อยนั่งดูนั่งฟังอยู่ จีบปากจีบคอพูดอย่าง แก่แดดว่า
“อาการแบบนี้ ไม่ได้ไม่สบายหรอกค่ะคุณพ่อ เขาเรียกว่าอกหักรักคุดตุ๊ดเมินค่ะ”
ชื่นฤทัยขึ้นไปหาอรวิลาสที่ห้อง เห็นลูกกำลังอาละวาดขว้างปาของบนเตียง ถามอย่างตกใจว่าทำไมก้าวร้าวแบบนี้ อรวิลาสบอกว่าอารมณ์ไม่ดี พอถูกแม่ถามแทงใจดำว่าอารมณ์ไม่ดีหรืออกหักกันแน่ เธอร้องไห้โฮๆ ออกมา ชื่นฤทัยตกใจกอดลูกไว้ถามว่า “ลูกร้องไห้ทำไม?”
“ไม่ทราบค่ะ อยู่ดีๆก็อยากร้องไห้” แล้วร้องไห้โฮๆ ฮือๆ ชื่นฤทัยกอดลูกไว้ด้วยสีหน้ากังวล...
เมื่อกลับไปห้องนอนก็ฟันธงกับพีรพลว่าน้องอรทะเลาะกับหลานตั้มแน่ๆ ตนจะต้องทำให้สองคนนี้ดีกันให้ได้ พีรพลที่เริ่มระแคะระคายเรื่องวเรศอยู่แล้ว เตือนว่าเรื่องแบบนี้อย่าไปยุ่งเลย ถูกแหวกลับมาว่า
“ถ้าไม่ช่วยคิด ก็ไม่ต้องพูด ฉันจัดการเอง” พูดแล้วเดินออกไปอย่างมุ่งมั่น พีรพลได้แต่มองแล้วทอดถอนใจ...
ooooooo
วันรุ่งขึ้นวเรศมาที่บ้านแต่เช้า เขามองหา
เอมิกา แต่เจอชื่นฤทัยเข้ามาทักว่าใจเราตรงกันเลยเพราะกำลังจะโทร.หาพอดี
วเรศแปลกใจถามว่ามีอะไรหรือ เธอปรับทุกข์ว่าไม่รู้อรวิลาสเป็นอะไร เศร้าๆ ซึมๆ ถามอะไรก็ไม่บอก ขอแรงเขาช่วยไปเลียบเคียงถามดู เผื่อน้องจะยอมเล่าอะไรให้ฟัง
เมื่อเขาไปเลียบเคียงถาม อรวิลาสย้อนถามว่าเขาเคยไว้ใจหรือเชื่อใจใครมากๆ แล้วสุดท้ายก็จับได้ว่าเขาโกหกไหม? เขาถามว่าใครโกหกหรือ อรวิลาสนิ่งไปอึดใจก่อนโพล่งออกมาอย่างอัดอั้นว่า
“ชะเอมกับป่องค่ะ เขาสองคนเป็นแฟนกัน”
วเรศฟังแล้วตะลึง ใจแป้วจนลืมไปเลยว่าตนกำลังมาช่วยอรวิลาส...จนกระทั่งกลับถึงคอนโดฯก็ยังคิดไม่ตก...
ส่วนอรวิลาสกลับห้องนอนเซ็งๆ พอเห็นห้องถูกรื้อกระจุยกระจาย เสื้อผ้ากองพะเนินเต็มห้อง เธอรู้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือของหนูอ้อย แผดเสียงลั่น
“นังอ้อยยยยยย!!!”
หนูอ้อยค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากกองเสื้อ บอกให้เงียบเพราะตนกำลังเล่นซ่อนหากับชายใหญ่อยู่ ทั้งยังโยนกลองว่าเสื้อผ้าพวกนี้ชายใหญ่คาบออกมาไม่ใช่ตน อรวิลาสไม่เชื่อหาว่าหนูอ้อยโกหก โมโหจนฟาดก้นไปหลายที หนูอ้อยร้องไห้ขู่ว่าถ้าไม่หยุดจะฟ้องแม่ ถูกอรวิลาสด่า “เด็กบ้า!!เอะอะก็ฟ้องแม่”
“พี่อรว่าหนูอ้อยทำไม หนูอ้อยเป็นน้องพี่อรนะ”
“แกไม่ใช่น้องฉัน!” หลุดปากออกไปแล้วอรวิลาสตกใจ เห็นหนูอ้อยวิ่งออกไปก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่เรียกไว้ไม่ทันแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นก็โกลาหลไปทั้งบ้าน เมื่อเอมิกาเข้าไปพบจดหมายน้อยของหนูอ้อยเขียนว่า “ลาก่อน...หนูอ้อย”
ชื่นฤทัยเห็นจดหมายถึงกับเป็นลม อรวิลาสรู้สึกตัวเองผิดมากที่พูดออกไปเมื่อคืนนี้ แต่ไม่กล้าบอกใคร...
