เด็กรุ่นผม รุ่นก่อนกึ่งพุทธกาล ชอบหนังกลางแปลง ซึ่งมักขายสว่างคาตา มากกว่าหนังขายยา เพราะเบื่อโฆษณาขายยา ลดแลกแจกแถม...คั่นเวลาฉายหนัง แต่ที่แทบจะไม่ได้ตั้งใจดูเอาเลยก็คือลิเก
ภาพลิเก...ที่มีในใจมักเป็นลิเกแก้บน เล่นกลางวัน ในโรงยกระดับสูง แล้วก็มีเสียงกลอง เสียงปี่พาทย์ประโคมอยู่เป็นนาน เราเรียก “ลิเกโหมโรง”
คนแก่ๆ แม่ยกลิเกตัวจริง ตั้งหลักปูเสื่อปูผ้า เลือกที่นั่งหน้าโรง พวกเด็กๆก็เดินเตร่ไปมา หน้าโรงหลังโรง ดูพวกลิเกแต่งตัว จนเสียงโหมโรง...หยุด แสดงว่าได้เวลา...
มีคนแต่งตัวนุ่งผ้าโสร่ง โพกหัว ไม่ยักเหมือนตัวลิเก เดินชูนิ้วหัวมือ เร่ออกมา “ชัดช้า รำมะน้า” เด็กๆไม่พลาดลิเกออกแขกดูแปลกดี ตอนนั้นไม่รู้ทำไมลิเกจึงต้องออกแขก
รู้เอาตอนโต เราได้ลิเกหรือดิเกร์จากปักษ์ใต้ การออกแขก ย้ำว่า ลิเกที่คุ้นเหมือนไทยแท้ เราเอามาจากที่อื่น
จบ “ออกแขก” ลิเก ก็เริ่มเล่น ภาษาลิเกว่า “ลงโรง”
สำนวน “ลงโรง” อาจารย์ ส.พลายน้อย บอกไว้ในหนังสือ เกร็ดภาษาหนังสือไทย ฉบับปรับปรุง (สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์พิมพ์ครั้งที่ 9 พ.ศ.2560) ในหมู่นักแสดง และคนเก่าๆ หมายถึงการเข้าสู่โรงพิธีซัดน้ำ
พิธีซัดน้ำ สมัยนี้ไม่ทำกันแล้ว คำลงโรง ในความหมายนี้ จึงไม่มีใช้กันแล้ว
และเมื่อตัวแสดงลิเก หมดบทบาทหน้าที่ตอนนั้น ก็จะเดินหายเข้าไปหลังฉาก ภาษาลิเก “เข้าโรง”
คำเข้าโรงยังพอมีใช้กันอยู่ เช่น “หมดหน้าที่ แล้วก็เข้าโรงไป”
ตั้งแต่ลิเกเริ่มเล่น ลงโรง และลิเก เข้าโรง เป็นเรื่องของตัวแสดงแบ่งบทบาทกันเล่น
พระเอก นางเอก พระรอง นางรอง ตัวโกง ตัวตลก เล่นๆกันไปจนหมดเนื้อหา ซึ่งก็มักจะถึงเวลาที่กำหนดกันไว้...เสียงระนาด เสียงกลอง ก็โหมประโคม อีกครั้ง...
...
ลิเกจบเรื่อง ตัวแสดงลิเกถอดเครื่องทรง เก็บข้าวเก็บของ คนดูทยอยกลับบ้าน บรรยากาศตอนนี้ ภาษาลิเกว่า “ลาโรง”
“ลาโรง” เป็นภาษามหรสพ ที่สื่อความหมายตรงตัวดีมาก คือลาจากโรงที่แสดงไป ก็เท่ากับการเลิกนั่นเอง
ผมกำลังนึกถึงลิเกการเมือง โหมโรงกันมานาน...คนเล่นบท “ออกแขก” ก็ชูนิ้วโป้งรำป้อออกมาบอกแล้ว ว่าจะเล่นเรื่องอะไร เมื่อไหร่
ตัวแสดงทั้งหลายในเรื่อง ก็แต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าตา บางคนยังไม่ถึงคิวแสดง ก็รำป้อกันออกมา นางเอก นางรอง ตัวโกง ตัวตลก คั่นเวลา...ก็ตั้งท่ากันเต็มที่
ขาดแต่ตัวพระเอก...คนสำคัญ...ที่คนทั้งบ้านทั้งเมือง รู้กันว่า “ใคร” ยังไม่ยอม “ลงโรง” กับเขาสักที
ลิเกการเมืองเรื่องนี้ จึงรสชาติกร่อยไปหน่อย
แม่ยก พ่อยก ตั้งตารอ...เมื่อไหร่พระเอกออกมา ลิเกการเมือง ก็จะได้ออกท่ารำ ด่าทอทิ่มแทงกันให้เต็มปากเต็มคำ
ที่ยั้งมือไว้ไมตรีกันไว้ เพราะกฎหมายความมั่นคงค้ำคอ
แฟนๆลิเกคณะนี้ เขาเป็นห่วงกันว่า พระเอกคนสำคัญ ยังไม่ทันได้ลงโรง แต่เกิดจิตตก เพราะรู้ข่าวว่าคะแนนนิยมไม่มา จะตัดสินใจ “ลาโรง”
แค่พระเอกลาโรงไปไม่เท่าไหร่ คนอยากเป็นพระเอกแทนมีนับไม่ถ้วน ที่กลัวกันมากกว่า คือกลัวว่า พระเอกจะอารมณ์เสีย ยุบคณะลิเกทิ้ง
ผมนึกไม่ออก สีหน้าพวกแม่สายบัวแต่งตัวเก้อ...เป็นยังไง คงดูไม่จืดเอาจริงๆ.
กิเลน ประลองเชิง