ตอนที่ 12
ปรางค์ทิพย์ก้มกราบแทบเท้าคุณหญิงปรงทอง ท่านมองหลานสาว เอ่ยอย่างผิดหวัง
“ฉันไม่เคยคิดเลยแม่ปรางค์ ว่าหล่อนจะใจไม้ ไส้ระกำ ทำกับน้องกับหลานตัวเองได้ลงคอ”
ปรางค์ ทิพย์หันมองประภัสสรกับเมธีแล้วยกมือไหว้ขอโทษ ประภัสสรตกใจรีบประคองมือพี่สาวไว้ เมธีที่กำลังโกรธก็ถึงกับอึ้ง ปรางค์ทิพย์สารภาพอย่างสำนึกผิดกับทุกคนว่า ตนผิดไปแล้ว ความอิจฉาริษยาทำให้ตนคิดชั่วคิดเลว
“หล่อนจะอิจฉาใคร ฉันก็เลี้ยงหลานทุกคนเสมอกัน แม้แต่พ่อเมธี...ฉันไม่รู้ว่าทำไมหล่อนถึงได้จงเกลียดจงชังพ่อเมธีเขานัก หล่อนอาฆาตแค้นเขาเรื่องอะไร” คุณหญิงถามอย่างข้องใจ
“ปรางค์ไม่ได้ เกลียดเมธีหรอกค่ะ” พูดแล้วเบือนหน้าหลบสายตาเมธีที่มองขวับมา เธอยอมรับกับคุณหญิงว่า ตั้งแต่เด็ก ตนพยายามเรียนเก่งเรียนดีเพื่อให้เป็นที่รักของคุณยาย แต่คุณยายกลับห่วงประภัสสรกับปฐวีมากกว่า “ปรางค์เข้าใจค่ะว่าทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า แต่ปรางค์ก็รู้สึกว่าคุณยายลำเอียง”
เธอยังพรรณนาถึงความน้อยใจที่ผ่านมา ว่า ตนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นอันดับหนึ่ง แต่ประภัสสรสอบไม่ได้คุณยายก็ให้รางวัลเท่ากัน แล้วเธอก็ยอมรับความจริงที่ไม่มีใครคาดคิดว่า
“กระทั่งคนที่ปรางค์รัก คุณยายก็ยังสนับสนุนให้แต่งงานกับแม่ภัส”
เธอ ยอมรับว่ารักเมธีตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในบ้าน เมื่อเมธีแต่งงานกับประภัสสรทำให้ตนเสียใจจนทนอยู่ที่นี่ไม่ได้ จึงแต่งงานกับเสกสรรเพื่อให้พ้นๆไปจากบ้านนี้ เธอรำพันความตรอมใจของตนเวลานั้นทั้งนํ้าตาว่า
“แต่มีใครรู้เรื่องนี้ไหม คะ มีใครเข้าใจและเห็นใจปรางค์บ้าง คุณยายไม่เคยเข้าใจปรางค์ ไม่เคยรู้ว่าปรางค์เจ็บปวดยังไง ยิ่งปรางค์รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องพยายามเข้มแข็งเท่านั้น และวันที่ปรางค์ทำใจย้ายครอบครัวกลับมา ปรางค์หวังว่าคุณยายจะเป็นที่พึ่งของครอบครัวปรางค์ ของลูกปรางค์ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จากวันที่มีน้องเมย์...คุณยายไม่เคยเหลียวแลลูกปรางค์เลย”
ทุกคนอึ้ง คุณหญิงนิ่งไปนานกว่าจะเอ่ยออกมาได้ว่า
“แม่ปรางค์...แกกำลังเข้าใจฉันผิด ฉันมีความห่วงใยให้ต่างกัน แต่ฉันมีความรักให้ทุกคนเท่ากัน ฉันเห็นว่า
แม่ ภัส หรือแม้แต่เจ้าเมย์เป็นคนหัวอ่อน อ่อนแอ ในขณะที่แกกับแม่แก้วแม่ขวัญ ทั้งเก่งทั้งกล้า เอาตัวรอดได้ ฉันนึกชื่นชมมาตลอด แต่ไม่ใช่ฉันไม่รักไม่ห่วงแก”
ฟังแล้วปรางค์ทิพย์ยิ่งร้องไห้หนัก ทุกคนเงียบกริบ ลำคอตีบตันอย่างสะเทือนใจ
“ฉัน ไม่รู้ว่าแกคิดแบบนี้มาตลอด คงเป็นความผิดของฉัน ที่ฉันเข้าใจผิด ฉันไม่เคยถามความรู้สึกของแก ฉันมีส่วนผิดที่ทำให้แกเป็นแบบนี้ แม่ปรางค์...ฉันผิดเอง...”
