ตอนที่ 1
ณ หน้าที่ทำการพรรค “ไทธิวัตถ์” คลาคล่ำไปด้วยสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ พร้อมรายงานและถ่ายทอดการแถลงข่าวของ ดร.เมฆา ฐานรัฐ นายกรัฐมนตรี
ในที่ทำการพรรค ดร.เมฆาเดินมาโดยมีคมศร สุริยน เลขาฯส่วนตัวหนุ่มหล่อมาดดีมีการศึกษาเดินตามมาข้างๆ ในมือถือไอแพดเหมือนกำลังบรีฟงานให้เมฆา รอบๆมีบอดี้การ์ดเดินนำและอารักขาอยู่ 4 คน
“ผลการประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเป็นยังไงบ้าง” เมฆาถามคมศรสีหน้าเครียดๆ
“รองนายกฯ อนันต์กำลังเจรจาอยู่ครับ แต่ท่าทางจะไม่สำเร็จ ท่านนายกฯ อาจจะต้องยอมอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ตามที่พรรคร่วมเสนอ”
“ไม่มีทาง...ฉันไม่มีวันยอมกินตามน้ำ!”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น คมศรยกดูปรากฏ หน้ารองนายกฯอนันต์ เขาหันรายงานเมฆา เมฆาสั่งการทันที
“บอกไปว่าฉันยืนยันตามคำพูดเดิม จะไม่มีการอนุมัติโครงการใดๆทั้งสิ้น จนกว่าจะมีการทำประชาพิจารณ์และผลสรุปด้านความปลอดภัย!”
คมศรรับทราบเดินเลี่ยงออกไปรับโทรศัพท์ผ่านทางบูลทูธตอบไปว่า
“ยกเลิกการประมูลครับ”
ooooooo
ดร.เมฆาเดินเข้าห้องทำงานอารมณ์เครียด แล้วก็ยิ่งเครียดเมื่อเห็นจักร อมตฤทธา ที่ปรึกษาพิเศษพรรคไทธิวัตถ์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา ท่าทางจักรกร่าง ยโส กำลังพลิกแฟ้มเอกสารอ่านอยู่ เห็นเมฆาเข้ามาก็ทำหน้าเรียบเฉย
“ใครอนุญาตให้เข้ามา” เมฆาถามห้วนๆ จักรไม่ตอบแต่โยนแฟ้มเอกสารโครมลงบนโต๊ะ บอกให้อ่านแฟ้มนี้หน่อย เมฆาไม่สนใจแฟ้มเอกสาร พูดย้ำว่า “ที่นี่เป็นห้องทำงานส่วนตัว”
“รู้! แต่อยากให้นายกฯ อ่าน! อ่านแล้วเซ็นอนุมัติซะ”
“ไม่มีใครบังคับฉันได้! คิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“เป็นเจ้าของเงินสนับสนุนพรรคไทธิวัตถ์! เลือกตั้งครั้งที่แล้ว ด็อกเตอร์เมฆา ฐานรัฐ ได้เป็นนายกฯ เพราะใคร!”
“เพราะประชาชน” เมฆาตอบหนักแน่น ถูกจักรถามเยาะว่าแน่ใจหรือ ถามรองอนันต์ดูบ้างสิว่าเงินอุปถัมภ์พรรคได้มาจากไหน “ฉันเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ มีหน้าที่ทำงานเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน สนองคุณแผ่นดิน! ไม่จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณใคร”
จักรยิ้มเยาะว่าอยู่กันแค่สองคนไม่จำเป็นต้องสร้างภาพ ถูกเมฆาตวาดไล่ “ออกไป!” จักรไม่สนใจสั่งนายกฯ ให้อนุมัติเสีย อย่าทำอะไรให้มันยาก ยิ้มหยันถามว่า “รึต้องการค่าลายเซ็น?”
เมฆาตวาดไล่ให้ออกไป จักรยังคงดื้อรั้นมองหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ซ้ำพูดเย้ยหยันว่าแค่ไม้ใกล้ฝั่งอย่าทำตัวดื้อด้าน เพราะ “การเมืองของคนรุ่นใหม่ ทัศนคติต้องทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่”
“โลกแห่งความถูกต้อง จะกี่สิบกี่ร้อยปีก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ แต่อำนาจต้องสร้างความดีงามและถูกต้อง ตราบใดที่เมฆา ฐานรัฐ ยังเป็นนายกฯ จะต้องไม่มีการโกงกินบ้านเมืองเพื่อตอบแทนบุญคุณใคร...ออกไป!!”
