แม่และน้องบีมเข้าพบนายกสภาทนายความเซ็นแต่งตั้งทนายความฟ้องแพ่ง “พิสิษฐ์ สัมมาเลิศ” ทนายแสบยักยอกเงินเยียวยาอุบัติเหตุ 5 ล้านบาท จ่อยื่นฟ้องคดีแพ่งฐานผิดสัญญารับสภาพหนี้ต่อศาลตลิ่งชัน วันที่ 6 ก.ค.นี้ และขอเป็นโจทก์ร่วมคดีอาญา ข้อหาปลอมแปลงเอกสาร หลังอัยการสั่งฟ้อง ส่วนการพิจารณาด้านวินัยทนายแสบ ให้เข้าแก้ต่างภายใน 15 วัน ถ้าพบมีความผิด “ตระบัดสินลูกความ” โทษสูงสุดคือการลบชื่อออกจากการเป็นทนายความ 5 ปี ด้านแม่น้องบีมถาม “มาหลอกกันทำไม” ขณะที่เหยื่อทนายแสบโผล่อีกยืมเงินเรียนปริญญาเอก สูญรวมกว่า 2 ล้านบาท

กรณีนางพรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี มารดา ด.ญ.ภัทรดา หรือน้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี เด็กพิการ ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกับรถพ่วง 18 ล้อ ในพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2548 ทำให้พ่อน้องบีมเสียชีวิต นางพรทิพย์บาดเจ็บสาหัส ส่วนน้องบีมถูกตัดขา 2 ข้าง ต้องนั่งวีลแชร์ตลอดเวลา ถูกนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความ ยักยอกเงิน 5 ล้านบาท ที่ศาลสั่งให้คู่กรณีเยียวยาผู้เสียหาย ต่อมานางพรทิพย์ได้พาน้องบีมเข้าแจ้งความตำรวจ สน.บางยี่ขัน และถอนแจ้งความในเวลาต่อมา เนื่องจาก นายพิสิษฐ์จะชดใช้เงินให้แต่ไม่ทำตามข้อตกลง จึงเข้าพบนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้เนติบัณฑิตยสภาแต่งตั้งทนายความดำเนินคดีแพ่งกับนายพิสิษฐ์ ฐานผิดสัญญารับสภาพหนี้ และติดตามคดีอาญาที่อัยการสั่งฟ้อง ข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าที่สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ก.ค. ว่าที่ร้อยตรีถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความ พร้อมคณะ ร่วมกันแถลงข่าวพร้อมกับนางพรทิพย์ จันทรัตน์ และ ด.ญ.ภัทรดา หรือน้องบีม แก้วผ่อง ผู้เสียหาย หลังนางพรทิพย์เข้ายื่นคำร้องขอรับการ ช่วยเหลือจากสภาทนายความ และเซ็นเอกสารแต่งตั้ง ทนายความดำเนินคดี ว่าที่ร้อยตรีถวัลย์กล่าวว่า สภาทนายความจะแต่งตั้งทนายความร่วมกับเนติบัณฑิตดำเนินคดีแพ่ง ส่วนคดีอาญา หลังจากอัยการยื่นฟ้องแล้วจะแต่งตั้งทนายความไปเป็นโจทก์ร่วมสู้คดีต่อไป การสอบสวนจะทำให้เร็วที่สุดเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ขอมอบเงินส่วนตัว 5,000 บาท ช่วยเหลือครอบครัวน้องบีม และฝากถึงนายพิสิษฐ์ให้มาพบเจ้าหน้าที่ หรือมาที่สภาทนายความเพื่อชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น

...

ด้านนายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวถึงการดำเนินการทางวินัยกับนายพิสิษฐ์ว่า สภาทนายความมีหนังสือถึงประธานมรรยาทเพื่อให้คณะกรรมการมรรยาทดำเนินการสอบสวนพิจารณาลงโทษต่อไป คดีลักษณะนี้มีตัวอย่าง ที่ผ่านมาใช้บทลงโทษสูงสุดคือการลบชื่อออกจากการเป็นทนายความฐานตระบัดสินลูกความ ทั้งนี้ นายพิสิษฐ์จะต้องยื่นแก้ข้อกล่าวหาเข้ามาภายใน 15 วัน หากไม่ยื่นเข้ามาจะสอบสวนเฉพาะผู้กล่าวหา สามารถตัดสินได้ แม้ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาชี้แจงเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนการลบชื่อนั้น แม้ลบไปแล้ว 5 ปี จะมีสิทธิขอใหม่ได้ แต่ต้องตั้งกรรมการสอบ ถ้าประวัติไม่ดีกรรมการจะไม่อนุมัติเป็นทนายความ