ooooooo
อรวิลาสแอบไปนั่งร้องไห้ทั้งเป็นห่วงหนูอ้อยและรู้สึกผิด ปองเทพมาเจอถามว่าเป็นอะไร เห็นเธอเอาแต่ร้องไห้ จึงนั่งลงข้างๆ เช็ดน้ำตาให้ อรวิลาสที่กำลังต้องการใครสักคนที่เข้าใจตน เอนหัวซบไหล่เขา ปองเทพตบหลังเบาๆ
เอมิกามาตามอรวิลาสเห็นเข้าเต็มตา แต่ความเป็นห่วงหนูอ้อยมากกว่าเลยไม่ติดใจ บอกอรวิลาสว่าคุณชื่นให้ไปหา แล้วเดินตามอรวิลาสไป ปองเทพลุกขึ้นขอไปช่วยด้วยคน
เมื่อทุกคนมารวมกันในห้องรับแขกแล้ว วเรศวางแผนการออกตามหาหนูอ้อย โดยให้ชื่นฤทัยกับพีรพลไปด้วยกัน อรวิลาสไปกับปองเทพ ส่วนตนไปกับเอมิกา
อรวิลาสกับปองเทพไปหาหนูอ้อยที่สนามเด็กเล่นแต่ไม่เจอ เธอยิ่งใจเสียบอกปองเทพว่าถ้าหนูอ้อยเป็นอะไรไปตนจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย ปองเทพเลียบเคียงถามจนอรวิลาสเล่าว่าตนตีหนูอ้อยและพูดว่าหนูอ้อยไม่ใช่น้องตน พูดไปร้องไห้ไปว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปแบบนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นายต้องเชื่อฉันนะ”
“ผมเชื่อคุณครับคุณอร แต่คุณก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไปด้วย...คนเรากล้าทำก็ต้องกล้ารับ คนที่ทำผิดแล้วสำนึกผิด ถือเป็นยอดคนเลยนะครับ” ปองเทพให้กำลังใจ อรวิลาสมองหน้าเขาอย่างคิดตาม
ส่วนวเรศไปกับเอมิกา เดินไปด้วยกันอย่างรู้สึกตะขิดตะขวง ท่าทีห่างเหิน จนเอมิกาปรารภว่าเราเดินมาหลายซอยแล้วยังไม่มีวี่แววเลย ไม่รู้ว่าปองเทพกับอรวิลาสได้ข่าวอะไรบ้าง เขาบอกห้วนๆว่า “อยากรู้ก็โทร.ไปถามสิ”
เธอโทร.ไปถามปองเทพ ปรากฏว่ายังไม่เจอ พอหันมาบอก ถูกวเรศพูดประชดว่าแทนที่จะถามอรวิลาสกลับโทร.ถามปองเทพ แล้วทำเป็นนึกได้ “อ้อ...ฉันลืมไปว่าเธอกับนายป่องเป็นแฟนกัน”
เอมิกาหน้าเสีย อึ้งไปอย่างคิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ ถูกเขารุกว่า นิ่งไปแบบนี้แสดงว่าจริง แล้วเปิดฉากตำหนิ
“เธอโกหกฉันหลายครั้งแล้วนะชะเอม โดยเฉพาะเรื่องที่เธอปฏิเสธว่าเป็นเมียน้อยท่านผู้ว่าฯ อุทยาน เธอบอกว่าเธอกับท่านแค่มีบุญคุณกัน แต่สิ่งที่ฉันเห็นและสิ่งที่ฉันรู้มามันไม่ใช่!!
เอมิกาพยายามจะชี้แจง วเรศบอกว่าตนไม่ฟังคำโกหกของเธออีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่เชื่อเธอเหมือนตนเป็นคนโง่ ตนไม่อยากเสียความรู้สึกกับเธอมากไปกว่านี้ เขามองหน้าเธอแววตาสั่นระริก พูดด้วยความรู้สึกสะเทือนใจว่า
“เธอรู้ตัวไหมชะเอม ว่าเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุขเวลาที่อยู่ด้วย และเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันเสียใจมากที่สุด...เราแยกกันตามหาหนูอ้อยเถอะ” เขาตัดบทแล้วเดินแยกไปอีกทาง ทิ้งให้เอมิกายืนอึ้งอยู่ตรงนั้น...
ooooooo
เมื่อวเรศเดินแยกไป เอมิกาจึงเดินเข้าอีกซอยหนึ่งด้วยหัวใจหดหู่รู้สึกผิดมากที่โกหกเขาตลอดมาจนเขาเสียความรู้สึกมากมายขนาดนี้ เธอเดินทะลุปากซอยออกมามองไปทางหนึ่ง เลยไม่เห็นว่าหนูอ้อยจูงชายใหญ่เดินมาจากอีกทาง!
หนูอ้อยถามชายใหญ่ด้วยความรู้สึกเคว้งคว้างว่าเราจะไปไหนกันดี ทันใดนั้น ชายใหญ่เห็นแมวตัวหนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็วิ่งเข้าใส่ด้วยสัญชาตญาณ หนูอ้อยตกใจรีบวิ่งตามไป รถคันหนึ่งที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงบีบแตรลั่น!!
ชายใหญ่วิ่งข้ามถนนไปแล้ว หนูอ้อยตกใจยืนตัวแข็งอยู่กลางถนน เอมิกาหันมาเห็นเธอพุ่งเข้าไปกอดหนูอ้อยแน่น ล้มลงหัวกระแทกพื้นกลิ้งมาชนฟุตปาทอย่างแรง รถคันนั้นเบรกเสียงสนั่น คนขับรีบลงมาดู
หนูอ้อยได้สติร้องเรียก “พี่ชะเอม!!”