ปรางค์ทิพย์โผเข้ากอดเข่าคุณหญิงร้องไห้โฮ... คุณหญิงลูบหัวเธอเบาๆ อย่างปลอบใจ ประภัสสรนั่งซับนํ้าตาไม่หยุด ส่วนคนอื่นๆ พากันเงียบอย่างสะเทือนใจ
ooooooo
น้องเมย์ที่ยังนอนอยู่ โรงพยาบาล วันนี้ลุกเดินไปที่ห้องตันหยง เห็นพิรามกำลังอ่านหนังสือให้ตันหยงฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ พอหันมาเห็นน้องเมย์เขาถามว่าหนูมาทำไม
“หนูอยากฟัง หนูขอนั่งฟังด้วยคนได้ไหมคะ” ตันหยงในร่างน้องเมย์เดินเข้ามานั่งอย่างไม่เคอะเขิน จนพิรามถามว่าหายโกรธตนแล้วใช่ไหม น้องเมย์ไม่ตอบ เขาเลยอ่านหนังสือให้ตันหยงฟังต่อ
ตันหยงในร่างน้องเมย์ นั่งฟังพิรามอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย...เหม่อลอย...
จนเมื่อพิรามอ่านหนังสือเสร็จวางลง น้องเมย์ถามว่ามาอ่านหนังสืออย่างนี้ทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือ เขายิ้ม ตอบอย่างมีความสุขว่า
“การใช้เวลาทำเพื่อคนที่เรารัก มันทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อ แล้วหนูล่ะ ไม่สบายเป็นอะไร”
น้องเมย์ยิ้มเศร้าๆ ก็พอดีสุดนภาโผล่พรวดมาอย่างตื่นตกใจ พอเห็นน้องเมย์ก็โล่งใจบอกว่าไปหาที่ห้องไม่เจอ นึกแล้วว่าต้องมาอยู่ที่นี่ พิรามบอกว่าน้องเมย์มาขอฟังนิยายที่ตนอ่านให้ตันหยงฟังด้วย
สุดนภาถอนใจมองตันหยงในร่างน้องเมย์อย่างเข้าใจ...
เมื่อเดินออกจากห้องมาด้วยกัน สุดนภาถาม ตันหยงว่า แสดงว่าให้อภัยพิรามแล้วใช่ไหม ให้กำลังใจเพื่อนว่าทำถูกแล้ว ทั้งคู่พากันเดินกลับเงียบๆ ต่างคนต่างปล่อยใจไปตามความคิดของตัวเอง...
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ตันหยงนอนคิดอย่างสับสน...
“ฉันให้อภัยคุณแล้วพิราม แต่ทำไม...ทำไมในหัวฉันถึงมีแต่น้าวี แล้วทำไมฉันจะต้องแคร์ ในเมื่อตั้งแต่เขารู้ความจริง เขาก็ไม่แคร์ฉันอีกเลย...เขารักหลานเขา เขาไม่ได้รักเธอนะตันหยง!”
