การให้ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่มีการลงมติ เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีเรื่องวิกฤติทางเศรษฐกิจและวิกฤติการเมืองเมื่อวันพุธถือเป็นการอุ่นเครื่องเพื่อ ถอนฟืนออกจากกองไฟอีกท่อนหนึ่ง ก่อนการชุมนุมใหญ่ 19 กันยายนของ กลุ่มประชาชนปลดแอก โดยนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันในสภาฯว่า ไม่เคยมีปัญหากับเด็ก แต่มีคนที่ทำให้เด็กมีปัญหากับตน สักวันจะทราบว่าใครทำ รัฐบาลไม่ต้องการให้ปัญหาลุกลาม ต้องการความสงบภายใต้ช่วงที่เศรษฐกิจมีปัญหา เหตุที่ตนต้องอยู่ก็เพื่อรับผิดชอบแก้ปัญหาให้ลุล่วง
แต่ยิ่งอยู่นาน ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งเพิ่ม ปัญหาสังคมยิ่งเพิ่ม การทำมาหากินยิ่งฝืดเคือง แม้แต่การหาคนมาเป็น รัฐมนตรีคลัง ก็ยังหายากกว่าทุกยุคทุกสมัย
วันนี้ไปดูวิกฤติการเมืองสองประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่โลก สหรัฐฯ และ จีน ที่จะ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเมืองไทยโดยตรง เพราะ สองประเทศนี้คือ มหามิตรและคู่ค้ารายใหญ่ของไทยที่จะขาดประเทศใดไปไม่ได้ ยิ่งในสถานการณ์ “สงครามเย็น” ระหว่าง จีน-สหรัฐฯ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร โดยเฉพาะใน ทะเลจีนใต้ ที่เป็นเส้นทางการค้าทางทะเลสำคัญของไทย ทำให้ไทยยิ่งต้องเป็นมิตรกับสองประเทศมหาอำนาจมากขึ้น
วันแรงงานสหรัฐฯ 7 กันยายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ แถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเน้นยํ้าถึง การแยกห่วงโซ่เศรษฐกิจสหรัฐฯออกจากจีน อีกครั้ง เพื่อใช้จีนเป็นเครื่องมือหาเสียงให้กับตนเอง ในการชิงชัย ประธานาธิบดีสมัย 2 ที่จะเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เหลือเวลาอีก 54 วันเท่านั้น โดย ทรัมป์ กล่าวหา นายโจ ไบเดน คู่แข่งจาก พรรคเดโมแครต ที่มีคะแนนนิยมนำ ทรัมป์ ในทุกโพลว่ายอมอ่อนข้อให้กับรัฐบาลปักกิ่ง “ถ้าไบเดนชนะ จีนก็ชนะ จีนจะครอบครองประเทศนี้” การเมืองอเมริกันก็หาเสียงสกปรกไม่แพ้ชาติใดเลย
...
ทรัมป์ ประกาศว่า รัฐบาลของเขาในอนาคต (ถ้าชนะ) จะไม่อนุญาตให้รัฐบาลกลางทำสัญญากับบริษัท (สหรัฐฯ) ที่แบ่งงานให้จีนทำ และรัฐบาลปักกิ่งจะต้องรับผิดชอบโทษฐานปล่อยให้โควิด-19 ที่เริ่มต้นจากจีนระบาดไปทั่วโลก
(ชาวอเมริกันมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในโลกต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว ตัวเลขเมื่อวันพุธชาวอเมริกันติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มเป็น 6.51 ล้านคน จากผู้ติดเชื้อทั่วโลก 27.75 ล้านคน คิดเป็น 23.45% ของผู้ติดเชื้อทั่วโลก จากความเชื่อโง่ๆ และความล้มเหลวในการบริหารจัดการกับโควิด-19 ของผู้นำสหรัฐฯ)
ทรัมป์ ให้คำมั่นต่อชาวอเมริกันที่ยังเชื่อมั่นเขาว่า เราจะทำให้สหรัฐฯเป็นมหาอำนาจการผลิตของโลก และจะเลิกพึ่งพาจีนตลอดไป ไม่ว่าเป็นการแยกห่วงโซ่อุปทานการผลิตอย่างสิ้นเชิง หรือเก็บภาษีก้อนโตอย่างที่ทำไปแล้ว เราจะเลิกพึ่งพาจีน เราจะนำงานจากจีนกลับมาสหรัฐฯ จะเก็บภาษีบริษัทที่ทิ้งสหรัฐฯไปสร้างงานในจีนและประเทศอื่นๆ ถ้าเป็นแบบนี้ไทยก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
การแถลง นโยบายใหม่ ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ทำเนียบขาววันจันทร์ ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯร่วงติดต่อกันสามวัน มูลค่าหุ้นหายวับไปทันทีกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ 31.1 ล้านล้านบาท เช่น หุ้น แอปเปิล ที่เพิ่งทำสถิติเป็นบริษัทที่มีมาร์เกตแคปสูงสุดในโลกเกิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ หายไป 325,000 ล้านดอลลาร์ 10.2 ล้านล้านบาท ไมโครซอฟท์ หายไป 219,000 ล้านดอลลาร์ 6.87 ล้านล้านบาท อเมซอน หายไป 191,000 ล้านดอลลาร์ 6 ล้านล้านบาท เฟซบุ๊ก หายไป 89,000 ล้านดอลลาร์ 2.8 ล้านล้านบาท บริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่สหรัฐฯเหล่านี้ ล้วนต้องพึ่งห่วงโซ่จากจีนทั้งสิ้น ถ้าตัดทิ้งหวงโซ่จากจีนเมื่อไหร่ ไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร
การมี ผู้นำประเทศที่ป่วยทางใดทางหนึ่ง หรือ ไม่เก่งด้านเศรษฐกิจการเมือง ย่อมส่งผลเสียต่อประเทศอย่างที่เห็น ลำบากก็คือประชาชน ที่พวกเขาชอบอ้างนั่นแหละ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”