“เราต้องเจอกันอีกแน่” จักรจ้องหน้าเมฆาก่อนเดินออกไปอย่างท้าทาย
คมศรเดินสวนเข้ามารายงานว่า “ท่านนายกฯครับ งานแถลงข่าวพร้อมแล้ว”
เมฆาพยักหน้า ติดกระดุมเสื้อสูทจัดไทด์ให้เรียบร้อย กำลังจะเดินออกไป แต่ชะงักหันบอกคมศรว่าให้โทร.บอกคุณนภาด้วยว่านัดวันนี้ยกเลิก เพราะหลังแถลงข่าวยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ นภาเข้าใจ
นภา ฐานรัฐ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานสืบสวนพิเศษ เธออยู่ที่รีสอร์ตสวยงามเชิงเขาไม่ไกลจากกรุงเทพฯนัก เมื่อรับโทรศัพท์จากคมศร เธอพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ฉันเข้าใจ บอกด็อกเตอร์เมฆาให้ดูแลสุขภาพด้วย ฉันจะอยู่ที่นี่ถึงวันอาทิตย์...ถ้ามาได้ก็แวะมาหน่อย”
วางสายจากคมศรแล้ว นภายิ้มอย่างพยายามทำใจให้ยอมรับได้
ooooooo
จักรมานั่งในรถตรงลานด้านหน้าบริเวณแถลงข่าวของพรรค สีหน้าไม่สบอารมณ์ ยกโทรศัพท์ไอโฟนขึ้นมาเปิดโปรแกรมเฟซไทม์พูดโทรศัพท์แบบเห็นหน้ากับวิญญู โชติญาณ ผู้มีอำนาจคุณไสย
ขั้นสูงสุดจนยากจะมีใครต่อต้านได้ เขาอยู่ในมุมมืดบ้านจักรนั่นเอง
“ฉันต้องการมีอำนาจมากกว่านี้” จักรเสียงเครียด
“เวลานั่นใกล้เข้ามาแล้ว”
“จะทำอะไรก็เร่งมือ ฉันเบื่อจะรอ!”
“ภายในเจ็ดวัน ด็อกเตอร์เมฆาต้องเปลี่ยนรองนายกฯคนใหม่ ใช้คนที่มีวิสัยทัศน์เหมาะสม ฮึๆ”
“ฉันไม่ต้องการแค่นั้น”
“เพื่อความมั่นคง รากฐานต้องแน่น เรากำลังจะได้ของชิ้นแรกมาแล้ว อีกไม่นานหรอก...อีกไม่นาน” เสียงวิญญูลึกลับ ฟังขรึมขลังอย่างเต็มไปด้วยคุณไสย
ooooooo
เวลาเดียวกัน ที่ศูนย์ศิลปะร่วมสมัยเอเชีย นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์มารวมกันทำข่าว ต่างกำลังรายงาน ข่าวอยู่หน้ากล้องอย่างตื่นเต้น มีผู้คนมากมายอยู่รอบอาคาร...
น้ำใส ภูมิภักดิ์ นักข่าวสาวจากสกายนิวส์เน็ตเวิร์ค กำลังรายงานอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
“สกายนิวส์เน็ตเวิร์คกำลังติดตามการเคลื่อนย้ายวัตถุโบราณชิ้นสำคัญซึ่งรัฐบาลไทยเพิ่งได้รับมาจากประเทศเพื่อนบ้านค่ะ...ขณะนี้ดิฉันอยู่กับคุณเจนภพ เทวสถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ศิลปะร่วมสมัยแห่งเอเชีย...สวัสดีค่ะท่าน ผอ.พอจะบอกได้ไหมคะว่า “ตรีศูลวัชระ” วัตถุโบราณชิ้นนี้มีความสำคัญยังไง”
เจนภพในบุคลิกนักวิชาการตอบอย่างผู้รู้ว่า “ตรีศูล ...เป็นอาวุธประจำกายของพระศิวะ ตามคัมภีร์ยุทธสงครามโบราณเชื่อว่า “ตรีศูลวัชระ” เป็นหนึ่งในเครื่องราง “เทวาศาสตราวุธ” มีความเชื่อว่า ถ้าผู้ใดได้ครอบครองเทวาศาสตราวุธทั้ง 4 ชิ้น จะเกิดมงคลสูงสุดกับชีวิตมีทั้งอำนาจคุณไสยฯและบารมีครับ”
“ศาสตราวุธโบราณทั้ง 4 ชิ้นมีอะไรบ้างคะ”
“ตามคัมภีร์...เทวาศาสตราวุธทั้งสี่ประกอบไปด้วย... ตรีศูลวัชระ อนันตคทา จักรนารายณ์ และสังข์ไชยมงคล”
น้ำใสหันไปหากล้องพูดกับผู้ชมว่า “และนี่คือความเชื่อที่กำลังรอการพิสูจน์ในโลกยุคดิจิตอล แต่สำหรับคนรุ่นใหม่...คงไม่มีไสยศาสตร์หรือเวทมนตร์สำคัญไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์...น้ำใส ภูมิ–ภักดิ์ สกายนิวส์เน็ตเวิร์ครายงาน”
สิ้นเสียงน้ำใส เกิดลมพัดแรงราวกับพายุจนเธอต้องหาที่เกาะยึดตัวเองไว้ ตกใจจนหน้าถอดสี ผู้มาร่วมงานต่างแตกตื่นกับปรากฏการณ์นี้ หมู่เมฆบดบังอาทิตย์บนท้องฟ้าจนมืดสลัวไปทั้งบริเวณ ฟ้าคำรามลั่นราวกับพายุกำลังจะมา!
