ตอนที่ 11
วาริชเจ้าเล่ห์หวังมีเอี่ยวในทรัพย์สมบัติของครอบครัวพิมพรรณ แต่ฝ่ายหญิงกลับเข้าใจว่าเขาเป็นคนดีมีความรับผิดชอบถึงขนาดมาเจรจาสู่ขอเธอกับพ่อแม่ ปรากฏว่าพร้อมไม่ยกให้ ทั้งยืนยันหัวเด็ดตีนขาดไม่ให้ลูกสาวแต่งงานด้วย วาริชจึงใช้ไม้ตายบอกว่า เราสองคนมีอะไรกันแล้ว พร้อมตกใจมากถึงกับช็อกหมดสติ ห้าวกับวิมลต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
โชคดีหมอตรวจรักษาแล้วบอกว่าคนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ควรจะนอนพักดูอาการอีกวันสองวัน ครั้นรสาทราบเรื่องจากห้าวก็ตกอกตกใจ เป็นห่วงทั้งอาพร้อมที่กำลังป่วย และพิมพรรณที่กำลังตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อพิมพรรณโทร.หารสาตามคำแนะนำของห้าว รสาบอกว่าตนทราบทุกเรื่องจากพี่ห้าวหมดแล้ว ที่
อาพร้อมเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ
“มันจะไม่ใช่ได้ยังไง ที่พ่อเป็นแบบนี้ก็เพราะพิมทำตัวเหลวไหล ไม่รักนวลสงวนตัว ทำให้พ่อผิดหวัง มันเป็นความผิดของพิมเอง พิมผิดเอง”
“พิม...รสถามตรงๆนะ ที่วาริชบอกว่ามันมีอะไรกับพิมแล้ว มันเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของพิม หรือว่ามันใช้กำลัง”
พิมพรรณสะอึกพูดไม่ออก น้ำตาร่วงพรู ความอึดอัดทั้งหมดถูกปล่อยออกมาอย่างยากจะห้าม รสาได้ยินเสียงร้องไห้ก็รู้คำตอบทันที
“ร้องออกมาเลยพิม ร้องออกมาให้พอใจ รสจะอยู่เป็นเพื่อนเอง”
คราวนี้พิมพรรณร้องไม่ยั้ง รสาทั้งสงสารทั้งแค้นใจ ร้องไห้ตามไปด้วย...ภคพงษ์ยืนอยู่หน้าเรือนเล็กได้ยินทุกอย่าง ทั้งเห็นใจพิมพรรณและซึ้งใจในความมีน้ำใจของรสา เขาเดินเข้ามายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอซับน้ำตา แต่เธอไม่รับ เขาจึงเช็ดให้เองอย่างแผ่วเบา
“ฉันบอกแล้วไงคะว่าไม่เป็นไร” รสาถอยออกห่าง พยายามทำใจแข็งและหักห้ามความรู้สึกของตัวเอง
“ยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่เหรอ”
“ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธคุณ”
“มีสิ สิทธิ์ของการเป็นคนสำคัญของผม เมื่อคืน...การที่ผมไปช้าไม่ได้แปลว่าผมไม่เห็นความสำคัญของคุณ หรือเห็นคุณเป็นของเล่น ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอ”
ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่รู้สึกผิดของเขาทำให้
รสาอ่อนลง แต่ยังคงมีระยะห่างพอสมควร
“ช่างมันเถอะค่ะ ที่จริงฉันก็รอไม่นาน พอวินโทร.มาบอกว่าคุณ...ติดธุระ ฉันก็เลิกรอ และก็ขอบคุณนะคะที่เห็นว่าฉันเป็นคนสำคัญ เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด”
