ตอนที่ 13
พิรามดูแลตันหยงด้วยความรักอย่างอบอุ่นเสมอต้นเสมอปลาย วันนี้ก็จัดดอกกุหลาบใส่แจกันให้อย่างสวยงาม เขาบอกว่าเอาดอกไม้สวยๆมาให้เธอจะได้สดชื่นขึ้น
ครู่เดียว หมอหนึ่งกับพยาบาลก็เดินเข้ามา ตันหยงมองเลยไปที่ประตูถามถึงหมอปฐวี หมอหนึ่งบอกว่าหมอติดเคสอื่น แล้วถามอาการของเธอ ตันหยงตอบเศร้าๆ ว่าดีขึ้นแล้ว หมอหนึ่งขอตรวจแล้วยํ้าว่าอย่าลืมไปทำกายภาพบำบัดทุกวัน
เมื่อหมอหนึ่งออกไปแล้ว พิรามเข้ามาถามตันหยงว่าจะไปทำกายภาพบำบัดหรือยัง เดี๋ยวตนพาไป
“หยงรู้สึกเพลียๆ วันนี้ขอพักสักวันนะคะ” เธอตอบเศร้าๆ แล้วล้มตัวลงนอน คิดถึงที่หมอหนึ่งบอกว่าปฐวีไม่มา เพราะหมอมีเคสอื่นแล้วนึกน้อยใจ “ใช่สิ
ฉันคงไม่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว...”
พิรามโทรศัพท์บอกข่าวดีเรื่องตันหยงแก่บุหงาและพินิจที่กำลังอยู่ต่างประเทศ ทั้งสองรีบกลับมาทันที พ่อแม่ลูกกอดกันด้วยความดีใจ
แม้ ปฐวีจะมอบให้หมอหนึ่งกลับมาดูแลตันหยงตามเดิมแล้ว แต่ใจเขายังไม่อาจตัดจากตันหยงได้ เวลาทำงานก็ยังไม่มีสมาธิ จนต้องลุกเดินถามตัวเองอย่างเข้าใจไม่ได้ว่า “ทำไม...ทำไมเรายังตัดใจไม่ได้...”
ตันหยงทำกายภาพบำบัดจนเดินได้เกือบเป็นปกติ เธอดีใจมากหัวเราะกับพิรามอย่างมีความสุข ปฐวีได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ อย่างพยายามทำใจ
จนวันนี้ตันหยงได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว พินิจกับบุหงาขอบคุณหมอหนึ่งและถามถึงปฐวีว่าไม่เห็นหน้าเลย งานยุ่งหรือ
“ค่ะ ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง เพราะมีหมอใหม่เข้ามาฝึกงาน หมอวีเลยต้องดูแลเป็นพิเศษ อย่าลืมมาตรวจสุขภาพตามนัดนะคะคุณตันหยง”
ตันหยงรับคำ พิรามบอกหมอว่า “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะพาหยงมาตรวจตามนัด อีกสองอาทิตย์พบกันนะครับ”
หมอหนึ่งเดินไปส่งตันหยงถึงหน้าโรงพยาบาล พอรถเคลื่อนออกไป หมอถอนใจอย่างโล่งอก...