วเรศได้ยินเสียงวิ่งมาดู เห็นเอมิกาหัวแตกหมดสติไปแล้ว เขาประคองร้องเรียก “ชะเอม...ชะเอม!!”
ooooooo
ชื่นฤทัย พีรพล อรวิลาส และปองเทพได้ข่าวอุบัติเหตุรีบไปที่โรงพยาบาล ทันทีที่เห็นหนูอ้อย ชื่นฤทัยโผเข้ากอดราวกับจะไม่ยอมให้ลูกพรากจากอ้อมอกไปอีก หนูอ้อยขอโทษทั้งคุณแม่และคุณพ่อสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก
“คุณแม่...คุณอาพี...อย่าดุหนูอ้อยเลยนะคะ เพราะคนที่ผิดคืออรเอง...อรพูดไม่ดีกับน้อง ทำให้น้องเสียใจเลยหนีออกจากบ้าน” อรวิลาสยอมรับผิด แล้วหันไปทางน้อง “หนูอ้อย พี่อรขอโทษ พี่อรขอโทษนะ”
หนูอ้อยยืนมองนิ่ง อรวิลาสยิ่งรู้สึกเสียใจ บอกน้องว่า “หนูอ้อยจะไม่ยกโทษให้พี่อรก็ได้ เพราะครั้งนี้พี่อรทำผิดมากจริงๆ แต่พี่อรอยากบอกให้หนูอ้อยรู้ว่า หนูอ้อยเป็นน้องสาวของพี่”
หนูอ้อยยังคงนิ่ง จนอรวิลาสคิดว่าน้องไม่ให้อภัย จะเดินไป หนูอ้อยจึงลุกไปกอด พูดเสียงเล็กๆใสๆอย่างแสนน่ารักว่า
“พี่อรเป็นพี่สาวคนเดียวของหนูอ้อย หนูอ้อยไม่โกรธพี่อรหรอกนะคะ หนูอ้อยรักพี่อรค่ะ”
“พี่ก็รักหนูอ้อยค่ะ”
ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข หนูอ้อยเล่าอย่างซึ้งใจว่า “พี่ชะเอมช่วยหนูอ้อยเอาไว้จนหัวแตกค่ะคุณแม่” วเรศบอกว่าตอนนี้หมอกำลังดูชะเอมอยู่ พอดีหมอเดินออกมาเขารีบเข้าไปถามว่า “ชะเอมเป็นยังไงบ้างครับ”
“คนไข้ปลอดภัยแล้ว แต่ยังหมดสติอยู่ หมออยากให้นอนโรงพยาบาลดูอาการสักคืน แล้วจะได้ทำการเอกซเรย์เช็กให้ละเอียดด้วย” หมอแจ้ง พยาบาลที่มาด้วยบอกว่ารบกวนให้กรอกประวัติคนไข้ด้วย
“ผมกรอกให้เองครับ” ปองเทพรีบอาสา ยิ่งตอกย้ำให้วเรศรู้สึกว่าสองคนนี้สนิทกันมากจริงๆ
ooooooo
ทุกคนสบายใจที่เอมิกาปลอดภัยแล้วจึงชวนกันกลับ ปองเทพขออยู่เฝ้าเอมิกา ชื่นฤทัยติงว่าเป็นผู้ชายคงไม่สะดวก เดี๋ยวจะให้นากมาเฝ้าเอง
ขณะเดินออกไปด้วยกันนั้น วเรศขอตัวแยกไปอ้างว่ามีงานด่วน แต่พอแยกไปแล้วเขาหลบไปซุ่มดูจนเห็นทุกคนกลับกันหมดแล้ว เขาจึงย้อนกลับขึ้นไปที่ห้องพักเอมิกา เฝ้าอยู่ที่นั่น จนเธอรู้สึกตัวจะลุกไปห้องน้ำเขาประคองพาเธอไป
แม้วเรศจะปรนนิบัติดูแลเธออย่างดี แต่เอมิกาไม่สนิทใจ เฝ้าบอกเขาให้กลับไปได้แล้ว ตนดูแลตัวเองได้ เขาก็ไม่ยอมกลับ จะรอจนกว่านากมารับช่วงต่อ
เมื่อพูดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมกลับ เธอเลยพูดให้บาดใจเขาว่า “เลิกยุ่งกับฉันเสียทีได้ไหม!! ฉันมีแฟนแล้ว ฉันไม่อยากให้แฟนฉันเข้าใจผิด” พูดไม่ทันขาดคำก็เจ็บแผลจี๊ดขึ้นมาจนวเรศตกใจรีบเข้าจับไหล่ถามว่าเป็นอะไร
ขณะอยู่กันอย่างใกล้ชิดนั่นเอง นากมาพอดี ทั้งสองผละจากกัน เขาฝากนากก่อนกลับไปว่า
“ชะเอมเจ็บแผลเดี๋ยวตามพยาบาลมาดูด้วย” นากรับคำ มองอากัปกิริยาของทั้งสองด้วยความรู้สึกแปลกๆ
ooooooo
เมื่อวเรศกลับไปแล้ว เอมิกาคิดจนนอนไม่หลับ เห็นนากนอนหลับอยู่จึงลุกเดินไปที่หน้าต่าง มองพระจันทร์พึมพำ
“คุณตั้ม...ฉันขอโทษที่ต้องโกหกคุณ”
ฝ่ายวเรศ นอนไม่หลับเช่นกัน ยืนมองพระจันทร์ตรงระเบียงคอนโดฯ เอามือถือที่ถ่ายรูปเอมิกาขณะเดินเล่นที่เกาะมาดู เห็นรูปแล้วยิ้มออกมารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในบรรยากาศนั้นอีกครั้ง แต่พอนึกถึงที่เธอบอกว่ามีแฟนแล้ว ไม่อยากให้แฟนเข้าใจผิด เขาก็เศร้าไปทันที พึมพำกับตัวเอง...
