สมาชิก

ตะวันทอแสง

ตอนที่ 14

คนที่แตกตื่นกลายเป็นชีวินกับพิทยา ทั้งคู่ห่วงความรู้สึกของรสา แต่พอให้คัพเค้กโทร.ไปสอบถามก็ค่อยเบาใจ เพราะรสาบอกว่าเห็นแล้ว รู้แล้ว เพราะเธออยู่ในเหตุการณ์ วันนั้นพักตร์วิมลกับปรางทิพย์มีเรื่องกันที่บ้านภคพงษ์ พิทยาเลยฟันธงทันทีว่า คนส่งรูปนี้ไปให้นักข่าวต้องเป็นพักตร์วิมลอย่างแน่นอน...

แม่นแล้ว! พักตร์วิมลเป็นคนแอบถ่ายรูปนั้นเอง และเวลานี้เธอกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง มาดหมายว่าภคพงษ์เห็นข่าวนี้ต้องเขี่ยปรางทิพย์ทิ้งเหมือนตอนยูโฮะแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่รอช้า เดินหน้าเข้าไปพบเขาที่บ้าน แสดงความเป็นห่วงกลัวเขาจะเสียหาย

“ขอบคุณมากที่เป็นห่วงชื่อเสียงของผม” ภคพงษ์เอ่ยนิ่งๆ

“แพตเป็นห่วงภัคเสมอนะคะ แพตรู้ว่าภัคอยู่ในจุดที่ใครๆก็อยากเข้ามาหาผลประโยชน์ เด็กเนี่ยคงจะใช้มุกเดียวกับยัยเด็กยูโฮะ ที่จ้างนักข่าวมาแอบถ่ายรูปแล้วก็ส่งข่าวเพื่อจะทำให้ทุกคนเข้าใจผิด คิดว่าภัคคบกับเขาอยู่”

“ผมว่า...คนที่เข้าใจผิดคือคุณมากกว่า คุณเข้าใจผิด คิดว่าผมโง่แล้วจะเชื่อทุกอย่างที่คุณพูด ผมรู้ว่าคุณเป็นคนถ่ายรูปพวกนี้”

“ไม่จริงนะคะ”

“ผมมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน อยากจะดูหรือเปล่า แล้วก็ยังมีภาพที่คุณอาละวาดกับป้าใจ ผมเห็นภาพทั้งหมดแล้วชัดมากเลย ถ้านักข่าวได้ภาพพวกนี้ไปคงไม่ดีกับชื่อเสียงของคุณแน่”

“ภัคพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”

“ผมคิดว่า เราสองคนอย่าเจอกันอีกเลย”

“ภัค!! นี่ภัคจะเลิกกับแพตเหรอคะ”

“ที่ผ่านมาผมให้เกียรติคุณตลอด เพราะคิดว่าเราคงจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคิดผิด เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย อย่ามาที่นี่อีก”

พักตร์วิมลกัดฟันกรอด ตัวสั่นด้วยความโกรธ ระเบิดอารมณ์อย่างสุดทน

“ได้! แพตก็ไม่อยากจะมานักหรอก ผู้ชายใจร้ายอย่างคุณ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะได้ จำไว้เลยนะ สิ่งที่คุณทำกับผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในชีวิตคุณ มันจะทำให้คุณไม่มีวันได้เจอความรักที่แท้จริง บนโลกนี้ยังมีผู้ชายรวยๆให้แพตเลือกอีกมากมาย แต่ในชีวิตคุณไม่มีวันจะได้เจอกับผู้หญิงดีๆ ถึงมีเข้ามา เขาก็จะต้องทนกับความใจร้ายเย็นชาของคุณไม่ได้ ภัคจะต้องตาย อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีคนที่รักอยู่ข้างๆแม้แต่คนเดียว ไม่เชื่อก็คอยดู”

พักตร์วิมลพูดทิ้งท้ายไว้อย่างโกรธแค้น แล้วปาหนังสือพิมพ์ทิ้งลงพื้น ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา ภคพงษ์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนจะเย็นชากับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลึกๆในใจแอบคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เธอพูดมันคือความจริง

ooooooo

ในเวลาเดียวกันนั้น รัชนีกำลังขุ่นมัวกับข่าวนี้เช่นกัน เธอไม่มีวันยอมให้ปรางทิพย์ตกเป็นเครื่องมือแก้แค้นของภคพงษ์

“คุณต้องหยุดเรื่องนี้นะคะ” รัชนียื่นคำขาดกับสุวิทย์ที่นั่งเผชิญหน้ากันอยู่ “รัชบอกคุณแล้วว่าภคพงษ์จะทำให้ลูกเราเดือดร้อน และมันก็เป็นจริงๆ”

“ปรางไปบ้านคุณภัคตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไปได้ยังไง”

“ไปตั้งแต่เมื่อไหร่รัชไม่ทราบ แต่ไปมาหลายครั้ง และก็แอบไปโดยที่ไม่บอกใคร”

“แต่ลูกเราไม่เคยทำอะไรลับหลังโดยไม่บอก”

“ตอนนี้ปรางเปลี่ยนไปเยอะมาก รัชไม่แน่ใจว่าภคพงษ์ทำอะไร พูดอะไรกับลูกเราบ้าง ปรางถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ รัชถึงอยากรีบส่งลูกไปเมืองนอก อยู่ให้ห่างๆกันไว้ดีที่สุด ยิ่งข่าวออกมาแบบนี้รัชยิ่งไม่สบายใจ ไม่อยากให้ลูกเราตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน”

“ผมจะคุยกับคุณภัคเอง ผมอยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ เผื่อเขาจะมีเหตุผลที่ผมไม่รู้”

รัชนีหน้าเสีย แววตาหวาดหวั่น โพล่งขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัว “อย่านะคะ” พอเห็นสามีนิ่วหน้าสงสัย เธอรีบปรับน้ำเสียงเป็นอ่อนลง “อย่าเลยค่ะ ช่วงนี้

คุณงานยุ่ง ปล่อยให้รัชจัดการเองดีกว่า รัชจะคุยกับภคพงษ์เอง”

ทันใดนั้น ปรางทิพย์ส่งเสียงเข้ามา “เราคุยพร้อมกันทั้งสี่คนดีกว่าค่ะ ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ปราง แล้วก็พี่ภัค ตอนนี้พี่ภัครออยู่ที่ห้องรับแขกแล้วค่ะ”

รัชนีชะงักกึก ใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นนับจากนี้...

ภายในห้องรับแขก ภคพงษ์ยกมือไหว้สุวิทย์อย่างสุภาพ ต่างจากที่รัชนีพยายามจะให้ข้อมูล

“ผมต้องขอโทษสำหรับข่าวที่ออกมา มันเป็นความผิดของผมเอง”

“รู้ก็ดีแล้ว” รัชนีสวนทันควัน “แล้วก็รีบอธิบายให้สังคมเข้าใจด้วยว่าความจริงมันคืออะไร”

“คุณรัชนีอยากให้ผมบอกความจริงกับสังคมจริงๆ เหรอครับ”

รัชนีมองหน้าภคพงษ์อย่างรู้กันว่าความจริงในที่นี้หมายถึงอะไร ภคพงษ์มองตาไม่กะพริบ จนรัชนีต้องหลบตา พูดไม่ออก ปรางทิพย์เห็นพอดี มองด้วยความแปลกใจ แต่ไม่พูดอะไร

“ก็ได้ครับ ถ้าคุณรัชนีต้องการ แต่ก่อนจะบอกสังคม ผมขอบอกคุณสุวิทย์กับน้องปรางก่อนแล้วกันนะครับ ว่าความจริงมันคืออะไร” ภคพงษ์เล่นเกมต่อ...รัชนีหน้าซีด แววตาเต็มไปด้วยความกังวล หลุดปากเรียกชื่อภคพงษ์ออกมา ทำให้สุวิทย์กับปรางทิพย์เริ่มสงสัย

“คุณ...นี่ตกลงว่าคุยเรื่องอะไรกัน” สุวิทย์เอ่ยปาก

“นั่นสิคะ ปรางเริ่มจะงงแล้วนะคะเนี่ย พี่ภัคกับคุณแม่พูดเหมือนมีอะไรที่รู้กันอยู่แค่สองคน”

“สรุปความจริงที่พูดถึง มันคืออะไร”

รัชนีพูดไม่ออก ใจเต้นโครมคราม สุวิทย์กับปรางทิพย์มองหน้ารอคำตอบ...ในเมื่อรัชนีไม่ตอบ ภคพงษ์ จึงพูดเสียงเอง

“ความจริงที่ผมอยากจะบอก ก็คือ...”

รัชนีเบือนหน้าไปทางอื่น คิดว่าภคพงษ์ต้องแฉแน่ๆ

“ผมขอคบกับน้องปรางอย่างจริงจังครับ”

ถึงเขาไม่แฉความจริง แต่คำพูดนั้นก็ทำให้รัชนีช็อกยิ่งกว่าช็อก...ตรงข้ามกับปรางทิพย์ที่ยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“ผมมาวันนี้เพื่อขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ผมชอบปรางทิพย์ และคิดจะคบอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเอง ผมจะไม่มีคนอื่น จะคบกับน้องปรางคนเดียวเท่านั้น”

ปรางทิพย์กับภคพงษ์สบตากันหวานซึ้ง รัชนีเห็นแล้วยิ่งปวดใจ แต่สุวิทย์ยิ้มพอใจ

“ขอบใจมากที่คุณพูดตรงๆ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมคงจะให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้ ขอเวลาให้เราสามคนได้คุยกันเป็นการส่วนตัวก่อน หวังว่าคุณภัคคงเข้าใจ”

“ผมเข้าใจครับ แค่คุณสุวิทย์อนุญาตให้ผมได้บอกความจริง แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”

สุวิทย์รับไหว้ยิ้มๆ รัชนีรับไหว้แบบเสียไม่ได้ ภคพงษ์หันไปยิ้มหวานให้ปรางทิพย์อีกครั้ง

“ขอบคุณมากนะคะพี่ภัค”

ภคพงษ์ยิ้มรับก่อนเดินออกไป ปรางทิพย์มองตามแววตาเต็มเปี่ยมด้วยความสุข โดยไม่รู้เลยว่าหัวอกของคนเป็นแม่กำลังเจ็บปวดแสนสาหัส...

ooooooo

รัชนีเครียดและอึดอัดมาก ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร ได้แต่นิ่งมองลูกและสามีที่ยิ้มแย้มมีความสุข

“คุณพ่อ คุณแม่คะ พี่ภัคมาขออนุญาตแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะอนุญาตหรือเปล่าคะ”

“พ่อไม่มีปัญหา...แล้วคุณล่ะว่ายังไง”

“ปรางทิพย์ยังเด็ก”

“คุณแม่คะ ปรางจะ 19 แล้วนะคะ เพื่อนปรางคนอื่นๆเขาก็มีแฟนกันหมดแล้ว ปรางไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ”