ooooooo
พอก ลับถึงบ้าน ตันหยงก็เจอสุดนภามารออยู่แล้ว บอกว่าโทร.ไปที่โรงพยาบาลพอรู้ว่าจะกลับวันนี้เลยมาเซอร์ไพรส์ เพราะเดี๋ยวต้องรีบกลับไปทำงานต่อ
ตันหยงมองหน้าเพื่อนถามว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้หรือ สุดนภานัดคืนพรุ่งนี้จะมานอนคุยด้วยก็แล้วกัน
“ไม่นึกไม่ฝันเลย หยงจะได้กลับมาบ้านของตัวเองอีกครั้ง” ตันหยงมองบ้านพึมพำ
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะลูก ทำอย่างกับหนูระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่อื่นมา” บุหงาติง ตันหยงบอกว่าตนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ไม่เป็นไร กลับมาอยู่บ้านเราแล้วลูก ที่นี่บ้านของลูกไง” พินิจประคองลูกเข้าบ้าน
เมื่อ เข้าห้องนอนแล้ว ตันหยงมองห้องนอนตัวเองอย่างแปลกตา ใจคิดถึงตอนที่อยู่ในร่างน้องเมย์และได้หยอกล้อกับปฐวีอย่างร่าเริง คิดแล้วเศร้า อดถามตัวเองไม่ได้ว่า “คุณหายไปไหนนะ...น้าวี”
ใช่ว่าปฐวี จะอยู่อย่างสงบได้ ใจเขายังวอกแวกวนเวียนคิดถึงตันหยงในร่างน้องเมย์จนนั่งไม่ติด ต้องเตือนตัวเองว่า “มันควรจบได้แล้ว” แต่เมื่อนั่งลงพิงพนักเก้าอี้ ก็ยังไม่อาจดึงใจตัวเองกลับมาได้...
ooooooo
ทั้งบุหงาและพินิจ ต่างรู้สึกเหมือนกันว่า ลูกไม่สดใสเหมือนเดิม พิรามบอกว่าจากนี้ไปตนจะพาเธอไปทุกที่ไม่ให้ห่างตัวเลย ทำให้บุหงาและพินิจเบาใจ ฝากพิรามให้ช่วยดูแลด้วย
ระหว่างพาตันหยงไปทานอาหาร บังเอิญเป็นร้านเดียวกับที่ปฐวีเคยพาน้องเมย์มาทาน ทำให้ตันหยงคิดถึงความหลังจนนั่งเหม่อ พิรามเรียกหลายครั้งจึงสะดุ้งรู้สึกตัว เขาบอกเธอว่าเดือนหน้าตนต้องไปต่างประเทศอาจจะเป็นปี เอ่ยขอว่า
“ผมอยากให้หยงไปกับผมด้วย...เราแต่งงานกันก่อนเดินทางได้ไหมครับ”
“ทำไมเร็วนักล่ะคะ”
“ผมอยากดูแลหยง ผมไม่อยากห่างจากคุณอีกเลย ผมจะรอคำตอบจากคุณนะครับ” เขามองเธออย่างเว้าวอนตันหยงนิ่งหน้าเศร้าอย่างอึดอัดใจ
คืนนี้ สุดนภาไปนอนกับตันหยงตามสัญญา เห็นท่าทางเพื่อนเงื่องหงอย พอทักตันหยงบอกว่าวันนี้พิรามขอแต่งงาน ถามเพื่อนอย่างหนักใจว่า
“บี๋...ฉันรู้สึกคิดมากเลย ฉันควรจะทำอย่างไรดี ฉันสับสนไปหมดแล้ว”
“แกก็ควรจะถามใจตัวเองให้แน่สิ เพราะมันคือชีวิตแกทั้งชีวิต ฉันอยากให้แกคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ นี่...เอาเป็นว่าถ้าแกเหลือเวลาอีกวันเดียวในโลกนี้ แกอยากจะเจอหน้าใคร ระหว่างพิราม กับหมอปฐวี”
ตันหยงได้แต่นิ่งเครียด ตอบไม่ออก จนวันรุ่งขึ้น ตันหยงก็ยังเอาแต่คิด เครียด และถอนใจเฮือกๆ จนสุดนภาบอก