“อกหักมันเจ็บอย่างนี้นี่เอง...”
คืนเดียวกัน ปองเทพหิ้วเหล้าไปหานงลักษณ์ที่บ้าน ถามเซ็งๆว่า “ว่างดื่มเป็นเพื่อนป่ะ?”
พอพาเข้าบ้าน นงลักษณ์เอาเหล้าไปเททิ้ง ปองเทพโวยวายว่า “มันแพงนะโว้ย” เธอเลยท่องศีลข้อ 5 ให้ฟัง ถูกปองเทพเบรกว่ารู้แล้ว แต่คนมันกลุ้มจะให้ทำยังไง นงลักษณ์ถามว่าดื่มแล้วหายกลุ้มรึไง เขาก็เอาแต่ส่ายหัว
ครู่หนึ่ง นงลักษณ์เอาน้ำใบบัวบกมาให้บอกว่า “น้ำใบบัวบกแก้ช้ำใจ” ปองเทพถามว่ารู้ได้ไงว่าตนช้ำใจ
“ตั้งแต่รู้จักกันมา ฉันก็เห็นแกกลุ้มอยู่เรื่องเดียว... คือเรื่องไอ้เอม มันบอกเลิกแกเหรอ”
ปองเทพบอกว่าไม่บอกก็ใกล้เคียง นงลักษณ์ดักคอว่าคุณตั้มใช่ไหม ปองเทพตกใจถามว่ารู้ได้ไง?!!
“พวกแกปิดบังสายตาว่าที่ผู้กำกับอนาคตไกลอย่างฉันไม่มิดหรอก แกคิดว่าเอมมีใจให้คุณตั้มใช่ป่ะ แล้วแกล่ะป่อง” ปองเทพทำหน้างงถามว่าตนทำไม “ก็คุณอรวิลาสไง แกกับเขา”
นงลักษณ์พูดไม่ทันจบ ปองเทพก็รีบปฏิเสธแต่ติดอ่างเอ้อๆ อ้าๆ ว่าตนกับอรวิลาสไม่มีอะไรกัน
“ทำไมแกต้องติดอ่างด้วย มีพิรุธนะเนี่ย...ฉันรู้จักทั้งแกทั้งไอ้เอมมานานหลายปี เห็นความสัมพันธ์ของแกสองคนมาตลอด ฉันพูดจริงๆนะเว้ย ฉันไม่เคยนึกว่าแกสองคนเป็นแฟนกัน”
“ทำไม!”
“แกกับเอม เหมือนเพื่อนสนิทกันมากกว่า จากการวิเคราะห์ของฉันเอง มันอาจจะเป็นเพราะว่าแกรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก บ้านอยู่ใกล้กัน เรียนหนังสือที่เดียวกันมาตลอด ไม่เคยต้องออกไปเจอใคร และการที่ไอ้เอมมันเข้าไปเป็นคนใช้ ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่มันใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีแก รวมทั้งเป็นครั้งแรกของแกที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีเอมด้วย”
“แต่เราเป็นคนใช้ที่เดียวกัน”
“งั้นแกคิดให้ดีว่าแกมีส่วนร่วมกับเอมตลอดเวลารึเปล่า? ไม่ใช่ ใช่ป่ะ...” ปองเทพพยักหน้า “โลกของแกกับเอมเป็นคนละโลกกันแล้วป่อง บางทีนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่แกกับเอมต้องห่างกันสักพัก เพื่อให้ต่างคนต่างมีเวลาได้คิด”
ฟังนงลักษณ์ ตัวช่วยที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องสาธยายเสียยืดยาวแล้ว ปองเทพเครียดไปเลย
ooooooo
จากเหตุการณ์ที่เอมิกาช่วยหนูอ้อยจนตัวเองบาดเจ็บและหมดสติครั้งนี้ ทำให้ทั้งหนูอ้อยและ
อรวิลาสสะเทือนใจ ชวนกันไปหาเอมิกาที่เรือนคนใช้ หนูอ้อยเอาขนมมาขอบคุณเธอมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น ก็พูดด้วยลีลาหนังกำลังภายในว่า
“พี่ชะเอมช่วยชีวิตหนูอ้อยเอาไว้ บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก หนูอ้อยขอคารวะด้วยใจที่เคารพค่ะ” พูดจบก็โค้งคำนับอย่างงาม เอมิกา อรวิลาส และนาก หัวเราะอย่างเอ็นดูหนูอ้อย อรวิลาสก็เข้าไปจับมือเอมิกา พูดจากใจว่า
“ฉันเองก็ต้องขอบใจเธอมากนะชะเอม ที่ช่วยน้องฉันเอาไว้ ขอบใจมากจริงๆ”
หนูอ้อยบอกว่ายังมีชายใหญ่ที่อยากขอบคุณชะเอม แล้วเรียกชายใหญ่มายกขาหน้าไหว้ปลกๆ ไม่หยุดทุกคนเลยพากันหัวเราะชอบใจ
บรรจงแอบดูอยู่ด้วยความอิจฉาสุดๆ พึมพำเหี้ยม “มีความสุขกันไปเถอะ อีกไม่นานหรอก!!”
หลังจากหนูอ้อยกับอรวิลาสกลับไปแล้ว เอมิกาเอาไอแพดออกมาบันทึกข้อมูลใหม่...