“ยายปราง!!” รัชนีขึ้นเสียง

“คุณ...” สุวิทย์แทรกขึ้น อธิบายอย่างใจเย็น “ที่ผ่านมาเราเลี้ยงลูกแบบให้อิสระกับเขา เลี้ยงให้เขาเป็นผู้ใหญ่และยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ผมคิดว่าถ้าวันนี้เราจะจำกัดอิสรภาพของเขา เพราะเราคิดว่าเขายังเด็ก ลูกคงจะสับสนแย่นะ”

“จริงด้วยค่ะ เมื่อก่อนคุณแม่จะให้ปรางคิดและตัดสินใจด้วยตัวเองในทุกๆเรื่อง แต่ทำไมเรื่องของพี่ภัค คุณแม่ไม่เคยถามปรางสักนิดว่าปรางคิดยังไง”

รัชนีอึดอัดอกแทบระเบิด อยากจะบอกแต่ก็บอกไม่ได้

“เอาล่ะ พ่อว่าภคพงษ์มีความจริงใจและจริงจังที่มาพูดกับพ่อและแม่ในวันนี้ เอาเป็นว่าพ่ออนุญาตให้คบกันได้”

ปรางทิพย์ยิ้มกว้าง รัชนีไม่ยอม พยายามจะทักท้วง แต่ก็ไม่รู้จะอ้างเหตุผลอะไร ได้แต่อึกอักอ้ำอึ้ง สุวิทย์เลยสรุปว่า

“แต่ต้องอยู่ในสายตาของแม่เขา และห้ามปรางทำอะไรลับหลังหรือไม่บอกคุณแม่อีก รู้หรือเปล่า”

“ทราบค่ะ งั้นปรางรีบโทร.บอกพี่ภัคนะคะ”

สุวิทย์พยักหน้า ปรางทิพย์รีบลุกเดินออกไป...รัชนีกำมือแน่นทำอะไรไม่ถูก แถมยังทำอะไรไม่ได้ อึดอัดร่างกายแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งโกรธ ทั้งกลัว

ooooooo

เมื่อรสากลับมาทำงานตามปกติ ชีวินยังเป็นห่วง อดพูดเรื่องข่าวภคพงษ์กับปรางทิพย์อีกไม่ได้ แต่รสายืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไร เรื่องของเขาสองคนไม่เกี่ยวกับเธอ อย่ามาพูดกันให้เสียเวลางาน เราควรเร่งงานให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้...

ข่าวภคพงษ์กับปรางทิพย์มีออกมาเป็นรายวันตามหน้าหนังสือพิมพ์บันเทิง ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็เป็นข่าว ซึ่งมันเป็นความต้องการของภคพงษ์ที่จะเล่นเกมกับความรู้สึกของรัชนี เขาพาปรางทิพย์ออกงานสังคมบ่อยครั้ง รัชนีเห็นข่าวเมื่อใด เจ็บแปลบหัวใจเหลือจะกล่าว

รสาเองก็รู้สึกปวดใจ แต่เธอปกปิดไม่ให้ใครเห็น ทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อต้องการไปให้ไกลจากภคพงษ์โดยเร็วที่สุด

วันหนึ่งขณะเธอง่วนอยู่กับงานที่ใกล้เสร็จสิ้น คาดว่าพรุ่งนี้คงปิดได้ ภคพงษ์เดินเข้ามาเงียบเชียบจนเธอสะดุ้ง แล้วตั้งท่าจะเดินหนี เขารู้ทันรีบดักหน้า พร้อมกับจับมือเธอ

“ปล่อยค่ะ ฉันจะรีบไปทำงาน”

“จะรีบไปทำงาน หรือว่าอยากหลบหน้าผมกันแน่”

“ก็แล้วแต่คุณจะคิด ปล่อยค่ะ วันนี้ฉันต้องปิดงานทุกอย่างเพื่อส่งมอบให้คุณ ฉันไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำ”

“พรุ่งนี้จะส่งงาน แต่ดูเหมือนคุณไม่ใส่ใจเจ้าของบ้านสักเท่าไหร่”

“มีอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากแบบที่เคยตกลงกันไว้ ก็สั่งมาเลยสิคะ ถ้าไม่เป็นการยุ่งยากจนเกินไป ทางเรายินดีจัดการให้”

“เลิกพูดแบบนี้กับผมสักทีเถอะรสา แล้วก็เลิกทำเป็นใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ชายคนนั้นสักที”

“คุณมีสิทธิ์สั่งฉันเรื่องงาน แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันรู้จักกับเขามาเป็นสิบปี ก่อนที่ฉันจะรู้ว่ามีคุณอยู่ในโลกนี้ด้วยซ้ำ คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน”

ภคพงษ์พูดไม่ออก ใจหายวาบกับแววตาและน้ำเสียงที่ห่างเหินและเย็นชาของรสา

“ขอโทษนะคะ ฉันต้องรีบไปทำงาน”

รสาเดินผ่านเขาไปอย่างไม่สนใจไยดี ภคพงษ์มองตามด้วยความเสียใจ อยากจะอธิบายแต่คิดว่าคงไม่เข้าใจ ต้องยอมพักเรื่องรสาไว้และหันหลังเดินจากมาด้วยความหนักใจ

รสาเดินกลับเข้ามาที่เรือนเล็กด้วยอารมณ์ขุ่นมัว หยุดยืนตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่งแล้วจะก้าวต่อ แต่เกิดหน้ามืดล้มลงกับพื้น ชีวินกับพิทยาที่อยู่ข้างในวิ่งออกมาเห็นรสาเป็นลมแน่นิ่ง รีบปฐมพยาบาลก่อนจะพากลับไปส่งบ้านอาภรณ์ แล้วลงความเห็นกันว่าที่รสาไม่สบายเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำ พิทยาอนุญาตให้รสาหยุดงานได้สองวัน แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นก็ให้หยุดต่อ ส่วนเรื่องส่งมอบงานให้ภคพงษ์วันพรุ่งนี้ไม่ต้องห่วง ตนกับชีวินจัดการเอง...

ภคพงษ์ทราบข่าวรสาไม่สบายจากเผด็จในตอนสายวันรุ่งขึ้น เขาร้อนใจรีบไปเยี่ยมเธอ โดยมอบหมายให้เผด็จรับมอบงานจากพิทยาแทนด้วย...

อาภรณ์ใจคอไม่ดีเพราะรสาตัวร้อนจัดไข้ขึ้นสูง กำลังจะโทร.หาชีวิน ก็พอดีภคพงษ์โทร.สวนเข้ามา หลังจากนั้นไม่นาน ภคพงษ์ก็มาถึงพร้อมกับหมอและเปลี่ยน หมอตรวจอาการรสาที่นอนซมพิษไข้แล้วบอกว่า

“ยังไม่ต้องพาไปโรงพยาบาลก็ได้ เดี๋ยวหมอจะฉีดยาให้ ช่วงบ่ายหมอจะเข้ามาดูอีกที ถ้าไข้ยังไม่ลดค่อยพาไป”

“คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับ คุณอาหมอเป็นหมอประจำครอบครัวผมเอง อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้ามีอะไรด่วน คุณอาจะมาดูให้ทันที”

“ขอบคุณคุณภัคมากนะคะ”

“เดี๋ยวเปลี่ยนเอารถไปส่งอาหมอแล้วไม่ต้องกลับมารับฉันนะ วันนี้ฉันจะอยู่เฝ้าไข้รสา”

เปลี่ยนแทบไม่เชื่อหูแต่ก็รับคำเจ้านาย อาภรณ์คาดไม่ถึงเช่นกัน พอเห็นภคพงษ์เอาใจใส่ดูแลรสาอย่างดี ก็แอบปลื้มชื่นชม แต่รสาไม่รู้สึกตัว ไม่รู้เห็นว่าใครมาทำอะไรให้ตัวเองบ้าง...

ที่บ้านเถลิงยศ พิทยากับชีวินมาส่งมอบงาน และรับเช็คค่าจ้างงวดสุดท้ายจากเผด็จ

“ขอบคุณมากนะครับ ที่ควบคุมดูแลอย่างดี คุณภัคพอใจกับผลงานมากครับ”

“ทางเราเองก็พยายามทำทุกอย่างให้คุณภัคพอใจอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะยายรส ตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือ ถ้ามีอะไรให้รับใช้อีกเรียกพิทได้เลยนะครับ”

“เรียบร้อยแล้ว เรารีบกลับกันเถอะพี่ ผมว่าจะแวะไปเยี่ยมรส” ชีวินเร่ง พิทยาหันมาตำหนิลูกน้องด้วยสายตา...เผด็จมองทั้งคู่แล้วพูดขึ้น

“อย่าเพิ่งรีบกลับสิครับ ผมให้สายใจเตรียมอาหารชุดใหญ่ไว้เลี้ยงฉลอง เชิญอยู่ทานอาหารเย็นกับผมก่อนนะครับ สายใจจะได้ไม่ทำเก้อ”

“ได้เลยครับ ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง” พิทยาตอบพรวด แล้วมัดมือชกชีวินที่อิดออด “ไปวิน...ไปกินข้าวเป็นเพื่อนคุณเผด็จ แล้วก็ฉลองกันด้วย จะรีบไปเยี่ยมยายรสไม่ใช่เหรอ รีบกินจะได้รีบกลับ”

ชีวินขัดไม่ได้ จำใจเดินตามพิทยาไป โดยทั้งคู่ไม่เห็นว่าเผด็จลอบยิ้มอย่างมีแผน

ooooooo

เผด็จไม่ต้องการให้ชีวินไปเยี่ยมรสาเพราะทราบดีว่าภคพงษ์อยู่ที่บ้านหลังนั้น ส่วนพิทยาไม่รู้อะไร กระดี๊กระด๊าเรื่องกินอย่างเดียว กระทั่งได้คุยโทรศัพท์กับป้าอาภรณ์รู้ว่าภคพงษ์ดูแลรสาอย่างดี ทั้งทำข้าวต้มให้ เช็ดตัว นวดเท้า พิทยาพอจะเข้าใจ ถามกลับไปด้วยความตื่นเต้น

“แล้วยายรสรู้ตัวหรือเปล่าครับป้า”

“ป้าคิดว่าน่าจะยังนะ เพราะถ้าตื่นแล้วคุณภัคจะต้องลงมาอุ่นข้าวต้มเอาไปให้ แต่นี่ยังไม่เห็นลงมา คงจะยังไม่ฟื้น”

“งั้นวันนี้ผมกับวินคงไม่สมควรจะเข้าไปเยี่ยมรสนะครับ พรุ่งนี้ค่อยไปน่าจะสมควรกว่า”

“ได้เลยค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันค่ะ” อาภรณ์วางสาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ถูกใจสุดๆ