ปฐวีเดินมาที่หน้าห้องพักน้องเมย์ลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม แต่แล้วก็ตัดสินใจผลักประตูเข้าไป เห็นน้องเมย์ยืนปาดนํ้าตาอยู่ที่ระเบียง เขาถามอย่างตกใจ
“คุณทำอะไรน่ะ”
“ฉันไม่คิดจะโดดลงไปหรอก เพราะฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงน้องเมย์” ตันหยงตอบเสียงเครือ ปฐวีเบือนหน้าพูดเสียงแข็งๆ ว่าตนไม่ได้คิดแบบนั้น “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าฉันจะทำ ฉันคงทำไปตั้งนานแล้ว”
“ตั้งแต่วันที่คุณคิดจะโดดลงมาจากบันไดใช่ไหม”
“แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ เพราะฉันรู้ว่า ถ้าน้องเมย์เป็นอะไรไป คุณภัสคงทนอยู่ไม่ได้”
“ขอบคุณที่คุณเป็นห่วงครอบครัวผม” เขาพูดโดยไม่มองหน้า ตันหยงมองเขาอย่างตัดพ้อในความหมางเมิน
พอดีหมอหนึ่งเข้ามาทักปฐวีว่าอยู่นี่เอง แล้วเดินยิ้มเอาตุ๊กตาหมีมาฝากน้องเมย์ ตันหยงรับแล้วส่งต่อให้ปฐวีบอกว่า
“เขาให้หลานคุณ ไม่ใช่ฉัน” แล้วเดินเชิดออกจากห้องไป ปฐวีรับตุ๊กตาไว้ หมอหนึ่งมองเขางงๆ
ooooooo
ฉัตรพรถูกตำรวจจับในคดีชัยกับขวดเข้าไปขโมยของในบ้านประภัสสร แต่ชัยกับขวดหนีไปได้ ชัยบอกขวดขณะซ่อนตัวอยู่ที่บ้านร้างว่า พี่สาวตนถูกโยนความผิดใส่ตนต้องแก้แค้น แต่ขวดต้องช่วยด้วย
วันนี้น้องเมย์ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว ปฐวีอาสากับเมธีจะรับน้องเมย์กลับเอง ระหว่างนั่งรถกลับมาด้วยกัน ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบอย่างดูท่าทีอีกฝ่ายและมีความในใจของตัวเอง
ที่บ้าน ทั้งคุณหญิงปรงทอง ประภัสสร เมธี และปรางค์ทิพย์ต่างมารอรับน้องเมย์ที่หน้าบ้าน
ขณะน้องเมย์จะลงจากรถ ปฐวีเรียก “คุณตันหยง...” ตันหยงในร่างน้องเมย์หันมองบอกอย่างเดาใจได้ว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันจะทำหน้าที่ในฐานะน้องเมย์ให้ดีที่สุด”
พอลงจากรถ ตันหยงในร่างน้องเมย์ก็โผเข้ากอดประภัสสรอย่างสนิทแนบเนียน จนปฐวีที่ดูอยู่ยิ้มเศร้าๆ
ที่หน้าบ้าน ขวดขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดมอง ยกปืนเล็ง ปฐวีหันไปเห็น ก็พอดีขวดเหนี่ยวไกไป 3 นัดซ้อนแล้วบิดรถหนีไป ปฐวีมองตามรถไปแล้ววิ่งเข้าบ้าน ทุกคนที่รอรับน้องเมย์อยู่ตกใจมาก ปฐวีวิ่งมาถามคุณหญิงว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
“ย่าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไร มันเกิดอะไรขึ้น” คุณหญิงตกใจ
เมธีกอดน้องเมย์ไว้ พอเขาพลิกตัวกลับมา ประภัสสรตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นเลือดที่ตัวน้องเมย์ ทุกคนช็อก! ปฐวีรีบสั่งลุงสายเอารถออกพาน้องเมย์ส่งโรงพยาบาล พลางเขาบอกน้องเมย์ที่เลือดชุ่มหลังว่า
“น้องเมย์...น้าวีจะพาไปโรงพยาบาล อดทนไว้ นะ...อดทนไว้”
ระหว่างทาง ปฐวีโทรศัพท์สั่งจริญทิพย์ให้เตรียมเลือดและห้องผ่าตัดไว้ เมื่อไปถึง เขาบอกน้องเมย์ที่ไม่ได้สติว่า “น้องเมย์ ถึงแล้วนะ อดทนไว้” พลันเขาก็หน้าถอดสีเมื่อมือที่จับน้องเมย์อยู่ไม่มีสัญญาณชีพจร
บุรุษพยาบาลมารับน้องเมย์จะพาเข้าห้องผ่าตัด ปฐวีตามไปด้วย พยาบาลบอกว่าอย่าเข้าไปเลย เขาไม่ยอม ตามเข้าไปจนได้
หมอหนึ่งบอกปฐวีที่พรวดเข้ามาในห้องผ่าตัดให้ใจเย็นๆ เขาตรงเข้าไปช่วยปั๊มหัวใจน้องเมย์ด้วยมือ ทั้งหมอและพยาบาลทำงานกันอย่างเร่งรีบ จนกระทั่ง...