“สุภาษิตคำว่า ‘เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ’ เป็นการเตือนสติคนในครอบครัวให้ต้องรู้จักรักกัน ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งกันแค่ไหนก็ตาม เหมือนดั่งเช่นคุณอรและคุณหนูอ้อย...ที่พอถึงเวลามีปัญหาจริงๆ พวกเขาก็ช่วยเหลือกัน มีความอบอุ่นให้แก่กัน ยังไงเสีย ความเป็นพี่น้องที่ถึงแม้จะคนละพ่อ แต่ถ้ามีสายเลือดเดียวกัน ก็จะผูกพันกันไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเล็กหรือครอบครัวใหญ่ มันก็จะเป็นเช่นนี้เสมอ”
บันทึกเสร็จเก็บไอแพด แต่พอนึกถึงว่าการเก็บข้อมูลใกล้จะเสร็จแล้วก็อดใจหายไม่ได้...
เช่นเดียวกัน ปองเทพก็ขอโทษอรวิลาสที่ตนโกหกเธอเรื่องเอมิกาตลอดมา เธอบอกว่าหายโกรธเขาตั้งนานแล้ว ถามเขาว่าแล้วยังมีอะไรที่โกหกตนอยู่อีกหรือเปล่า ปองเทพอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนบอกว่า “ไม่มีครับ”
“ไม่มีอีกแล้วจริงๆนะ” ปองเทพยืนยันว่าไม่มีแต่แอบไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง อรวิลาสเชื่อสนิทใจพูดอย่างยินดีว่า “ดี...ฉันจะได้พูดว่านายเป็นเพื่อนได้เต็มปากเต็มคำ”
เธอยิ้มให้ปองเทพทั้งยังเรียกเขาอย่างสนิทปากว่า “ป่อง” แทนที่เคยเรียกว่า “คนใช้น้าแป๊ะ” เป็นรอยยิ้มจริงใจของเธอที่ทำให้ปองเทพชะงัก ทั้งดีใจและรู้สึกผิดที่โกหกเธอ
หลังจากนั้น ปองเทพไปดักพบเอมิกาในที่ลับตา เพื่อจะบอกเธอว่า ตนจะลาออกจากการเป็นคนใช้บ้านคุณแป๊ะแล้ว เอมิกาชะงักหน้าเสียไปนิดหนึ่ง ก่อนบอกเขาว่าไม่ต้องลาออก ตนก็ใกล้จะลาออกแล้วเหมือนกัน เพราะอีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว
แม้ปองเทพจะดีใจกับข่าวนี้ แต่ก็แอบใจหายไม่แพ้เอมิกาเหมือนกัน
ooooooo
เพราะคนดูแลคุณศรีโพยมคุณแม่ของชื่นฤทัยลาออก เอมิกาไปเสนอชื่นฤทัยว่าตนขอดูแลคุณศรี- โพยมในระหว่างที่ยังหาคนใหม่ไม่ได้ ชื่นฤทัยเห็นว่าคุณแม่คุ้นชินกับเอมิกาบ้างแล้วจึงอนุญาต
บ่ายนี้ วเรศมาที่บ้านชื่นฤทัย เจอนากเดินมาพอดี นากบอกว่าจะไปตามอรวิลาสให้ เขารีบห้ามบอกว่าไม่ได้มาหาอรวิลาส แล้วถามว่า “ชะเอมออกจากโรงพยาบาลแล้วใช่ไหม เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีฮะ เกือบจะปกติร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว” วเรศสีหน้าสบายใจ ถามว่าแล้วตอนนี้อยู่ไหน “น้องชะเอมอาสาไปดูแลคุณนายศรีโพยมค่ะ”
พอแยกจากวเรศกลับไปที่ห้องครัว นากนั่งถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า จนสมพิศที่กำลังเตรียมตำน้ำพริกถามว่าเป็นอะไร เห็นนั่งถอนใจเฮือกๆอยู่นานแล้ว
นากทำเป็นลังเลว่าจะเล่าไม่เล่าดี พอสมพิศถามว่าทำไมเล่าไม่ได้ นากแอบด่าเป็นชุดว่า ก็ป้าปากมาก ปากสว่าง ปากไม่มีหูรูด
“ถ้าเอ็งด่าข้ามากกว่านี้ จะได้โดนสากยัดปาก ข้าเป็นคนมีวิจารณญาณ รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูดเว้ย”
นากถอยพ้นรัศมีสากกะเบือ ทำตาปริบๆบอกว่าเล่าก็ได้ เหลียวซ้ายแลขวาเห็นไม่มีใคร ก็กระเถิบเข้าไปลดเสียงลงตีหน้าขรึม ครุ่นคิดพลางเล่าว่า
“ฉันสงสัยคุณตั้มกับน้องชะเอม ตอนที่ฉันไปโรงพยาบาลเฝ้าน้องชะเอม ฉันเจอคุณตั้มเฝ้าน้องชะเอมอยู่ มันแปลกตรงที่ว่า คุณตั้มกับน้องชะเอมหน้าอยู่ห่างกันแค่เนี้ย...” พลางนากจับหน้าสมพิศหันมาห่างตนแค่ไม่ถึงคืบแล้วเล่าต่อ
“ป้าว่าแปลกไหมล่ะ ทำไมเขาถึงใกล้ชิดกัน แล้วพอเขาเห็นฉัน ก็รีบผละออกจากกันทันที”
นากยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้จนลมปากเกือบทำเอาสมพิศเป็นลม ด่าว่ากินช้างเน่ามารึไง นากหัวเราะแหะๆ ถามว่าแล้วป้ารู้สึกยังไงล่ะ
“เอ็งจะบอกว่า เอ็งคิดว่าคุณตั้มกับนังชะเอมมีซัมติงรอง?”