ฝ่ายพิทยายิ้มพราย...หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารของสายใจแล้ว เขายัดเยียดงานให้ชีวินทำต่อทันที อ้างโน่นอ้างนี่จนชีวินเลี่ยงไม่ออก อดไปเยี่ยมรสา

ค่ำแล้ว รสายังนอนซมไม่รู้สึกตัว อาภรณ์เป็นห่วงหลาน บ่นกับภคพงษ์ว่าแบบนี้จะไหวเหรอ ไม่ตื่นมากินอะไรเลย ไข้ก็ลดลงแค่นิดหน่อย

“เมื่อเย็นตอนที่คุณหมอแวะมา คุณหมอให้น้ำเกลือไปแล้วครับ แล้วก็ฉีดยาให้อีก คงต้องรอดูอาการคืนนี้อีกทีว่าจะดีขึ้นหรือเปล่า คุณป้าครับ คืนนี้ผมจะขออนุญาตนอนเฝ้าไข้รสาที่นี่ได้หรือเปล่าครับ”

“นอนที่นี่ แล้วคุณภัคจะนอนยังไงคะ”

“ผมนอนที่พื้นครับ”

“นอนพื้น? มันจะดีเหรอคะ พื้นมันแข็งมากนะคะ นอนไปปวดหลังแย่”

“ไม่เป็นไรครับ ผมนอนได้...นะครับคุณป้า”

“งั้นก็ได้ค่ะ แต่ป้าขออนุญาตเปิดประตูไว้นะคะ”

“ครับ...ขอบคุณมากนะครับ”

“ป้านอนอยู่ห้องข้างๆ มีอะไรเรียกได้เลยนะคะ”

อาภรณ์เดินออกจากห้องแล้วหันกลับมาแอบมองภคพงษ์จัดแจงปูผ้าที่พื้น ก่อนจะค่อยๆถอยออกไปด้วยความสบายใจ

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ภคพงษ์อดใจไม่ไหวหอมแก้มรสาที่นอนหลับสนิท พร้อมกระซิบความในใจ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ผมรักคุณคนเดียวนะรสา” แล้วถอยกลับมานอนในที่ของตัวเองอย่างมีความสุข

ooooooo

เช้าขึ้น รสาเริ่มรู้สึกตัว อาการยังเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ฟังป้าอาภรณ์บอกเล่าว่าภคพงษ์เฝ้าไข้เธอทั้งคืนบ้านช่องไม่กลับ เพิ่งให้คนรถเอาเสื้อผ้ามาให้แล้วก็ไปอาบน้ำเมื่อสักครู่นี่เอง

“คุณป้าครับ” เสียงภคพงษ์ดังเข้ามา รสาได้ยินแว่วๆ อยากตื่นแต่ยังลืมตาไม่ขึ้น

“เมื่อกี้รสขยับตัวนิดๆ แต่ก็หลับต่อน่ะค่ะ” อาภรณ์บอกภคพงษ์ที่เดินเข้ามาในเสื้อผ้าชุดใหม่

“คงจะเพราะยาน่ะครับ คุณหมออยากให้รสาได้พักเยอะๆ คุณหมอกำลังจะเข้ามา เห็นบอกว่าวันนี้รสาน่าจะดีขึ้น”

“งั้นเชิญคุณภัคตามสบาย ป้าขอตัวไปดูลูกค้าข้างล่างนะคะ”

อาภรณ์เดินออกไป ภคพงษ์มานั่งบนเตียงข้างรสา ใช้มืออุ่นๆลูบไล้ใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน...รสา

ตัวร้อนผ่าว สัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษของเขาที่ส่งผ่านมาถึงเธอ

“หายไวๆนะรสา”

รสาได้ยินเสียงชัดเจน แต่ไม่มีแรงจะตอบโต้...เสียงนุ่มทุ้มของภคพงษ์ทำให้เธอสะท้านไปทั้งใจ เขายื่นหน้าเข้ามาเหมือนจะจูบหน้าผาก แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

แม้จะเป็นห่วงรสามากแค่ไหน แต่เมื่อปรางทิพย์โทร.มา ภคพงษ์รับสายแล้วรีบร้อนออกไปพบเธออย่างไม่ลังเล

“ขอโทษด้วยนะคะ จริงๆปรางก็ไม่อยากรบกวนเวลาของพี่ภัค” ปรางทิพย์รีบออกตัว

“เรื่องของปรางกับคุณแม่...เอ่อ...คุณแม่น้องปราง สำคัญต่อพี่มากกว่าอะไรทั้งนั้น ไม่รบกวนเลยครับ ว่าไงครับ คุณแม่น้องปรางว่าอะไรพี่อีกแน่ๆเลยใช่ไหม”

“พี่ภัคอย่าโกรธคุณแม่เลยนะคะ คงเพราะคุณแม่รักปรางมาก คุณแม่มีลูกคนเดียวก็คือปราง”

“พี่เข้าใจดีครับ เข้าใจมาก ว่าแต่จะเล่าให้พี่ฟังได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”

“คือปรางไม่ทราบจะทำตัวยังไงดีน่ะค่ะ ระหว่างปราง...กับพี่ภัค ให้มันพอดีๆน่ะค่ะ คุณแม่รู้สึกว่าปรางยังเด็ก แล้วก็ทำตัวมากไปกับพี่ภัค คุณแม่มองว่าถ้าปราง เป็นข่าวกับผู้ชายมากๆ ก็จะเสียหาย แล้วอีกอย่าง...”

“อีกอย่างอะไรครับ”

“คุณแม่มองว่าปรางกับพี่ภัคไม่ได้จะจริงจังอะไรกัน...แต่ไม่ใช่นะคะ ปรางไม่ได้...”

“น้องปรางไม่ได้คิดจริงจังกับพี่เหมือนที่คุณแม่น้องปรางคิดใช่ไหมครับ” เขาหยอดหน้าเศร้า

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ภัคฟังปรางพูดให้จบก่อน คือปราง...”

“น้องปรางนั่นแหละฟังพี่พูดให้จบ ใครจะพูด จะมองยังไงพี่ไม่รู้ เพราะพี่รู้แต่หัวใจตัวเองเท่านั้นว่าพี่ภัคคนนี้จริงจังกับน้องปรางแค่ไหน ถ้าน้องปรางไม่เชื่อ”

ภคพงษ์ไม่พูดต่อ แต่คุกเข่าลงตรงหน้าปรางทิพย์ โดยไม่แคร์สายตาของคนอื่นที่มองมา

“พี่ภัคจะทำอะไรคะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ ลุกขึ้น”

“เราแต่งงานกันนะครับ...แต่งงานกับพี่นะครับ น้องปราง”

ปรางทิพย์ตะลึงพรึงเพริด ตื่นเต้นดีใจจนพูดไม่ออก...

ooooooo

วันเดียวกัน เผด็จมาหาพิทยาที่ออฟฟิศเพื่อว่าจ้างให้ตกแต่งเรือนสีขาว โดยระบุให้รสาเป็นคนทำ

“เรือนสีขาวเป็นอาคารเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนหลังเล็ก คุณภัคต้องการให้คุณรสาตกแต่งใหม่โดยเร็วที่สุด ถ้าเรียบร้อยแล้วจะเปิดบ้านจัดงานเลี้ยงฉลองไปพร้อมกัน”

“แต่ตอนนี้รสป่วยอยู่นะครับ”

“คุณภัคบอกว่ารอได้ แต่ถ้าหายเมื่อไหร่ ขอให้คุณรสากลับเข้าไปทำงานทันที”

พิทยาแบ่งรับแบ่งสู้ แล้วร้อนรนไปหารสาที่บ้านทันทีเลย รสาอาการดีขึ้นแต่ยังเพลียอยู่บ้าง

“พี่บอกว่ารสป่วย แต่คุณเผด็จก็ยังยืนยันว่าคุณภัคอยากให้รสทำงานให้ พี่ถามตรงๆนะ รสกับคุณภัคเป็นอะไรกันแน่ จะหาว่าพี่สาระแนก็ได้นะ แต่พี่อยากจะรู้จริงๆ บอกพี่มาเถอะ”

“พี่พิทคะ ระหว่างรสกับเขามันไม่มีอะไรจริงๆค่ะ เขาจ้างงานพี่พิท แล้วพี่พิทก็จ้างรส มันก็แค่นั้น”

“ที่พี่ถามเพราะพี่หวังดี เท่าที่พี่เห็นคุณภัคก็เป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ อาจจะเจ้าอารมณ์ไปบ้าง แต่เขาก็แคร์รสมากๆ ป้าภรณ์เล่าให้พี่ฟังหมดแล้วเรื่องที่เขามาดูแลรส รสเองก็แคร์เขามาก...รู้ตัวหรือเปล่า”

รสามองหน้าพิทยา...ไม่แย้งแต่ก็ไม่ยอมรับ

“เธอน่ะมีสัญชาตญาณความเป็นแม่สูง แล้วก็ใจอ่อน ขี้สงสาร เธอพร้อมจะให้ความรักอันมากมายของเธอกับใครก็ได้ที่ขาด...และหนึ่งในนั้นก็คือคุณภคพงษ์”

“ถ้ามันเป็นความจริง รสคงโง่มากที่ทำแบบนั้น เพราะมีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะให้ความรักกับเขา”

“ใช่...มีผู้หญิงมากมายที่รักคุณภัค แต่จะมีสักกี่คนที่จะรักเขาอย่างจริงใจ รักเขา...ไม่ใช่รักเงินของเขา คุณภัคไม่ใช่คนโง่ เขาดูออกว่ารสคือคนที่จริงใจกับเขาที่สุด ตอนแรกพี่ไม่แน่ใจ แต่พอคุณเผด็จบอกเรื่องงานใหม่ พี่รู้เลยว่าคุณภัคเขารักเธอ”

รสาชะงักกึก...หน้าแดงก่ำ ใจเต้นแรง

“เขาจะคิดยังไงกับผู้หญิงอื่นพี่ไม่รู้ แต่พี่รู้ว่าเขารักและเป็นห่วงรสมาก พี่พูดในฐานะที่เป็นพี่ ไม่ใช่เจ้านาย พี่อยากให้รสเปิดใจและถามใจตัวเองว่ารสคิดยังไงกับคุณภคพงษ์ ก่อนที่รสจะปฏิเสธงานนี้”

พิทยาวางแฟ้มงานเรือนสีขาวไว้บนเตียง รสา ปรายตามามอง...แววตาเต็มไปด้วยความสับสน ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ จนเมื่อพิทยากลับไปแล้วสายใจมาเยี่ยม รสาน่าจะให้คำตอบกับตัวเองได้

สายใจทำอาหารใส่กล่องมาในฐานะตัวแทนของภคพงษ์

“เย็นนี้คุณหนูติดประชุมสำคัญมาเยี่ยมคุณรสาไม่ได้ เลยสั่งให้ป้าทำอาหารและมาดูแลแทนค่ะ คุณหนูติดประชุมจริงๆนะคะ ไม่ได้ไปทำอย่างอื่น”

“ถึงเขาไม่ได้ไปประชุมจริงๆ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับรสนี่คะ รสต้องขอบคุณป้าใจมากนะคะที่ทำอาหารมาให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องขอบคงขอบคุณอะไรป้าหรอก ไปขอบคุณคุณหนูเถอะค่ะ ป้าแค่ทำตามคำสั่ง... คุณหนูเป็นห่วงคุณรสาจริงๆนะคะ”

รสานิ่งไป หน้าตาสลดลง สายใจมองออกว่าเธอไม่สบายใจ อดแย้มออกมาไม่ได้ว่า

“เรื่องข่าวของคุณหนูกับคุณปรางทิพย์ ป้าไม่อยากให้คุณต้องเก็บมาคิดมาก เพราะจริงๆแล้วมันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆนะคะ ป้าพูดอะไรมากไม่ได้ เอาเป็นว่าป้าอยากให้คุณรสาสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าคุณหนูกับคุณปรางทิพย์หน้าคล้ายกัน และถ้าเคยเห็นคุณรัชนี แม่ของคุณปรางทิพย์ คุณรสาก็จะเห็นว่าทั้งสาม คนหน้าตาคล้ายกัน”

“อะไรนะคะ หมายความว่า...”