ท่ามกลางลมหมุนใบไม้ปลิวว่อนนั่นเอง มอเตอร์ไซค์ตำรวจสองคันก็นำรถตู้ที่ขนย้ายตรีศูลวัชระเข้ามา
เมื่อประตูรถตู้เปิด ร.ต.ต.แสงกล้า อภิไชย จากหน่วยปฏิบัติการกลยุทธ์ สำนักงานสืบสวนพิเศษ ในมือประคองกล่องใส่ตรีศูลก้าวลงจากรถ ส่งสัญญาณให้ตำรวจเอารถเข็นมาลำเลียงตรีศูล ทันทีที่แสงกล้าวางกล่องใส่ตรีศูลลงบนรถเข็น ท้องฟ้าโดยรอบที่มืดมิดก็กลับสว่างขึ้นฉับพลัน!!
ปรากฏการณ์นี้ยังความตื่นตะลึงแก่ทุกคน!
ooooooo
เจนภพเดินนำทีมเจ้าหน้าที่โบราณคดีเข้าไปในห้องแสดงโบราณวัตถุ แล้วเริ่มตรวจสอบตรีศูลด้วยอุปกรณ์ทันสมัย แสงกล้าถอยออกมา สั่งลูกน้อง
“ตรวจสอบรอบห้องอีกครั้ง ระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด ห้ามผู้สื่อข่าวหรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในนี้เด็ดขาด”
ที่รอบอาคารฯ รถถ่ายทอดสดและนักข่าวทยอยออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว ตำรวจกำลังตรวจสอบจุดต่างๆ ดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
บรรยากาศโดยรอบ เกิดสิ่งที่มองไม่เห็น คล้ายคลื่นพลังงานบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครรู้!
ที่ประตูด้านหลังอาคาร ดาบแหบกำลังสั่งลูกน้องตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ จู่ๆก็ทำวิทยุสื่อสารตกพอก้มลงเก็บก็เห็นเงาตำรวจทอดยาวอยู่บนพื้น พริบตานั้นเงารวมตัวกันอย่างเร็ว กลายเป็นกลุ่มควันสีดำแล้วรวมตัวกันกลายเป็นร่างมนุษย์!
ดาบแหบตาเหลือกกำลังจะร้อง ก็ถูกแสงและควันดำวูบเข้าใส่หน้าล้มลงทันที วิทยุสื่อสารตกอยู่ข้างกาย...และ ควันดำก็วูบใส่ตำรวจอีกหลายนายแถวนั้น ทุกคนทรุดล้มไปทันที
แสงกล้าพยายามติดต่อดาบแหบ จนครู่หนึ่งจึงได้รับเสียงตอบจากดาบแหบด้วยน้ำเสียงปกติลีลา
ทะเล้นตามสไตล์ แต่แววตาเหม่อลอยคล้ายโดนสะกดว่า
“ดีครับหมวด รีบๆเคลียร์งานด้านในเหอะ ผมนัดเมียไว้...จะรีบไปขายบะหมี่ยำ”
ooooooo
ตรีศูลวัชระถูกเก็บรักษาด้วยระบบทันสมัยอย่าง เข้มงวดแข็งแรง มีแต่แสงกล้ากับเจนภพเท่านั้นที่เปิดได้ ระหว่างทำการเก็บรักษานั้น แสงกล้ารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างในห้อง เขาชะงักชักปืนกวาดไปรอบๆร้องถาม
“ใคร! บอกให้ออกมา! หรือจะให้ยิงเข้าไป!”
ที่แท้คือน้ำใสมาแอบถ่ายทั้งแสงกล้าเจนภพและ กระบวนการเก็บไว้ เมื่อถูกจับได้ก็ถือกล้องเดินยิ้มแหยๆ ออกมาพูดปะเหลาะแสงกล้าซึ่งเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน
แสงกล้าคว้ากล้องจากน้ำใสไปกดลบภาพทิ้งทั้งหมดแล้วสั่งให้เธอออกไป
“แหม...ตั้งแต่ได้มาอยู่สำนักงานสืบสวนพิเศษเฮี้ยบเกินเหตุนะเพื่อนรัก” น้ำใสกระเง้ากระงอดออกไป
แสงกล้าวิทยุออกไปด้านนอกบอกว่าภายในโถงจัดแสดงเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะออกไป
น้ำใสออกมาเจอจ่าหวาน จ่ายิ้มหวานให้พลันก็
ชะงักกึกเมื่อฉุกคิดว่าเธอเข้าไปได้ยังไง เอาหน้าแนบกระจกมองเข้าไปสำรวจ พริบตานั้น คลื่นควันดำวูบออกจากกระจกอย่างเร็วกระแทกเข้าหน้าจ่าวูบเดียวสลบตึง ตำรวจที่อยู่ด้านนอกมองจ่าอย่างสงสัย ไม่ทันไรก็ถูกคลื่นดำกระแทกใส่อย่างเร็วล้มตึงไปหมดทุกคน!