รสาพยายามดึงโยงเข้าเรื่องงานเพื่อป้องกันตัวเอง แล้วก็หันมาตั้งท่าจะทำงานต่อ ภคพงษ์มองอย่างรู้ทัน
“เพื่อเป็นการขอโทษ ผมทำอาหารโปรดของคุณแล้วให้ป้าสายใจจัดใส่กล่องไว้แล้ว ผมรู้ว่าเย็นนี้คุณคงไม่อยากทานที่นี่ คุณจะได้เอากลับไปทานที่บ้าน”
“อาหารโปรดของฉัน คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบอะไร”
ที่แท้ป้าอาภรณ์ของรสานั่นเองที่เป็นคนจาระไนให้ภคพงษ์ฟังทางโทรศัพท์ ตกเย็นรสาหิ้วอาหารโปรดสามอย่างกลับไปกินที่บ้าน อาภรณ์เห็นหน้าตาอาหารแล้วชื่นชมภคพงษ์เป็นการใหญ่ รสาแอบประทับใจแต่ไม่อยากปล่อยใจให้เหลิงลอย เอ่ยออกมาอย่างยั้งอารมณ์
“ทำเองจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“อ้าว...ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ คุณภัคออกจะใส่ใจ”
“เดี๋ยวก็ใส่ใจ เดี๋ยวก็ไม่ใส่ใจ ขึ้นๆลงๆ เอาแน่เอานอน อะไรไม่ได้” รสาเหมือนระบายความสับสนออกมา อาภรณ์สังเกตสีหน้าและน้ำเสียงหลานสาวก่อนพูดขึ้นด้วยความเมตตา
“ความไม่แน่นอนมันมีอยู่ในทุกคน ทุกเวลา ถ้าเรารู้ในจุดนี้ก็ดี เราจะได้ไม่ยึดติด แล้วก็มีความสุขกับปัจจุบันขณะ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนไปอย่างมีสติ เราก็จะเข้าใจมันเอง แล้วปัจจุบันขณะนี้...ก็มีของที่น่ากินมากอยู่ตรงหน้า ป้าว่าเราอย่ามัวแต่พูดอะไรคมๆกันเลยกินกันดีกว่า”
“ได้เลยค่ะ ลุย!” รสาตักอาหารกินไปคิดถึงภคพงษ์ไป ความขุ่นข้องใจที่มีจางหายเกือบหมด
หลังอาหารมื้ออร่อยนั้น รสาส่งข้อความไปขอบคุณคนทำ...และไม่นานก็มีข้อความส่งกลับมาจากเขาว่า “หายโกรธแล้วนะ” รสาอ่านแล้วยิ้มกว้างมีความสุข คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีอารมณ์กุ๊กกิ๊กเหมือนกัน
ooooooo
ก่อนวันถ่ายแบบ ปรางทิพย์ส่งข้อความบอกภคพงษ์ว่าไม่รบกวนเขาแล้วเพราะคุณแม่จะไปเป็นเพื่อน...ภคพงษ์รับรู้ด้วยความไม่พอใจนัก อยากแกล้งและเอาชนะรัชนี เมื่อถึงวันนั้นเขาจึงไปปรากฏตัวโดยไม่บอกใครล่วงหน้า
ปรางทิพย์ดีใจมาก ตรงข้ามกับรัชนีที่หน้าตูมตึงอย่างเห็นได้ชัด บก.หนังสือจำภคพงษ์ได้จึงเชิญมานั่งกับรัชนีเพื่อรอปรางทิพย์ถ่ายแบบ พร้อมกันนี้ก็ชวนคุยโน่นนี่ทำนองว่าภคพงษ์กับปรางทิพย์กิ๊กกัน นั่นยิ่งทำให้รัชนีอึดอัด พูดโต้แย้งไปแต่พองาม
เมื่อบรรยากาศไม่น่ารื่นรมย์เหมือนตอนแรกที่มาถึง รัชนีหาทางเร่งการทำงานให้เร็วขึ้นด้วยการบอกทีมงานว่าตนกับลูกสาวมีนัดต่อเย็นนี้ ภคพงษ์มองเธออย่างรู้ทันว่าโกหก เมื่อถ่ายแบบเสร็จแต่ปรางทิพย์ยังต้องสัมภาษณ์อีกนิดหน่อย ภคพงษ์ฉวยโอกาสนี้ขออนุญาตนั่งฟังด้วย รัชนีไม่ชอบใจนักแต่ด้วยมารยาทก็ขัดคอเขาไม่ได้