“พอเหอะหยง ฉันว่าแกต้องตัดสินใจแล้วล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าตอนนี้ฉันสับสนไม่รู้จะทำยังไงดี”
สุดนภาจึงจัดการพาเธอไปเช็กความจริงว่าใจต้องการอะไรกันแน่ ว่าแล้วโทร.หานาวินถามว่าตอนนี้ปฐวีอยู่ที่ไหน พอรู้ก็ลากเพื่อนขึ้นรถขับบ่ายหน้าไปที่บ้านคุณหญิงปรงทอง ตันหยงถามว่า “แกจะให้ฉันทำอะไร ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“หยง แกฟังฉันนะ แกมีโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ฉันอยากให้แกตัดสินใจให้ดีๆ”
“เอ่อ...ฉันอยากไปกราบคุณย่า” ตันหยงหาทางเลี่ยง
เมื่อเข้าไปพบคุณหญิง ตันหยงก้มกราบอย่างน่ารัก คุณหญิงมองเอ็นดู บอกให้เงยให้เห็นหน้าชัดๆหน่อย พอตันหยงเงยหน้าขึ้น ท่านชม “หน้าตาน่าเอ็นดูจริง”
“ตันหยงเป็นเพื่อนของบี๋เองค่ะ เขาป่วยอยู่นาน หมอวีเป็นคนดูแลค่ะ”
คุณหญิงบอกว่าคุ้นหน้ามากถามว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ตันหยงได้แต่ยิ้ม สุดนภาจึงถามถึงปฐวี ท่านบอกว่าให้ไปดูที่ริมน้ำ เขาคงอยู่ที่นั่น
สุดนภากับตันหยงกราบลาท่าน แล้วพากันออกไป ครู่เดียวก็เห็นปฐวียืนหันหลังให้อยู่ สุดนภาลุ้นให้ตันหยงไปหาเขา ส่วนตัวเองจะไปรอที่หน้าบ้าน
“น้าวี...” ตันหยงเรียกอย่างตื่นเต้นดีใจ ปฐวีหันมามองอย่างไม่เชื่อสายตาว่าตันหยงมาหา ต่างดีใจมองกันอึ้ง ตันหยงวิ่งเข้าไปหา แต่ไม่ทันถึง เสียงหมอหนึ่งก็ร้องเรียก “วีคะ...” มาจากอีกด้านหนึ่งแล้วเดินไปเกาะแขนเขา ตันหยงหยุดกึก หน้าจ๋อย มองปฐวีอย่างตัดพ้อ แล้ววิ่งกลับไป ผ่านสุดนภาก็หยุดมองเพื่อนอย่างผิดหวัง
ปฐวีแกะมือหมอหนึ่งออก เขาชะงักเมื่อเห็นหมอหนึ่งมองอึ้งจึงรีบขอโทษเธอแล้ววิ่งตามตันหยงไป หมอหนึ่งมองตามไปอย่างเสียใจ...
ตันหยงวิ่งไปครู่เดียว ปฐวีก็ตามมาทันจับตัวเธอไว้ ต่างมองหน้ากันเต็มตา เขาถามว่า มาหาตนหรือ ตันหยงบอกว่าไม่คิดว่าเขาจะอยู่กับหมอหนึ่ง แล้วตัดพ้อ
“คุณไม่เคยคิดจะไปเยี่ยมฉัน แม้แต่ตอนที่ฉันยังอยู่โรงพยาบาล”
“เพราะคุณมีคู่หมั้นแล้ว” ปฐวีพลั้งปาก ตันหยงมองเขาอึ้ง แล้วหันหลังเดินออกไป ปฐวีจะเรียกไว้ก็ไม่กล้า ได้แต่นึกโมโหตัวเองที่พลั้งปากไป
เมื่อพากันกลับมาถึงห้องนอนตันหยง สุดนภาขอโทษเพื่อนที่ตนวุ่นวายทั้งที่เรื่องไม่ควรจะเป็นแบบนี้ แต่ก็บอกว่าทุกอย่างยังไม่กระจ่างอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไร
“ชัดทุกอย่างแล้ว ฉันไม่ควรคิดถึงเขาอีก คนที่ฉันควรคิดถึงให้มากคือพิราม ฉันไม่ควรทำผิดต่อเขา...บี๋...เราหยุดแค่นี้เถอะนะ พอได้แล้ว”