ประตูห้องจัดแสดงเปิดออกมา มวลควันรวมกันเป็นร่างขมังเวทย์ ยืนหน้าเหี้ยมน่าเกรงขาม แล้วเดินเข้าห้องไป
แสงกล้ายังไม่ทันออกมา รู้สึกมีคนอยู่ด้านหลัง ชักปืนหันขวับไปนึกว่าเป็นน้ำใส ได้ยินเสียงหัวเราะ“หึๆๆ” ออกมา แสงกล้าลั่นกระสุนใส่ทันที ขมังเวทย์จ้องเขม็งเกิดคลื่นควันดำพุ่งถาโถมเข้าใส่แสงกล้า แต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ขมังเวทย์ทำครั้งที่สองก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ จนเอ่ยปาก “ดวงจิตแก่กล้า”
แสงกล้ายิงใส่ขมังเวทย์แต่กระสุนกลับกระดอนกลับในสภาพบู้บี้ทีละนัด...ทีละนัด ทุกนัด!
เมื่อต่างทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ จึงถาโถมเข้าสู้กันด้วยมือเปล่าอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ในที่สุดแสงกล้าก็ล้มลงกองกับพื้น ปืนหลุดจากมือไถลไปกับพื้น...
ขมังเวทย์ใช้มือเดียวจับแสงกล้าชูขึ้น ร่างแสงกล้าสะบัดไปมาในอากาศ ขมังเวทย์ขว้างร่างเขาไปศีรษะกระแทกผนังล้มคว่ำ
ขมังเวทย์ตรงไปที่แท่นเก็บตรีศูลวัชระ เพียง
จ้องไปที่กล่องระบบป้องกันก็เปิดออก ขมังเวทย์ยิ้มสะใจหยิบตรีศูลวัชระเดินผ่านตำรวจที่ถูกสะกดออกไปอย่างเท่
ทันทีที่ขมังเวทย์ผ่านไป ตำรวจทุกคนที่ถูกสะกดนิ่งในท่าต่างๆก็ร่วงหมดสติไปทันที
ooooooo
ที่บริเวณทางเข้าศูนย์ศิลปะ...คราม หัวหน้าหน่วยกลยุทธ์ของสำนักงานสืบสวนพิเศษ บึ่งมอ-เตอร์ไซค์มาถึง เขาจอดรถหน้าอาคารชักปืนวิ่งเข้าไปพลางวิทยุถึงแสงกล้า
“ภายในห้องจัดแสดงเป็นยังไงบ้างหมวดแสงกล้า” ไม่มีเสียงตอบ ครามนิ่วหน้าเครียด “เกิดอะไรขึ้นหมวดแสงกล้า...รายงานด้วย”
ทันใดนั้นเสียงสัญญาณเตือนภัยของศูนย์ฯดังลั่น ไซเรนบริเวณกำแพงหมุนติ้ว ครามรับรู้ถึงความผิดปกติ เขาวิ่งพุ่งเข้าไปในอาคารอย่างเร็ว
ภายในห้องจัดแสดง แสงกล้าเพิ่งกระชากสัญญาณเตือนภัยของศูนย์ฯ เขายกวิทยุรายงานเสียงอ่อนล้า
“ตรีศูลวัชระถูกโจรกรรม ผู้ต้องสงสัยกำลังหนีออกไปทางหลัง สกัดจับด่วน!” รายงานเสร็จก็หมดสติไปทันที
ครามวิ่งไปด้านหลังตามที่แสงกล้าบอก เห็นขมังเวทย์เดินอยู่ไกลๆเขายิงกระหน่ำทันที แต่ขมังเวทย์แค่หันมองแล้วเดินไปอีกทางหนึ่ง...ครามรีบวิทยุ...
“ขอกำลังสนับสนุน...ผู้ต้องสงสัยโจรกรรมตรีศูลวัชระกำลังหนีไปทางอาคารก่อสร้างริมน้ำ”
น้ำใสปักหลักรายงานอยู่หน้าอาคารริมน้ำที่กำลังก่อสร้าง เห็นครามวิ่งมาอย่างเร็ว เขาหยุดแหงนมองอาคารแล้ววิ่งขึ้นไปทันที รถสำนักงานสืบสวนพิเศษและตำรวจอื่นแล่นตรงเข้ามาด้านหน้า ตำรวจพุ่งลงจากรถแยกย้ายกันล้อมอาคารไว้
“ขณะนี้ ดิฉันอยู่หน้าอาคารก่อสร้างของศูนย์ศิลปะแห่งเอเชียค่ะ ตำรวจสำนักงานสืบสวนพิเศษกำลังรุกไล่ผู้ต้องสงสัยโจรกรรมวัตถุโบราณ “ตรีศูลวัชระ” น่าจะจับตัวได้แน่ค่ะ” น้ำใสหยุดไปนิดหนึ่งก่อนรายงานต่ออย่างตื่นเต้นขึ้นทุกที “ผู้ต้องสงสัยอยู่บนดาดฟ้าตึกค่ะ...ขณะนี้ตำรวจตัดสินใจบุกขึ้นไปแล้ว!!”