“เนื่องจากว่าวันนี้คุณแม่มาด้วย พี่เอ๋ขอถามถึงคุณแม่ก่อนเลยแล้วกัน น้องปรางกับคุณแม่สนิทกันมากไหมคะ”
“มากค่ะ คุณแม่เป็นเหมือนเพื่อนปราง เข้าใจทุกปัญหา แล้วก็ช่วยปรางแก้ปัญหาทุกอย่าง เราคุยกันทุกเรื่อง ไม่เคยมีความลับต่อกัน”
ภคพงษ์อมยิ้มกับคำตอบฉะฉานของปรางทิพย์ รัชนีชะงักนิดๆ รู้ตัวตามประสาวัวสันหลังหวะ
“ในสายตาของน้องปราง คุณแม่เป็นคนยังไง”
“เป็นคนดีมากค่ะ ชอบช่วยเหลือคน ตอนอยู่ที่อังกฤษคุณแม่ทำงานการกุศลที่เกี่ยวกับเด็กกำพร้าเยอะมาก คุณแม่บอกว่าเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์เป็นเด็กที่น่าสงสาร ถ้าเราช่วยได้ เราก็ต้องช่วยค่ะ”
คำตอบนี้เล่นเอาภคพงษ์รู้สึกหมั่นไส้สะอิดสะเอียน ...รัชนีสัมผัสได้ อึดอัดอยู่ไม่น้อย
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ ปรางคิดว่าคุณพ่อมองคุณแม่เป็นคนยังไง”
“โห...เป็นนางฟ้าเลยค่ะ คุณแม่ช่วยงานคุณพ่อทุกอย่าง จำได้ว่าคุณพ่อชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วคุณพ่อก็ไว้ใจคุณแม่มาก”
ภคพงษ์ทนไม่ได้แทรกขึ้นอย่างสุภาพ “แล้วคุณพ่อน้องปรางทราบหรือเปล่าครับว่าก่อนจะแต่งงานกัน คุณแม่น้องปราง...”
“เปลี่ยนเรื่องดีกว่านะคะ” รัชนีสวนทันควันด้วย ความหวาดระแวง เธอปั้นยิ้มกับทุกคน “คุยแต่เรื่องคุณแม่ เบื่อแย่เลย ถามเรื่องเกี่ยวกับน้องบ้างดีกว่าค่ะ”
“ขอคำถามของพี่ภัคอีกข้อนึงก็คงไม่เป็นไรมั้งคะคุณแม่” ปรางทิพย์เปิดทางอย่างใสซื่อ แต่คนเป็นแม่ถึงสะอึก “พี่ภัคจะถามว่าอะไรคะ ก่อนคุณแม่จะมาแต่งงานกับพ่อ...แล้วอะไรต่อคะ”
รัชนีปรายตามองภคพงษ์ ใจเต้นโครมคราม กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ภคพงษ์สังเกตได้ไม่ยาก เขายิ้มสะใจ แล้วตอบออกไปว่า
“ไม่เป็นไรครับ พี่ได้คำตอบแล้ว...ต้องขอโทษด้วยที่ถามแทรกขึ้นมา เชิญต่อได้เลยครับ”
“ค่ะ งั้นพี่เอ๋ถามต่อก่อนเลยนะคะ น้องปรางกลับมาไทยนานหรือยังคะ”
ปรางทิพย์ยังงงๆกับคำพูดของภคพงษ์ ขณะที่รัชนีโล่งใจ แต่ลึกๆแปลกใจว่าทำไมเขาไม่ถามต่อ เธอปรายตามองเขาด้วยความไม่วางใจและอยากรู้ ภคพงษ์จิบชาท่าทางเหมือนสบายใจ แต่ข้างในกลับระอุไปด้วยความโกรธ เสียใจ และน้อยใจ
พร้อมออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้านแล้ว แต่พิมพรรณก็ยังเข้าหน้าไม่ติด เธอพยายามขอโทษท่านหลายครั้งก็ไม่เป็นผล พร้อมยังคงเสียใจกับพฤติกรรมใจเร็วด่วนได้ของลูกสาว โดยเฉพาะวาริชนั้น พร้อมไม่ยอมให้เหยียบบ้านอีกเป็นอันขาด