หมอหนึ่งดึงปฐวีออกมาพูดอย่างเห็นใจ
“พอแล้วค่ะวี มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ปล่อยน้องเมย์ไปเถอะค่ะ”
การจากไปของน้องเมย์ ยังความเศร้าโศกเสียใจแก่ทุกคนอย่างที่สุด...
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะพากันมาตักบาตรที่หน้าบ้าน คุณหญิงถามประภัสสรว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอเล่าเศร้าๆว่า
“เมื่อคืนภัสฝันถึงน้องเมย์ค่ะ...” เธอลูบท้องตัวเองพูดเสียงเครือ “น้องเมย์บอกว่าดีใจที่ได้มาอยู่กับภัสอีกค่ะ”
คุณหญิงนิ่งอึ้งซับน้ำตาพูดเหมือนปลอบใจว่า “งั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ใช่ไหม พ่อเมธี”
ส่วนปรางค์ทิพย์ หลังจากเสกสรรมาขนของออกจากบ้านไปแล้ว เธอเข้ามาขอลาคุณหญิงไปปฏิบัติธรรม
“ไปเถอะ อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำไป” คุณหญิงเอ่ยอย่างเข้าใจ เห็นใจ ประภัสสรขออนุโมทนาบุญด้วย เมธีขอให้เธอรักษาสุขภาพให้ดี ปรางค์ทิพย์ขอบใจทุกคนแล้วลาไป
ปรางค์ทิพย์เดินนำหน้า บุญศรีพาปรงแก้วกับปรงขวัญในชุดขาวเดินตามแม่ไปอย่างสงบ...
ooooooo
แม้เวลาจะผ่านไปถึงสองอาทิตย์แล้ว แต่
ปฐวีก็ยังเสียใจกับการจากไปของน้องเมย์จนไม่เป็น
อันกินอันนอน ทุกคนต่างเป็นห่วง
วันนี้ เขาเข้าไปในห้องตันหยง ยืนมองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง พึมพำเศร้าๆ
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคุณตันหยง อยู่กับน้องเมย์ หรือเปล่า...”
ส่วนสุดนภากับนาวินที่รู้เรื่องตันหยงดี ก็มาเยี่ยม สุดนภาถามเพื่อนว่า ทำไมไม่ยอมฟื้นอีก ถามอย่างกังวลว่า
“หรือว่า...แกจะไม่กลับมาแล้ว”
“คุณตันหยงครับ ฟื้นเถอะครับ อย่ามัวเที่ยว
เพลินเลย สงสารเพื่อนผม ไอ้วีมันคอยดูแลคุณตลอดเลย”
“หยง...จริงของคุณนาวินนะ คุณพิรามก็ด้วย
เขามาเฝ้าแกทุกเย็น แกรู้หรือเปล่าว่ามีคนเป็นห่วงแกขนาดนี้ ฟื้นมาเสียทีเถอะหยง”
พิรามผลักประตูเข้ามาพร้อมถุงอาหาร ทักทั้งสองที่ตกใจทำหน้าไม่ถูกว่า มาเยี่ยมตันหยงหรือ ชวนทานอาหารด้วยกันตนซื้อมาเผื่อทุกคนด้วย แล้วหันไปพูดกับร่างตันหยงบนเตียง
“เป็นไงบ้างครับหยง ผมมาแล้วนะ”
สุดนภากับนาวินมองหน้ากันแล้วถอนใจ
ปฐวียังคงทุ่มเทช่วยตันหยง เขาบอกกล่าวน้องเมย์ว่า “ช่วยคุณตันหยงด้วยนะน้องเมย์”
แล้วสุดนภากับนาวินก็ใจหาย เมื่อพิรามบอกว่าโรงพยาบาลที่เยอรมันตอบรับการรักษาของตันหยงแล้ว อีกไม่นานคงต้องเดินทาง ทั้งสองตกใจถามกันเองว่าจะทำอย่างไรดี
ooooooo
ปฐวีนั่งเศร้า...เครียด...อยู่ในห้องทำงาน เขายังพยายามหาทางที่จะช่วยตันหยง คิดถึงเรื่องราวนับแต่ได้เจอตันหยงที่สนามบินและเก็บสร้อยของเธอที่ทำหล่นไว้ รวมทั้งที่เขาซื้อเตรียมให้เธอออกมาดู
นั่งคิดหนักอยู่นาน ในที่สุดปฐวีตัดสินใจไปหาตันหยงที่ห้อง เอาสร้อยของเธอใส่ข้อมือให้ บอกเหมือนเธอรับรู้ได้ว่า
“วันนั้น ผมมาหาคุณไม่เจอ วันนี้ผมเอามาคืนให้คุณแล้วนะ” เขาหยิบสร้อยอีกเส้นออกมา “ส่วนเส้นนี้ คุณบอกว่า อยากได้สร้อยจากน้าวี คุณบอกให้ผมใส่ให้ ผมขออนุญาตใส่ให้คุณอีกครั้ง”
ใส่สร้อยให้แล้ว เขามองหน้าเธอนิ่ง เอ่ยอย่างฝากความหวังว่า...