ooooooo
บนดาดฟ้า...ขมังเวทย์ยืนตระหง่านอยู่ริมดาดฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้านกับการถูกไล่ล่า ครามขึ้นไปยกปืนเล็ง
“ยอมมอบตัวเสียดีๆ ยังไงแกก็หนีไปไหนไม่รอด”
“หึๆๆ” เสียงหัวเราะของขมังเวทย์กึกก้องน่ากลัว พลันก็เกิดเมฆดำปกคลุมโดยรอบ ลมพัดแรงคล้ายมีพายุ
ครามมองสภาพรอบตัวอย่างกังวล พอดีกองกำลังสนับสนุนมาถึง ครามส่งสัญญาณให้รายล้อมขมังเวทย์ไว้
“หึๆๆ” ขมังเวทย์หัวเราะ ตาเบิกโพลงดุร้ายน่ากลัว แล้วเดินดุ่มเข้าหาตำรวจที่รายล้อมอยู่ ตำรวจระดมยิงใส่แต่ขมังเวทย์ไม่สะดุ้งสะเทือน พุ่งเข้าเล่นงานตำรวจด้วยลีลาฉมังขลังเข้มสวยงาม ตำรวจที่รายล้อมต่างล้มคว่ำไม่เป็นท่าไปหมด
ครามค่อยๆถอยอย่างมีมาด ขมังเวทย์พุ่งเข้าใส่ทันที ครามยิงสวนแต่ไม่โดน เขาเองกลับถูกขมังเวทย์ชกเปรี้ยงเดียวร่างลอยคว้าง แหวกอากาศดิ่งลงข้างล่างทันที!
โชคดี...ครามตกลงบนเบาะอากาศที่สำนักงานสืบฯ กำลังกางพอดี!
ผู้คนเบื้องล่างต่างตกใจ น้ำใสรายงานอย่างตื่นเต้นว่า
“เมื่อสักครู่ดิฉันได้ยินเสียงปืน เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ต้องสงสัย ร่างของตำรวจตกลงมาด้านล่างค่ะ”
พริบตานั้น ทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนถูกสะกด น้ำใสที่รายงานข่าวยังอ้าปากค้างอยู่หน้ากล้อง
ที่ประตูอาคาร ขมังเวทย์เดินออกมายิ้มสะใจกับสภาพหยุดนิ่งของผู้คน เดินผ่านน้ำใสก็เอามือลูบไล้ใบหน้า เธออย่างชื่นชอบ หัวเราะ “หึๆๆ” แล้วเดินออกไปขึ้นรถตำรวจขับไปอย่างท้าทาย
ทันทีที่ขมังเวทย์พ้นไป ทุกชีวิตที่หยุดนิ่งก็กลับ เคลื่อนไหวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ooooooo
ที่ห้องสอบสวนในสำนักงานสืบสวนพิเศษ แสงกล้า ถูก พ.ต.ต.หญิงรวิ อิงคพัฒน์ ผบ.สำนักงานสืบสวนพิเศษ คนใหม่ เรียกไปให้ปากคำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รวิฟังแสงกล้าแล้วไม่เชื่อว่าผู้ที่ขโมยโบราณวัตถุชิ้นนั้นอยู่ยงคงกระพัน หาว่าเขางมงาย แสงกล้าเชื่อว่าคนร้ายใส่เสื้อเกราะ รวิสวนไปทันทีว่า ถึงใส่เสื้อเกราะโดนกระหน่ำยิงขนาดนั้น แรงปะทะจากกระสุนต้องทำให้จุกจนแทบสลบ
แสงกล้าทำหน้าระอา ขยับโน้ตบุ๊กบนโต๊ะเข้าหาตัวรัวนิ้วจนจอปรากฏเสื้อเกราะทันสมัยหลายมุม ชี้แจงว่า
“เสื้อเกราะ US 1000 ทอจากเส้นใยสังเคราะห์ไททาเนียม ป้องกันแรงปะทะได้มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ คนใส่จะไม่มีแม้กระทั่งรอยช้ำ” แสงกล้าหมุนหน้าจอโน้ตบุ๊กให้รวิดู พูดอย่างเหนือชั้นกว่าว่า “เป็นถึงผู้บริหารสำนักงานสืบสวนพิเศษ นอกจากจะมีเส้นสายทางการเมือง คุณต้องมีฝีมือ มีความรู้กว้างไกล เพราะที่นี่เป็นสำนักงานสืบสวนพิเศษ! ไม่ใช่โรงพักรับแจ้งเหตุคดีมโนสาเร่!”
รวิบันดาลโทสะปิดฝาโน้ตบุ๊กใส่หน้าแสงกล้า สวนกลับไปอย่างรู้กว่าว่า
“แล้วไอ้ตำรวจหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาไม่กี่เดือน รู้ไหมว่าเสื้อเกราะรุ่นนี้มีใช้เฉพาะประเทศที่ผลิต หาซื้อไม่ได้ทั่วไปตามตลาดนัด! โจรในจินตนาการของนายจะไปเอามาจากไหน” เมื่อแสงกล้าบอกว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ที่ตนต้องรู้ ก็ถูกรวิชี้หน้า “อย่าคิดว่าสอบได้อันดับหนึ่งจะมากร่างแถวนี้ได้! ที่นี่คือโลกแห่งความจริง...ไม่ใช่ทฤษฎี”
ทั้งสองต่างตอบโต้กันไปมาอย่างรู้ลึกถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของกันและกัน แสงกล้าปรามาสว่าในตำราไม่เคยระบุวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการโดยนักการเมือง รวิขู่ว่าถ้าไม่หยุดหมิ่นประมาทผู้บังคับบัญชา ได้ออกจากราชการแน่ ขู่คืนว่า
“ผู้การอินทนนท์พ่อเลี้ยงของนายค้ำกะลาหัวได้ไม่นานหรอกนะ อย่าพลาดให้ฉันเห็น!”