เมื่อวาริชรู้จากพิมพรรณก็โมโหและอยากเอาชนะ เขาชวนเธอจดทะเบียนสมรสโดยโน้มน้าวว่า จดไว้ก่อน ถึงไม่มีงานแต่งงาน พ่อของเธอจะได้มั่นใจว่าเขารักเธอจริง
ด้านรสาที่ความสัมพันธ์กับภคพงษ์เหมือนจะกลับมาดีเหมือนเดิม แต่แล้ววันนี้บรรยากาศกลับอึมครึมขึ้นอีก เมื่อคัพเค้กเอาภาพข่าวภคพงษ์นำดอกไม้ไปมอบให้ปรางทิพย์ขณะถ่ายแบบ ซึ่งข่าวเขียนซุบซิบว่าสาวน้อยคนนี้เป็นกิ๊กใหม่ของเขา หนำซ้ำชีวินยังยืนยันด้วยว่าผู้หญิงในข่าวคือคนที่ตนเห็นกับภคพงษ์เมื่อวันที่เขาผิดนัดกินข้าวกับรสา
รสาฟังแล้วหน้าเจื่อน จิตตก เลี่ยงสายตาเพื่อนร่วมงานด้วยการขอตัวไปห้องน้ำทันทีเลย ขณะนั้นสายใจกับเผด็จคุยเรื่องเดียวกันนี้อยู่ที่บ้านเถลิงยศ สายใจตกใจเมื่อรู้จากเผด็จว่าปรางทิพย์คือลูกสาวของรัชนีกับสามีใหม่
“ถ้างั้นก็เป็นน้องสาวต่างพ่อของคุณหนู แล้วทำไมข่าวมัน ออกมาเป็นทำนองนี้ อ่านแล้วมันไม่ใช่พี่น้องกันเลยนะคะ”
“ก็เพราะคุณผู้หญิงไม่ได้บอกเรื่องคุณภัคกับครอบครัวใหม่น่ะสิ ตอนเจอกันที่ร้านอาหารก็ทำเหมือนคนไม่รู้จัก พูดคุยกันไปตามมารยาท”
“คุณหนูนะคุณหนู กำลังคิดทำอะไรอยู่ แล้วข่าวมันก็ออกมาทำนองนี้ ถ้าคุณผู้หญิงอ่านเจอมีหวัง...” สายใจหวั่นใจไม่กล้าพูดต่อ ขณะที่เผด็จก็เดาใจภคพงษ์ไม่ออกเหมือนกันว่าคิดจะทำอะไรกันแน่?
แน่นอนว่าคนที่มีปมอดีตในใจอย่างรัชนีไม่มีทางอยู่เฉยได้ เธอบ่นกับปรางทิพย์ก่อนจะเอาข่าวนั้นมาให้สุวิทย์อ่าน แต่สามีอ่านแล้วกลับพูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อนใดๆ รัชนีเลยจี้ว่าเขาไม่รู้สึกบ้างหรือว่ามันไม่สมควร
“ไม่สมควรยังไง” สุวิทย์ถามงงๆ
“ก็ลูกเรายังเด็ก พอข่าวมันออกมาแบบนี้คนที่เสียหายก็คือลูกเรา คุณบอกเองว่าภคพงษ์มีข่าวกับผู้หญิงมากมายแล้วคุณ จะยอมให้ลูกเรากลายเป็นหนึ่งในความมากมายนั่นเหรอคะ”
“ผมก็ไม่อยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้น แต่ผมคิดว่าภคพงษ์คงไม่ได้คิดกับปรางแบบผู้หญิงพวกนั้น”
ปรางทิพย์แอบพยักหน้าเห็นด้วย รัชนีหันขวับมามองตาแข็ง แค่นี้ปรางทิพย์ก็ก้มหน้างุดด้วยความเกรงกลัว
“แต่ก็เอาเถอะ เพื่อความสบายใจของคุณ ผมจะไปคุยกับคุณภัคให้เขาช่วยแก้ข่าวหรือทำอะไรให้มันดีขึ้น”
รัชนีชะงัก กลัวภคพงษ์เจอกับสุวิทย์เป็นการส่วนตัว “อย่าดีกว่าค่ะ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้รัชจัดการเอง คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลา รัชจะไปคุยกับภคพงษ์เองค่ะ”