“โอ้โห...ล่อภาษาอังกิดเสียด้วย ก็ประมาณนั้นแหละป้า เพราะเมื่อกี้คุณตั้มก็มาตามหาน้องชะเอม แถมยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใยจนฉันรู้สึกได้เลยอ่ะ”
บรรจงแอบมาได้ยินอีกแล้ว! ได้ข้อมูลเด็ดขนาดนี้ บรรจงยิ้มชั่วกับแผนร้ายที่คิดออก
ooooooo
ขณะเอมิกากำลังพาคุณศรีโพยมเดินเล่นอยู่นั้น คุณศรีโพยมขอนั่งพักหน่อย พอนั่งลงก็หันมองเอมิกาที่นั่งใกล้ๆ ชมว่า
“เธอนี่เป็นคนหน้าตาสะสวยดีเหมือนกันนะนังถั่วฝักยาว...มีแฟนรึยังล่ะ” เอมิกายิ้มเขินๆ “ไม่ต้องเขินหรอก บอกฉันเถอะ...แหมทำเป็นอมพะนำ ถ้างั้นฉันเล่าเรื่องของฉันให้เธอฟังก่อนก็ได้ ฉันกำลังตกหลุมรักคนคนนึง...”
เอมิกาตาโตถามว่าจริงหรือ คุณศรีโพยมทำหน้าเคลิ้มเล่าว่า “จริงสิ เขาชื่อกิจจา แต่คุณแม่ของฉันท่านบอกว่า ฉันเพิ่งอายุ 18 ยังเร็วไปที่จะมีแฟน ควรจะเรียนให้จบก่อน เออ...วันนี้ฉันต้องไปมหาวิทยาลัยนี่นา...” พูดแล้วลุกขึ้นเดิน
เอมิการีบบอกว่าไม่ต้องไป เพราะวันนี้เป็นวันหยุด คุณศรีโพยมหยุด ทำหน้าผิดหวังบ่น...
“ฉันอยากไปมหาวิทยาลัย เพราะจะได้เจอกับกิจจา เธอรู้ไหมว่าการมีความรักทำให้เรามีความสุข มองทุกอย่างมีสีสันสดใส...” คุณศรีโพยมยิ้มอย่างมีความสุข แล้วหันบอก “คราวนี้เธอเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังได้แล้ว”
เอมิกาบอกว่าตนไม่มีอะไรจะเล่า คุณศรีโพยมงอแงไม่ยอมหาว่าเธอขี้โกง สะบัดมือสะบัดเท้าร้องไม่ย้อม...ไม่ยอม...ไม่ยอม!! จนเอมิกาเห็นท่าไม่ดีเลยต้องเล่า คุณศรีโพยมหยุดงอแง จ้องหน้าฟังอย่างตั้งใจ
“...ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ฉันก็ไม่รู้หรอกนะคะว่า จะเรียกเขาว่าแฟนดีไหม เพราะว่า...ฉันดันไปรู้สึกชอบผู้ชายอีกคนนึงเข้า แต่เขาก็ไม่รู้ว่าฉันชอบเขาแล้ว”
“บอกฉันได้รึเปล่าว่าผู้ชายที่เธอชอบเป็นใคร...ฉันสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ”
เอมิกาลังเล อ้ำอึ้ง พลันก็ได้ยินเสียงวเรศร้องทักขึ้นมา “สวัสดีครับคุณยาย” คุณศรีโพยมมองขวับถามเสียงขุ่น
“ใครเป็นยายของเธอ!! แล้วเธอเป็นใคร เข้ามาบ้านฉันได้ยังไง?”
เอมิกาเห็นวเรศหน้าเสีย เธอรีบบอกว่าเขาเป็นเพื่อนตน คุณศรีโพยมมองหน้าวเรศยิ้มให้ ถามเอมิกาว่าคนนี้หรือที่เธอบอกว่าชอบ เอมิกาทำหน้าไม่ถูก ปฏิเสธพัลวันว่าไม่ใช่...ไม่ใช่...แล้วต่างมองหน้ากันเจื่อนๆ
“ดูสิดูดู๊ดู...มองกันแบบนี้ยังจะบอกว่าไม่ชอบกันอีก ฉันอายุปาเข้าไปเจ็ดสิบแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ฉันมองออก...”
เอมิกาแอบบ่นว่าเมื่อกี้ยังบอกว่าเพิ่ง 18 อยู่เลย ส่วนคุณศรีโพยมมองวเรศที่เอาถุงวางบนโต๊ะ ถามว่านั่นอะไร เขาบอกว่าเอามาฝากชะเอม
“มีของมาฝากกัน ยังจะบอกว่าไม่ได้ชอบกันอีก กิ๊วๆ” คุณศรีโพยมเอานิ้วทำกิ๊วๆที่แก้มหัวเราะชอบใจวเรศบอกเอมิกาว่าเอาของมาเยี่ยมเธอ เป็นอาหารบำรุงสุขภาพ เธอขอบคุณเขินๆ คุณศรีโพยมจับตามองทั้งสองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างรู้ทันว่าคิดอะไรกันอยู่...
