การทุจริตคอร์รัปชันในรัฐสภา อาจกลับมาเป็นประเด็นโต้เถียงกันอีกครั้ง หลังจากที่เงียบหายไปตามกระแสของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อนุกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายปี 2564 เปิดเผยว่า สภาผู้แทนราษฎรได้เรียกประชุมเพื่อพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ซึ่งเป็นเอกสารถึง 5 เล่ม แต่ไม่มีสิ่งที่กำลังสนใจ

นั่นก็คือไม่มีเอกสารเกี่ยวกับ เรื่องอื้อฉาว ส.ส.ซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการคนหนึ่ง ถูกอธิบดีกรมทรัพยากรนํ้าบาดาล เปิดโปงกลางที่ประชุมว่า “ตบทรัพย์” 5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณของกรม และไม่มีรายการตัดงบประมาณ 15,310 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายเป็นการ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 อยู่ด้วย ทั้งๆที่ควรแจ้งประชาชน

กรณีที่อนุกรรมาธิการถูกกล่าวหา เรียกรับสินบนจากข้าราชการระดับอธิบดี เป็นข่าวอื้อฉาวเพียงไม่กี่วันก็เงียบหายไป อาจถือว่าเป็นเงินแค่จิ๊บจ๊อย ไม่สมศักดิ์ศรี ของสมาชิกรัฐสภาผู้ทรงเกียรติ มีคณะกรรมาธิการฯอย่างน้อย 2 คณะ ทำท่าจะ แย่งกันตรวจสอบ แต่ก็เงียบหาย อาจถือคติ “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน”

เคยมีรายงานข่าวว่า กรณีนี้ถูก ส่งต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระให้ตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ แต่ก็ยังเงียบๆอยู่ ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน แต่ไม่เพิกเฉยแม้แต่ชื่อของผู้ถูกกล่าวหา มีแต่นายเรืองไกรที่ติดตามแบบกัดไม่ปล่อย

นายเรืองไกรพูดถึงการที่อาจมีการ “ฝ่าฝืน” รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ไม่ทราบว่าหมายถึงกรณีอนุกรรมาธิการตบทรัพย์ 5 ล้านบาท หรือการตัดงบประมาณ 15,310 ล้านบาท มาตรา 144 ห้าม ส.ส.หรือกรรมาธิการ มิให้แปรญัตติหรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อให้ตนมีส่วนในการใช้จ่ายงบประมาณ ผู้ฝ่าฝืนอาจหลุดจาก ส.ส.

...

แม้แต่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล ถ้ารู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำดังกล่าว ก็ต้องหลุดจากรัฐมนตรีทั้งคณะ เว้นแต่รัฐมนตรีที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม รัฐธรรมนูญถือว่าเป็นการกระทำผิดร้ายแรง ส่วนกรณี ส.ส.ตบทรัพย์ เป็นความผิดทางอาญาที่ร้ายแรง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ถึง 20 ปี หรือตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต

อย่าคิดว่าตบทรัพย์แค่ 5 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องสำคัญ นอกจากเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรงแล้ว ยังเสื่อมเสียถึงชื่อเสียงของสภา ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อรัฐสภา และการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซํ้าเติมกระบวนการยุติธรรมที่ถึง จุดเสื่อมรุนแรงจากคดีเล็กๆ คือการขับรถ ชนคนตายโดยประมาท.