รวิใช้อำนาจผู้บังคับบัญชาจะส่งตัวไปตรวจสอบสภาพจิตที่นิติเทคฯฐานก้าวร้าว ขาดการอดกลั้น อีคิวต่ำ ตัดบทว่า
“ถ้าไม่ผ่านการตรวจสอบสภาพจิตจากนิติเทคฯ สิบผู้การอินทนนท์ก็ช่วยอะไรนายไม่ได้”
ooooooo
ฝ่ายคราม หลังเหตุการณ์แล้วจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ว่าตามผู้ต้องสงสัยขึ้นไปบนดาดฟ้า หลังจากนั้นเหมือนทุกอย่างถูกลบไปจากสมองหมด ดาบแหบกับจ่าหวานก็ไม่รู้ว่าจู่ๆสลบไปได้อย่างไร
ขณะนั้น ตำรวจหญิงนำเอกสารส่งตัวมาให้แสงกล้า เขารับไปดูถามงงๆว่า สถาบันนิติเทคฯมันคืออะไร
ครามเดินมาได้ยิน อธิบายว่า “นิติเทคฯเป็นหน่วยงานใหม่ของสำนักงานสืบฯ ทำหน้าที่วิเคราะห์พิสูจน์หลัก ฐานอาชญากรรมโดยใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การสอบสวนหาตัวคนร้ายทำได้ง่ายขึ้น”
แสงกล้ายิ่งงง ถามว่าแล้วมันเกี่ยวกับสภาพจิตยังไง ครามอธิบายว่า
“เจ้าหน้าที่ทุกคนของสำนักงานสืบฯ ต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบจากนิติเทคฯ ไม่อย่างนั้น...ตกงาน!!”
ตำรวจหญิงพูดยิ้มๆว่าไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เพราะหมอไพลิน ผอ.นิติเทคฯ น่ารักออก
แสงกล้ากลั้นขำถามว่า ผอ.ชื่ออะไรนะ?! พอตำรวจหญิงบอก เขาพึมพำ “ชื่อไพลิน...ทำไมชื่อถึงได้เชยขนาด!”
แล้วหมวดหนุ่มก็จินตนาการไปตามนึกคิดว่า ชื่อ ไพลิน หน้าตาต้องโบราณ ไว้ผมทรงบ๊อบกะลาครอบ ใส่แว่นขอบกระหนาเตอะ ใส่เสื้อติดกระดุมถึงคอหอย นุ่งกระโปรงบานคลุมถึงหัวแม่เท้า จินตนาการแล้วร้องอย่างรับไม่ได้
“โอ๊ย...เอาคนแบบนี้มาประเมินสุขภาพจิตผม ผมคงนับถือร้อก”
หารู้ไม่! พญ.แพรไพลิน นวิยากุล ผอ.สถาบันนิติเทค สำนักงานสืบสวนสอบสวนพิเศษคนนี้ แต่งหน้าแต่งตัวทันสมัยราวกับเดินหลุดออกมาจากแคตวอล์กเลยทีเดียว!!
ooooooo
นภายังอยู่ที่บ้านพักรีสอร์ตเดิม วันนี้ขณะนั่งอ่าน หนังสืออยู่ริมระเบียง มองลงไปเห็นด้านล่างรีสอร์ตมีการเคลื่อนไหวเหมือนเกิดกรณีร้ายแรงที่สถาบันนิติเทคฯต้องก้ันเชือก “ห้ามเข้า” ในบริเวณที่เกิดเหตุ
มีเหตุฆาตกรรมที่บ้านพักในรีสอร์ต ผู้กองกิตตำรวจในท้องที่และแพรไพลินกำลังตรวจเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ ผู้กองกิตคุ้นเคยกับสถานที่นี้เพราะท้องที่จัดสัมมนาที่นี่บ่อย
แพรไพลินสวยโฉบเฉี่ยวดูภายนอกน่าจะเป็นดาราหรือนางแบบมากกว่า แต่สีหน้าแววตาขณะทำงานบ่งบอกถึงความฉลาดหลักแหลมของ ผอ.สถาบันนิติเทคฯหญิงผู้นี้
จากการตรวจสอบในห้องมีแฟ้มเอกสารวางอยู่บนโต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ยังเปิดอยู่ ภายในบ้านพักมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของกระจุยกระจาย เธอหยิบเชิง เทียนสวยงามขึ้นจากพื้นมาดูแล้วส่งต่อให้ผู้กองกิต ผู้กองขี้หลีแกล้งรับจับถูกมือเธอ พอเธอชะงักมองก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่งต่อให้อีกคนแล้วรายงาน