ooooooo
เอมิกาถือถุงของฝากจากวเรศเดินมาด้วยกัน ต่างรักษาระยะห่างไว้ ท่าทางเกร็งๆ จนเธอทำลายความเงียบขึ้น ชี้แจงว่า ที่คุณยายพูดเมื่อครู่ว่าตนชอบเขา เพราะท่านหลงๆลืมๆ เลยคิดไปเองทั้งที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น
“ฉันรู้ เธอมีนายป่องทั้งคนแล้วนี่...” วเรศฝืนยิ้ม ถามว่า “ชะเอม...นี่เธออาสามาดูแลคุณยายเพราะอะไร”
เธอบอกว่าเพราะคุณยายชินกับตน ถ้าให้คนอื่นมาดูแลอาจจะไม่เข้าใจท่าน เขาดักคอว่าไม่ใช่จงใจหลบหน้าตนหรือ เอมิกาหน้าเสียแต่ปรับได้ในพริบตา ทำเสียงแข็งถาม “ทำไมฉันต้องหลบหน้าคุณด้วย”
ถูกย้อนถามแบบนี้ วเรศก็เลยกลบเกลื่อนว่า “นั่นสินะ...ฉันกลับล่ะ” แล้วต่างก็ทำตัวไม่ถูก แต่พอวเรศเดินไป เอมิกาถอนใจโล่งอก พลันก็เจ็บแผลขึ้นมารุนแรง วเรศหันมาเห็นถามว่าเธอเป็นอะไร เธอทำปากแข็งบอกว่าเปล่า แต่เขาไม่เชื่อ เดินกลับมาถามว่าเจ็บแผลอีกใช่ไหม
เอมิกาบอกว่าตนลืมทานยาก็เลยปวดขึ้นมาอีก เมื่อเขาจะช่วยประคอง เธอเบี่ยงตัวบอกว่าเดินเองได้
“ถ้าฉันปล่อยให้เธอเดินแล้วเธอล้ม ก็จะเดือดร้อนคนอื่นเขาอีก เธอมีนัดหาหมออีกทีเมื่อไหร่”
“อีกสองวันค่ะ”
วเรศนิ่งไป ประคองเธอเดินกลับ ระหว่างนั้น บรรจงโผล่ออกจากหลังต้นไม้ ใช้มือถือถ่ายรูปทั้งสองที่เดินประคองกันอย่างสะใจ
ไม่ทันข้ามวัน บรรจงก็ไปผลุบๆโผล่ๆที่หน้าต่างห้องรับแขกบ้านชื่นฤทัย พอถูกชื่นฤทัยจับได้ถาม
กระหนาบว่า “บรรจง...ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเข้ามาที่นี่”
บรรจงทำเสียงอ่อยบอกว่าตนมีเรื่องร้อนใจ ถ้าไม่อยากให้ตนเข้าไปก็กรุณาออกมาพบตนได้ไหม ชื่นฤทัยไล่ให้ไปรอที่สวน
เมื่อชื่นฤทัยไปพบ บรรจงเอารูปที่แอบถ่ายวเรศประคองเอมิกาให้ดู ฟ้องว่า “สงสัยนังชะเอมกำลังให้ท่าคุณตั้มค่ะ”
ชื่นฤทัยไม่เชื่อ คาดว่าเอมิกาคงจะเจ็บแผลที่หัว วเรศจึงแสดงความเป็นสุภาพบุรุษช่วยประคอง บรรจงอ้างอีกว่าตนได้ยินนากคุยกับสมพิศว่า “วันที่ชะเอมอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนที่พี่นากไปถึงก็เห็นคุณตั้มอยู่กับชะเอมค่ะ”
เมื่อชื่นฤทัยทบทวนแล้วจำได้ว่าวันนั้นวเรศขอแยกตัวไปก่อน อ้างว่ามีงานด่วนต้องรีบไป ก็อดระแวงไม่ได้ บรรจงเห็นสีหน้าชื่นฤทัยก็พอใจที่เป่าหูให้ลังเลได้
บ่ายนี้เอง วเรศโทร.เข้าบ้านชื่นฤทัย สมพิศรับสายเขาขอคุยกับนาก พอนากไปรับสายสมพิศเงี่ยหูฟังอย่างอยากรู้อยากเห็น ได้ยินนากพูดฝ่ายเดียวก็พอจับความได้...
“สวัสดีฮะคุณตั้ม...นากจะเป็นคนพาน้องชะเอมไปหาหมอเองฮะ...ไม่ต้อง...คุณตั้มจะพาไป...เออะ...ได้สิฮะ...นัดไว้สิบโมงเช้าฮะ...สวัสดีฮะ...”
พอวางสายหันไปมองหน้ากัน สมพิศถาม...“คุณตั้มจะพานังชะเอมไปหาหมอ?” นากพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอย่างที่เอ็งคิดน่ะสิ...ถ้าคุณตั้มชอบนังชะเอมจริงๆ...โอยยยยย...ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่าคุณชื่นจะโกรธมากขนาดไหน”
นากกับสมพิศมองหน้ากันอย่างสยอง แต่ที่ตะลึงอึ้งจนทำหน้าไม่ถูกคือชื่นฤทัยที่เดินมาได้ยินพอดี!
ooooooo
ที่สวนข้างบ้านคุณแป๊ะ อรวิลาส หนูอ้อย กับปองเทพ กำลังเล่นซ่อนหากันอยู่อย่างสนุกสนาน ปอง-เทพหาหนูอ้อยเจอก่อน จึงเดินหาอรวิลาส เห็นเธอกำลังหลบแว้บๆ เขาพุ่งเข้าไปร้อง...
“คุณอรจะหนีไปไหน!!”
อรวิลาสร้องกรี๊ดวิ่งหนีสุดฝีเท้า ปองเทพไล่ตามท่ามกลางเสียงเชียร์ของหนูอ้อย ไม่ถึงอึดใจ อรวิลาสก็ถูกจับได้ เขาเข้าไปรวบตัวเธอไปกอดไว้ เธอยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งกอดแน่น ทั้งสองเสียหลักล้มทับกันที่พื้น หนูอ้อยปรบมือหัวเราะชอบใจทำเสียงตื่นเต้น...