ส่วนนาวินไม่คิดว่าหมอหนึ่งจะมาหาปฐวี แต่พอรู้ก็มาสกัดสุดนภากับตันหยงไม่ทันแล้ว สุดนภาโกรธที่เขาไม่โทร.บอกทำให้ตนเสียแผนหมดเพื่อนเสียความรู้สึก เมื่อนาวินที่ นั่งคุยกับปฐวีอยู่ที่ริมสระน้ำ เขาโทร.ง้อเธอไม่รับสาย นาวินบ่น
“จะโกรธไปถึงไหนนี่ ทำไมยังไม่ยอมรับสายอีก... แต่เดี๋ยวก็คงหายโกรธแหละฉันมีวิธี” นาวินยิ้มเจ้าเล่ห์ ปฐวีชมว่าเก่งจริงๆ “เปล่า ฉันไม่ได้เก่ง เรื่องบางเรื่องมันไม่ต้องใช้วิชาการหรือความรู้ขั้นเทพหรอก ก็แค่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง แล้วแกล่ะ คิดจะทำยังไง”
“แกจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อเขามีคนคอยดูแลอยู่แล้ว”
“เรื่องความรัก มันต้องใช้ความรู้สึก อย่ามัวแต่ใช้เหตุผล” นาวินบอก ปฐวียืนยันอย่างหมอว่าเรื่องทุกอย่างต้องมีเหตุผล “โอ๊ย...ไอ้วีเอ๊ย...รู้แต่เรื่องสมอง แต่ไม่รู้เรื่องหัวใจเล้ย...” นาวินบ่นอย่างอ่อนใจ
ooooooo
เช้านี้ หลังจากคุณหญิงใส่บาตรเสร็จ เห็นปฐวีเดินมาหา คุณหญิงถามว่าช่วงนี้งานยุ่งไหม เขาบอกว่าไม่ยุ่งเพราะมีหมอจากมูลนิธิของคุณย่ามาช่วย
คุณหญิงมองหลานชาย ถามเรื่องคู่คิดอีก ย้ำว่า ย่าเป็นห่วง เขายิ้มรับทราบแล้วขอตัวไปทำงาน
วันนี้เป็นวันนัดตรวจร่างกายของตันหยง พิรามพาเธอมานั่งรอที่หน้าห้องตรวจ ตันหยงมองหาปฐวีจนพิรามสังเกตออก แต่พอถามว่ามีอะไรไหม เธอบอกว่าไม่มีอะไร
เมื่อถึงคิว พยาบาลเรียกเข้าห้องตรวจ หมอหนึ่งตรวจอย่างละเอียดเขียนบันทึกแล้วสั่งพยาบาลให้เอาไปที่ห้องยา ตันหยงอดใจไม่ได้ถามหมอหนึ่งว่า “หมอวีสบายดีไหมคะ”
หมอหนึ่งชะงักไปนิดหนึ่ง “ค่ะสบายดี ขอเวลาคุณสักครู่ได้ไหมคะ” เมื่อตันหยงถามว่ามีอะไรหรือ หมอหนึ่งพูดด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนว่า
“เอ่อ...หนึ่งไม่ทราบว่าคุณกับวีรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เราสองคนรู้จักกันมาเกือบ 10 ปี หนึ่งผูกพันกับวีมาก หนึ่งอยากบอกให้คุณทราบตรงนี้...”
ตันหยงอึ้งกับการเกริ่นและท่าทีจริงจังของหมอหนึ่ง
“คุณเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว คุณจะพัวพันกับวีทำไม หนึ่งกับวีคงไปได้ไม่ไกลกว่านี้ ถ้ายังมีคุณพัวพันวีอยู่ หนึ่งรักหมอวีมากจนทนไม่ได้ถ้าขาดหมอวีไป ขอร้องนะคะคุณตันหยง อย่าทำให้วีต้องไม่สบายใจอีกเลย เห็นแก่ลูกผู้หญิงด้วยกันเถอะค่ะ รับปากหนึ่งนะคะ”
หมอหนึ่งมองหน้าตันหยงอย่างขอร้อง ตันหยงมองอึ้ง เจ็บแปลบจนแทบจะร้องไห้...