“อย่าถามอะไรต่ออีกนะคะ ป้าพูดได้แค่นี้จริงๆ”

สายใจด่วนตัดบทจนรสาไม่กล้าถามต่อ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ...

ค่ำนั้น ชีวินมาเยี่ยมรสา ถามไถ่อาการเธอด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเล่าให้ฟังเรื่องที่รู้จากป้าอาภรณ์ว่าภคพงษ์มานอนเฝ้า ซึ่งรสายืนยันว่าเธอไม่รู้ ไม่ได้คุยกับเขาสักคำ พอตื่นมาเขาก็กลับไปแล้ว

“รู้เรื่องที่เขาให้รสไปทำบ้านอีกหลังแล้วใช่ไหม รสจะรับทำหรือเปล่า ถ้ายังไม่พร้อมที่จะคิดก็อย่าเพิ่งตัดสินใจ วินว่าตอนนี้พักผ่อนก่อน พอร่างกายแข็งแรงมีสติเต็มที่แล้วค่อยคิด”

รสานิ่งไม่ตอบ ชีวินมองๆ พยายามสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น

“กินข้าวเหอะ ป้าสายใจทำแต่ของอร่อยๆมาให้ทั้งนั้นเลย กินเยอะๆจะได้หายเร็วๆ แล้วก็มาช่วยวินทำงาน รู้หรือเปล่ารสป่วยนะ พี่พิทตี้ถมงานมาให้วินเพียบเลย เพราะฉะนั้นรีบหายเลย ก่อนที่วินจะตายคาออฟฟิศ”

“โอเค รสจะรีบหาย วินก็อย่าเพิ่งรีบตายแล้วกัน” เห็นรสายิ้มออก ชีวินค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

ooooooo

คืนเดียวกันที่บ้านเช่าของวาริช...พิมพรรณตัดสินใจบอกวาริชว่าเธอท้อง เท่านั้นเองวาริชเป็นฟืน เป็นไฟ โวยวายใส่เธอด้วยความไม่พอใจ

“พิมท้อง? แล้วปล่อยให้ท้องได้ยังไง”

“ทำไมพูดแบบนี้ เรากำลังจะมีลูก มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ”

“เงินจะกินข้าว จะจ่ายค่าเช่าบ้านยังไม่มีเลย ดันจะมีลูกโผล่มาอีก มันน่ายินดียังไง”

พิมพรรณเจ็บแปลบ พยายามตั้งสติแล้วหาทางออก “เรื่องเงิน...ลองถามพ่อแม่ที่เชียงใหม่ดูได้หรือเปล่า หรือเราจะย้ายไปอยู่กับพวกเขาที่เชียงใหม่ก็ได้นะ พิมลาออกจากงานแล้วไปได้ทันที”

“ครอบครัวที่ไหน พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว ที่เชียงใหม่ไม่มีใครทั้งนั้น”

“ไม่มี...แล้วที่เคยบอก...”

“ก็โกหกไง ถ้าไม่พูดแบบนั้นแล้วจะไว้ใจเหรอ จะบอกให้นะ ฉันไม่มีอะไรทั้งนั้น ถ้าฉันมีฉันไม่โง่

มาแต่งงานกับผู้หญิงจืดชืดน่าเบื่ออย่างเธอหรอก”

“วาริช...” พิมพรรณเสียใจจนน้ำตาร่วง “ตกลงที่ผ่านมามันมีอะไรที่เป็นจริงบ้าง มีอะไรบ้าง ที่คุณบอกว่ารักฉัน จริงๆแล้วคุณเคยรักฉันบ้างหรือเปล่า เคยรักฉันบ้างมั้ย”

“ถ้ารักแล้วอดอยากจะรักไปทำไม จะบอกให้นะ ถ้าจะเก็บลูกไว้ก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ ทำให้พ่อเธอใจอ่อนยอมให้ฉันเข้าไปอยู่ในบ้าน แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็เอาออกไปซะ ฉันไม่มีปัญญาเลี้ยง”

วาริชประกาศอย่างเลือดเย็นแล้วผลุนผลัน

ออกไป พิมพรรณทั้งเจ็บทั้งเสียใจ ปล่อยโฮจนร่างสะท้าน

ooooooo

เช้าวันต่อมา รสาไปพบเผด็จที่บริษัทเพื่อให้

คำตอบเรื่องงานใหม่ที่เรือนสีขาวว่าจะทำหรือไม่ทำ แต่มีข้อแม้ว่าเผด็จต้องตอบคำถามของเธอมาก่อน

“คุณภัคกับคุณปรางทิพย์เป็นอะไรกัน” คำถามของรสาทำเอาเผด็จสะดุ้งวาบหายใจไม่ทั่วท้อง “ป้าใจบอกบางอย่างกับรส แต่ไม่ได้บอกทั้งหมด รสอยากรู้ว่าความจริงมันคืออะไร ถ้ารสไม่ได้คำตอบรสขออนุญาตไม่รับงานนี้ค่ะ”

เผด็จนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ ที่สุดก็ตัดสินใจพูดความจริงที่รสาฟังแล้วนิ่งอึ้งอย่างไม่คาดฝัน

“คุณปรางทิพย์เป็นน้องสาวของคุณภัค และคุณรัชนีก็เป็นแม่ของคุณภัค คุณรัชนีเลิกกับคุณพรตตอนคุณภัคอายุห้าขวบ...สองปีต่อมาคุณพรตเสีย เธอกลับมาเพื่อรับมรดก แต่พอรู้ว่าไม่ได้อะไรก็ทิ้งคุณภัคอีกครั้งและไม่เคยกลับมาอีกเลย เราไม่ได้ข่าวจากเธอตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา และไม่นาน...คุณรัชนีก็กลับมาประเทศไทยพร้อมครอบครัวใหม่”

“แล้วทำไม...คุณภัคถึงทำแบบนี้กับน้องสาวตัวเอง”

“เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจ ผมรู้แค่ว่าคุณภัคเสียใจมากที่คุณรัชนีโกหกและปกปิดอดีตของตัวเอง ทำเหมือนไม่รู้จัก และไม่มีลูกชายอีกคนอยู่บนโลกนี้”

“แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำแบบนี้กับน้องสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“เพราะเหตุนี้...ผมถึงอยากให้คุณรสารับงานนี้ คุณเป็นคนเดียวที่จะทำให้คุณภัคมีสติ และล้มเลิกสิ่งที่ กำลังทำอยู่ ตอนนี้ไม่มีใครที่จะหยุดคุณภัคได้...นอกจากคุณ”

รสาเงียบงัน...สมองยังมึนตึ้บกับความจริงที่เหลือเชื่อ!

ทันทีที่ปรางทิพย์บอกแม่ว่าเธอจะแต่งงานกับภคพงษ์ แน่นอนว่ารัชนียอมไม่ได้ เธอต่อต้านด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวจนลูกสาวตกใจและไม่เข้าใจ

“ไม่จริง!! เป็นไปไม่ได้ ปรางไปเอาความคิดนี้มาจากไหน”

“ก็มาจากคุณแม่ไงคะ วันก่อนคุณแม่บอกว่าความรักของปรางกับพี่ภัคไม่ใช่เรื่องจริงจัง ปรางยังเด็กมีข่าวมากๆจะเสียหาย พี่ภัคก็เลยบอกว่าเขาจริงจังกับปรางมาก เขาพร้อมจะ รับผิดชอบและพร้อมจะแต่งงานกับปรางทันทีที่คุณแม่ยินยอม”

“แต่งไม่ได้!! ปรางกับภคพงษ์แต่งงานกันไม่ได้”

“ทำไมคะคุณแม่ พี่ภัคแสดงความจริงจังกับ

ปรางตามที่คุณแม่ต้องการ แล้วทำไมคุณแม่ถึงไม่ยอมให้เราแต่งงานกัน”

“ปรางยังเด็กอยู่นะลูก อายุแค่สิบแปดจะแต่งงานได้ยังไง คนข้างนอกเขาจะคิดยังไง”

“คุณแม่ของพี่ภัคก็แต่งงานตอนอายุสิบแปดค่ะ”

รัชนีสะอึก หน้าชาวาบขึ้นมาทันที

“พี่ภัคเล่าให้ปรางฟังเอง คุณพ่อเขาเจอกับคุณแม่ แค่ปีเดียวก็แต่งงานกันแล้วก็มีพี่ภัคเลย ตอนนั้นคุณแม่เขาอายุแค่สิบแปดเองนะคะ อายุน้อยกว่าปรางด้วยซ้ำ เพราะอีกไม่กี่วันปรางก็จะสิบเก้าแล้ว ถ้าคุณแม่ตำหนิว่าปรางไม่เหมาะที่จะแต่งงานก็เท่ากับว่าคุณแม่พี่ภัคด้วยนะคะ”

รัชนีอึ้งซ้ำสอง แทบทรงตัวยืนไม่อยู่ เอ่ยเสียงสั่นพร่า “ไม่ได้...ไม่ว่ายังไง...แม่ก็ไม่ยอมให้แต่งงานกัน มันเป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้”

“ทำไมคะ ทำไมมันถึงเป็นไปไม่ได้ ทำไม?” ปรางทิพย์ถามทั้งน้ำตา

รัชนีหน้าซีดเผือด ปากสั่นพูดไม่ออกบอกไม่ได้ อึดอัดแทบบ้า...ตัดบทแล้วเดินหนีไปทันที

“เพราะ...ภคพงษ์เป็นคนที่ปรางจะแต่งงานด้วยไม่ได้ รู้ไว้แค่นี้ก็พอ”

ปรางทิพย์น้ำตาไหลอาบแก้ม ทั้งเสียใจ น้อยใจ และไม่เข้าใจ

ooooooo

หลังจากรู้ความจริงจากเผด็จแล้ว รสากลับมาที่เรือนสีขาวและไม่นึกว่าจะเจอภคพงษ์...เขาถามเธออย่างห่วงใยว่าหายดีแล้วหรือ?