“ว้าย...ว้ายยย...พี่อรกับพี่ป่องกอดกัน...กิ๊วๆ”
“แกทำอะไรลูกฉัน!!” เสียงชื่นฤทัยแว้ดลั่นจนทั้งสองผงะผละจากกัน
ปองเทพหน้าเหลือสองนิ้ว ลุกขึ้นปฏิเสธพัลวันว่าตนเปล่า อรวิลาสชี้แจงว่าเรากำลังเล่นกันไม่มีอะไร
“มากับแม่!” ชื่นฤทัยสั่งอรวิลาส มองปองเทพอย่างไม่ไว้ใจ
ที่แท้ชื่นฤทัยฟังบรรจงเป่าหูแล้วร้อนใจ ไปตามหาอรวิลาสเพื่อจะถามความสัมพันธ์กับวเรศว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว พอไปเจอภาพอุบาทว์นั้นก็โกรธ ปรามลูกว่าทีหลังห้ามทำแบบนี้อีกเด็ดขาด จากนั้นซักไซ้ไล่เบี้ยเรื่องความสัมพันธ์กับวเรศว่าไปถึงไหนแล้ว
“ก็ดีนี่คะ” อรวิลาสตอบอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“แม่ไม่ต้องการคำว่าดี แม่ต้องการคำว่าลูกกับหลานตั้มตกลงคบหาดูใจกันแล้วมันเป็นแบบนั้นหรือยัง”
“เออ...คุณแม่คะ...คือเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วอีกอย่างอรก็เป็นผู้หญิง อรจะไปแสดงออกอะไรมากก็ไม่ได้”
“นี่ลูกอร...สมัยนี้ผู้หญิงกับผู้ชายมันเสมอภาคกัน ขืนมานั่งรอให้ผู้ชายจีบก็กินแห้วพอดี ผู้ชายยิ่งมีน้อยๆอยู่”
อรวิลาสถามว่า หมายความว่าแม่จะให้ตนจีบก่อนใช่ไหม ชื่นฤทัยทำหน้าฮึดฮัดไม่ได้อย่างใจ ถามว่าพูดถึงขนาดนี้แล้วยังต้องให้แปลกันอีกหรือ ทำไมเข้าใจอะไรยากอย่างนี้!
“แม่คะ...อรว่า เรื่องความรัก เราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่าไหมคะ”
“ไม่ได้!! ขืนชักช้า คนอื่นก็คว้าไปกินน่ะสิ ลูกมีดีอยู่ในตัว จงใช้ข้อดีของตัวเองให้เป็นประโยชน์ แม่บอกเลยนะว่าแม่ไม่ต้องการลูกเขยคนอื่นนอกจากหลานตั้มคนเดียว”
พูดแล้วเดินออกไปเลย ไม่สนใจว่าลูกจะคิดอย่างไร จะทำอย่างไรต่อไป
ooooooo
เพื่อหาทางจับคู่ให้อรวิลาสกับวเรศให้ได้ ชื่นฤทัยบอกสมพิศว่าจะไปช็อปปิ้งให้เอมิกาไปถือของให้ตน เอมิกาแปลกใจ แต่เมื่อเป็นคำสั่งก็ต้องไป ครั้นไปจริงๆ ชื่นฤทัยกลับหว่านล้อมให้เธอช่วยทำให้วเรศชอบอรวิลาส เป็นเรื่องที่ลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ทนคำอ้อนวอนของชื่นฤทัยไม่ได้ จึงจำต้องรับคำอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คืนนี้หนูอ้อยนึกอยากนอนกับอรวิลาส เปิดประตูเข้าไปขอนอนด้วยคน พอพี่สาวอนุญาตก็กระโดดขึ้นเตียง เห็นอรวิลาสนั่งเศร้าถามว่าเป็นอะไรทำไมหน้าเศร้าขนาดนี้ เพราะคุณแม่เรียกไปคุยแล้วใส่ไม่หยุดหรือเปล่า เห็นพี่สาวยังนิ่ง ถามอีกว่า “หนูอ้อยได้ยินคุณแม่พูดเรื่องพี่ตั้ม พี่อรชอบพี่ตั้มหรือเปล่า”
“ตอนแรกพี่คิดว่าพี่ชอบพี่ตั้ม แต่พอมาตอนนี้ พี่รู้แล้วว่าพี่ไม่ได้ชอบพี่ตั้ม” หนูอ้อยบอกว่าถ้าไม่ชอบก็บอกคุณแม่ไปสิ “บอกได้ยังไงล่ะหนูอ้อย พี่ไม่เคยทำอะไรให้คุณแม่สมหวังเลย คุณแม่ก็เลยหวังเรื่องนี้เต็มที่ พี่จะทำให้คุณแม่ผิดหวังอีกไม่ได้”
“ทั้งๆมันจะทำให้พี่อรไม่มีความสุขเหรอคะ” ถามแล้วมองหน้าพี่สาวเห็นนิ่งเงียบ หนูอ้อยถอนใจบ่น “เฮ้อ...โตเป็นผู้ใหญ่นี่มันยากจริงๆ หนูอ้อยไม่อยากโตเลย...” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน ปล่อยให้พี่สาวนั่งเศร้าอยู่คนเดียว...
ooooooo










