“ยาวิเศษ” ที่ว่ารักษาได้อย่างชะงัดทำท่าว่าจะคลายพิษไม่ได้เสียแล้ว เพราะใช้จนเปรอะไปหมด จนหมดความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่างไปจากมลพิษในหมู่ผู้แวดล้อมที่กำลังจะทำให้ผู้นำ หมดราศี
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ ฉุกละหุกชุลมุนกันเรื่องกฎหมายแบบว่าเป็นความตั้งใจจริง แต่เพราะขาดความ รอบคอบและรอบด้าน
ผลที่ออกมาก็คือต้องใช้ ม.44 แก้ไขจนวุ่นวายไปหมด
จะดีก็ตรงที่ผิดแล้วแก้ไข ไม่ดันทุรังเดินหน้าต่อไป ทว่าก็เสียรังวัดไปไม่ใช่น้อย
ปัญหานี้มันขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการมากกว่า โดยเฉพาะการบริหารประเทศนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง
“พระเอก” ไม่มี แต่ต้องทำกัน เป็นทีมมากกว่า
ที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างงานด้านแรงงานเป็นหน้าที่และความรับ ผิดชอบโดยตรงของรัฐมนตรีแรงงาน
การจัดทำกฎหมายใหม่ การชี้แจงทำความเข้าใจ การขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นเรื่องของ “เจ้ากระทรวง” โดยตรง
กฎหมายว่าด้วย พ.ร.ก.แรงงานต่าง ด้าวนั้นก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องใหญ่ มีความเกี่ยวพันกับทุกภาคส่วน
แม้แต่ละครัวเรือนก็ไม่ต่างกัน
ดังนั้น การรับรู้ผลของกฎหมายจึงมีความสำคัญยิ่ง ไม่ใช่จู่ๆกฎหมายก็โผล่ออกมาเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาจนได้
แบบนี้ถ้าเป็นรัฐบาลเลือกตั้งไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหน ดีไม่ดีอยู่ไม่ได้แล้ว
แน่นอนไม่มีใครว่ารัฐบาลชุดนี้ที่รู้ปัญหาดี และตั้งใจที่จะแก้ไข เพียงแต่ ระบบการบริหารที่จะต้องอาศัยรัฐมนตรีทุกกระทรวงเป็นกลไกเพื่อให้งานเดินไปข้างหน้าได้
แต่กลไกเหล่านี้ไม่ค่อยจะแสดงออก
สุดท้ายทุกเรื่องก็ต้องไปตกอยู่ที่หัวหน้ารัฐบาล ไม่ว่าเรื่องอะไรร้อยแปดก็ต้องนายกฯ มันจึงเป็นส่วนที่ทำให้ผู้นำ รัฐบาลต้องเหน็ดเหนื่อย ความผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นได้
...
ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยต่างก็รู้กันดีว่าการบังคับใช้กฎหมายที่ไร้ประ-สิทธิภาพ หน่วยงานอย่างตำรวจนั้นมีอำนาจมากล้นเกินขีดความสามารถ
ทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ใช้อำนาจไปในทางมิชอบ
นี่คือความจริงที่สังคมไทยรับรู้กันดี ต่างก็เห็นปัญหาใหญ่ที่ควรจะแก้ไขกันมานานแล้ว และมุ่งหวังว่ารัฐบาล คสช.จะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แต่กลับไม่ทำอะไรเลย จนล่วงเลยย่างเข้าปีที่ 4 ถึงจะมาเดินหน้าตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 9 เดือนเท่านั้น
ก็เลยไม่รู้จะทำได้มากน้อย แต่ก็ยังเอาใจช่วยเพราะไม่มีทางเลือกอย่างอื่น
หากเริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นป่านนี้น่าจะเห็นดอกออกผลไปพอสมควร อย่างน้อยก็น่าจะทำให้จัดระเบียบตำรวจให้เห็นเป็นรูปธรรมได้
ไม่ต้องมาอ้างกันอีกแล้วการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ผล
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่หวังจะไปต่อหลังการเลือกตั้งจะต้องปรับกระบวนท่าในการทำงานเสียใหม่ เพราะยังมีเวลาอีกพอสมควร
ที่สำคัญก็คือจะต้องกล้าตัดสินใจมากกว่าที่ผ่านมา
เฉพาะอย่างยิ่งผู้ร่วมงานรัฐมนตรี ที่ปรึกษา และแวดล้อมต่างๆ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน
ถ้ายังเกรงอกเกรงใจกันอยู่เห็นท่าลำบาก
เพราะบางกลุ่มยังเป็นอุปสรรคและน่ากังวล เนื่องจากไม่หยุดแล้วยังเหิมเกริมมากขึ้นจะเป็นตัวฉุดรั้งต่ออนาคตข้างหน้า
ใครเป็นใคร กลุ่มไหน ก็รู้ดีอยู่ แล้วมิใช่หรือ?
“ลิขิต จงสกุล”