“ค่ะ ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณสำหรับทุกอย่างระหว่างที่ฉันไม่สบาย”

“ผมทำด้วยความเต็มใจ แล้วก็ดีใจที่คุณหายป่วย”

ภคพงษ์มองรสาด้วยความรัก แววตาอบอุ่น

รอยยิ้มน่ารัก ทำให้รสาต้องเบือนหน้าหนีก่อนที่จะใจอ่อน

“คุณเผด็จบอกว่าคุณต้องการให้ฉันตกแต่งบ้านหลังนี้”

“ใช่..เรือนสีขาวเป็นเรือนหอที่พ่อผมสร้างให้แม่สำหรับพักระหว่างก่อสร้างเรือนหลังใหญ่ แต่มันคงเล็กเกินไป แม่ผมเขาไม่ชอบ พ่อเลยต้องสร้างเรือนหลังเล็กขึ้นมาให้เขา ผมก็เลยอยากจะซ่อมแซมมันขึ้นมาใหม่ แล้วทำให้มันสวยที่สุด”

“เพื่อจะทำให้คนที่ทิ้งมันไป...ต้องรู้สึกเสียดายอย่างนั้นเหรอคะ คุณอาจจะเห็นว่าบ้านเป็นเพียงสิ่งของไม่มีชีวิต แต่จริงๆแล้วบ้านทุกหลังมีพลังบางอย่างซ่อนอยู่ ถ้าคุณสร้างขึ้นด้วยความรักมันก็จะเป็นที่บ้านอบอุ่นน่าอยู่ แต่ถ้าสร้างขึ้นมาเพราะต้องการแก้แค้นหรือต้องการประชดใครสักคน มันจะเป็นบ้านที่ไม่น่าอยู่ และไม่มีความสุข”

รสาพูดเป็นนัยๆ ภคพงษ์มองหน้าเธอด้วยความแปลกใจอย่างมาก

“ฉันไม่รู้ว่าคุณใช้อารมณ์ไหนซ่อมแซมบ้านหลังนี้ แต่ฉันจะทำมันด้วยความรัก หวังว่าความรักอันน้อยนิดที่มีมันอาจจะทำให้บ้านหลังนี้กลายเป็นบ้านที่อบอุ่นและน่าอยู่ขึ้นมาได้บ้าง ฉันตกลงรับงานนี้ค่ะ”

รสาตัดสินใจแน่วแน่ ภคพงษ์ยิ้มนิดๆด้วยความพอใจ แต่ก็ยังกังขาในคำพูดแปลกๆของเธอ...ไม่ทันคุยอะไรอีก เสียงมือถือเขาดังขึ้น

“ขอโทษนะ...” เขาทำท่าจะผละไป

“คุณภคพงษ์คะ บ้านของคุณจะอบอุ่นจะน่าอยู่ได้ ก็เพราะคุณนะคะ” รสาเน้นย้ำจนเขาชะงัก แต่ในที่สุด ตัดสินใจหันหลังกลับ รับโทรศัพท์แล้วเดินจากรสาไป

ภคพงษ์ไปพบปรางทิพย์อย่างรวดเร็วทันใจ เธอร้องไห้กอดเขาแน่น เสียใจที่แม่ไม่ให้แต่งงาน ภคพงษ์ลืมตัวเอามือลูบศีรษะเธออย่างพี่ชายปลอบน้องสาว รู้สึกไม่พอใจความขี้ขลาดของรัชนีที่ไม่กล้าพูดเหตุผลที่แท้จริง

“พี่ภัคอย่าเพิ่งโกรธนะคะ ปรางเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ถึงไม่ชอบพี่ภัคขนาดนี้”

ภคพงษ์แอบเจ็บแปลบ ก่อนจะกลืนความเจ็บลงไปแล้วพูดลอยๆ “อีกไม่นาน...ทุกคนจะได้เข้าใจแน่ๆ”

“ว่าไงนะคะพี่ภัค”

“อ๋อ...เปล่า...พี่คิดว่าท่านคงจะมีเหตุผลของท่าน พี่เข้าใจว่าใครๆก็ต้องรักต้องเป็นห่วงลูกตัวเองกันทุกคน”

“ปรางอยากให้คุณแม่เห็นอย่างที่ปรางเห็นเหลือเกินว่าพี่ภัคเป็นคนดีขนาดไหน”

“เขาคงไม่เคยเห็นหรอก” เสียงเขารำพึงเบามากจนปรางทิพย์ไม่ได้ยิน มุ่งแต่อยากรู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อไปดี “ไม่เป็นไร น้องปรางใจเย็นๆนะครับ เราเพิ่งจะเริ่มต้น น้องปรางไม่ต้องทำอะไร ทำตัวให้น่ารัก เป็นน้องปรางที่น่ารักของพี่ภัคเหมือนเดิม นอกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ภัคคนนี้เอง เข้าใจไหมครับ”

“ค่ะ ปรางจะเชื่อพี่ภัค”

“ดีมากครับ...น้องปรางต้องเชื่อพี่ภัค...น่ารักที่สุด” ภคพงษ์กระชับอ้อมกอด ปรางทิพย์หวิวไหว อบอุ่นและมีความสุขที่สุด ไม่เห็นแววตาวาวโรจน์ของภคพงษ์สนุกในเกมนี้มาก...

เย็นนั้น ชีวินทักท้วงอย่างไม่เห็นด้วยที่รสารับทำงานที่เรือนสีขาว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เห็นอยากจะรีบปิดจ็อบเรือนหลังเล็ก

“รสเห็นว่ามันเป็นงานเล็กๆ ทำไม่ถึงอาทิตย์ก็เรียบร้อย”

ชีวินไม่เชื่อ คาดคั้นเธอว่ามีเหตุผลอื่นใช่ไหม...

รสาคิดหนักลังเล ตอบเลี่ยงไป

“ขอโทษนะวิน...รสบอกไม่ได้จริงๆ”

“ไม่เป็นไร วินรอได้ รสอยากบอกเมื่อไหร่ วินพร้อมฟังเสมอ” เขาพยายามยิ้มแม้จะยากเย็น รสาสงสารและซึ้งใจ แต่พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ

ooooooo

เย็นวันเดียวกัน วิมลกับห้าวไปเยี่ยมพิมพรรณที่บ้านเช่า สภาพพิมพรรณซูบซีด ดวงตาบวมช้ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ แต่รีบปฏิเสธเมื่อแม่ซักถาม

“เปล่านะ พิมไม่ได้ร้องไห้ แต่อาจจะนอนน้อยเพราะเริ่มแพ้ท้อง นอนไม่ค่อยหลับ”

“แล้วนี่ผัวเราพาไปหาหมอฝากท้องหรือยัง”

“ยังเลยจ้ะ แต่วาริชบอกว่าจะพาไปวันสองวันนี้แหละ”

ห้าวเฝ้ามองอย่างไม่เชื่อ ถามหาวาริชอยู่ไหน พิมพรรณบอกไปดูคอมฯให้ลูกค้า ห้าวสวนทันควันว่าลูกค้าหรือกิ๊ก...พิมพรรณถึงหน้าเสีย วิมลเห็นแล้วหันขวับไปเอ็ดห้าว

“คนกำลังท้องกำลังไส้จะมาพูดให้ใจเสียทำไม...แล้วทำไมวันนี้พิมไม่ไปทำงาน หรือว่าแพ้ท้องจนไปไม่ไหว”

“เปล่าจ้ะ...พิมลาออกแล้ว พิมไม่กล้าไปทำงาน กลัวคนอื่นรู้ว่าท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว พิมอายเขาจ้ะแม่”

วิมลดึงลูกสาวมากอดด้วยความสงสาร พิมพรรณจนตรอก พูดกับแม่ทั้งน้ำตาว่าตนอยากกลับบ้าน แม่ช่วยคุยกับพ่อให้หน่อย...เมื่อวิมลกลับมาสื่อสารกับสามี แต่เขายังทิฐิแรง ยอมให้ลูกกลับได้แต่ต้องกลับมาคนเดียว ผัวมันไม่เกี่ยว!

“พ่อ...คนเขาเป็นผัวเมียกัน พ่อจะให้ลูกเรากลับมาคนเดียวแบบนี้ เท่ากับไปพรากผัวพรากเมียเขานะ”

“ถ้างั้น...มันก็ไม่ต้องกลับ”

“พ่อจะไม่ยอมลดทิฐิลงบ้างเลยเหรอจ๊ะ”

“แม่ก็ไปบอกให้ลูกสาวลดความหลงผัวลงบ้างสิ ถ้ามันทำได้ฉันก็จะลองทำดู แต่เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ มันไม่มีวันทำได้ ขนาดฉันให้มันเลือก มันก็ยังเลือกผัวแทนที่จะเลือกพ่อ...ไม่ใช่มันคนเดียวที่เสียใจ ฉันก็เสียใจเหมือนกัน”

พร้อมพูดด้วยความแค้นและทิฐิอันแรงกล้า วิมลส่ายหน้าจนปัญญาไม่รู้จะพูดยังไง ห้าวยืนมองอย่างหนักใจ...ตกกลางคืนเขาโทร.ไปเล่าให้รสาฟัง แล้วต่างคนต่างบ่นสงสารพิมพรรณ ครั้นจะทำให้พร้อมอ่อนลงก็เป็นเรื่องยาก

“เฮ้อ...ทิฐิ ความยึดมั่น ถือมั่น ไม่ยอมปล่อยวางของลุงไม่เข้าใครออกใคร คนเราถ้าไม่ยอมซะอย่าง ทำยังไงมันก็ไม่ยอม”

“นั่นสินะ ถ้าคนคนนั้นไม่ยอมเปลี่ยน เราจะไปเปลี่ยนความคิดเขาได้ยังไง” รสานึกถึงภคพงษ์

ห้าวฟังแล้วขมวดคิ้ว สงสัยว่ารสาเป็นอะไร หรือว่ายังไม่หายไข้ รสายืนยันหายดีแล้ว และฝากเขาบอกพิมด้วยว่าอาทิตย์นี้เธอยังกลับไม่ได้ มีงานด่วนเข้ามา อาทิตย์หน้าค่อยเจอกัน...