ด้าน พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง อุปนายกสภาทนายความฝ่ายบริหาร ในฐานะประธานฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา เผยว่าที่ประชุมอนุมัติคำสั่งให้ยื่นฟ้องคดีแพ่ง หลังจากพิจารณาร่างฟ้องคดีแพ่งในความผิดฐานรับสภาพหนี้ จำนวน 3 ล้านบาท และคาดว่าจะยื่นฟ้องต่อศาล จังหวัดตลิ่งชันวันที่ 6 ก.ค.นี้ กับขออนุมัติเรื่องการรับช่วยเหลือติดตามคดีอาญา และการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ หากอัยการยื่นฟ้องคดี นอกจากนี้ ในวันที่ 5 ก.ค. สภาทนายความ โดยว่าที่ร้อยตรีถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารสภาทนายความ 25 คน และกรรมการภาคอีก 15 คน เพื่อพิจารณาลบชื่อนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ออกจากการเป็นทนายความ ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ทนายความมาตรา 43

นางพรทิพย์ มารดาน้องบีม กล่าวทั้งน้ำตาว่า เคยร้องทุกข์ในเรื่องนี้มานานมากแต่เรื่องก็เงียบกระทั่งคิดจะทิ้งคดีแล้ว พอมีสื่อมวลชนเริ่มเข้ามาช่วย ถึงวันนี้รู้สึกดีใจ ปลอบใจตัวเองว่าน่าจะได้เงินคืน เพราะหวังมาทั้งชีวิตในการดูแลรักษาลูก หากได้พบนายพิสิษฐ์ อยากถามว่ามาหลอกกันทำไม ขอให้เอาเงินมาคืน ตนดูแลลูกเหนื่อยมาก ต่อสู้มานานต้องอุ้มลูกตั้งแต่ตัวเล็กถึงตอนนี้อุ้มลูกไม่ไหวแล้ว ขอบคุณสื่อมวลชนที่ช่วยเหลือทำให้ยิ้มได้

ที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี สายวันเดียวกัน น.ส.นิษฐาณัฐ ภัทรธนินนิษฐ์ อายุ 54 ปี อดีตเจ้าของร้านรับส่งไปรษณีย์เอกชน เหยื่ออีกราย ถูกนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความโกงเงิน หลอกกู้เงินเรียนต่อปริญญาเอก 1,336,830 บาท แล้วไม่ใช้หนี้คืน นำเอกสารและพยานหลักฐานเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชาตรี สีจันทร์ รอง สว. (สอบสวน) สภ.รัตนาธิเบศร์ ให้ดำเนินคดีกับนายพิสิษฐ์

น.ส.นิษฐาณัฐกล่าวว่า เมื่อปี 2550 ได้ติดต่อให้นายพิสิษฐ์ว่าความคดีรับมรดกหลังจากบิดามารดาเสียชีวิต คดีเสร็จนายพิสิษฐ์ขอยืมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อจะนำไปเรียนต่อปริญญาเอก ขณะนั้นยังไม่ได้รับมรดกจึงได้ปฏิเสธไป ก่อนจะมารู้ทีหลังว่านายพิสิษฐ์ได้ไปขอยืมเงินจากญาติตน 2 ราย เป็นเงินรวม 950,000 บาท โดยบอกกับญาติว่าเมื่อเสร็จคดีแล้วจะได้เงินค่าจ้างจากตนจะนำเงินมาคืนให้ หลังชนะคดีได้ให้เงิน 950,000 บาท กับนายพิสิษฐ์และนางพรประวีณ์ ชูแก้ว ภรรยา แต่นำไปใช้คืนเพียง 100,000 บาท นอกจากนี้ยังได้ยืมเงินตนไปเรียนต่ออีก รวมเป็นเงิน 1,336,830 บาท ทำหนังสือสัญญากู้ยืมถูกต้องแต่ก็ผิดสัญญา พยายามติดต่อแต่ก็ปิดโทรศัพท์หนี กระทั่งมาทราบว่านายพิสิษฐ์ไปโกงเงินน้องบีม จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