“ผู้จัดการระรินหนีออกไปจากบ้าน หลังจากยิงคู่ขาคนนึงตายตรงนี้”
แพรไพลินย้ำ “คนนึง” อย่างแปลกใจ ถามว่าส่งศพไปชันสูตรแล้วใช่ไหม กุ๊บกิ๊บบอกว่าส่งไปแล้วภายในสองชั่วโมงผลน่าจะออกมา “ได้ผลแล้วส่งเข้าเมล์ฉันเลยนะ” สั่งแล้วแพรไพลินเดินเข้าไปในห้องนอน พบสภาพที่นอนยับยู่ยี่ บนเตียงมีอุปกรณ์การเสพยากองอยู่ ที่โต๊ะเครื่องแป้งมีน้ำหอมและเครื่องสำอางมีชื่อ เธอเดินไปหยิบกระเป๋าถือดู
“ชิงทรัพย์...โดนกวาดของมีค่าไปหมด” กิตรีบ รายงาน นอกจากนั้นผู้กองกิตยังรายงานรายละเอียดเพิ่มเติมว่า “เมื่อคืนคุณระรินไปหิ้วคู่ขา 2 คนจากผับในเมือง เสพยาจนไม่ได้สติ คู่ขาทั้งสองคนคิดจะชิงทรัพย์”
สภาพที่เล่าคือ หนุ่มหล่อทั้งสองทำร้ายเธอหมายชิงทรัพย์ ถูกระรินยิงตายคนหนึ่งส่วนอีกคนวิ่งหนีไปได้ ระรินยิงตามแต่กระสุนไปถูกประตู เธอไล่ตามไปแต่หนุ่มหล่อก็ขึ้นรถขับหนีไปแล้ว ทิ้งศพเพื่อนไว้ในบ้านพัก
ระรินเอาไอโฟนออกมาถ่ายรูปรอยกระสุนที่ฝังอยู่ตรงประตู ถ่ายรูปรอยเลือดที่พื้น แล้วเดินไปเปิดตูุ้เสื้อผ้า ไม่มีเสื้อผ้าเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ขณะนั้นเอง กุ๊บกิ๊บเอาผลแล็บนิติเทคฯมาให้ เธอดูผลแล็บนิ่งแล้วมองรอยกระสุนตรงประตู
กิตถามว่ามีอะไรหรือ แพรไพลินยิ้มกลบเกลื่อนบอกว่า
“เอ้อ...ไม่มีอะไรค่ะ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเพราะผู้กองปิดคดีนี้ไปแล้ว” เธอเดินเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งพลางสรุป “ผู้จัดการสาวเมายาทะเลาะกับคู่ขา ยิงดับไปคนหนึ่งแล้วหนีไปอย่างลอยนวล...” กิตติงว่าไม่น่าเชื่อว่าเราจะปิดคดีได้ง่ายอย่างนี้ แพรไพลินหันมายิ้มแบบโปรยเสน่ห์ “คน จริตต้องกันได้มาทำงานร่วมกัน ก็ไม่เห็นจะมีอะไรยาก”
กิตขยับเข้าใกล้ เธอเหลือบมองแต่ยิ้มเหมือนไม่รังเกียจ กิตได้ใจชวนดินเนอร์กันสักมื้อได้ไหม เธอย้อนถามว่า
“แค่เพิ่งทำงานด้วยกันครั้งแรกเนี่ยนะคะ”
“มิตรภาพไม่เกี่ยวกับเวลา ปิดคดีนี้เสร็จ พรุ่งนี้คุณหมอก็กลับกรุงเทพฯแล้ว ส่วนผมต้องทำงานท้องที่นี้ต่อไป ให้เกียรติผมเลี้ยงข้าวสักมื้อนะครับ” กิตถือวิสาสะจับต้นแขนเธอ แพรไพลินเบี่ยงตัวออกเดินตรงไปที่ประตูเหมือนจะออกไป จู่ๆก็หันกลับมาพูดยิ้มหวาน
“ฉันไม่ชอบรอ หกโมงเย็นที่ห้องอาหารรีสอร์ตค่ะ” พูดจบก็เดินออกไปด้วยมาดนางแบบ กิตมองตามอย่างย่ามใจ
เดินออกมาเจอกุ๊บกิ๊บ ถูกแซวว่าท่าทางผู้กองกิตชอบหมอมาก มองหมอด้วยสายตาแบบนี้ ถ้าเป็นตนละลายระทดระทวยไปกองในอ้อมกอดแล้ว แพรไพลินบอกว่าถ้าอยากทานอาหารค่ำฟรีพร้อมบรรยากาศโรแมนติกเจอกันก่อนหกโมงเย็น
“ว้าววววว” กุ๊บกิ๊บดี๊ด๊า แพรไพลินมองระอานิดๆ แล้วเดินผ่านไป
ooooooo
แพรไพลินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวบริเวณระเบียงเปิดดูไอแพด “ประวัติส่วนตัวผู้กองกิต” แล้วเปลี่ยนไปดูเฟซบุ๊กของระรินมีภาพถ่ายที่โพสต์ล่าสุด ระรินถ่ายด้วยตัวเองจากมือถือที่ด้านหลังบ้านพัก ระบุโพสต์ไว้ก่อนหายตัวไป 6 ชั่วโมง