วางสายจากห้าวแล้ว รสายังเฝ้าคิดเรื่องภคพงษ์อย่างหนักใจ เธอต้องทำยังไงถึงจะเปลี่ยนความคิดของเขาได้...

ooooooo

ในเมื่อภคพงษ์ไม่ยอมยุติเกมแก้แค้น...รัชนีร้อนใจเป็นห่วงความรู้สึกของปรางทิพย์ อีกทั้งต้องการปกปิดอดีตของตนตลอดไป เช้านี้เธอจึงคุยกับสุวิทย์อย่างจริงจังว่าจะให้ปรางทิพย์เลิกคบกับภคพงษ์

“แต่ผมอนุญาตให้เขาคบกันไปแล้ว อยู่ๆไปเปลี่ยนใจ มันจะเสียผู้ใหญ่เปล่าๆ”

“แต่ถ้าปล่อยไว้เราอาจจะต้องเสียลูกไปนะคะ ภคพงษ์ทำให้ปรางไม่สนใจเรียน เมื่อวันก่อนก็พูดเรื่องแต่งงาน รัชว่ามันเกินไปแล้วนะคะ ภคพงษ์พูดแบบนี้ทำไม รู้ทั้งรู้ว่าปรางยังเด็ก จะแต่งงานได้ยังไงกัน ลูกเราพอฟังแล้ว

ก็เก็บไปฝันเป็นเรื่องเป็นราว รัชว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้ไม่ดีกับอนาคตลูกแน่ๆค่ะ”

“เรื่องแต่งงานผมก็เห็นด้วยว่ามันเร็วเกินไป”

“ทางที่ดีเราควรจะแยกสองคนนี้ให้ห่างกันให้มากที่สุด รัชจะส่งปรางทิพย์ไปฝรั่งเศสอาทิตย์หน้า รัชตัดสินใจแล้วค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดหลังจากนี้รัชขอรับผิดชอบเอง”

“คุณพูดถึงขนาดนี้ ผมก็ไม่อยากขัด เอาเป็นว่าผมปล่อยให้คุณจัดการก็แล้วกัน”

หลังจากคุยกับสามีแล้ว รัชนีรีบขึ้นไปริบโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ของลูกสาวมาไว้กับตัว

“นี่คุณแม่จะทำอะไรกันแน่คะ”

“วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียน แม่จ้างครูพิเศษมาติวตัวต่อตัวให้ที่บ้าน และโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์พวกนี้แม่จะเก็บไว้เอง ปรางจะได้ไม่เสียสมาธิ ทุ่มเทให้การเรียนเต็มที่ เตรียมตัวไปฝรั่งเศสอาทิตย์หน้า”

“อาทิตย์หน้า! แต่คุณแม่บอกปรางว่า...”

“แม่เปลี่ยนใจแล้ว และคุณพ่อก็เห็นด้วย เราสองคนไม่อยากให้ลูกคบกับภคพงษ์”

“ไม่จริง ปรางไม่เชื่อ คุณพ่อต้องไม่คิดแบบนั้น ปรางไม่ยอม”

“ปราง...ถ้าปรางรักแม่ ปรางต้องเชื่อแม่ ปรางต้องเชื่อฟังแม่นะลูก” รัชนีขอร้องแกมบังคับ...ปรางทิพย์น้ำตาคลอด้วยความสับสน เสียใจ และผิดหวัง

“ได้ค่ะ ปรางจะฟังคุณแม่ ปรางจะเชื่อคุณแม่ เพราะปรางรักคุณแม่นะคะ แล้วคุณแม่ล่ะค่ะ คุณแม่รักปรางบ้างหรือเปล่า”

รัชนีขอบตาร้อนผ่าว มองลูกสาวที่ร้องไห้สะอึก– สะอื้นอยู่ตรงหน้า...กลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล

“เพราะแม่รักลูก...แม่ถึงต้องทำแบบนี้” รัชนีพูดจบก็หันหลังเดินออกไปจากห้องพร้อมกับโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก...แล้วก็ยืนน้ำตาไหลพรากอยู่ตรงหน้าห้องนั่นเอง

ooooooo

เมื่อรู้ว่าวันนี้รสามาทำงานที่เรือนสีขาว ภคพงษ์รีบมาหาเธอด้วยความดีใจ แต่รสาพยายามคุยเรื่องงานเพียงอย่างเดียว

“คุณมาหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ ต้องการจะให้ทำอะไรเพิ่มเติมจากแบบที่ให้ไปหรือเปล่า”

“ไม่มี...ผมแค่จะมาบอกว่าผมดีใจมากที่คุณรับงานนี้”

“รอพูดคำนี้ตอนงานเสร็จดีกว่าค่ะ บางทีคุณอาจจะไม่ชอบงานฉันก็ได้”

“พูดตอนนี้ก็เหมือนกัน เพราะคุณไม่เคยทำให้ผมผิดหวังอยู่แล้ว และที่สำคัญ...การที่คุณรับงานมันทำให้ผมรู้ว่าคุณไม่ได้โกรธผมแล้ว”

“ไม่จริงค่ะ ถ้าคุณทำสิ่งที่มันน่าโกรธ ฉันก็ยังโกรธคุณอยู่ แล้วคุณทำอะไรที่มันไม่สมควร ทำอะไรที่มันน่าโกรธอยู่หรือเปล่า” รสาจ้องตารอคำตอบ ภคพงษ์หุบยิ้มแล้วเฉไฉไปเรื่องอื่น

“ผมมีประชุมพอดี ต้องรีบไป เย็นนี้จะรีบกลับมา ถ้าคุณยังไม่กลับ ทานข้าวด้วยกันนะ ผมมีของบางอย่างจะให้คุณ แล้วเจอกัน”

รสาถูกมัดมือชก ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ขณะมองตามหลังเขาไป...

ภคพงษ์ออกจากบ้านไปได้ครู่เดียว รถของรัชนีก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ สายใจออกมาต้อนรับ ด้วยความแปลกใจ

“ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” รัชนีเอ่ยปาก

“เรื่องคุณหนูกับคุณปรางทิพย์ใช่ไหมคะ”

รัชนีพยักหน้าแล้วเดินตามสายใจเข้าไปคุยกันข้างใน

“ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันทำทุกอย่างแล้ว แต่ภคพงษ์ ก็ยังไม่ยอมหยุด” รัชนีเปิดฉากด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“คุณผู้หญิงคะ ที่คุณหนูทำลงไปทุกอย่างเพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น คือต้องการให้คุณบอกความจริงกับทุกคน และยอมรับว่าคุณหนูมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ คุณหนูรักคุณผู้หญิงมากนะคะ ตั้งแต่เล็กจนโต คุณหนูเฝ้ารอวันที่คุณผู้หญิงจะกลับมา คุณหนูอาจจะไม่แสดงออก และดิฉันกับคุณเผด็จรู้ดีว่าคุณหนูไม่เคยลืมคุณเลยนะคะ”

สายใจพูดไปร้องไห้ไป...รัชนีขอบตาร้อนผ่าว ใจสั่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอก

“ตอนเด็กๆทุกวันเกิดคุณหนูจะไม่ยอมเป่าเค้ก รอให้คุณผู้หญิงมาหาเธอ คุณหนูเล่นเปียโนเพลงที่คุณชอบทุกวัน และก่อนนอนก็จะถามดิฉันทุกคืนว่าเมื่อไหร่คุณผู้หญิงจะกลับมา...คุณหนูน่าสงสารมากนะคะ”

รัชนีพยายามเก็บความรู้สึก เก็บมันไว้ภายใต้ใบหน้าที่เหมือนจะนิ่งชา แต่น้ำตากลับไหลออกมาอย่างยากจะกลั้นไว้

“ฉันรู้...แต่ตอนนี้ฉันกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อีกแล้ว สิ่งที่ฉันจะต้องทำตอนนี้คือก้าวผ่านปัจจุบันไปให้ได้ และไม่ทำสิ่งผิดพลาดอีกในอนาคต...ฉันเหมือนคนที่กำลังอยู่บนหลังเสือ ถ้าฉันกระโดดลงไปตอนนี้ ฉันก็ต้องตาย”

“แต่ถ้าคุณผู้หญิงจะยังคงอยู่บนนั้นต่อไป...มันก็ต้องเหนื่อยนะคะ”

รัชนีจุก...คำพูดของสายใจตอกย้ำทำให้เห็นว่าไม่มีทางออกที่ดีสำหรับเธอจริงๆ

ครู่ต่อมา รัชนีเดินเข้าไปในห้องรับแขก หยิบ

รูปถ่ายวัยเด็กของภคพงษ์มาดูแล้วก็ร้องไห้อย่างหนัก

รสาผ่านมาเห็น ยืนแอบอยู่หลังประตู สองตาจับจ้องรัชนีที่เดินไปหยุดตรงหน้ารูปขนาดใหญ่ของพรตบนผนัง

“ฉันควรจะทำยังไงดีคะคุณ...ฉันควรจะทำยังไงกับลูกดี”

เสียงคร่ำครวญหวนไห้ของรัชนีถึงแม้จะแผ่วเบา แต่มันดังสะท้านเข้าไปในใจของรสาอย่างเต็มๆ

ooooooo

ภคพงษ์เข้าบริษัทได้สักพัก ปรางทิพย์ก็โทร. มาเล่าเรื่องที่รัชนีสั่งห้ามคบกับเขาอีกต่อไป แม่ยึด เครื่องมือสื่อสารทุกอย่าง และจะส่งเธอไปฝรั่งเศสอาทิตย์หน้า

“ที่ปรางโทร.หาพี่ภัคได้ก็ต้องยืมโทรศัพท์จากพี่แม่บ้าน ปรางไม่เคยคิดเลยนะคะว่าคุณแม่จะทำแบบนี้ คุณแม่ทำเหมือนปรางไม่ใช่ลูกของเขา แต่เป็นนักโทษ ถ้าพี่ภัคไม่บอกให้ปรางใจเย็นๆ ทำตัวให้น่ารัก ปรางไม่มีวันยอมโดนขังแน่ๆ”

“น้องปรางทำถูกแล้วครับ ทำตัวเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ส่วนเรื่องคุณแม่...พี่ภัคจะคุยกับท่านเอง วันนี้คุณแม่อยู่ที่บ้านหรือเปล่าครับ”

“ไม่อยู่ค่ะ คุณแม่ออกไปงานเลี้ยงกับคุณพ่อค่ะ”

“งานเลี้ยงที่ไหนครับ”

ภคพงษ์คลี่ยิ้มอย่างพอใจ หลังฟังคำตอบของปรางทิพย์...

ส่วนที่บ้านเถลิงยศ หลังจากแอบเห็นรัชนีร่ำไห้ในห้องรับแขก รสารู้สึกไม่ดีเลย เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนตัดสินใจไปคุยกับสายใจตามลำพัง

“รสมีเรื่องสำคัญที่ไม่รู้จะคุยกับใคร นอกจากป้าใจค่ะ”

“เรื่องคุณหนูใช่ไหมคะ...คุณเผด็จบอกป้าแล้วค่ะว่าคุณรู้ความจริงหมดแล้ว”

“รสงงมากค่ะ รสไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณเผด็จบอกให้รสช่วย รสรับปากว่าจะช่วย แต่รสไม่รู้จะช่วยอะไร ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร รสไม่รู้แม้กระทั่ง...

ตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายอย่างภคพงษ์ รสไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้กับแม่กับน้องสาวของตัวเองได้ยังไง เมื่อกี้รสเห็นคุณรัชนียืนร้องไห้อยู่ในบ้าน รสเห็นแล้วก็สงสาร แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆ รสคิดไม่ออกว่าอะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งทำเรื่องใจร้ายได้ขนาดนี้”

“คุณหนูเป็นคนน่าสงสารมากนะคะ ตั้งแต่คุณผู้หญิงทิ้งไป ป้าไม่เคยเห็นคุณหนูมีความสุขเลย ที่คุณหนูทำไปทุกอย่างก็เพื่อต้องการการยอมรับจากคนที่เป็นแม่ แต่คุณผู้หญิงก็ให้ไม่ได้ ทุกวันนี้คุณหนูก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าคุณรัชนีและคุณปรางทิพย์เลยนะคะ”

“แต่เขาไม่มีสิทธิ์เอาความน่าสงสารของตัวเองไปทำร้ายคนอื่นนะคะ”

“ที่คุณหนูทำเพราะไม่มีสตินะคะ คุณเผด็จกับป้าก็เลยขอร้องให้คุณรสามาเตือนสติคุณหนูไงคะ”

“แล้วรสจะเตือนเขาได้ยังไงคะ รสไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร”

“ทำตามความรู้สึกของตัวเองสิคะ”

“นั่นล่ะค่ะคือปัญหา รสไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่”

“คุณรสา...ป้าเข้าใจนะคะ คุณหนูอาจจะไม่ใช่คนที่น่ารักในสายตาของคุณ แต่ลองเปิดใจดูสักครั้ง ถามตัวเองว่ารู้สึกยังไง และแสดงความรู้สึกนั้นออกมา ป้าเชื่อว่าความรู้สึกที่คุณมีต่อคุณหนูจะทำให้คุณหนูตาสว่างค่ะ”

รสานิ่งเงียบไป สายใจจับมือเธอบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ

“ค่ะ รสจะลองคิดดูว่าคิดยังไง รู้แล้วจะรีบบอกให้คุณหนูของป้าใจทราบ และหวังว่าเขาจะตาสว่างอย่างที่ป้าบอกจริงๆนะคะ”

สายใจยิ้มออก มองหน้ารสาอย่างมีความหวัง

ooooooo

เย็นวันนั้น ภคพงษ์มาปรากฏตัวในงานเลี้ยง และเป็นจังหวะที่รัชนีกำลังมึนเมา เขาฉวยโอกาสอาสาพาเธอกลับไปส่งบ้าน สุวิทย์ไว้วางใจภคพงษ์อยู่แล้วจึงไม่ปฏิเสธ เพราะตัวเองยังต้องอยู่กล่าวปิดงานในค่ำคืนนี้

รัชนีออกมากับภคพงษ์ด้วยความอึดอัด เมื่อเขาจอดรถหน้าบ้าน เธอรีบร้อนก้าวลงมาแล้วเกือบล้มถ้าเขาเข้ามาประคองไว้ไม่ทัน...รัชนีมองหน้าภคพงษ์ที่อยู่ใกล้แค่คืบ ความรู้สึกหลายอย่างแล่นเข้ามาในหัว ทั้งเรื่องในอดีตที่เธอทิ้งเขาไป และในปัจจุบันที่เขากำลังแก้แค้นเธอ

“ไม่เป็นไร ฉันเดินเองได้” เธอขืนตัวออก ก้าวเดินต่อไป แต่เพราะความเมาทำให้ทรงตัวไม่อยู่ เดินได้สองก้าวก็ล้มลง

“ให้ผมช่วยจะดีกว่า” ภคพงษ์เข้ามาประคองเธออีกครั้ง

รัชนีนิ่งอึ้ง นึกถึงคำพูดของสายใจที่เพิ่งคุยกันเมื่อเช้า ที่บอกว่าภคพงษ์รักเธอมาก เฝ้ารอเธอกลับมาทุกเมื่อเชื่อวัน...รัชนีมองหน้าลูกชายครู่หนึ่ง แล้วสวมกอดด้วยความสงสารที่ซ่อนอยู่ลึกๆ

ภคพงษ์ช็อกไปอย่างไม่คาดคิด นี่คืออ้อมกอดแรกของแม่ หลังจากที่เธอทิ้งเขาไป...มุมหนึ่ง ปรางทิพย์ยืนมองมา น้ำตาไหลพรากด้วยความเข้าใจผิดอย่างแรง!

“ฉันขอโทษ...ฉันคงจะเมามากไปหน่อย” รัชนีถอยออกห่าง ตั้งสติกลับมาเป็นคนเดิม

“คุณแน่ใจนะครับว่ากอดผมเพราะความเมา...ไม่ใช่กอดเพราะความรู้สึกผิด”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องรู้สึกผิดด้วย”

ภคพงษ์ชะงัก ความโกรธพุ่งขึ้นมาอีก

“ขอบใจมากที่มาส่ง...อ้อ อีกเรื่องที่อยากจะบอก ปล่อยปรางทิพย์ไปซะเถอะ หมดเวลาเล่นเกมกับความรู้สึกแล้ว ยิ่งเล่นต่อไปก็มีแต่คนที่จะต้องเจ็บกับเจ็บ ไม่มีใครมีความสุขแม้แต่คนเดียว”

“ไม่ว่าผมจะทำยังไง คุณก็จะไม่ยอมรับความจริงใช่มั้ย”

“ใช่” รัชนีตอบหนักแน่น แล้วเดินเข้าบ้านไปทันที

ภคพงษ์แค้นหนัก มุ่งมั่นจะทำให้รัชนียอมรับความจริงให้ได้...ฝ่ายปรางทิพย์ไม่ได้ยินการพูดคุยของพวกเขา แค่ภาพที่เธอเห็นแม่ของเธอกอดภคพงษ์ ก็ทำให้เธอเสียใจ คิดเตลิดไปใหญ่โต

เมื่อแม่เข้ามาหาในห้องนอนแล้วเห็นเธอร้องไห้ก็ตกใจ ซักถามว่าเป็นอะไร ปรางทิพย์พูดไม่ออก ได้แต่บอกแม่ไปอาบน้ำให้สร่างเมาก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับมาคุยกัน

แต่ในขณะที่รัชนีไปอาบน้ำ ปรางทิพย์หนีออกจากบ้านไปหาภคพงษ์ ทำให้ภคพงษ์ต้องผิดนัดกับรสาอย่างไม่มีทางเลือก เพราะปรางทิพย์มาในสภาพที่แย่มาก เธอร้องไห้อย่างหนัก กอดเขาแน่น

“น้องปรางใจเย็นๆนะครับ ใจเย็นๆนะ มีอะไรค่อยๆ เล่าให้พี่ภัคฟังนะครับ”

ปรางทิพย์ตั้งสติถอยมานั่งที่โซฟา พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “พี่ภัคอย่าโกรธปรางเลยนะคะ ที่ปรางหนีออกจากบ้านมาแบบนี้ แต่ปรางทนไม่ได้จริงๆ คุณแม่ทำกับปรางเกินไป”

“คุณแม่ทำอะไรน้องปรางอีก”

“ที่จริง...พี่ภัคก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนะคะ ว่าคุณแม่ทำอะไรไว้”

“พี่อาจจะรู้ แต่พี่ไม่แน่ใจว่าเรื่องที่พี่รู้กับเรื่องที่ปรางรู้มันคือเรื่องเดียวกันหรือเปล่า”

“นี่คุณแม่ทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมายจนเรานับกันไม่ถูกเลยเหรอคะว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ปรางไม่อยากเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ”

“ตกลงเรื่องที่ปรางรู้คือเรื่องอะไรครับ”

“ปรางเห็นคุณแม่กอดกับพี่ภัคค่ะ ปรางเห็นคุณแม่เป็นคนโผเข้าไปกอดพี่ภัคก่อน ปรางรู้เลยว่าที่ผ่านมาทำไมคุณแม่ถึงกีดกันปราง เพราะจริงๆแล้วคุณแม่รักพี่ภัค”

ภคพงษ์ผงะเล็กน้อย ไม่นึกว่าเรื่องจะเลยเถิดไปแบบนี้ “น้องปรางคิดมากไปแล้วครับ”

“ถ้าปรางคิดมาก พี่ภัคบอกเหตุผลอื่นที่ทำให้คุณแม่กอดพี่ภัคสิคะ ทำไมคุณแม่ต้องกอดพี่ภัคด้วย”

“พี่ว่าเรื่องนี้น้องปรางถามคุณแม่เองดีกว่านะครับ ถ้าคุณแม่หาน้องปรางไม่เจอพี่คิดว่าอีกไม่นานท่านจะต้องตามมาที่นี่แน่ๆ”

ภคพงษ์ลอบยิ้ม และเมื่อปรางทิพย์ยืนยันไม่ยอมกลับบ้าน เขาจึงพาเธอไปนอนบนห้องของเขา โดยให้สายใจมาอยู่เป็นเพื่อน

“พักผ่อนให้สบาย...อีกไม่นานคุณแม่ก็คงจะมา แล้วเราค่อยเคลียร์” ภคพงษ์ลูบศีรษะปรางทิพย์... สายใจใจคอไม่ดี กลัวจะเกิดเรื่องใหญ่ เธอรีบตามภคพงษ์ออกมานอกห้อง

“คุณหนูคะ ป้าว่าพาคุณปรางทิพย์ไปส่งบ้านไม่ดีกว่าเหรอคะ”

“ไม่! ผมอยากเห็นหน้าแม่เขาตอนที่มาตามตัวลูกสาว แล้วเห็นว่าลูกตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของผม บนเตียงของผม ผมอยากรู้ว่าเขาจะทำหน้ายังไง...ฝากป้าใจดูแลปรางทิพย์ด้วย ผมจะลงไปรอแม่เขาข้างล่าง”

ภคพงษ์รวบรัดตัดความแล้วผละไปด้วยความสะใจ เขาจดจ่อรอคอยรัชนี...ลืมนึกถึงรสาไปเลย

ooooooo

และแล้วรัชนีก็มาจริงๆ มาด้วยใจที่ร้อนรุ่มถามหาปรางทิพย์ดังลั่น...รสาที่กำลังจะมาบอกสายใจว่าเธอไม่รอภคพงษ์แล้วถึงกับชะงักงัน แอบมองสองแม่ลูกเผชิญหน้ากันอย่างลุ้นระทึก

“ปรางทิพย์อยู่ที่ไหน” รัชนีถามย้ำเสียงเข้ม

“อยู่บนห้องนอนผม ตอนนี้คงจะหลับอยู่ เพราะเมื่อครู่เพลียมาก”

“เธอทำอะไรปรางทิพย์”

“ผมก็ทำในสิ่งที่ผมต้องการ ในเมื่อเราสองคนรักกัน เราก็ต้องทำในสิ่งที่คนรักควรจะทำต่อกัน”

รัชนีตัวชาวาบ ทั้งโกรธทั้งเสียใจ น้ำเสียงสั่นพร่าด้วยความคับแค้นแน่นในอก “เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ทำได้ยังไง?”