“คุณตันหยง ตื่นขึ้นมาคุยกับผมเถอะนะ กลับมาหาผม หรือกลับมาเป็นตัวคุณ ยังไงก็ได้ ผมเสียน้องเมย์ไปคนนึงแล้ว ผมไม่อยากสูญเสียคุณไปอีกคน...” เขาสะเทือนใจจนน้ำตาหยดลงที่แขนตันหยง
เขานั่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งจึงลุกขึ้น เห็นพิรามเข้ามา เขาสบตาพิรามแว้บหนึ่งแล้วเดินผ่านไป
“น้าวี...” เสียงตันหยงแผ่วเบามาก
ปฐวีชะงักกึก หันมองตันหยงตะลึงงัน!
พิรามดีใจสุดชีวิต กอดตันหยง พร่ำพูดไม่ขาดปาก “หยง...คุณฟื้นแล้ว...คุณกลับมาหาผมแล้ว...ผมดีใจจริงๆ”
ปฐวียืนมองทั้งคู่นิ่ง ตันหยงมองปฐวีอย่างดีใจมาก แต่ปฐวีกลับหันหลังเดินออกไป ทิ้งให้ตันหยงเศร้าอยู่ในอ้อมกอดของพิราม
เมื่อออกมาเจอหมอหนึ่งที่หน้าห้อง ปฐวีบอกเธอยิ้มแย้มก่อนเดินไปว่า
“ผมฝากเคสคุณตันหยงให้หนึ่งดูแลต่อด้วยนะครับ”
ปฐวีมีความสุขที่ตันหยงฟื้นขึ้นมา กลับมาเจอคุณหญิง ท่านทักว่าหมู่นี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเลย เขาบอกว่าต่อไปนี้คงยุ่งน้อยลง ถามว่าประภัสสรเป็นอย่างไรบ้าง ตนไม่ได้แวะไปคุยด้วยเลย
“ตอนนี้ก็สมบูรณ์ดี หน้าตาเปล่งปลั่งเชียวล่ะ นับวันรอนั่นแหละ...แล้ววีล่ะ เมื่อไหร่จะมีคู่คิด ย่ารออยู่นะ” เห็นหลานชายพูดเขินๆว่า คุณย่าถามแบบนี้ตนตอบไม่ถูกเลย คุณหญิงถามว่ามองๆใครอยู่บ้างหรือเปล่า แนะว่า “หมอหนึ่งก็เหมาะสมกับวีนะ ถ้าชอบกันจริง ย่าจะรีบไปขอให้”
“อย่าเพิ่งเลยครับคุณย่า ผมขออยู่กับคุณย่าแบบนี้ไปก่อน” ปฐวียิ้มอ้อนๆ แต่คุณหญิงฟังแล้วเป็นห่วง
ooooooo
แม้จะคืนหน้าที่ดูแลตันหยงให้หมอหนึ่งแล้ว แต่ปฐวีก็ยังติดตามดูแลเธออยู่
วันนี้เธอต้องไปตรวจสุขภาพ พิรามขอแกะสร้อยข้อมือที่เขาซื้อให้ออกก่อน ตันหยงยื่นมือให้แกะแต่โดยดี แต่พอเขาจะแกะอีกเส้นที่ปฐวีซื้อให้ ตันหยงเบี่ยงมือออกนิดหนึ่ง
หลังจากตรวจสุขภาพแล้ว พยาบาลเข็นรถพาตันหยงออกจากห้อง ตันหยงเห็นปฐวียืนมองอยู่ เธออุทานเรียกอย่างดีใจ “น้าวี...” แล้วลุกขึ้นทันที ทำให้เซจะล้ม ปฐวีรีบเข้าประคองไว้ บอกพยาบาลว่าเดี๋ยวตนพาเธอไปส่งที่ห้องเอง