เมื่อมองไปที่หลังบ้านพักของระริน มีลานถูกไถ จนราบ มีรถยนต์จอดอยู่คันหนึ่ง เธอรู้สึกถึงความผิดปกตินั้น
ทันใดเสียงกิตเรียก เขาเข้ามาพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่มอบให้ เธอติงว่ายังไม่ถึงเวลานัด พลางจะเอาดอกไม้ไปวาง ถูกกิตจู่โจมกอดจากข้างหลัง เธอถามน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ” กิตพูดแก้เกี้ยวว่า “นึกว่าใจเราตรงกัน”
แพรไพลินตาไวเห็นปืนเหน็บที่เอวกิต เธอดึงปืนจากเอวเขาถอยห่างออกแล้วยกปืนขึ้นดู
“มาดินเนอร์ไม่เห็นจำเป็นต้องพก SIGSAUER มาด้วยเลย” เขาบอกว่าไว้ป้องกันตัว เธอดึงแมกกาซีนออกตรวจกระสุนบอกว่า กระสุนขนาด 9 มม.ชี้ว่า “ปืนกระบอกนี้บรรจุกระสุน 9 มม.ชนิดเดียวกับที่ฆ่าชู้ของระรินตาย”
แล้วแพรไพลินก็ชี้แจงว่า นิติเทคฯระบุว่าระรินตายด้วยกระสุน 9 มม.เป็นกระสุนคนละชนิดกับหัวกระสุนบนประตูบ้านพัก เพราะนั่นเป็นหัวกระสุนขนาดเล็ก 280 ถามกิตว่า “เคยคิดไหมว่าสรุปคดีเร็วเกินไป”
กิตถามหยั่งเชิงว่าแล้วความจริงเป็นอย่างไร เธอระบุว่า “ระรินไม่ได้เป็นคนฆ่าชู้ตาย แต่เธอถูกฆาตกรรม! พร้อมกับผู้ชายสองคน”
แพรไพลินระบุว่า คืนวาน ระรินนัดเพื่อนเอ็นจีโอสองคนมาทำงานจนดึก มีหลักฐานปรากฏชัดที่คอมพิวเตอร์และเอกสารที่บ้านพัก แต่โชคร้ายมีแขกไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามา เธอไปเปิดประตูถูกผู้มาเยือนกระแทกประตูใส่จนล้มคว่ำ
“เอ็นจีโอทั้งสองพยายามช่วยเธอ แต่พวกเขาโดนยิงตายด้วยปืน SIGSAUER ขนาดกระสุน 380 ระรินไปเอาปืนพกขนาดเล็กมายิงสู้ แต่ระรินยิงพลาด กระสุนไปฝังอยู่ที่ประตูทางเข้า ในที่สุดระรินก็ต้องจบชีวิตลงพร้อมกับเพื่อนทั้งสองคน”
กิตมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ท้วงติงว่า “แต่ตำรวจพบแค่ศพเดียว”
“ฆาตกรรมอำพราง!! คนร้ายสร้างหลักฐานว่าเกิดการชิงทรัพย์ ระรินฆ่าคู่ขา...แล้วหนีไป” พูดพลางเธอมองกิตเหมือนค้นหาความจริง เขาทำทีถามว่าแล้วศพระรินอยู่ไหน แพรไพลินตอบทันทีว่า “หลังบ้านพักตรงที่รถจอดอยู่ และถ้าฉันเดาไม่ผิด ผู้ชายอีกคนก็ถูกฝังอยู่ตรงนั้น”
แพรไพลินเอาหลักฐานภาพถ่ายก่อนระรินหายตัวไป6 ชั่วโมงมาอ้างอิง ระบุว่าฆาตกรพยายามอำพรางศพเธอยิ่งพูดกิตก็ยิ่งมีพิรุธจนเธอถามว่าท่าทางไม่ค่อยสบาย เป็นอะไรหรือเปล่า กิตบอกว่าโกรธตัวเองที่ไม่น่าสืบสวนผิดพลาด
“ผู้กองไม่ได้สืบสวนพลาด แต่ผู้กองกลบเกลื่อนหลักฐานพลาด” กิตชี้หน้าถามว่ามีหลักฐานอะไรมากล่าวหาว่าตนเป็นฆาตกร แพรไพลินยังคงพูดอย่างเยือกเย็นว่า “กรรมอยู่ที่การกระทำ คนทำกรรมอะไรไว้ไม่มีทางหนีความจริงพ้น”
ไม่เพียงเท่านั้น แพรไพลินยังระบุว่า “ฆาตกรรายนี้ลงมือฝังศพด้วยตัวเอง กลิ่นน้ำหอมของระรินยังติดอยู่ที่ตัวมัน ถึงจะเป็นสาวสมัยใหม่ แต่ระรินนิยมน้ำหอมผู้หญิง...กลิ่นคลาสสิกฉุนติดจมูก” เธอขยับเข้าไปพูดข้างหูกิตว่า “รู้สึกว่าผู้กองจะนิยมน้ำหอมยี่ห้อนี้...เหมือนระริน”
ooooooo