รัชนีทำอย่างที่พูดจริงๆ เธอเดินทางไปพบภคพงษ์ถึงร้านจิวเวลรี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ภคพงษ์ได้คุยเรื่องงานแฟชั่นโชว์เครื่องประดับคอลเลกชั่นใหม่กับทีมงานเพื่อให้คัดสรร นางแบบอาชีพกับนางแบบกิตติมศักดิ์ เมื่อรัชนีปรากฏตัวโดยไม่คาดฝัน เขาจึงมีไอเดียบางอย่างอยู่ในใจ
ภายในห้องเหลือกันแค่สองคน ภคพงษ์เปิดฉากด้วยถ้อยคำแสนสุภาพแต่บาดลึกในใจรัชนีว่า
“รู้สึกเป็นเกียรติคุณรัชนีจำทางมาที่นี่ได้ นึกว่าจะลืมไปหมดทุกอย่าง”
รัชนีนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่ต่อปากต่อคำ ถามเขาว่าเห็นข่าวนี้หรือยัง ภคพงษ์ปรายตามองหนังสือพิมพ์นิดหนึ่งก่อนพูดยิ้มๆว่า ภาพสวยดี แต่เสียดายตนน่าจะยิ้มมากกว่านี้
“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน”
“ก็รู้เรื่องไงครับ คุณบอกให้ผมลืมอดีต ผมก็ลืม... ลืมว่าคุณกับผมเป็นอะไรกัน แล้วมันก็ทำให้ผมลืมไปด้วยว่าผมกับปรางทิพย์เป็นอะไรกัน”
รัชนีสะอึก ภคพงษ์มองหน้าอย่างเหนือชั้น ในแววตามีความกระหยิ่มร้ายอยู่ในที
“ทำแบบนี้ทำไม” น้ำเสียงเธอสั่นนิดๆด้วยความโกรธ
“ทำแล้วสบายใจก็ทำ เห็นคนที่กำลังดิ้นทุรนทุรายกับอดีตของตัวเองแล้วมันมีความสุข”
“ลูกสาวฉันไม่ใช่เครื่องมือในการแก้แค้น ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่น หยุดซะ...ก่อนที่มันจะบานปลายมากไปกว่านี้”
“ถ้าชีวิตของลูกสาวคุณไม่ใช่เครื่องมือในการแก้แค้น แล้วชีวิตของผมคืออะไร หรือว่ามันเป็นแค่อะไรสักอย่างที่คุณอยากทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้ อยากลืมมันไปเมื่อไหร่ก็ได้”
รัชนีอึ้งงัน น้ำตาจุกอยู่เบ้าตาแต่เธอไม่ยอมให้มันไหลออกมา สกัดมันไว้แล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพูดเหมือนออกคำสั่งอีกครั้ง
“ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะมาหมกหมุ่นกับคำถามนี้ ไม่ว่าชีวิตเธอจะเป็นอะไร ตอนนี้เธอก็มีทุกอย่าง ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง หน้าตาในสังคม เธอจะอยากรู้คำตอบนี้ไปทำไม อดีตถ้ามันเลวร้าย ก็ลืมมันไปซะ”
“เหมือนที่คุณลืมผมกับพ่อ! เราสองคนคงเลวร้ายมากๆ ในความคิดของคุณ” ภคพงษ์มองหน้ารัชนีด้วยความโกรธแค้น และน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด จนรัชนีต้องรีบตัดบทกลับเข้าสู่ประเด็น
“ฉันขอย้ำอีกครั้ง...อย่ามายุ่งปรางทิพย์”
รัชนีสำทับเสร็จก็หันหลังเดินออกจากห้องไปเลย ภคพงษ์รู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดกลางใจที่แม่แท้ๆไม่สนใจความรู้สึกของตัวเองแม้แต่นิดเดียว ในที่สุดเขาตัดสินใจโทร.หาสุวิทย์เพื่อขอให้ปรางทิพย์มาเดินแฟชั่นโชว์เครื่องประดับที่ทางร้านกำลังจะจัดขึ้น!
สุวิทย์ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ขอมาถามปรางทิพย์ก่อน ปรากฏว่าปรางทิพย์ตื่นเต้นและสนใจมาก
“ได้ค่ะคุณพ่อ ปรางสนใจค่ะ ปรางคิดว่าถ้าได้ร่วมงานนี้มันน่าจะเป็นประโยชน์กับการเรียน ปรางก็อยากรู้เหมือนกันว่าวงการแฟชั่นของที่นี่เป็นยังไง”
“ดีแล้วลูก ระหว่างรอเปิดเทอมก็จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เต็มที่ งั้นพ่อจะได้ตอบรับคุณภัคไป”
“ค่ะ แต่คุณแม่จะยอมเหรอคะ แค่เป็นข่าวกับพี่ภัคก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เห็นบอกว่าจะออกไปคุยกับพี่ภัคก็ยังไม่เห็นกลับมาเลย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง คุณภัคบอกพ่อว่าหลังจากคุยกับคุณแม่ก็เลยได้ความคิดนี้ขึ้นมา พ่อเลยคิดว่าเขาสองคนน่าจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว”
พ่อลูกยิ้มสบายใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเข้าใจผิดกันทั้งคู่ จนเมื่อรัชนีกลับมาได้สักพักและทราบเรื่องนี้ เธอปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมให้ปรางทิพย์ไปเดินแบบกับภคพงษ์ สุวิทย์ถึงชะงักด้วยความแปลกใจ
“แต่ผมรับปากเขาไปแล้ว ไปปฏิเสธตอนนี้จะดูไม่ดี”
“งั้นรัชเป็นคนปฏิเสธเองค่ะ”
“รัช...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ตั้งแต่ไปคุยกับ
ภคพงษ์มาคุณดูเงียบๆ แล้วนี่ก็เหมือนจะไม่พอใจเอามากๆ ตกลงว่าคุณมีปัญหาอะไรกับภคพงษ์กันแน่ ผมนึกว่าวันนี้ไปเคลียร์กันเข้าใจแล้วซะอีก เพราะเขาบอกว่า...เขาได้ความคิดนี้หลังจากที่ได้คุยกับคุณ”
“หลังจากที่คุยกับรัช?”
“ใช่ เขาบอกว่าพอคุยกับคุณทำให้อยากร่วมงานกับปราง ก็เลยโทร.มาชวน...ผมก็ไม่รู้ว่าคุณไปคุยอะไร แต่ผมรับปากเขาไปแล้ว ผมจะไม่คืนคำ”
สุวิทย์ยืนยันหนักแน่นแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ จึงไม่เห็นว่ารัชนีหน้าซีดแค่ไหน เธอสับสนและร้อนใจว่าทำไมภคพงษ์ถึงทำแบบนี้
ooooooo
ตั้งแต่เห็นข่าวภคพงษ์กับปรางทิพย์ในหนังสือพิมพ์ รสาซึมไปอย่างเห็นได้ชัด ชีวินมองออกแต่พอถามเธอก็เฉไฉว่าไม่ได้คิดอะไร
แต่คนที่กำลังคิดมีแน่ๆคือพักตร์วิมล เธอกระเหี้ยนกระหือรืออยากรู้เหลือเกินว่าสาวน้อยในข่าวเป็นใครมาจากไหน แต่ไม่ว่าจะถามใครที่ใกล้ชิดภคพงษ์ ก็ไม่ได้คำตอบ แม้แต่รสาที่คิดว่าน่าจะรู้ก็ยังยืนยันว่าไม่รู้จัก โยนให้ไปถามภคพงษ์เอาเอง
ท้ายที่สุด พักตร์วิมลนึกถึงเจ้าของนิตรสารบันเทิงเล่มหนึ่ง เธอติดต่อไปและรออยู่ไม่ทันข้ามวันก็ได้ความกระจ่าง รู้ลึกรู้ดีไปถึงแม่ของสาวน้อยคนนั้นด้วย...
สายใจก็เป็นอีกคนที่ไม่สบายใจหลังจากเห็นข่าวภคพงษ์กับน้องสาวต่างบิดา เช้านี้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังกับภคพงษ์ สายใจเลียบเคียงถามเขาว่ายังโกรธคุณแม่อยู่ใช่ไหม
“ไม่ใช่โกรธ...แต่มากกว่านั้น”
คำตอบของภคพงษ์ทำให้สายใจกระอักกระอ่วนไม่เป็นสุข ไม่อยากเห็นแม่ลูกบาดหมางกันไปมากกว่านี้ จึงเตือนสติแบบอ้อมๆ
“คุณหนูจะทำอะไรตามอารมณ์ป้าก็ไม่ว่า แต่อย่าลืมนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วยนะคะ”
“จะไปนึกถึงทำไม เขาเองยังไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคนอื่น ลูกตัวเองแท้ๆยังไม่สนใจ”
“ป้าไม่ได้หมายถึงคุณผู้หญิง...แต่ป้าหมายถึงอีกคน คนที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้ว่าคุณหนูกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ถ้าเขาเห็นข่าว เขาอาจจะเสียใจก็ได้นะคะ”
ภคพงษ์ชะงักคิดถึงรสา จากนั้นรีบมาพบเธอที่เรือนเล็ก ชีวินอยู่ด้วยพอดี รสาไม่อยากเผชิญหน้าและทำเหมือนภคพงษ์ไร้ตัวตน คุยงานกับชีวินไปเรื่อย ภคพงษ์นึกรู้ว่าเธอต้องเห็นข่าวแล้วแน่ๆ กำลังจะหาทางปรับความเข้าใจ ก็พอดีปรางทิพย์โทร.เข้ามือถือ
รสาเห็นกับตาว่าเขาลังเลที่จะรับ แสดงว่าต้องเป็นคนสำคัญ พอเธอเดินห่างออกมานิดก็เห็นเขารับสายแล้วเดินคุยกลับออกไปจากเรือนเล็ก รสาแอบเศร้า ขณะที่ชีวินไม่พอใจอย่างแรงที่เขาไม่แคร์รสาเลย
ปรางทิพย์โทร.มาบอกเล่าว่าตื่นเต้นมากที่จะได้เดินแฟชั่นเครื่องประดับ และเธออยากทราบรายละเอียดของงาน ภคพงษ์ตอบคำถามเธอทุกอย่างด้วยความยินดี เสมือนหนึ่งคุยกับน้องสาว แต่รัชนีซึ่งแอบฟังอยู่เกิดความระแวงอย่างหนัก ครั้นจะเข้าไปห้ามก็กลัวปรางทิพย์สงสัย
ทันใดเสียงมือถือรัชนีดังขึ้น เธอรีบกดรับแล้วถอยออกมา เพราะกลัวลูกสาวรู้ว่าแอบฟัง พักตร์วิมลโทร.หารัชนีทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่หยอดมาว่าเราควรจะเจอกันเพื่อคุยเรื่องลูกสาวของรัชนีกับภคพงษ์ ซึ่งแค่นี้รัชนีก็ไม่ลังเลที่จะออกไปพบ
สองคนนัดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พักตร์วิมลเริ่มบทสนทนาด้วยการขอบคุณรัชนีที่มาตามคำเชิญ รัชนีพูดเน้นหนักว่าถ้าเป็นเรื่องของลูก ตนไม่เคยไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
“ท่าทางคุณรัชนีจะรักลูกสาวคนนี้มากนะคะ ถ้ารักมากห่วงมาก แนะนำว่าควรจะให้อยู่ห่างๆจากภัคของแพตให้มากที่สุด” พักตร์วิมลพูดด้วยรอยยิ้มแต่ตาจิกสุดฤทธิ์ รัชนีเข้าใจในความหมายได้ทันที
“คุณไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกสาวดิฉันกับภคพงษ์ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างที่คุณกลัวหรืออย่างที่เป็นข่าวแน่นอน ถ้าคุณมีความสามารถมากพอจนหาเบอร์ส่วนตัวของดิฉันมาได้ คุณคงมีความสามารถพอจะรู้ว่าครอบครัวของดิฉันเป็นยังไง ข่าวที่ออกมามันก็แค่ข่าว คุณทำงานอยู่ในวงการบันเทิงก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าข่าวที่ไม่จริงก็มีอยู่มากมาย”
“ไม่จริงก็ดีค่ะ เพราะน้องยังเด็ก แพตเป็นห่วง ภัคเขาเป็นคนขี้เบื่อน่ะค่ะ ชอบของใหม่ๆ แต่ก็อยู่ได้ไม่ได้ มีแพตเนี่ยล่ะค่ะ ที่เข้าใจและอยู่กับเขาได้นานที่สุด”
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะคะ ถ้าเรื่องจะพูดมีแค่นี้...ดิฉันขอตัวกลับก่อน”
“อ้อ...ลืมบอกไปค่ะ เราคงจะได้พบกันอีกในเร็ววันนี้นะคะ เพราะแพตอยู่ในรายชื่อนางแบบกิตติมศักดิ์ในงานแฟชั่นโชว์ของภัคด้วย แล้วเจอกันค่ะ”
รัชนียิ้มรับนิดๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกมาสีหน้าเคร่งเครียดเป็นห่วงปรางทิพย์ มีลางสังหรณ์ว่างานนี้ต้องยุ่งแน่ๆ
ooooooo
หลังจากเห็นรายชื่อนางแบบที่ภคพงษ์คัดเลือกไว้แล้วมีชื่อปรางทิพย์อยู่ด้วย เผด็จรู้สึกไม่สบายใจและมาระบายให้สายใจฟัง ซึ่งสายใจก็วิเคราะห์ได้ถูกเผง
“คุณหนูทำแบบนี้คงอยากให้คุณผู้หญิงร้อนใจ ยิ่งรู้ว่าทางครอบครัวนั้นไม่รู้ความจริง คงจะยิ่งสนุกที่ได้ปั่นหัว”
“สายใจลองคุยกับคุณภัคหน่อยสิ เผื่อเธอจะเชื่อบ้าง”
“พูดแล้วค่ะ ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้คุณหนูใช้แต่อารมณ์ ไม่ใช้สติ พูดไปก็ไม่ได้ยิน”
“สายใจยังดึงสติคุณภัคกลับมาไม่ได้ แล้วใครจะทำได้”
“มีอีกคนนึงที่อาจจะทำได้ค่ะ” สายใจนึกถึงรสา แต่ไม่ได้ไปพูดกับเธอเอง ให้เผด็จขอความช่วยเหลือไปทางพิทยาน่าจะได้ผลกว่า
เมื่อรสาถูกทิพยาขอร้องแกมบังคับต่อหน้าเผด็จและสายใจ ตอนแรกเธอเกี่ยงว่าไม่เคยเดิน แล้วก็ไม่ใช่นางแบบ ไม่ใช่คนดัง แต่พอพิทยากล่อมนานเข้า อีกทั้งเผด็จกับสายใจก็ส่งสายตาวิงวอน รสาจึงต้องเลยตามเลยเพราะความเกรงใจ
เมื่อเผด็จนำรายชื่อนางแบบที่เพิ่มเติมรสาลงไปอีกคนมาให้ภคพงษ์พิจารณา ปรากฏว่าภคพงษ์ชอบมาก ไม่ขัดข้องใดๆเลย แล้วยังบอกเผด็จด้วยว่าเขาจะเตรียมเครื่องเพชรชุดพิเศษไว้ให้รสาใส่วันงาน
ส่วนญาติๆที่ระยอง พอทราบข่าวรสาจะเดิน
แฟชั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ทุกคนตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะวิมลกับพร้อมอยากไปให้กำลังใจรสาในวันนั้น แต่พร้อมมีข้อแม้ว่าต้องไม่มีคนอื่นไปด้วย ซึ่งก็หมายถึงวาริชนั่นเอง
พูดไม่ทันขาดคำ วาริชมารอรับพิมพรรณหน้าบ้าน ทุกคนไม่รู้ว่าทั้งคู่จะไปไหนกัน และถ้ารู้ นายพร้อมอาจถึงช็อกอีกครั้งก็เป็นได้!
วาริชพาพิมพรรณแอบไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอเสร็จเรียบร้อย...เขาปากหวานกับเธอว่า นับต่อจากนี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว พิมพรรณยิ้มรับอย่างแสนซื่อ
“ขอให้ทะเบียนสมรสทำให้พ่อยกโทษให้พิมด้วยเถอะ” เธอรำพึงออกมาด้วยความหวัง ทั้งที่ความหวังนี้ไม่มีทางเป็นจริง...
วาริชมองทะเบียนสมรสด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ มั่นใจว่าวิธีนี้ต้องทำให้ตัวเองมีเอี่ยวในที่ดินและรีสอร์ตของนายพร้อมอย่างแน่นอน...
ooooooo