เมื่อหมอหนึ่งเดินออกมาส่ง เธออวยพรตันหยงกับพิราม “ขอให้คุณทั้งสองโชคดีนะคะ”
แต่หันเดินกลับเข้าห้องตรวจ หมอหนึ่งรู้สึกโล่งใจและละอายใจระคนกัน
กลับถึงบ้านเย็นนี้ เมื่อพิรามถามตันหยงเรื่องแต่งงานบอกเธอว่าดูฤกษ์แล้ว จะจัดงานก่อนเดินทางสองวัน
ตันหยงคิดถึงคำพูดของหมอหนึ่ง เธอตัดสินใจถามพิรามว่า
“เราเป็นคู่หมั้นกัน เราก็ควรจะแต่งงานกันใช่ไหมคะ” พิรามดีใจมากถามว่าเธอตกลงแล้วใช่ไหม “ค่ะ มันคงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด”
พิรามกอดตันหยงไว้ด้วยความดีใจสุดชีวิต...ในขณะที่ตันหยงเองกลับหน้าเศร้าเมื่อใบหน้าพ้นสายตาเขา...
ooooooo
นาวินยืมมือเด็กอนุบาลมาง้อสุดนภา ความน่ารักของเด็กทำให้สุดนภาใจอ่อน เขาถ่ายคลิปง้อสุดนภาส่งไปให้ปฐวีดูถามว่า เขาคุยกับตันหยงหรือยัง
ปฐวีดูคลิปแล้วยิ้มขำๆกับความทะเล้นของเพื่อน บอกนาวินว่าตนตัดสินใจแล้ว เขาเปลี่ยนเส้นทางจากกลับบ้านเป็นวกไปที่บ้านตันหยงอย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไปสารภาพรักกับเธอ
แต่พอไปถึงหน้าบ้านตันหยง เห็นเธอเดินออกมา ปฐวีลงจากรถจะข้ามถนนไปหา ก็พอดีเห็นพิรามเดินตามตันหยงออกมา เห็นเขาจะจูบตันหยง ปฐวีชะงักกึก หันหลังกลับมาขึ้นรถขับออกไปด้วยหัวใจร้อนรุ่ม เขาเร่งเครื่องไปให้สาแก่ใจกับความเจ็บปวดของตัวเอง...เลยไม่เห็นตันหยงกันร่างพิรามไว้แล้วเบี่ยงตัวออกไป
วันต่อมา ปฐวีบอกหมอหนึ่งว่าตนจะไปเป็นแพทย์อาสาอย่างที่เคยคิดไว้ หมอหนึ่งสนับสนุนเพราะคิดจะไปเหมือนกัน เมื่อคุณหญิงรู้ ท่านเห็นความตั้งใจจริงของหลานชายจึงเห็นด้วยเพราะเห็นบ่นมาหลายปีแล้ว แต่ก็พูดอย่างผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงว่า
“วีเอ๊ย...ย่าเลี้ยงเจ้ามา ทำไมย่าจะดูไม่ออก หน้าตาเจ้าน่ะ เหมือนคนคิดไม่ตก เอาเป็นว่าเจ้าอยากเล่าเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกให้ย่าฟังนะ”
ooooooo
สุดนภารู้ว่าตันหยงจะแต่งงานกับพิราม ก็ติงเพื่อนคิดให้ดี แต่ถ้าเพื่อนตัดสินใจแล้วตนก็เคารพการตัดสินใจนั้น อวยพรให้เพื่อนโชคดี
แต่เมื่อไปเจอนาวินก็พูดอย่างร้อนใจว่าเราจะไม่ทำอะไรเลยหรือ เพราะถ้าตันหยงแต่งงานกับพิราม ปฐวีก็ต้องอกหักและที่สำคัญ สุดนภาเชื่อว่าตันหยงรักปฐวีไม่ใช่พิราม บอกว่าตนสงสารตันหยงและสงสารปฐวี ขอร้องให้เขาช่วยตนด้วย
“ไม่เอา ไม่อยากยุ่งด้วย” นาวินเล่นตัว แต่พอตกเย็นก็ลิ่วไปหาปฐวีที่โรงพยาบาล ถามเป็นการเป็นงานว่า “แกจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เหรอ แกควรจะคิดทำอะไรบ้าง”
“คิดไปเป็นแพทย์อาสาแล้วไง” ปฐวีกวนประสาท นาวินแกล้งถามว่าแล้วจะไปเมื่อไร “อาทิตย์หน้า”
“งั้นแกคงไม่ได้อยู่วันที่คุณตันหยงจะแต่งงานเดือนหน้า” นาวินพูดนิ่งๆหมายทำให้เพื่อนช็อกแต่ปฐวีกลับยิ้ม เขาเลยส่ายหัวเซ็งๆ
ตัดสินใจไปเป็นแพทย์อาสาแล้ว ปฐวีทำงานจนวันสุดท้ายแล้วเก็บกระเป๋าเดินทางอย่างมุ่งมั่น...