“ทีคุณยังทำเรื่องที่มันเลวร้ายได้ ทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้ และอย่าหวังว่าผมจะรู้สึกผิด เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด เหมือนกับที่คุณเองก็ไม่เคยรู้สึกผิดเหมือนกัน”

ภคพงษ์ยืนยันเพื่อเพิ่มความเข้าใจผิดอย่างสะใจ รัชนีโกรธจนตัวสั่น...รสาได้ยินทุกถ้อยคำ แทบจะหมดแรงยืน ฝืนใจฟังภคพงษ์ทำร้ายจิตใจแม่แท้ๆต่อไป

“คุณไม่ต้องห่วง ผมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำลงไป ผมยินดีแต่งงานกับปรางทิพย์ตามที่เคยบอกไว้”

“แต่เธอก็รู้ว่าเธอแต่งงานกับปรางทิพย์ไม่ได้”

“ผมไม่แคร์ ปรางทิพย์ไม่แคร์ หรือว่าคุณรัชนีจะแคร์ ถ้าคุณแคร์ และต้องการจะยุติการแต่งงานของเราสองคน คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำยังไง สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงอย่างเดียวคือบอกความจริงกับทุกคน มันก็แค่นั้นเอง”

“เพียงเพราะต้องการแก้แค้น...เธอกล้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ ทำไม?”

“เพื่อความยุติธรรม ในเมื่อคุณทำให้คนอื่นเสียใจเจ็บปวดได้ คุณเองก็ควรจะได้รับเช่นกัน นี่แค่เริ่มต้น หลังจากที่ผมกับปรางแต่งงานกัน คุณจะต้องเจ็บปวดกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า”

“พอ...พอได้แล้ว ฉันขอร้องล่ะ พอได้แล้ว ได้โปรด...อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ ปล่อยปรางทิพย์ไปเถอะ เท่านี้มันก็มากเกินไปแล้ว อย่าถึงกับต้องแต่งงานกันเลย...ฉันขอร้อง”

รัชนีร้องไห้อย่างสุดกลั้น ภคพงษ์มองด้วยสายตาเย็นชา...รสานิ่งเงียบแต่ใจสั่น น้ำตาคลอ

“ฉันยอมคุกเข่าขอร้องเธอ...ปล่อยปรางทิพย์ไปเถอะ อย่าทำแบบนี้กับเขาอีกเลย...ฉันขอร้อง”

รสาตะลึงตะไล เห็นแม่คุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าลูก เป็นภาพที่เกินจะรับสำหรับเธอ หากแต่ภคพงษ์ยังมองผู้เป็นแม่ด้วยแววตาเย็นชา

“20 ปีก่อน พ่อผมก็เคยคุกเข่าขอร้องคุณ ขอร้องไม่ให้คุณไป แต่คุณก็ยังไป วันนี้คุณมาคุกเข่าขอร้องผม...คุณคิดว่าผมจะยอมยกโทษให้คุณอย่างนั้นเหรอ”

รัชนีอึ้งงัน แววตาของภคพงษ์ทำให้เธอนึกย้อนกลับไปในอดีตที่พรตคุกเข่าขอร้องไม่ให้เธอไป ตอนนั้นเธอมองพรตด้วยแววตาเย็นชา ไม่ต่างจากภคพงษ์ในตอนนี้...รัชนีพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ กรรมตามมาทันในชาตินี้

รสาทนต่อไปไม่ได้ตัดสินใจหันหลังเดินออกมา อารามรีบร้อนไม่ทันระวัง เธอชนแจกันตกแตกกระจาย สองคนในห้องนั้นหันขวับมามอง

“รสา!!” ภคพงษ์อุทานด้วยความตกใจ

รสาไม่สนใจ รีบเดินหนีไปด้วยจิตใจที่คุกรุ่นและผิดหวัง ภคพงษ์รีบเดินตาม ส่วนรัชนีในใจก็กังวลกับสิ่งที่รสาจะเห็น แต่เป็นห่วงปรางทิพย์มากกว่า เธอรีบขึ้นไปชั้นบน เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาจนสายใจที่นอนข้างเตียงตกใจลุกพรวด

รัชนีแทบไม่มองสายใจ พุ่งไปปลุกลูกสาวบนเตียง บอกให้กลับบ้านเรา ปรางทิพย์ท่าทีงัวเงียแต่ยืนยันไม่ยอมกลับไปเป็นนักโทษของแม่อีกแล้ว

“แม่ขอโทษ แม่ขอโทษนะปราง แม่จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว กลับบ้านเรานะ”

“ปรางไม่เชื่อค่ะ คุณแม่ทำให้ปรางไว้ใจไม่ได้อีกแล้ว ปรางไม่ไว้ใจคุณแม่อีกต่อไป”

“ปราง...” รัชนีน้ำตาร่วง

สายใจเห็นแล้วสงสารจับใจ ช่วยอ้อนวอน “คุณปรางคะ อย่าหาว่าป้าสอดเลยนะคะ วันนี้กลับไปกับคุณแม่ก่อนเถอะค่ะ เชื่อป้าเถอะนะคะ”

“นะลูกนะ กลับบ้านเรานะ”

ปรางทิพย์นิ่งมองหน้าแม่อยู่อึดใจหนึ่งก่อนตอบ “ปรางจะกลับก็ได้ค่ะ แต่คุณแม่จะต้องยกเลิกเรื่องที่จะส่งปรางไปต่างประเทศ และอนุญาตให้ปรางคบกับพี่ภัคเหมือนเดิม ถ้าคุณแม่ไม่ยอม ปรางก็ไม่กลับ”

“ได้จ้ะ แม่ยอมแล้ว แม่ยอมทุกอย่าง”

“จริงๆนะคะ”

“จริงจ้ะ แม่ยอมแล้ว...กลับบ้านเรานะลูกนะ”

ปรางทิพย์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเหมือนเด็กๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวการแก้แค้นใดๆ รัชนีสุดจะอกตรม สายใจมองดูสองแม่ลูกด้วยความสงสาร น้ำตาจะไหลตาม...

ooooooo

มุมหนึ่งหน้าบ้าน ภคพงษ์หันซ้ายหันขวามองหารสาที่พยายามเร้นกายไม่ให้เขาเห็น แต่สุดท้ายก็ไม่รอดตาเขาไปได้ เขาวิ่งมาคว้าแขนเธอไว้

“รสา...คุยกันก่อน”

“ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว” รสาสะบัดมือหนี มองเขาด้วยแววตาผิดหวังและเกลียดชัง

“อย่ามองผมด้วยแววตาแบบนี้ คุณไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร”

“ปรางทิพย์เป็นน้องสาวของคุณ คุณรัชนีเป็นแม่แท้ๆของคุณ” รสาตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความไม่เข้าใจ และอึดอัดใจ

“คุณรู้...” ภคพงษ์อึ้งไปอย่างไม่คาดคิด

“ใช่...ฉันรู้ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องทำแบบนี้ ปรางทิพย์เป็นน้องสาวคุณ คุณทำแบบนั้นกับเธอได้ยังไง”

“ผมไม่ได้ล่วงเกินเธอ ผมแค่พูดเพื่อทำให้ใครบางคนเจ็บปวดเล่นๆ มันก็แค่นั้นเอง”

“คุณใจร้ายมากที่ทำแบบนี้ แล้วยังยิ้มออกมาได้ หัวใจของคุณทำด้วยอะไร คุณทำได้ยังไง”

“คนที่โตมาอย่างอบอุ่นอย่างคุณไม่มีวันเข้าใจ ตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่ ผู้หญิงคนนั้นทำร้ายพ่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ตอนที่พ่อตาย เขาไม่อยู่ร่วมงานศพสักคืน ผมเป็นลูกชายคนเดียว เขายังทิ้งผมได้ลงคอ”

“เรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่อดีต คุณไม่คิดจะให้อภัยเลยเหรอ”

“คนเห็นแก่ตัวอย่างนั้นไม่สมควรได้รับการให้อภัยจากใครทั้งนั้น ที่เขาต้องเจ็บปวดอยู่ทุกวันก็เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ถ้าเขาบอกความจริง ยอมรับว่าตัวเองโกหก...ผมก็พร้อมจะหยุดทุกอย่าง แต่เขาไม่ยอมรับ ความจริง คนที่คุณสมควรจะด่าตอนนี้คือเขา ไม่ใช่ผม”

ภคพงษ์ระเบิดอารมณ์ออกมา รสากลับยิ่งผิดหวังในตัวเขา

“ถ้าคุณคิดว่าแม่คุณไม่สมควรจะได้รับการยกโทษจากคุณ...คุณเองก็ไม่สมควรจะได้รับการยกโทษจากใครทั้งนั้น คุณเองก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสะใจของตัวเอง ไม่เคยคิดถึงจิตใจของคนอื่น ฉันเคยสงสัยว่าคุณเป็นคนยังไงกันแน่ แต่วันนี้ฉันรู้แล้ว...คุณภคพงษ์ คุณก็เป็นแค่ผู้ชายใจร้ายใจดำ ร้ายกาจอย่างที่สุด คุณสร้างเรื่องบ้าๆขึ้นมาเพื่อทรมานใจทั้งแม่และน้องของตัวเอง คุณมันไม่ใช่คน...ฉันเกลียดคุณ!!”

ภคพงษ์ช็อก...แต่ดึงดันไม่ยอมรับ “ไม่จริง คุณไม่ได้เกลียดผม”

“ฉันเกลียดคุณ” รสาย้ำเสียงดังฟังชัด

“คุณรักผม...เหมือนกับที่ผมรักคุณ”

พูดขาดคำ เขารวบตัวเธอเข้ามาจูบอย่างหนักหน่วง...รสาเงียบงันภายใต้อ้อมกอดและการประทับจูบของภคพงษ์ แต่เพียงไม่นาน เธอเรียกสติกลับคืนมา ผลักเขาออกสุดแรง ตามด้วยฟาดฝ่ามือเข้าที่หน้าเขาดังเพี๊ยะ!

“ยิ่งคุณทำแบบนี้ ฉันยิ่งเกลียดคุณ และฉันก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างคุณจะรักใครเป็น”

รสาเอ่ยทั้งน้ำตานองหน้า ค่อยๆหันหลังเดินปาดน้ำตา จากไป ภคพงษ์ทั้งจุกทั้งเจ็บ มองตามด้วยความเสียใจ

“ไม่จริง...รสา คุณไม่ได้เกลียดผม คุณไม่ได้เกลียดผม...” ภคพงษ์รำพึงออกมาเหมือนจะปลอบใจตัวเอง...เขาไม่ยอมรับความจริง เลือกที่จะหลอกตัวเองต่อไป

ooooooo

ตะวันทอแสง

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด