“รุ่นพี่” ที่ทำงานในออฟฟิศเดียวกันกรุณาเล่าประสบการณ์ที่เพื่อนของเธอเจอมาให้ฟัง พอฟังแล้วไม่รู้สึกขำเพราะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่กลับอึ้งกิมกี่กับพฤติกรรมความเจ้าชู้ของผู้ชายที่ “รุ่นพี่” แจงให้ฟัง

เชื่อว่าผู้หญิงที่สามี “ออกลาย” เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ แต่กลับชอบเป็นเสือผู้หญิงอย่างที่จะเล่าให้ฟังคงชอกช้ำระกำใจไม่น้อย เพราะท่านว่า ถ้ามีคู่ชีวิตดี ก็เท่ากับวินๆด้วยกันทั้งสองฝ่ายและมีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ขืนเมื่อไหร่ดันเลือกผิด ไปคว้า “คู่ชีวิตสุดห่วย” มีความเจ้าชู้ในกมลสันดาน ครอบครัวก็คงจะพังกันไปข้างล่ะเนอะ จึงขอเล่าถึงสิ่งที่ “รุ่นพี่” กระซิบให้ฟังก่อนดีกว่า เพราะคนเรารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจจริงๆแฮะ

“รุ่นพี่” ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน บอกว่า ผู้ชายที่มีเมียแล้ว เวลาจะหลอกฟันผู้หญิงอื่น มักมีข้ออ้างไปเรื่อย ซึ่งในข้ออ้างทั้งหลายก็มี * บอกผู้หญิงอื่นหรือกิ๊กว่า เมียตัวจริงเป็นมะเร็งล่อไม่ได้ พี่จึงต้องมา “ล่อกับเธอ” ไรเงี้ย โห....นี่นอกจากจะโกหกแล้ว ยัง “แช่ง” เมียไปในตัวให้เป็นโรคร้ายด้วยแฮะ คิดดูละกันว่า ไว้ใจกันได้ซะที่ไหน? พวกที่ใช้ “ข้ออ้าง” เพื่อไปฟันสาวอื่นเนี่ยมันใจปลาดำไปนะเฮ้ย

* ข้ออ้างต่อไปของชายที่มีเมียแล้ว แต่เวลาหื่นอยากล่อผู้หญิงอื่น มักอ้างว่า “นิสัยเรา (เขากับเมีย) เข้ากันไม่ได้ และที่สำคัญ เราแยกกันอยู่นานแล้ว” แหมเล่นโป้ปดว่าแยกกันอยู่เลยเชียว

วิเคราะห์เจาะลึกแยกกันอยู่ยังทำให้ผู้หญิงอื่นตายใจด้วย ว่าเมียจะไม่มาเกะกะ

* ข้ออ้างต่อไป “ผมกับเมียอยู่ไปก็ทะเลาะกันรายวัน แต่ทนอยู่ด้วยกันเพื่อลูกเท่านั้น” โห ฟังแล้วเป็นคนดีจังเนอะ เล่นเอาลูกมาอ้าง แต่ยิ่งชายใดมีลูกแล้วนี่ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวดีกว่ามั้ง

...

* ข้ออ้างต่อไป “เมียมีความรู้น้อย พูดไม่รู้เรื่อง ไม่กล้าพาออกสังคม ดังนั้น เมื่อมาเจอผู้หญิงอย่างคุณที่ฉลาด, สวย, ตรงสเปก” จึงเป็นเสน่ห์ทำให้อยากเข้าใกล้และทำความรู้จักกันในมุ้ง ขนาดนั้นเลย

ว่ากันว่าข้ออ้างอันนี้ มักใช้กับผู้หญิงอื่นที่อายุมากนิดนึงและที่สำคัญมีหน้าที่การงานดี หนำซ้ำยังอาจมีรายได้มากกว่าฝ่ายชายก็ได้ เฮ้อ มนุษย์เพศชายที่มักมากในกามเป็นอย่างนี้เอง

* ข้ออ้างต่อไป “ผมถูกจับคลุมถุงชน (ถูกผู้ใหญ่จับให้แต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้มีใจให้ซะหน่อย) ดังนั้น เมื่อมาพบสาวคนใหม่ที่แม้จะเจอกันทีหลังก็รักสุดหัวใจ อยากทุ่มเทให้เธอคนเดียว” (ข้อนี้มักใช้อ้างกับสาวแรกรุ่น อายุยังน้อยที่ไม่ค่อยประสีประสาเกี่ยวกับความรัก และคิดว่าเขาคงรักเธอจริงตามปาก)

ประเด็นคือ การชู้สาวจะเกิดขึ้นได้ต้องเป็นการตบมือทั้งสองข้าง คือ ทั้งชายและหญิงคนอื่นต้องยินยอมพร้อมกัน เช่น พอฟังเขาพร่ำพรรณนาถึงความทุกข์ระทมที่ทำให้ยุ่งเกี่ยวกับเมียในเรื่องบนเตียงไม่ได้ จึงใจอ่อน เพราะคิดว่า หากสมยอมไปกับเขา บางทีเขาอาจเขี่ยเมียตัวจริงทิ้งก็ได้ แล้วเขากับ “ผู้หญิงที่มาทีหลัง” ก็มาปลูกต้นงิ้วกัน....

เอ้ย ปลูกต้นรักกันใหม่ และหวังว่า รักคราวนี้จะงอกงามแจ่มกระจ่างต่อไป ดีไม่ดี ชวนให้เขาหย่าเมีย หรือคิดว่า เดี๋ยวเขาก็อยากหย่าแล้วมาแต่งงานอยู่กินกะเธอเองแหละ เป็นงั้นไป

ตรงข้ามกับ “ผู้หญิงรายใหม่” ที่ค่อนข้างทันคน และฉลาดพอจนไม่เชื่อคำพูดเรื่อยเปื่อยของผู้ชายที่ยกเอาเรื่องที่ไม่ได้แอ้มเมียมาอ้าง เพื่อหวังฟันผู้หญิงคนนั้นแทน เพราะคงรู้อยู่แล้วก็ได้ว่า ไม่ควรเอาตัวไปแลกกับคำพูดเพียงฝ่ายเดียวของผู้ชาย

อีกอย่าง ผู้หญิงบางคนก็ไม่สนที่จะไปพัวพันกับผู้ชายที่มีเมียแล้วด้วยสิ ฉะนั้นสาวใดที่คิดแบบนี้มักรอดตัวจากพวกเฒ่าหัวงู หรือชายเจ้าชู้ที่หวังแค่เจาะไข่แดงแล้วก็เตลิดหนีไป

ดังนั้น หากไปได้ยินคำพูดคำจาทำนองนี้ที่ไหนเมื่อไหร่จากผู้ชายที่มีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้ว ก็ขอให้ตั้งสติก่อนสตาร์ตนะฮ้าว่า คุณควรเปลืองตัวไปกับคนพวกนี้ไหม? เพราะคุณยังเป็น “สาวเลือกได้” นี่นา

เหตุนี้ หากคุณไม่อยากตกเป็นเหยื่อชายเสเพลที่มั่วผู้หญิงไม่เลือก ล่ะก็ อยากให้ลองทำอย่างนี้ดู เช่น 1.อย่าไปสนใจคำพูดคำจาของชายไม่รักดี (คือไม่รักเมียจริง) เด็ดขาด

ส่วนวิธีการได้แก่ ถ้ามีหนุ่มคนไหน (บางทีเป็นตาแก่ด้วยซ้ำ) พยายามเข้ามาจีบคุณ เพราะความสาวและความสวย พร้อมกับงัดเอาข้ออ้างที่มีเหตุทำให้ “ยุ่งกับเมียคู่ทุกข์คู่ยากไม่ได้” มาใช้อย่างที่ยกตัวอย่างไปแล้ว ถ้าเขาพูดอะไรขึ้นมาก็ทำเป็นฟังหูซ้ายแล้วทะลุหูขวาไปซะ แล้วตัดขาดกันไปเลย

2.อย่าคิดว่า ชายที่ยกข้ออ้างดังกล่าวจะตีหน้าซื่อและเล่าความจริง เสมอไป

จนคุณพลอยหลงทางเข้ารกเข้าพงไปกับเขา รู้นะว่าคุณไม่อยากเสียใจเมื่อรู้ความจริงที่พลิกผันแน่

@@@
เมอร์ลิน