ooooooo
บ่ายวันต่อมา ปฐวีก็นั่งรถขึ้นดอยแล้ว ธรรมชาติสองข้างทางทำให้เขาเพลิดเพลิน ชีวิตชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล ทำให้เขาได้เห็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและสัมผัสได้ถึงความจริงใจโอบอ้อมอารีของผู้คนเหล่านั้น
เมื่อมาถึงบ้านพักที่สถานีอนามัย ชาวบ้านที่ดูแลเขาบอกว่ามีอะไรขาดเหลือให้บอก มอบตะเกียงให้แล้วกลับไป
ปฐวีจัดของเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์ มองทิวทัศน์รอบที่พักอย่างสบายใจ และเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาเริ่มเขียนบันทึกใต้แสงตะเกียง...
ปฐวีรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยและประสบอุบัติเหตุอย่างเอาใจใส่ รับผิดชอบที่สำคัญอย่างมีเมตตา จากนั้นไม่นานหมอหนึ่งก็เดินทางมาร่วมงานที่สถานีอนามัยแห่งนี้ ทั้งสองทำงานประสานกันอย่างมืออาชีพ
ส่วนตันหยง ก็ต้องวุ่นวายกับการเตรียมงานแต่งงานที่ทั้งพ่อ แม่ และพิรามจัดแจงจัดการทุกอย่างให้ แต่เธอก็ไม่สดชื่นจนบุหงาทักว่าไม่เหมือนคนกำลังจะแต่งงานเลย
“นี่หยง...แกใจลอยไปถึงไหนแล้ว...ถามจริงเหอะ นี่แกตั้งใจจะแต่งงานหรือเปล่า” สุดนภาถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเพื่อนอยู่ในความซึมเศร้าทั้งท่ีอาทิตย์หน้าก็จะแต่งงานแล้ว เห็นตันหยงนิ่ง สุดนภาทนไม่ได้บอกว่ามีอะไรบอกตนได้ ตนยินดีช่วยเต็มที่ แต่ตันหยงก็ยังคงบอกว่า ไม่มีอะไร
แม้กระทั่งบุหงาถามตรงๆว่า “ลูกรักพิรามหรือเปล่า” ถามแล้วมองอย่างสังเกต ย้ำว่า “ถ้าลูกแต่งงานกับพิรามเพราะความดีของเขาละก็...แม่ไม่อยากให้ลูกทำแบบนั้น”
“คุณแม่คะ...หยง...”
“แม่อยากให้ลูกของแม่แต่งงานเพราะความรัก แม่มีลูกคนเดียวเท่านั้น แม่อยากให้ลูกมีความสุขที่สุด”
ตันหยงโผเข้ากอดแม่ร้องไห้ จนบุหงาแปลกใจ
ooooooo