เมื่อปฐวีเข็นรถพาตันหยงมาส่งที่ห้อง พิรามรีบมารับ ตันหยงหน้าเสียไปนิดหนึ่ง ปฐวีเล่าผลการตรวจแก่พิรามว่า
“อาการของคุณตันหยงน่าจะเป็นปกติดีนะครับ ถ้าจะให้มั่นใจต้องรอผลตรวจอย่างเป็นทางการก่อน ตอนนี้เหลือแค่การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นปกติของคนที่ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อเป็นเวลานาน”
“ขอบคุณคุณหมอปฐวีนะครับ ที่ช่วยดูแลคู่หมั้นของผมเป็นอย่างดี” พูดและมองหน้าปฐวีเหมือนจงใจตอกย้ำ ทำให้ตันหยงรู้สึกอึดอัด ขอพักผ่อน ปฐวีจะช่วยพาเธอขึ้นเตียง พิรามรีบเข้ามาบอก “ผมเองดีกว่าครับ หมอวี”
ปฐวีหยุดทันที ยืนมองพิรามประคองตันหยงขึ้นไปบนเตียง ทันใดนั้นเอง สุดนภากับนาวินพรวดพราดเข้ามา
“หยง...แกฟื้นแล้ว ฟื้นจริงๆด้วย โอ๊ย...ฉันดีใจจังเลย” สุดนภาโผเข้ากอดตันหยงร้องไห้ด้วยความดีใจ
ปฐวีมองภาพนั้นอย่างมีความสุข พิรามมองปฐวีอย่างสังเกต นาวินเห็นดังนั้น เมื่อปฐวีเดินออกไป เขารีบตามไป
นาวินถามปฐวีว่าทำไมหน้าตาไม่มีความสุขเลย ปฐวีทำไก๋ถามว่าหน้าตาตนแย่ขนาดนั้นเลยหรือ บอกว่าตันหยงฟื้นตนก็ดีใจแล้ว นาวินถามว่าแล้วเขาจะทำ อย่างไรต่อไป
“จะทำยังไง ก็ทำให้ดีที่สุด ในฐานะแพทย์” นาวินโวยว่าตนถามเรื่องส่วนตัว ปฐวีส่ายหน้า ถูกถามจี้อีกว่าส่ายหน้าหมายความว่ายังไง “ก็หมายความว่าไม่มีอะไร”
ฟังเพื่อนแล้ว นาวินส่ายหน้าดิก จนปฐวีอดยิ้มขำๆ ไม่ได้
วันต่อมา หมอหนึ่งนั่งดื่มกาแฟกับปฐวี เธอเอ่ยทักว่า ดูเขาสดชื่นขึ้นเป็นเพราะตันหยงหรือเปล่า ปฐวี ชะงักถามว่าตันหยงทำไมหรือ
“อ้าว...ก็วีทุ่มเทกับเคสคุณตันหยงมากนี่คะ ตอนนี้เธอฟื้นแล้ว วีน่าจะดีใจกว่าใครนะคะ” เขาบอกว่านั่นน่าจะเป็นครอบครัวและคู่หมั้นเธอมากกว่า หมอหนึ่งได้ทีแซะว่า “คุณพิราม ใช่ค่ะ เขารักกันมากจริงๆ หนึ่งยังอิจฉาเลย...วีคะ หนึ่งเป็นห่วงวีนะคะ ก่อนคุณตันหยงจะฟื้น หนึ่งเห็นวีเครียด หนึ่งไม่สบายใจเลย...” เธอวางมือบนมือเขา “หนึ่งไม่อยากเห็นวีทุกข์ค่ะ”
ปฐวีเอามือกุมมือเธอเอ่ยเบาๆ “หนึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของผมเสมอ”
หมอหนึ่งนิ่งไป เธอมองเขาอย่างผิดหวัง...
ooooooo










